คีตาสีเงิน

[JLS05] Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย

หนุ่มวิศวะหน้ามนคนนั้นน่ะไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่รักเขาในวันที่เขากำลังจะเทฉัน! อ้าวเฮ้ย อ่อยให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ!

0%
VOTE

ตอนที่ 1/7 :: Introduction + Chapter 1 จุดเริ่มต้น

ตอนถัดไป

Pride & Prejudice

เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย

  

หนุ่มวิศวะหน้ามนอย่างนาย ‘แคลคูลัส’ คนนั้นน่ะ... ไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ
แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักเริ่มหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่ตกหลุมรักเขา
ในวันที่เขากำลังจะเทฉัน
โอ๊ยไม่นะ ยัย ‘เฌอลิน’ คนนี้ไม่น่าเล่นตัวเลย!!

 

 คีตาสีเงิน


  --------------------------------------------------------------------------

Introduction

 

สัมผัสของเธอ...
ทำให้ฉันกลายเป็นคนพิเศษ
ไออุ่นของเธอ...
แทรกในส่วนลึกของวิญญาณ

 

ท่วงทำนองเพลง ‘วันหนึ่ง’ ดังขึ้นหลังภาพยนตร์จบ คนในโรงหนังเริ่มทยอยลุกออกไป ทว่าตัวฉันกลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับคนไร้เรี่ยวแรง ดวงตาก็มองภาพเบื้องหน้าที่ติดจะเบลอๆ ทั้งที่ฉันก็สวมคอนแทคเลนส์ไว้ พอรู้ตัวอีกทีหยดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างแล้ว

ร้องไห้ทำไม?

ฉันตั้งคำถามในใจก่อนยกมือสั่นๆ ขึ้นปาดน้ำตาที่แม้ว่าจะปาดแล้วปาดอีกก็ไม่ยอมแห้งเหือดหายไปสักที

เฌอลิน หนังจบแล้วไปกันเถอะ” ณิชา เด็กสาวผมสั้นประบ่าผู้เป็นเพื่อนสนิทเอ่ยชวนพลางหันมามอง แต่แล้วนางก็ต้องชะงักงันเมื่อเห็นสภาพอันดูไม่ได้อย่างเช่นมาสคาร่าที่กำลังเปรอะเปื้อนรอบดวงตากลมโตของฉันเต็มไปหมด เท่านั้นแหละแม่คุณก็ได้แต่อ้าปากค้างเป็นรูปตัวโอ “เฌอ...”

“ฉันร้องไห้ได้ใช่มั้ยณิชา?” ฉันถามเสียงแผ่วเบาพลางสูดน้ำมูก ดวงตาอันเหม่อลอยยังคงตรึงอยู่ที่เครดิตท้ายภาพยนตร์ให้คนได้ยินชักเริ่มกังวล เจ้าหล่อนพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบก่อนจะปล่อยให้ฉันได้ระบายน้ำตาอันขมขื่นออกมา

 

เธอคือฝันที่เป็นจริง ที่ใจของฉันคนนี้ใฝ่หามานาน
เธอมีความรัก ที่คงอยู่ไปชั่วกาล
จับมือฉันให้นาน เพราะฉันเป็นของเธอ

 

“...เพราะฉันเป็นของเธอ”

ฉันฮึมฮัมตามเนื้อเพลง พลันน้ำตาก็ไหลเป็นสายอีกครั้ง คราวนี้ฉันเลยยกสองมือขึ้นปิดหน้าพลางปล่อยโฮดังๆ อย่างไม่เกรงใจใคร ไม่สนแม้ว่าจะมีคนหันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่สนแม้แต่เสียงซุบซิบนินทาว่า ‘อีบ้านี้เป็นอะไร อินกับหนังเกินไปใช่มั้ย?’ ใช่... ไม่สน ตอนนี้ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้วฉันสนอย่างเดียวว่าเมื่อไรน้ำตานี้จะเหือดแห้งหายไปสักที!!

เสียงสะอื้นดังตามเพลงที่คลอ นาทีนี้แล้วฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนักว่าการที่ฉันร้องไห้ตั้งแต่หนังเพิ่งเริ่มยันหนังจบมันเป็นเพราะฉันอินกับหนังมากเกินไป หรือเป็นเพราะฉันเพิ่งถูกทิ้งไว้กลางทางเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้ากันแน่

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ฉันไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ไหลรินนี้ได้เลย!

“ร้องออกมานะ ร้องออกมาให้หมด เฌอลิน”

นัยน์ตาคู่โตที่มีรอยช้ำด้วยหยาดน้ำตาเบือนไปมองคนพูดก่อนพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห่วง “ณิชา... แก ฉัน ฉันอกหักแล้ว”

พลันเสียงเพลงที่ยังคงบรรเลงในภาพยนตร์ก็ดังแทรกเข้ามาในภวังค์ของฉัน พร้อมๆ กับความว่างเปล่าที่บังเกิดในห้วงคิด พาให้นัยน์ตาคู่เทาปรือลงด้วยความหวั่นไหวและหัวใจที่ปวดร้าว

 

วันหนึ่งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกใหม่
โลกที่มองไม่มีวันเหมือนเดิม... อีกต่อไป



  --------------------------------------------------------------------------


Chapter 1
จุดเริ่มต้น

สามเดือนที่แล้ว

“เยส ฉันชนะ!” ฉันในชุดนักศึกษาพึมพำกับตัวเองอย่างดีใจหลังจากที่กระโดดขึ้นรถเมล์สาย 8 มหาภัยก่อนประตูปิดได้แล้ว แถมยังบังเอิญสบสายตาดุๆ ของกระเป๋ารถเมล์อีกด้วย งานนี้เล่นเอายัย ‘เฌอลิน เฌอลิยา’ เสียวสันหลังวูบๆ เลยล่ะ

“รอคันอื่นไม่ได้เหรอ?” กระเป๋ารถเมล์ตำหนิเสียงหงุดหงิดพลางแบมือเพื่อรอค่ารถจากฉัน รอยยิ้มแห้งๆ จึงปรากฏบนดวงหน้าสวยก่อนฉันจะหย่อนเงินให้

“แฮะๆ พอดีหนูรีบค่ะ ขอโทษนะคะคุณน้า” บอกพลางค้อมศีรษะลงเล็กน้อยราวกับรู้สึกผิดนักหนา ทั้งที่อันที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรขนาดนั้น... ไม่สิ เรียกว่าไม่ได้รู้สึกผิดเลยน่าจะดีกว่า สำหรับฉันแล้วการไปถึงคณะช้าต่างหากที่น่ากลัวกว่าการขึ้นสาย 8 เพราะฉันหิวมากและโรงอาหารกำลังจะเต็ม ฉันขี้เกียจจะไปตบตีแย่งชิงที่นั่งอันน้อยนิดกับนักศึกษาคณะอื่น

หลังจากนั้นรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากอนุสาวรีย์ด้วยความเร็ว แต่ดันขยับทีละนิดราวกับหนอน เล่นเอาฉันถอนหายใจอย่างระอา พูดจริงๆ นะ คณะฉันกับอนุก็ห่างกันไม่เท่าไร แต่กว่าจะไปถึงนี่กินเวลาใช่ย่อยเลยล่ะ บ่นในใจพลางเงยหน้ามองเพดานอย่างคนสอดส่องหาพัดลม แล้วอยู่ๆ เสียงไลน์ก็ดังขึ้น ฉันเลยรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ามาเปิดดูอย่างเคยชิน ครั้นพอเห็นข้อความเท่านั้นแหละ...

Ethan: ‘Morning my princess (อรุณสวัสดิ์ เจ้าหญิง)

ฉันก็เลยได้แต่มองบนอย่างเหนื่อยใจที่เห็นหนุ่มบริติชส่งไลน์ทักมา – นี่นางตามจีบฉันมาปีกว่าแล้วนะไม่เบื่อบ้างเหรอ – จะไม่ตอบก็เสียมารยาทเพราะดันกดอ่านแล้ว เมื่อเป็นดังนั้นฉันก็เลยพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

Sherlyn: ‘Aww, it’s very late in London. Why do you sleep so late, huh? (โอ้วว ที่ลอนดอนดึกมากแล้ว ทำไมไม่หลับไม่นอนล่ะ?)’

Ethan: ‘Because I have something to tell you today, Sherlyn! (เพราะว่าผมมีอะไรจะบอกคุณน่ะสิ เฌอลิน!)

Sherlyn: ‘tell me what?  (บอกอะไร?)’

Ethan: ‘Tell you that I’m still serious about you… (ก็บอกว่าผมจริงจังกับคุณน่ะสิ)

อะไรกัน... มามุกแบบนี้อีกแล้วเหรอ? จะขอฉันเป็นแฟนรึไง ก็บอกไปแล้วว่าตอนนี้ฉันยังไม่มองใคร โสดแบบนี้กำลังสบาย ไม่รู้จะมีแฟนทำไม แต่ทิ้งข้อความไว้ก็ดีนะ

Ethan: ‘I’ve known you are the only one who I want to settle down since I knew you, Sherlyn. (เฌอลิน ผมรู้ว่าคุณคือคนที่ใช่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน)

อยู่ๆ ขนแขนฉันก็ลุกซู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอาจริงๆ นะ ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ชินเวลามีคนมาจีบอยู่ดีนั่นแหละ และฉันก็รู้ด้วยนะว่าตาอีธานจีบฉัน คนบ้าอะไรไม่หลับไม่นอน... แล้วนี่ถ้าฉันถูกขอเป็นแฟนขึ้นมาทำยังไงดีล่ะ? คิดพลางก้มลงมองข้อความในไลน์ก่อนเบิกตากว้างอย่างตกใจ

Ethan: ‘And if you’re on the same page as me… Can you be my girlfriend? (แล้วถ้าคุณก็คิดเหมือนกันกับผม... ลองมาคบกันดูมั้ย?)’

โอ้คุณพระ!! พูดไม่ทันขาดคำ วาจาฉันนี่มันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ฉันกำลังถูกหนุ่มบริติชขอเป็นแฟน!! ไม่อยากจะเชื่อ ไหนขออ่านอีกรอบเพื่อความชัวร์หน่อยซิ – แล้วก็ก้มลงอ่านอีกครั้ง คราวนี้ฉันเห็นคำว่า ‘Can you be my girlfriend?’ เต็มตาเลยล่ะ – นี่ฉันควรตอบกลับไปว่าอะไรดีหรอ?

เรียวมือทั้งสองยังคงค้างอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์อย่างคนนึกหาคำตอบเหมาะสม ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบเขานะ แต่ฉันไม่พร้อมจะผูกมัดกับใครเลยจริงๆ ด้วยความคิดนั้นเลยทำให้ฉันได้แต่กะพริบตาปริบๆ

Sherlyn: ‘Well, I s… (เอ่อ ฉัน...)

ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พิมพ์ข้อความปฏิเสธตามใจคิด ทันใดนั้นรถที่กำลังเคลื่อนเป็นหนอนก็ดันออกตัวเต็มแรง ก่อนตัวฉันจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าตามแรงรถ

ม่ายย!

ฉันร้องในใจพลางหลับตาปี๋และกำโทรศัพท์ไว้แน่น คุณพระ ฉันเพิ่งไปเสริมดั้งมา จะให้ดั้งฉันกระแทกพื้นไม่ได้เด็ดขาด โนวววววว!!

“ระวังหน่อยสิเธอ”

ยังไม่ทันที่สติสัมปชัญญะจะกลับมา แว่วเสียงทุ้มไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ ที่ต้นแขนและแผ่นหลังราวกับยื้อไว้ ฉันจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาก่อนแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงผู้เป็นเจ้าของสัมผัสนั้น เท่านั้นแหละหัวใจฉันก็เต้นรัวขึ้นมา

โอ้พระเจ้า มีคนไทยที่หน้าตาดีขนาดนี้ด้วยเหรอ!?

ใบหน้าคมคายนั้นฉาบด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ดวงตาเรียวเล็กหรี่ลงภายใต้เรียวคิ้วเข้มที่มุ่น บัดนี้แผ่นหลังของฉันสัมผัสเข้ากับแผงอกของเขา และนั่นทำให้บุรุษปริศนาโน้มหน้าลงใกล้เล็กน้อยก่อนจะขยับยิ้มบาง

“ขะ... ขอบคุณค่ะ” ฉันบอกก่อนจะผละตัวออกห่างอย่างตกใจ อยู่ใกล้คนหล่อไม่ได้ค่ะ โรคหัวใจกำเริบเลิฟขึ้นมาทันที

“ไม่เป็นไร แต่คราวหลังอย่าเล่นโทรศัพท์บนรถเมล์ล่ะ”

“ค่ะ” ตอบพลางหลบตาวูบ แล้วทันใดนั้นรถเมล์ก็กระชากเบรกหยุดเอี๊ยดกะทันหัน เล่นเอาฉันเกือบล้มหน้าคว่ำให้ดั้งพังเป็นรอบสอง ดีนะที่หนุ่มปริศนาคว้าแขนฉันไว้อยู่

“รามาป้ายนี้เลยค่า” เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนดัง ฉันเลยหันไปส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อบอกให้เขาปล่อยแขนฉันออกได้แล้ว

“ลงก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ”

เด็กหนุ่มผมดำปล่อยฉันเป็นอิสระก่อนจะกล่าว นัยน์ตาสีดำฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย “ลงป้ายเดียวกันเลย”

“อ๋อ พอดีเรียนอยู่แถวนี้ค่ะ” ฉันบอกเสียงเรียบก่อนจะรีบเดินลงจากรถ ให้ตายเถอะ อย่ามาผูกมิตรกับฉันในตอนที่คนกำลังเยอะแบบนี้ได้มั้ย ขอร้องเห็นหน้ากระเป๋ารถเมล์นั่นไหม ยังกับยักษ์ขมูขีแล้วนาจา

หากคนหน้าหล่อยิ้มแล้วเดินตามลงมา ปากก็ไม่วายกล่าวต่อไป “จริงหรอ บังเอิญจังเลย ฉันก็เรียนที่นี่เหมือนกัน”

ฉันหันมองร่างสูงที่ก้าวขาเร็วๆ จนเดินข้างฉันในที่สุด เขาสวมเสื้อยืดสีชมพูทับด้วยเสื้อช็อปสีเข้ม กางเกงขาเดฟสีดำรัดรูปไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะทำให้ฉันรู้ว่าผู้ชายข้างฉันคนนี้มีหุ่นที่เพอร์เฟคท์ และรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังรุ่นใหม่ที่ไม่มีขายในไทยของเขานั้นทำให้ฉันรู้สึกได้เลยว่าเขารวย – แก รองเท้าคู่นั้นมันแพงมากเลยนะ ราคาเกือบเท่าค่าเทอมฉันเลยล่ะ

นัยน์ตาสีเทาหรี่ลงเล็กน้อยยามมองตรารูปเกียร์ข้างแขนเสื้ออีกฝ่าย อะไรกัน นี่ไม่ใช่เสื้อช็อปคณะฉันสักหน่อย – วิศวะงั้นเหรอ?

“นายเรียนที่นี่เหรอ?” ทวนซ้ำพลางมุ่นหัวคิ้วลงเล็กน้อย ครั้นพอเห็นเด็กหนุ่มข้างกายพยักหน้า ฉันก็เลยถามต่ออย่างสงสัย “แต่วิศวะไม่ได้อยู่วิทยาเขตนี้นี่นา”

“พอดีมาซัมเมอร์ไง” ตอบพร้อมกับหันมายิ้มกว้างอวดฟันขาวเรียงสวย

“ติดเอฟว่างั้น?” ฉันถามกลับพลางเลิกคิ้วแต่ไม่สงสัยอะไรเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าคนที่มาเรียนซัมเมอร์คือคนติดเอฟ เนื่องจากมหาวิทยาลัยนี้ไม่มีนโยบายให้เด็กมาเรียนตอนปิดเทอม

“หยาบคาย” อีกฝ่ายบอกก่อนกล่าวติดตลก “อย่าเรียกว่าติดเอฟเลย เรียกว่าแค่ทำให้แม่สมหวังดีกว่า”

ฉันชะงักไปชั่วครู่ ลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายของอีกฝ่ายที่ยังคงระบายรอยยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำร้ายแรงอย่าง ‘ติดเอฟ’ ผู้ชายคนนี้แปลกจัง ถ้าฉันติดเอฟนะ... ป่านนี้คงกรีดร้องโวยวายให้ลั่นไปนานแล้ว

“ทำไมสมหวังอ่ะ? ติดเอฟมันดีตรงไหน”

“ดีตรงที่ได้เจอผู้หญิงเปิ่นๆ อย่างเธอนี่แหละ” ดวงตานิลสนิทของคนพูดวาววับเจ้าเล่ห์สบมองกับเทาคู่สวยที่กะพริบปริบๆ แล้วกว่าจะตั้งสติได้เสียงอุทานของฉันก็ดัง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะทุ้มๆ จากอีกฝ่าย

“ฮะ?”

“ไปก่อนนะ เดี๋ยวสาย” วิศวะหนุ่มตัดบทก่อนวิ่งลงจากสะพานลอยอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉันโบกมือไปมาอย่างงุนงงพลางพึมพำกับตัวเอง

“พิลึกจัง”

ดูสิ ดูคำพูดคำจาราวกับสนิทสนมมาเป็นชาติ ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่ทันได้รู้จักเลยสักนิด พูดจาแบบนี้นี่มันอ่อยกันชัดๆ!

 

 ……………………………………………

 

ร้อน ร้อนมาก อากาศวันนี้ร้อนมากนะ

ฉันบ่นในใจพลางลากสังขารเดินฝ่าฝูงชนอันเบียดเสียดและแดดอันร้อนระอุราวกับอยู่กลางทะเลทรายไปยังคณะ เดินเลี้ยวขวาตรงเข้าไปในสำนักงานการศึกษาเพื่อเข้าห้องน้ำ แสร้งทำเป็นยิ้มทักทายคนรู้จักตามมารยาททั้งที่ในหัวก็ยังครุ่นคิดเรื่องเมื่อครู่ไม่หาย ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วที่ฉันร้อนเพราะอากาศมันร้อน หรือร้อนเพราะร้อนรุ่มอยู่ในใจกันแน่

บ้า บ้ามากๆ อยู่ๆ ก็ถูกบริติชขอเป็นแฟน แถมยังถูกวิศวะหน้าตาดีมาอ่อยอีกต่างหาก

คิดพลางเปิดก๊อกให้น้ำไหลก่อนล้างหน้าล้างตาอย่างคนไม่กลัวเมคอัพหลุดเพราะไม่เคยแต่งหน้ามามหาลัย

ครั้นเสร็จเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้ง มองเห็นสิวเม็ดเบ้อโผล่บนหน้าผาก เท่านั้นแหละคิ้วสีน้ำตาลก็ขมวดลงอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจัดเรือนผมสีน้ำตาลทองยุ่งๆ ให้เข้าที่เข้าทางแล้วเม้มริมฝีปากเรียวสีชมพูราวกับกลีบกุหลาบ –โอเค ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นสิวเม็ดนั้นก็แล้วกัน

ใครๆ ก็บอกว่าฉันไม่สวยแบบเกาหลี แต่ขอโทษที ตอนไปแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่อังกฤษมีหนุ่มมากหน้าเข้ามาจีบฉันจนเบื่อ และตาอีธานก็เป็นหนึ่งในนั้น ถามว่าฉันสนใจหนุ่มๆ พวกนั้นไหม? อืม ไม่สนเท่าไรหรอกแค่เปลี่ยนคนควงแทบทุกสัปดาห์จนเพื่อนๆ ที่ยูคิดว่าฉันเป็นแม่เทย์สองแล้วก็แค่นั้น

แน่นอนว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ไม่ได้เป็นไอดอลฉัน เพราะฉันไม่เคยคบใครเป็นแฟนเลยสักคน

ดังนั้นฉันไม่คิดว่าคนเราควรตัดสินคนเพียงเพราะทัศนคติหรืออคติของเราล้วนๆ ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่เบื้องหน้าใส่เสื้อมอซอ แต่เบื้องหลังอาจจะเป็นซีอีโอ หรือคนที่ดูไม่ป๊อบปูล่าในไทยจะกลายเป็นสาวฮอตใน UK อย่างฉัน รู้ไหมว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีความงามเป็นของตัวเองนะ :)

ฉันก็เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ตาม กลับมาที่นี่ เวลานี้ ณ ตอนนี้ แม้ว่าฉันจะปิดเทอมแต่ก็ต้องมาคณะ ทำไมน่ะเหรอ!? เพราะฉันต้องทำซีเนียร์โปรเจคไงจะอะไรล่ะ ถ้าไม่ทำก็ไม่จบ เฮ้อ... อยากจะตื่นมาแล้วรับปริญญาเลยให้ตายสิ

คิดอย่างปลงตกพลางลากสังขารไปโรงอาหารที่ไม่ได้แน่นหนาอย่างที่กังวลไว้ตั้งแต่แรก พุ่งเข้าชาร์จที่ร้านน้ำปั่น 20 บาทแล้วสั่งเครื่องดื่มโปรดทันควัน

“น้ำฟักทองหวานน้อยไม่ใส่น้ำแข็งค่ะ” บอกพ่อค้าพลางฉีกยิ้มกว้างให้ หลังจากรออยู่ประมาณห้านาทีก็ได้น้ำมาสมใจ

“น้ำฟักทองปั่นไม่ใส่น้ำแข็งอีกแล้วเหรอ?”

เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นใกล้หู เล่นเอาฉันสะดุ้งโหยงเกือบปล่อยแก้วในมือ โชคยังดีที่มือหนาของอีกฝ่ายคว้าแก้วฉันไว้ประหนึ่งรู้ว่ามันกำลังจะร่วง ฉันเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับร่างสูงเบื้องหน้า เขาเป็นเด็กหนุ่มผมดำจัดทรงเรียบร้อย กำลังเรียนคณะแพทยศาสตร์และเป็นเพื่อนสนิทของฉันมาตั้งแต่เด็ก

“อื้อฮึ ก็หมอแถวนี้บอกว่ากินฟักทองเยอะๆ จะได้สายตาดีไง” ฉันตอบพลางเอียงคอลงเล็กน้อยก่อนจะแย่งแก้วน้ำกลับมาแล้วบ่นอุบ “มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะเร็กตัส

เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่ไม่เคยใส่เสื้อกาวน์ออกนอกโรงพยาบาลขยับรอบยิ้มนิดๆ บนดวงหน้าหล่อเหลา ก่อนดันแว่นกรอบหนาบนสันจมูกโด่งเป็นสันขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเข้ม “ก็คนแถวนี้สายตาสั้นเลยเป็นห่วง”

“ขอบใจ” ฉันบอกก่อนจะอมยิ้ม “แล้วนี่นั่งไหน จะไปนั่งด้วย”

“ที่เดิม” ตอบเสียงขรึมพลางขยับตัวมาใกล้ๆ แล้วเดินไปด้วยกัน

“อื้อฮึ”

“หน้าดูเครียดๆ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มถามอย่างเป็นห่วง ฉันเลยได้ทีหันไปเหวี่ยงตามนิสัย

“ไม่ให้เครียดได้ไง ก็เมื่อเช้าบริติชเพิ่งขอเป็นแฟน”

แล้วอยู่ๆ พ่อนักศึกษาแพทย์ข้างกายก็ชะงักฝีเท้ากึกแล้วเปรยราบเรียบ

“ก็ดีแล้วนี่”

แต่ฉันกลับรู้สึกถึงไอเย็นจัดที่แผ่รอบกายเหลือเกิน ไม่ชอบเวลาหมอนี่พูดเสียงนิ่งเลยให้ตายสิ มันให้ความรู้สึกเย็นชาชะมัด

“ดีกับผีน่ะสิ ฉันไม่ได้ชอบเขา”

“แต่สเปคของเฌอลินคือฝรั่งไม่ใช่หรอ?”

“เยอรมัน”

“อะไรนะ?”

“สเปคฉันคือหนุ่มเยอรมันไม่ใช่อังกฤษ” หันบอกอีกฝ่ายเสียงเครียดก่อนแจกแจงเหตุผลที่แท้จริง “นายก็รู้ว่าฉันมีแฟนไม่ได้ เร็กตัส”

ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มลึกลับพลางแสร้งพึมพำลอยๆ “โรคกลัวการตกหลุมรัก”

ฉันเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อได้ยินประโยคนั้น… ใช่ ฉันคิดว่าฉันเป็นโรคกลัวการตกหลุมรักนะ นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมฉันถึงยอมโสดมาเกือบตลอดช่วงอายุ 21 ปี

ร่างสูงหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะซึ่งมีกระเป๋าเป้สีฟ้าวางอยู่ ก่อนเขาจะผายมือเพื่อเชื้อเชิญให้นั่ง “นั่งสิเฌอลิน”

“นั่นไม่ใช่กระเป๋านายนี่เร็ก แล้วเรามานั่งที่เขาไม่โดนด่าเหรอ?” ถามกลับพลางเอียงคอลงเล็กน้อยแล้วจิบน้ำฟักทองในแก้ว

“กระเป๋าเพื่อนฉันเอง”

“โอเค” ฉันส่งเสียงรับรู้พลางหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ ส่วนเร็กตัสก็นั่งตรงข้ามฉัน เขาหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาวางบนโต๊ะก่อนเปิดอ่านเป็นปกติท่ามกลางการจับจ้องทุกการกระทำจากฉัน คิดถูกแล้วล่ะที่ฉันไม่เรียนหมอ ไม่งั้นมีหวังต้องตายคาหนังสือแน่ๆ รู้ไหมว่ายัยเฌอลินคนนี้เห็นเร็กตัสอ่านหนังสือ all the time มา 4 ปีแล้ว... และก็เชื่อว่ามันจะอ่านต่อไปอีกตลอดชีวิตแน่ๆ

“จะบ่นก็บ่นได้นะ ฟังอยู่” หนอนหนังสือตรงหน้าพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันเงียบ

“ไม่อ่ะ ไม่รู้จะบ่นอะไร ก็ปฏิเสธไปแล้วก็แค่นั้น” ฉันบอกพลางลอบมองดวงหน้าขรึมนั้นที่ดูผ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “เร็กขึ้นวอร์ดวันนี้ป่ะ?”

“อืม”

“แล้ว...” ฉันตั้งใจจะต่อบทสนทนา ทว่ากลับต้องชะงักค้างไว้แค่นั้นเมื่อเห็นร่างสูงอันคุ้นตาเดินถือจานข้าวมายังโต๊ะฉันแล้วหยุด – เฮลโล้ววว นั่นมันวิศวะขี้อ่อยเมื่อเช้านี่นา!

“เฮ้ยไอ้เร็ก โทษทีว่ะที่ให้รอนาน แล้วนี่” เสียงตะโกนดังขึ้นก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างฉันถนัดตา “อ้าวเฮ้ย เธอนี่นา”

            “สวัสดี เจอกันอีกแล้ว” ฉันทักทายพลางส่งยิ้มหวานให้ เร็กตัสเลยละสายตาจากหนังสือมามองฉันสลับกับวิศวะหนุ่มที่นั่งเก้าอี้ข้างๆ เขาแล้ว

            “รู้จักกันด้วยเหรอ?” เร็กตัสเอ่ยถามเสียงนิ่ง หากแต่นัยน์ตาสีดำกลับฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย

            “ไม่” ฉันกับอีตาวิศวะขี้อ่อยตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนที่คนเป็นผู้ชายจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คนเรียนหมอฟัง

            “พอดีเพื่อนนายมัวแต่มองจอโทรศัพท์บนสาย 8 เมื่อเช้า แล้วทีนี้หน้าเกือบคว่ำไง ฉันเลยคว้าตัวไว้ทัน”

            ฉันขยับยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าของสายตาดุภายใต้กรอบแว่นน้ำเงินเป็นเชิงขอโทษ ก่อนเริ่มแก้ตัวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ

“โธ่เร็ก ก็มัวแต่อ่านไลน์บริติชนั่นแหละ”

“อ่านทีหลังก็ได้”

            “คราวหลังเฌอลินไม่ทำแล้วค่า” ฉันบอกอย่างสำนึกผิดสุดๆ เมื่อสบแววตาดุนั้น ให้ตายสิ นายต้องเป็นหมอที่ดุมากแน่ๆ เร็กตัสนายจะงาบหัวคนไข้ไหมนะ? ขนาดกับเพื่อนยังดุไม่เว้น ฮืออ ยัยเฌอลินคนนี้กลัวแล้ว

            “ชื่อเฌอลินเหรอ?” วิศวะหน้ามนถามพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ

            “อื้อฮึ ชื่อเฌอลิน เรียนอยู่ปี 4 วิทยาภาคแมท” ฉันแนะนำตัวก่อนจะโปรยรอยยิ้มที่คิดว่าสวยให้อีกครั้ง แอบเห็นสายตานักศึกษาสาวสองคนที่นั่งตรงข้ามมองมา เข้าใจว่าอิจฉาที่ฉันนั่งอยู่กับคนหน้าตาดีทั้งสองคนแน่นอน

            “อ่านไลน์ตลอดเวลาแบบนี้นี่คือคุยกับแฟน?” เขาถามยิ้มๆ  

            “แฟนยังไม่มี” ฉันบอกพลางชี้ไปยังเร็กตัสที่ตั้งหน้าตั้งตานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แต่ฉันรู้นะว่าหูมันน่ะเก็บข้อมูลอยู่ ฉันก็เลยแกล้งคนชอบเงียบซะเลย “เพื่อนดุ มีไม่ได้”

            “งั้นก็แปลว่าคนคุยเยอะ”

            “สับรางไม่ทันแล้ว” ฉันตอบพลางหัวเราะ แต่พอบังเอิญสบตาดุๆ ของนักศึกษาแพทย์ตรงหน้าอีกครั้งก็พลันจำต้องหุบปากลง เข้าใจนะว่าแม่ฉันฝากฝังให้นายเร็กตัสดูแลฉันเพราะเราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ที่ไม่เข้าใจคือว่าทำไมมันต้องดุกับฉันตลอดเวลาอย่างนี้ด้วยล่ะ

“เฌอลิน นี่คือเพื่อนสมัยเด็กของฉัน” แล้วคนพูดน้อยต่อยหนักก็เปิดปากแนะนำวิศวะข้างกายให้รู้จัก “ชื่อแคลคูลัส อยู่ปี 4 วิศวะคอม”

“เดี๋ยวนะ” ฉันขมวดคิ้ว “ชื่ออะไรนะ?”

“แคลคูลัส... แต่ถ้าเรียกยาก เรียกว่าแคลเฉยๆ ก็ได้นะ” นายวิศวะขี้อ่อยบอกพร้อมกับยักคิ้วกวนประสาท

“เฮ้ย ชื่อแปลกดีอ่ะเร็กตัส” ฉันอุทานกับเพื่อนสนิทผู้เรียนหมอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ไม่นึกว่าจะมีคนชื่อนี้จริงๆ อยู่บนโลกด้วย”

“ทำไมล่ะเฌอลิน?”

“นั่นสิ ชื่อฉันมันทำไมอ่ะ?”

“คือมันแปลกมากเว้ย” ฉันอธิบายพลางมองหน้าหล่อๆ ของแคลคูลัสที่ไม่ได้ทำให้ฉันใจสั่นเลยสักนิด “ฉันเคยคิดไว้นะว่าถ้ามีลูกจะตั้งชื่อว่าแคลคูลัส ใช่มั้ยเร็ก?”

“เธอเคยพูดด้วยเหรอ เฌอลิน?” คนถูกเอี่ยวทำหน้างงเล็กน้อย เล่นเอาฉันเกือบเสียเซลฟ์ เท่านั้นแหละฉันเลยหันมองเขาอย่างคาดโทษ

“นายลืมจริงดิ ก็ตอนปี 2 ไง ตอนที่ฉันเลือกภาคแล้วได้เรียนแมทอ่ะ ฉันยังบอกนายอยู่เลยว่าถ้ามีลูกฉันจะตั้งชื่อว่าแคลคูลัส เอ็กซ์โปเนนเชียล แล้วก็ล็อกการิทึมไง” ฉันแจกแจงด้วยสีหน้าจริงจัง แต่หน้าหล่อๆ ของคนฟังนี่สิดูงุนงงราวกับฉันบอกมันอยู่ว่า ‘รู้ไหมว่า 1+1 = 3 นะ’ อะไรประมาณนี้ เมื่อเป็นดังนั้นฉันก็เลยถามเร็กตัสอีกรอบ “จำไม่ได้จริงๆ หรอ ที่พูดกันตอนอยู่ตึกหน้าคณะไง ตอนที่นายมารอรับฉันกลับบ้านอ่ะเร็ก!

“อ๋อๆ จำได้ล่ะ” เร็กตัสคงทนเสียงสูงๆ บาดแก้วหูของฉันไม่ไหวล่ะมั้ง นางถึงได้โบกไม้โบกมือไปมาราวกับตัดบท แต่ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะรำคาญฉันหรือเปล่า รู้แต่ตอนนี้ฉันล่ะเซ็งสุดขีดแล้ว ก็เลยเผลอยกมือเท้าคางแล้วบ่นเสียงเบา

“แย่จัง มีคนชื่อแคลคูลัสแล้วจริงๆ ตอนแรกก็คิดว่าลูกฉันจะชื่อนี้เป็นคนแรกซะอีก”

“ถ้าไม่อยากมีลูกชื่อแคลคูลัส งั้นอยากมีแฟนชื่อแคลคูลัสมั้ยล่ะ?” อยู่ๆ เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางถามยิ้มๆ เล่นเอาฉันถอยหน้าออกเกือบไม่ทัน ดูๆๆๆ ดูรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนี้สิ แลดูเจ้าชู้ชะมัดเล่นเอาฉันเผลอขยับยิ้มตามบ้างเลย

เอ้า แล้วนี่ฉันจะยิ้มตามมันทำไมเนี่ย!

“ฮันแน่ มียิ้มด้วย ยิ้มแบบนี้แปลว่าอยากเป็นแฟนฉันล่ะสิ” ไม่ว่าเปล่าแถมยังขยิบตาข้างซ้ายให้อีกต่างหาก คนฟังอย่างฉันก็เลยได้แต่นิ่งค้างอย่างคนควานหาคำตอบไม่ได้

“อย่าพยายามเลยแคล” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นจากปากนักศึกษาแพทย์คนเดียว คนเรียนวิศวะเลยหันกลับไปมองพลางมุ่นหัวคิ้วบนดวงหน้าหล่อๆ ลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

“หมาหวงก้างเหรอเร็ก?”

“นายไม่ใช่สเปคเฌอลินต่างหาก” เร็กตัสตอบพลางคลี่ยิ้มบาง ส่วนฉันที่กะพริบตาปริบๆ ก็ผันตัวเป็นทีมสนับสนุนเพื่อนสนิทผู้เรียนหมอทันควัน

“ใช่” ฉันพยักหน้าก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแล้วกรีดนิ้วจับหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “สเปคฉันต้องเป็นฝรั่งเท่านั้นอ่ะ”

เร็กตัสมองหน้าแคลคูลัสราวกับต้องการบอกว่าตัวเองเป็นคนชนะ ส่วนฉันก็กลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคอ นี่มันมาคุชัดๆ และฉันก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ซะด้วยสิ – สองหนุ่มมองหน้ากัน ดวงหน้าเคร่งขรึมของนักเรียนแพทย์นั้นนิ่งสงบ หากแต่ดวงหน้าคมคายของคนเรียนวิศวะกลับฉาบด้วยรอยยิ้มทะเล้น – ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

“ไม่เห็นเป็นไรเลย คนเราถ้ามันจะชอบ ต่อให้สเปคสูงขนาดไหน... ” แคลคูลัสมองหน้าเร็กตัสก่อนจะเบือนมายังฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ มันก็ชอบ ถูกไหมเฌอลิน?”

น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นละมุนยิ่งนัก เล่นเอาฉันผงะหงายก่อนแสร้งก้มมองนาฬิกา ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ยังคงเห็นนิลสนิทของผู้ชายขี้อ่อยสบมองไม่เลิก ส่วนนัยน์ตาคู่ดำของเร็กตัสกลับเย็นชาและว่างเปล่าราวกับไร้อารมณ์จนทำเอาฉันขนลุกซู่

“เอ่อ ไปก่อนนะ ถึงเวลาที่อาจารย์นัดแล้ว”

ฉันตัดบทพลางลุกยืนขึ้นทันควัน จ้ำอ้าวออกไปจากโต๊ะอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้เร็กตัสเดินไปส่งเหมือนทุกครั้ง หรือรอให้วิศวะหนุ่มหน้ามนคนนั้นหยอดอีกรอบแม้แต่น้อย

ผู้ชายนี่น่ากลัวชะมัด...

26 ความคิดเห็น

  1. #12 Banilla Honie, Karin (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 00:03:05
    กรี๊ดดดด
    ถูกข้างบ้านเม้าท์แต่อินจริง เรื่องดั้งเนี่ย มนุษย์ซิลิที่ทุกคนมักจะเป็น อะไรก็ตามดั้งฉันต้องมาก่อน
    เรื่องของน้ำถึงแตะตาเราตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านละ
    สำนวนกับความเรียลพุ่งทะลุหน้าจอ
    ฝากบอกเฌอลินเอาแคลไปไกลๆ ส่วนหมอเร็กเราจะรับไว้เอง #หนุ่มแว่นโมเอะเว่อร์

    ปล. ใช้เวลากับเม้นท์นี้เยอะจริงๆ หา ฌ ไม่เจอ =___=;
    #12
  2. #13 aliceliza (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 10:08:52
    งื้ออ ตามมาจาก #โรคาร์ลอส แล้วฮับไรท์ 
    ชอบเร็กตัสจัง เหมือนคาร์ลอส >///<
    แต่ๆๆๆๆ รู้สึกแคลคูลัสเหมือนเบเนดิกต์แฮะ

    #13
  3. #14 (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 10:33:00
    เชียร์ๆ
    #14
  4. #15 paploy♡ (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 14:19:30
    ตามมาแล้วจ้าพี่น้ำผึ้ง อ่านแล้วเห็นหน้าพี่เลย สนุกเหมือนเดิม ไม่เคยเห็นพี่เขียนแนวนี้เลยค่ะ 
    #15
  5. #16 (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 15:23:51
    //แวะมาโบกป้ายไฟ

    #16
  6. #17 Kyoha (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 17:27:36
    สวัสดีคุณหญิงน้ำผึ้ง...

    พี่ก็ยังอ่านชื่อทุกคนด้วยการออกเสียงอยู่ดี...

    ต้องออกเสียงเท่านั้นจริงๆ 555 อ่านเฉยๆรู้สึกมึนๆ 

    ยังยืนยันเหมือนเดิมนะ... คุณเธอไม่คิดสงสารคนเรียกชื่อลูกบ้างรึไงคะ? ตั้งชื่อลูกแบบนั้น

    55555555555555

    เย้
    #17
  7. #18 Mingza15956 (จากตอนที่ 1)
    2017-01-09 22:21:11
    อร้ายยย พระเอกดูแรงงงง สู้ๆครัช

    #18
  8. #19 nichak (จากตอนที่ 1)
    2017-01-10 20:19:02
    อุ้ย เชียเพื่อนนางเอกค่า ชื่อเหมือนเราเลย สู้ๆนะคะ พี่คีตาสีเงิน 
    #19
  9. #20 chocobo_choco (จากตอนที่ 1)
    2017-01-11 21:32:04
    รักเลยเขิลจุงรักเลยเขิลจุง
    เขินนนายแคล
    รอโหวตค่าาา
    สู้ๆ นผ.
    #20
  10. #21 (จากตอนที่ 1)
    2017-01-16 18:14:08
    สำนวนน่ารัก าษาอ่านง่าย กระชับดีมาก พี่ชอบบทสนทนานะ ดูธรรมชาติดี เหมือนสามารถได้ยินคนคุยกันแบบนี้ได้ รอดูเนื้อเรื่องต่อ อยากจะบอกว่า ไม่ต้องไปแซวเค้าเลยเฌอลิน แคลคูลัส เร็กตัส คือไม่มีใครชื่อปกติทั้งนั้นในเรื่องนี้ 55555555 ดูเป็นสไตล์ JLS ดีนะคะ เข้าแก๊ปดี รออ่านตอนต่อไปจ้า


    #21

แสดงความคิดเห็น