หนุ่มวิศวะหน้ามนคนนั้นน่ะไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่รักเขาในวันที่เขากำลังจะเทฉัน! อ้าวเฮ้ย อ่อยให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ!
ตอนที่ 7/7 :: กอดเสื้อกาวน์ไม่อุ่นเท่ากอดเสื้อช็อปหรอกนะ
7
กอดเสื้อกาวน์ไม่อุ่นเท่ากอดเสื้อช็อปหรอกนะ
(เพื่ออรรถรส อย่าลืมเปิดเพลงนี้ขณะอ่านไปถึงท้ายเรื่องนาจา โอ๊ย 555555)
แคล แคลคูลัส
“ไอ้เร็ก แกต้องเคลียร์กับฉัน!!”
ผมตวาดเสียงดังทันทีที่เห็นหน้านิ่งๆ ชวนกวนบาทาของไอ้หมอเร็ก
“เคลียร์อะไร?” เร็กตัสสวนกลับเสียงนิ่งพลางจ้องผมเขม็ง สภาพตอนนี้ดูแทบไมได้ เลือดไหลกลบปากจนเสียภาพพจน์หมอน้ำแข็ง
“กี่ครั้งแล้ววะ กี่ครั้งแล้วที่แกได้ในสิ่งที่มันควรเป็นของฉัน ตลอดชีวิตมีแต่แกที่เอาของฉันไป!” ผมแค่นเสียงก่อนจะก้าวฉับๆ ไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างโมโห
เร็กตัสไม่ตอบอะไร มันค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบากแล้วยกมือเช็ดเลือดที่ไหลย้อย ปล่อยให้ผมกลายเป็นหมาบ้า เอะอะโวยวายอยู่คนเดียว ยอมรับว่าตอนแรกอยากเคลียร์กับมันแค่เรื่องเฌอลิน แต่ระหว่างทางที่วิ่งมา ความทรงจำต่างๆ มากมายดันโผล่เข้ามาในหัว จนในที่สุดผมก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป
“สอบได้ที่หนึ่ง เป็นตัวแทนโรงเรียน เป็นนักเรียนดีเด่น ได้ตำแหน่งประธานนักเรียน ขนาดยางลบก้อนสุดท้ายที่ร้านเจ๊ แกยังแย่งของฉันไป!!” เสียงของผมดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีน้ำโห “มันจะมีบ้างมั้ยวะที่ฉันไม่ได้เป็นแค่เงาของแก ทำไมแกต้องโดดเด่นอยู่คนเดียวด้วยวะ”
แล้วผมก็เงียบ ยืนมองมันด้วยความรู้สึกปั่นป่วนที่อยู่ภายใน
พวกเราทะเลาะกันครั้งล่าสุดเมื่อไรนะ?
เท่าที่จำได้ ก็คงจะเป็นตอนป.3 ตอนที่มันยืมสีไม้ผมไปใช้แล้วเรียงให้ผิด
นั่นแหละ การทะเลาะกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพวกเรา...
“เป็นบ้าอะไร?” มันถามเสียงนิ่งแล้วก้าวมาหาผมก่อนคว้าไหล่ไว้ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ แต่พอมันอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ผมก็รีบปัดมือออกและตะคอกใส่เสียงดัง
“แล้วไอ้การหักหน้าฉันต่อหน้าคนที่ฉันตามจีบเนี่ย มันใช่เหรอวะ” ผมเหยียดรอยยิ้ม เผลอกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้อย่างโมโห ผมเกลียดการถูกหักหน้า ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ข้อนี้มันก็รู้ดี!
เร็กตัสเลิกคิ้วแล้วกล่าวเสียงนิ่งที่เริ่มจุดชนวนผมอีกครั้ง “พูดจริงนะ ฉันไม่เชื่อว่านายจริงจังกับเฌอลิน”
ผมชะงัก หมอนี่พูดถูก มันรู้ว่าผมไม่ได้จริงจังกับเฌอลินอะไรขนาดนั้น
ทุกอย่างก็แค่...
“อย่าพูดหมาๆ แกไม่ใช่ฉัน” ผมตะคอกแล้วถลึงตาใส่ “ทำไมแกไม่ให้โอกาสฉันอธิบาย ยังเป็นเพื่อนฉันอยู่หรือเปล่า!”
“เฌอลินเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ฉันไม่เกี่ยว” เร็กตัสตอบเสียงเรียบพลางพยายามแกะมือผมออก แต่ไม่สำเร็จ
“อย่ากวนตีน ไอ้เร็ก” ผมแสยะรอยยิ้ม กำหมัดแน่นเตรียมต่อยหน้าไร้อารมณ์ของมันอีกครั้ง แต่เสียงตะโกนของณิชาที่ดังมาแต่ไกลทำให้ผมหยุด
“เฮ้ยๆๆ! พอแล้วแคล!” ยัยนั่นปรี่มาคว้าแขนผมไว้ แต่เสียใจด้วย ตอนนี้ผมยึดคอเสื้อไอ้เร็กไว้แน่นเกินกว่าจะปล่อยได้ เมื่อเป็นดังนั้นยัยณิชาจึงหันไปพูดงึมงำอย่างสงสารกับมันแทน “โหหมอเร็ก หน้าหล่อๆ ของหมอเปื้อนเลือดหมดเลย”
“หึ แค่นี้ยังน้อยไป” ผมหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังถูกปีศาจร้ายยึดครองอยู่ ณิชาหันขวับพลางกะพริบตาปริบๆ อย่างอ้อนวอน ราวกับว่าเธอกำลังพยายามทำให้ผมใจเย็น
“พอน่าพอ ถ้าเฌอลินรู้ว่าแกมาต่อยหมอเร็ก มันต้องโกรธแกมากกว่าเดิมแน่ๆ” เธอปราม
ถ้าผมเป็นนักแสดง ผมคงเป็นนักแสดงที่เก่งมาก ถึงผมจะไม่สนว่าเฌอลินจะโกรธหรือไม่ แต่ผมก็หยุดการกระทำนั้นไว้เพราะไม่อยากให้ณิชารู้ความจริงว่าผมไม่ได้ชอบเฌอลินขนาดนั้น
ผมแค่โกรธเร็กตัส...
บางทีผมควรเรียนรู้การระงับอารมณ์ตัวเอง
“ฉันกับวิเวียนเป็นสายรหัสกัน” ผมทำตัวให้เนียนด้วยการอธิบายเสียงห้วน
อีกฝ่ายเลิกคิ้วแล้วกล่าวเสียงเรียบ “นายไม่จำเป็นต้องมาอธิบายให้ฉันฟัง ฉันไม่ได้อยากรู้”
ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้น เสียงโทรศัพท์ของยัยณิชาดัง ผมตวัดสายตามองอย่างหงุดหงิด ยัยนั่นหัวเราะแห้งๆ แล้วกรอกเสียงไปตามสาย
“ฮัลโหล ว่าไงนะ อ๋อๆ อยู่อาคารผู้ป่วยเก่าชั้น 4 อ่ะแก... อะไรนะ!? ไม่ต้องมาๆ เดี๋ยวจะลงไปแล้ว ขอเคลียร์อะไรนิดนึง... เปล่าๆ ไม่มีอะไรเว้ย แค่มาขอดาต้าทำโปรเจ็คต์อ่ะ... ได้ๆ ไว้เจอกัน” หลังจากนั้นนางก็วางสายก่อนเงยหน้ามามองผมกับไอ้เร็กแล้วกล่าว “โทษทีๆ เคลียร์กันต่อเลย”
“ฉันไม่มีอะไรจะเคลียร์กับแคลคูลัส” เร็กตัสบอกด้วยสีหน้าเอือมระอาสุดขีด
“แต่ฉันมี” ผมยืนยันเสียงแข็ง
“ฉันไม่ว่าง”
“อย่ากวนตีน”
“เฌอลินเป็นคนสำคัญของฉัน หวังว่านายคงเข้าใจ” เร็กตัสตัดบทก่อนหันหลังแล้วสาวเท้าเดินห่างไป ทิ้งให้ผมมองตามอย่างหงุดหงิด
ผมไม่ชอบที่เวลาเร็กตัสกับผมอยู่ด้วยกันท่ามกลางผู้คนเยอะๆ เพราะทุกความสนใจจะตกไปอยู่กับไอ้เร็กหมด แล้วผมก็กลายเป็นหมาโดยปริยาย จริงอยู่ที่ความรู้สึกนี้มันเริ่มหายไปเมื่อผมเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เนื่องจากผมไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอีกฝ่ายเรียนคณะแพทย์ ขณะที่ผมเรียนอินเตอร์ เราสองคนต่างมีเพื่อนเป็นของตัวเอง ซึ่งเด็กอินเตอร์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยสุงสิงกับเด็กปกติเท่าไหร่ แถมพอขึ้นปี 2 เด็กบางคณะเช่นแพทย์ หรือวิทยา ต้องย้ายไปเรียนวิทยาเขตตัวเองในกรุงเทพฯ นั่นยิ่งทำให้โอกาสเจอกันน้อยลง
ความรู้สึกด้านลบที่ผมมีต่อมันจึงค่อยๆ ลดลงบ้าง
แต่ก็กลับมาทุกครั้งเวลาที่เห็นหน้านิ่งๆ กับท่าทางเย็นชาของมันเช่นตอนนี้
“ครั้งนี้ฉันไม่มีทางยอมแกอีกแล้วว่ะ ไอ้หมอ!” ผมตะโกนไล่หลัง คนที่กำลังเดินชะงักกึกก่อนหันมามองช้าๆ ผมเห็นแววตาจริงจังสะท้อนอยู่ใต้แว่น
“ครั้งนี้ฉันก็จะไม่ยอมเสียคนสำคัญเหมือนกัน”
หลังจากนั้นมันก็เดินหายไป...
ผมรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างนั้นจริง
แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวผมเหมือนกับตอนนั้น ตอนที่เฌอลินกับเร็กตัสลงไปแล้วในคืนวันอำลาเฟรชชี่ มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเฌอลินก่อนที่เธอจะย้ายวิทยาเขตมาอยู่พญาไท คืนนั้นผมได้ยินเสียงปีศาจร้ายกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูผม อะไรบางอย่างที่ฟังแล้วเหมือนกับตอนนี้ไม่มีผิด
แกรู้มั้ยเร็กตัส บางทีฉันก็อยากให้แกรับรู้ถึงความรู้สึกของ ‘การสูญเสีย’ บ้างนะ
ถ้านั่นคือสิ่งที่แกรัก ฉันก็อยากจะให้มันมาเป็นของฉัน
ฉันคงเป็นเพื่อนที่เลว แต่ขอเหอะ ขอแค่ครั้งนี้เท่านั้น ครั้งเดียวที่ฉันชนะแก
...แค่ครั้งเดียวก็พอ
.............................................................
ผมยืนหงุดหงิดอยู่หน้าลิฟต์หลังจากที่รู้ว่าเร็กตัสลงไปแล้ว ยัยณิชามีอาการเอ๋อรับประทานเล็กน้อยก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบมายังผม พอยัยนั่นเอื้อมมือจะแตะบ่า ผมก็ตวัดสายตามองเล็กน้อย มือนางเลยค้างอยู่อากาศก่อนกลับไปแนบลำตัวตามเดิม
“เมื่อกี้เฌอลินโทรมาเหรอ?” ผมถามเรียบๆ
ยัยนั่นพยักหน้า “ใช่ เห็นว่าอยู่ที่นี่ น่าจะอยู่ข้างล่างแหละ”
ผมเลิกคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ เห็นได้ชัดว่าเฌอลินมารอไอ้เร็ก แล้วอยู่ๆ ผมก็หัวเสียมากกว่าเดิม ยิ่งคิดใจก็ยิ่งร้อน ถ้ากระโดดลงไปข้างล่างได้คงทำไปแล้ว
“ฉันต้องการเคลียร์กับเฌอลิน เธอรู้ความหมายนี้ดีใช่มั้ย?”
ยัยนั่นกลอกตาเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
“รู้ ถ้านายไม่เจอเฌอลินข้างล่าง ฉันจะนัดให้ทีหลัง แต่อย่าทำอะไรแผลงๆ แบบเมื่อกี้นี้นะ”
ผมกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเงียบเป็นคำตอบ บอกตามตรงว่าตอนนี้หัวร้อนมากจนถึงขั้นขีดสุด ผมไม่ต้องการคุยกับใครทั้งนั้นจนกว่าอารมณ์จะคงที่ ดังนั้นผมจึงเงียบและรอลิฟต์อย่างใจเย็น หวังว่าเฌอลินยังคงอยู่นะ ผมยังไม่อยากให้หมากของผมหายไป
ติ๊ง
ในที่สุดลิฟต์ก็เปิด ผมชะงักเล็กน้อยก่อนหลุดยิ้มเมื่อเห็นเฌอลินยืนอยู่ในนั้น สีหน้าของเธอดูประหลาดใจ ช่างบังเอิญซะจริง... ขอบคุณพระเจ้า
ไม่มีคำทักทายใดๆ ดังขึ้นจากปากเราทั้งสอง เฌอลินเพียงแต่รีบกดปิดลิฟต์อย่างร้อนรน ดูท่าแล้วเธอคงไม่อยากเจอผมในเวลานี้ แหงล่ะ ขนาดเฟซยังบล็อก ผมพอจะรู้ได้ว่าเธอโกรธผมหนักมาก แต่ผมก็คือผม ผมจะไม่ยอมให้เธอหนีหายไปอีกเป็นอันขาด ดังนั้นผมจึงรีบก้าวเข้ามาแล้วกดปุ่มปิดลิฟต์ทันที
และลิฟต์ก็ปิดลงในที่สุด
เธอปรายตามองก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“ซวยชะมัด ถ้ารู้ว่าขึ้นมาแล้วจะเจอนาย ฉันไม่ขึ้นดีกว่า”
ผมยิ้มมุมปากแล้วกอดอกถามเธออย่างอดสงสัยไม่ได้ “เธอมาที่นี่ทำไม มาหาเร็กตัสรึไง”
“ฉันจะมาหาใครมันก็เรื่องของฉัน”
เธอตอบเสียงห้วน ผมจึงยักไหล่และไม่เซ้าซี้ต่อ ขณะที่ในหัวก็คิดว่าควรเริ่มต้นยังไง สคริปท์ที่เคยคิดไว้ในหัวหายวับไปหมดทันทีเธออยู่ข้างๆ หัวใจผมเริ่มสั่น ผมกำลังกังวล หวาดกลัว... ไม่แน่ใจว่ากลัวอะไร อาจจะกลัวว่าเธอไม่ให้อภัยผม หรือกลัวว่าหมากตัวนี้หายไป แล้วผมก็จะ...
อ่า ช่างเถอะ บางทีถ้ามีเวลาอยู่ในลิฟต์มากกว่านี้อาจจะดีก็ได้
ราวกับฟ้าจะรู้ทัน อยู่ๆ ไฟในลิฟต์ดับพรึ่บ! เฌอลินสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่มีอาการตกใจ เธอแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้ เราสองคนยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในลิฟต์ที่ค้าง ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ไม่มีใครสติแตกโวยวายออกมาแม้กระทั่งเธอ ผมได้แต่ยืนมองเธอที่เอื้อมมือกดปุ่มฉุกเฉินเพื่อเรียกคนข้างนอกให้มาช่วย จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา สีหน้าฉายแววหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนรีบเก็บมือถือลงกระเป๋าสะพายสีชมพูของเธอไป เดาว่าไม่มีสัญญาณเครือข่ายแน่นอน
“บ้าชะมัด” เธอบ่นอุบแล้วเสยผมอย่างหัวเสีย ผมรู้ว่าเธอไม่อยากติดแหงกอยู่กับผมในเวลานี้ แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อฟ้าประทานโอกาสมาให้ขนาดนี้ มีหรือที่ผมจะปล่อยให้มันหลุดมือไปง่ายๆ
“ขอบคุณที่ไฟดับ ฉันจะได้เคลียร์กับเธอสักที” ผมเกริ่นจริงจังพลางหันมองเธอที่ทำหน้ามึนตึงใส่ ราวกับว่าผมเป็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตนในที่แห่งนี้ซะอย่างนั้น
อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบกับท่าทางหมางเมินนั้น...
“อย่า” เธอตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่อยากคุยกับนาย”
เจ็บกว่า...
“ให้ตายสิ เธอเคยเป็นคนมีเหตุผลมากกว่านี้นะเฌอลิน” ผมอดตำหนิด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความระอาเจือผิดหวังสุดขีดขึ้นมาไม่ได้
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ นายต่างหากที่รู้จักฉันไม่ดีพอ”
ผมอึ้งเล็กน้อยกับความเย็นชาที่เธอมอบให้ แต่มีหรือว่าผมจะยอม ในเมื่อมีโอกาสง้อแล้วต้องทำให้เต็มที่สิ ผมจะพังกำแพงเธอให้ได้เลย คอยดู เมื่อเป็นดังนั้นผมจึงเขยิบตัวเข้าไปใกล้เฌอลินนิดหน่อย แต่ยังคงเว้นระยะห่างไว้เพราะรู้ดีว่าถ้าขืนเข้าไปใกล้มากกว่านี้จะยิ่งเป็นการจุดชนวนให้เธอหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“ตลอดสองเดือนกว่าที่รู้จักกัน ฉันคิดว่าฉันรู้จักเธอดีพอนะ เฌอลิน” ผมตอบพลางหัวเราะนิดๆ ก่อนเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นนิ่งสงบ เข้าโหมดจริงจังแบบที่ผมก็เชื่อว่าเธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แต่นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของผม
“ฉันจะไม่หยิบไอโฟนออกมาเพื่อโทรตามใครทั้งนั้นจนกว่าเราจะเคลียร์กันรู้เรื่อง”
เธอหันมองขวับพร้อมส่งสายตาขุ่นเคืองให้แล้วบอกเสียงห้วน แถมยังยกมือกอดอกไม่แคร์อีกด้วย มันเป็นท่าทางที่ส่วนลึกในใจกระซิบว่าผมควรลงโทษเธอซะบ้าง
“ไม่ต้องห่วงหรอก นี่มันโรง’บาลรัฐขนาดใหญ่ ไฟดับแบบนี้ใช้เวลาซ่อมไม่นาน”
“ฉันกับวิเวียนเป็นแค่สายรหัสกันเท่านั้น” ผมตัดสินใจเข้าเรื่อง เธอตวัดสายตามองเล็กน้อยแล้วรีบหันกลับไปจ้องประตูลิฟต์เช่นเดิม ทำราวกับว่าไม่อยากรู้อยากเห็น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหน้าด้านพูดต่อไป เอาวะ ไอ้แคล “ฉันไม่มีน้องรหัสเพราะน้องซิ่วไปตั้งแต่เข้าเรียนวันแรก พอมีวิเวียน ฉันก็เลยรู้สึกดีกับการเป็นผู้ให้”
“ใจดีเนอะ ซื้อชาแนลให้หลานรหัสด้วย” เธอพูดเสียงแข็งพลางเบ้ปาก ส่วนผมก็หัวเราะกับท่าทางและคำพูดนั้น อันที่จริงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็พอจะรู้ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ชอบคิดเองเออเอง แต่ไม่คิดว่าจะคิดเองเออเองระดับสิบแบบนี้
“ที่เห็นในรูปน่ะของเธอ แต่ที่อยู่ในมือวิเวียนน่ะของที่นางฝากซื้อ”
คำอธิบายของผมทำให้เธอกระพริบตาปริบๆ ราวกับกำลังดึงสติก่อนชำเลืองมองผม ตอนนี้สายตาผมเริ่มคุ้นชินกับที่มืดแล้ว ผมจึงเห็นหน้าเหวอๆ ที่น่ารักนั้น นั่นทำให้ผมเผลอส่งรอยยิ้มละมุนให้ไม่ได้
“เอามาให้ทำไม ไม่เอา”
“ก็อยากให้อ่ะ เห็นเธอใส่แต่รองเท้าคู่นี้” บอกพลางปรายตามองรองเท้าคัทชูสีดำที่เธอสวมอยู่แล้วขยับยิ้มนิดๆ ผมซื้อรองเท้าคู่หนึ่งให้เธอและตั้งใจจะให้เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว แต่เธอดันเทผมซะก่อน เฮ้อ แถมยังถูกเข้าใจผิดอีกต่างหาก
“ก็นี่มันคู่โปรด” เธองึมงำพลางถูจมูกเล็กน้อย ดูยังไงก็น่ารักชะมัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเร็กตัสมันถึงได้ทะนุถนอมเฌอลินขนาดนี้
“เวลาเธอเขิน เธอชอบทำท่าแบบนี้” ผมล้อเลียนพลางทำท่าถูจมูกเลียนแบบ ยัยนั่นเบิกตาตกใจก่อนทำหน้ายู่ที่ดูยังไงผมก็ลงความเห็นว่าน่าเอ็นดูชะมัด
“ไม่จริงสักหน่อย”
“ฮะๆๆ แต่มันเหมาะกับเธอมากนะ เชื่อสิว่าเธอต้องชอบ” ผมพูดพลางขยิบตาข้างขวาและยกแขนสองข้างประสานไว้ที่ท้ายทอย ไม่ลืมที่จะเสริมต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ตอนเห็นหน้าเธอครั้งแรกก็รู้เลยว่าแบรนด์ชาแนลเหมาะกับเธอ”
เธอนิ่ง ท่าทางดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย บางทีเธออาจจะหายโกรธแล้วก็ได้
“เท่าไรเนี่ย”
“สามหมื่น” ผมตอบเสียงเรียบราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติจริงๆ ผมสามารถจ่ายเงินสามหมื่นได้สบายๆ เหมือนกับซื้อเครปญี่ปุ่นหน้าโรงเรียน ขณะที่หน้ายัยนั่นเริ่มซีดเผือดก่อนจะบ่นเสียงสูง ท่าทางเหมือนคนไม่ชินกับวิธีการใช้เงินของผม
“โอ๊ยย ตั้งสามหมื่น เอาเงินมาให้ฉันยังมีประโยชน์ซะกว่า”
“ฮ่าๆๆ ถ้าอยากได้เงินเสาร์นี้มาสอนฉันสิ” ผมส่งยิ้มล้อเลียน ส่วนเธอก็เลิกคิ้วแล้วตอบกลับ
“นึกว่านายแก้เอฟแล้วซะอีก”
“วิชาแคลอ่ะแก้พุธนี้ ส่วน ODE นี่ต้องเรียนใหม่” ผมสารภาพแบบชิวๆ แถมยังยักไหล่ด้วย นาทีนี้อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมใกล้ชิดยัยนี่คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด
“แหงละ ก็เล่นไปปารีสยาวซะขนาดนั้น”
“มาสอนฉันเถอะนะเฌอลิน ไม่มีเธอฉันคงแย่ เฮ้อ”
“โนเวย์”
“เอาน่ะ ตั้งสองพันเลยนะ”
เฌอลินนิ่งสักพัก ขณะที่ผมลอบมองเธอ ผมรู้ว่าเธอยังอยากมาสอนผมเพราะค่าจ้างที่แพงหูฉี่ ราคาเกินเรทมาตรฐานติวเตอร์ทั่วไปนี่แหละ ชั่วโมงละพันมีที่ไหนในประเทศกรุงเทพบ้างล่ะ
“ก็ได้”
ในที่สุดเฌอลินก็ตอบตกลง ผมกลั้นยิ้มแล้วหันมองเธอ ในดวงตาผมมีรอยขันเล็กๆ ซ่อนอยู่ นั่นทำให้เธอหลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อยก่อนพึมพำ
“เมื่อไหร่ไฟจะติดนะ”
แล้วเธอก็เริ่มทำหน้ายู่อีกครั้ง ซึ่งผมลงความเห็นว่านั่นเป็นท่าทางที่โคตรน่ารักน่าแกล้งเลย
“ไม่รู้สิ เธอกลัวหรอ” ผมถามพลางเอียงคอลงนิดๆ
“นิดนึง ฉันแค่ไม่ชอบอะไรแบบนี้” เธอหันมาบอกแล้วรีบหันขวับกลับไป ราวกับว่าเธอกลัวการสบตากับผม เรียกให้ผมเผลอกระตุกยิ้มมุมปาก
“กลัวฉัน?”
“นายไม่มีอะไรที่ฉันต้องกลัว” เธอตอบเสียงแข็ง ส่วนผมหัวเราะหึๆ แล้วแกล้งขยับตัวเข้าไปใกล้
“แน่ใจ?” ผมกระเซ้าพลางหันมาประจันหน้าคนตัวเล็ก ความรู้สึกอยากแกล้งผุดขึ้นมาในหัว ดังนั้นผมจึงกระเถิบตัวเข้าไปใกล้จนเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลชัดเจน ดวงตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะรีบถอยหลังไปอยู่มุมลิฟต์
“อย่ามาใกล้ฉัน” เธอสั่งเสียงเฉียบเพื่อหวังให้ผมกลัว แต่นั่นไม่ช่วยอะไรเลย ตรงกันข้าม ผมกลับยกแขนดันผนังลิฟต์เพื่อกักขัง ขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สบมองเธอด้วยแววตาซุกซน ขณะที่ดวงตาของเธอนั้นกลับฉายแววหวาดระแวง
เอาล่ะ ได้เวลาวางหมากแล้ว
“ทำไม?” ผมถามเสียงเข้ม
“ถอยไป ฉันหายใจไม่ออก” เธอตอบพลางขึงตาใส่ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อ
“งั้นเหรอ... ” ผมพึมพำอย่างคนไม่เชื่อพลางเอียงคอลงเล็กน้อยแล้วขยับรอยยิ้มนิดๆ
“ใช่ อากาศในลิฟต์มีปริมาตรจำกัด ซึ่งตอนนี้นายกำลังแย่งออกซิเจนฉันอยู่ เพราะงั้นถอยไปอยู่มุมนั้นซะ” เสียงของเธอสั่นมาก มือไม้เองก็ด้วย เฌอลินอาจกำลังกลัวผม ไม่สิ เห็นได้ชัดว่าเฌอลินกำลังกลัว กลัวว่าผมจะทำในสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง
แล้วไม่ต้องให้เฌอลินรอนาน ผมก็หัวเราะเสียงทุ้มก่อนทำให้เธอตะลึงด้วยการดึงตัวเธอเข้ามาใกล้
“เงยหน้าขึ้นสิ เขาบอกว่าวิธีนี้ช่วยได้”
ผมบอกโดยไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตาม แต่เธอกลับทำ ดวงตาสีเทาของเธอที่มองมามีร่องรอยบางอย่างซ่อนอยู่ มันดูคาดคั้นแต่ก็เว้าวอนแบบที่ผมไม่เคยเห็น อีกทั้งริมฝีปากยังเผยอขึ้นเล็กน้อยจนทำให้ผมอดที่จะยกมือขึ้นสัมผัสไม่ได้ เธอสะดุ้ง ส่วนผมขยับยิ้ม
เอาล่ะ ได้เวลาเดินเกมแล้ว
จากนั้นผมก็โน้มหน้าลงมาจูบเธออย่างรวดเร็ว
“…”
เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนกะพริบตาปริบๆ
อืม... ดูจากความไม่ประสีประสาแล้ว เห็นได้ชัดว่าผมเป็นจูบแรกของเฌอลิน
“!!”
ยัยนั่นเอาแต่กลั้นหายใจจนผมชักกังวลว่าเธออาจจะตายเพราะขาดอากาศ ดังนั้นผมจึงถอนจูบออกมาทั้งที่ไม่อยากจะละไปจากริมฝีปากของเธอเลย เฌอลินหอบหายใจหนักหน่วงเพื่อกอบโกยอากาศ นั่นเป็นท่าทางชวนเอ็นดูไม่น้อย
“...กลั้นหายใจทำไม เดี๋ยวก็ตายพอดี นี่อุตส่าห์แบ่งอากาศให้แล้วนะ”
ผมดุเสียงเบาแล้วมองเธออย่างจริงจัง ใบหน้านั้นขึ้นสีระเรื่อน่ารัก ขณะที่หัวใจผมเต้นแรง ไม่ค่อยแน่ใจความรู้สึกตัวเองสักเท่าไหร่ ทั้งที่ตอนแรกก็มั่นใจว่าทำแบบนี้เพื่อเอาชนะเร็กตัส แต่ว่า...
“นายกำลังจะฆ่าฉันมากกว่า”
เธอว่าหงุงหงิงแล้วตั้งท่าจะผลักผมออกไป แต่พอเห็นท่าทางรั้นนั้นแล้วผมก็นึกอยากจะเอาชนะอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้อยากชนะเร็กตัส แต่อยากเอาชนะเธอ ผมอยากรู้ว่าที่จริงแล้วเฌอลินรู้สึกยังไงกับผม ดังนั้นผมจึงตวัดมือข้างที่ดันผนังลิฟต์มาโอบเอว ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นจับใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา
เมื่อกี้แค่หยั่งเชิง แต่รอบนี้ผมเอาจริง
“ใครว่าล่ะ”
ทันทีที่พูดจบผมก็โน้มหน้าลงจูบเธออีกครั้งโดยไม่ให้ตั้งตัว เฌอลินดิ้นอยู่สักพักก่อนเริ่มโอนอ่อนเมื่อผมเปลี่ยนความนุ่มนวลให้กลายเป็นความร้อนแรง เธอหลับตา หยุดนิ่งและยกมือสัมผัสท้ายทอยของผมอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนจากฝ่ามือนั้น รวมทั้งความอ่อนนุ่มและความหวานล้ำจากริมฝีปากที่ผมกำลังรุกล้ำ
เธอนุ่นนวลจนจิตใต้สำนึกของผมบอกว่าผมไม่ควรทำร้ายเธอไปมากว่านี้
แต่แล้วทันใดนั้นเฌอลินก็รีบผละออกราวกับเธอได้สติ “พะ.. พอได้แล้ว!”
สติผมหลุดออกจากความเคลิบเคลิ้มนั้นก่อนที่ผมจะลืมตา มองเห็นดวงหน้าน่ารักที่แดงซ่าน ผมขยับยิ้มอ่อนโยนแล้วลูบใบหน้าเธอ อยากบอกเหลือเกินว่า ‘ผมชอบจูบของเธอมาก’ มันไม่เหมือนกับจูบของผู้หญิงคนไหน แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บเงียบไปแล้วเปลี่ยนเป็นคำพูดยียวนตามสไตล์แทน
“จูบเมื่อกี้ดีกว่าตอนแรกนะ” ผมยิ้มซุกซน ขณะที่เธอแดงไปทั้งตัวแล้ว “แต่แรกๆ ก็งี้แหละ เงอะๆ งะๆ ถ้าเธอจูบบ่อยๆ จะเก่งเอง”
ผมยังคงมองเธอด้วยแววตาลึกล้ำ เฌอลินหน้าร้อนผ่าวและหายใจแรงมากราวกับเพิ่งปีนไปถึงยอดเขา พนันได้ว่าตอนนี้หัวใจของเธอคงเต้นแรงไม่ต่างจากผม
“ออกไป” เธอตัดบทเสียงกระด้าง เดาว่ากลบความอาย ส่วนผมก็พยักหน้าและหัวเราะนิดๆ ก่อนจะยอมถอยห่างออกไปง่ายดาย
“ครับๆ”
จากนั้นเราสองคนก็เงียบลง ผมชำเลืองมองเธอที่ยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก แล้วตอนนั้นเองหัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ผมรู้สึกอยากจูบเธออีกแล้วสิ เธอเหมือนสารเสพติดบางอย่างที่พอได้คุยก็ยิ่งชอบ พอได้สัมผัสก็ยิ่งติดใจ สงสัยเหลือเกินว่าไอ้เร็กมันอดทนได้ยังไงตอนอยู่กับเฌอลิน
ถ้าผมเป็นไอ้เร็ก ผมคงไม่ปล่อยเธอมานานขนาดนี้...
“จูบฉันแล้วก็อย่าไปจูบคนอื่นอีกนะ” ผมพูดขึ้นมาเมื่อนึกถึงหน้าไอ้เร็ก
“ทุเรศ” เธอด่าเสียงดัง ผมยิ้มอย่างน้อมรับในคำด่านั้น ก็ผมไปล่วงเกินเธอจริงๆ ด่าแค่ทุเรศคงน้อยไปสำหรับเฌอลิน
“เราคบกันแล้ว ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอไปจูบใคร” มัดมือชกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มปรี๊ดแตกสมกับเป็นเธอ
“คบกับผีน่ะสิ คิดเองเออเอง ประสาท!”
“ถ้าผีสวยขนาดนี้ก็ยอม” ผมบอกพลางลอบมองเธอที่ตีหน้าเคร่งขรึม อืม... นั่นต้องใช้ความพยายามขนาดไหนนะในการทำหน้าแบบนี้หลังถูกขโมยจูบ?
“ยังไม่คบ เป็นแค่เพื่อน” เธอบอกเสียงห้วน
“เพื่อนกันเขาไม่จูบกันหรอกนะ” ผมกระตุกยิ้ม ถ้าเร็กตัสรู้ว่าเฌอลินถูกผมขโมยจูบแรกจะเป็นยังไงนะ หมอนั่นอาจจะคลั่งแน่ๆ แต่ผมไม่เคยเห็นมันโกรธจัดเหมือนกันแฮะ “อย่าเถียงว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับฉัน เพราะถ้าเธอไม่รู้สึก เธอจะไม่ยอมปล่อยให้ฉันจูบเธอแบบนี้แน่ๆ”
“เลิกพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นได้แล้ว” ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอขณะที่มองคนตัวเล็ก “อย่าให้รู้นะว่านายกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นแค่สายรหัสกันเฉยๆ”
“รับประกันได้ว่าเป็นแค่สายรหัส เห็นแบบนี้แล้วฉันจีบใครจีบคนเดียวนะ ไม่คุยซ้อนหรอก” ผมสารภาพ ถึงผมจะดูแบดบอย แต่ผมก็ไม่เลวขนาดจีบผู้หญิงซ้อนทีละหลายๆ คนหรอกนะ ขี้เกียจจะสับราง เหนื่อย
“นี่นายหลอกด่าฉันเหรอ?” เธอหันขวับ ดวงตาแข็งกร้าวเริ่มอ่อนลงเมื่อผมจ้องเธออย่างล้ำลึก
“เธอเป็นแบบนั้นมั้ยละ” ผมถามยิ้มๆ
“เป็น ฉันไม่ได้กับคุยแค่นายคนเดียว ฉันเป็นพวกชอบคุยหลายๆ คน แล้วก็อาจจะชอบใครหลายๆ คนด้วย” ผมนิ่งกับคำอธิบายนั้น นั่นสิ ผมพอจะรู้อยู่ว่าเฌอลินคุยหลายคน แม้พักหลังเธอจะเทไปบ้างแล้ว (ผมรู้ได้จากระยะเวลาการตอบแชทของเธอที่เป็นนาทีต่อนาทีเลย มันเร็วกว่าแต่ก่อนมาก) “สำหรับฉันนะ ต้องแยกให้ออกก่อนว่าชอบกับชอบมากขนาดอยากได้เป็นแฟนเนี่ยเป็นยังไง ชอบก็คือชอบอ่ะ ชอบเพราะคุยสนุก ชอบเพราะดูแลเราดี แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอยากได้คนนี้เป็นแฟนเสมอไป”
คำอธิบายของเธอทำให้ผมเริ่มกังวลแล้วว่าตอนนี้เธอรู้สึกยังไงกับผมกันแน่
ถ้าเธอไม่ชอบผมล่ะ?
ผมนิ่งอย่างใช้ความคิดสักพัก ก่อนจะยอมรับความจริงว่าผมไม่ควรสนใจเรื่องนี้เพราะผมมองเฌอลินเป็นแค่หมากในเกมที่ผมสร้างไว้
“แต่ฉันสามารถทำให้เธอชอบฉันขนาดที่ว่า ‘อยากได้เป็นแฟน’ ได้นะ” ผมพูดและยิ้ม สบตาเฌอลินอย่างจริงจัง หัวใจกระตุกเล็กน้อย รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกเหวี่ยงขึ้นที่สูง
“ฉันจะรอดู”
เธอบอกเสียงขรึม ส่วนผมก็ขำ จากนั้นเธอก็เริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะของเธอน่ารักและทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ ผมถือวิสาสะคว้ามือของเธอมากุมไว้ มันนุ่มนิ่มบอกให้รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างดี เฌอลินหันมามองผมนิดหน่อยก่อนขยับยิ้มเอียงอาย นี่เธอจะรู้มั้ยนะว่าเธอน่ารักเป็นบ้าเวลาทำตัวแบบนี้
มันทำให้ผมลืมเรื่องที่ว่า... ผมเข้ามาจีบเฌอลินก็เพื่อจะแกล้งเร็กตัส แค่อยากคบกับเธอสักพักแล้วค่อยเท
ไม่นานนักไฟก็ติด เฌอลินหัวเราะอีกครั้ง ผมกระชับมือเธอแน่นขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่หนีหายไปไหนอีก จนกระทั่งลิฟต์เปิดออก ผมเห็นเร็กตัสยืนอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ก่อนที่มันจะปรี่มาคว้าแขนเฌอลินไว้ ผมเหลือบมองมือที่สั่นเทิ้มของหมอนั่นแล้วเลื่อนขึ้นไปมองดวงตาที่ฉายแววปวดร้าวของมัน
จากนั้นผมก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะผสมกับความรู้สึกสะใจ
“เป็นห่วงแทบแย่ ณิชาโทรมาบอกว่าเธอติดอยู่ในลิฟต์” เร็กตัสข่มกลั้นความรู้สึกแล้วพยายามดึงตัวเฌอลินออกไป แต่ผมกลับกุมมือเธอไว้แน่นจนหญิงสาวต้องหันมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ปล่อย
“ปล่อยได้แล้ว” เธอบอก ขณะที่ผมมองอย่างลังเลชั่วครู่ก่อนก้มลงกระซิบข้างใบหูเสียงนุ่ม
“เจอกันวันเสาร์นี้นะครับที่รัก”
จากนั้นจึงยอมปล่อยเฌอลินให้เป็นอิสระ เธอหัวเราะนิดๆ แล้วพึมพำว่า ค่ะ ก่อนหมอนั่นจะรีบคว้ามือเธอแล้วพาเดินออกไป ทิ้งไว้แต่ไอเย็นๆ ของน้ำแข็งที่ดูเหมือนตอนนี้จะร้อนฉ่า ส่วนผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นราวกับเป็นผู้ชนะ เอาวะ อาจจะยังไม่ชนะไอ้เร็กตอนนี้ แต่ก็อีกไม่นานเท่านั้น...
“เรียบร้อยนะ” ณิชาถามเสียงหอบทันทีที่วิ่งลงมาจากบันไดเลื่อนและหยุดตรงหน้าผมแล้ว “บอกตามตรงว่าเมื่อกี้ใจหายแทบแย่ ฉันเกือบถูกยามจับได้แน่ะ!”
“ยิ่งกว่าเรียบร้อย” ผมขยิบตา “ขอบคุณมากนะณิชา ฉันติดหนี้เธออีกแล้ว”
แล้วผมก็เดินจากไป พอดีกับที่ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ผมรู้สึกว่าตอนนี้มีอะไรบางอย่างในตัวผมที่กำลังเปลี่ยนไป ตลอดเวลาผมมั่นใจเหลือเกินว่าผมแค่อยากเอาชนะเร็กตัส ไม่ได้รู้สึกกับเฌอลินมากไปกว่าแค่มองเธอเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมเท่านั้น
แต่พอเผลอตัวไปจูบยัยนั่น...
ผมก็ชักไม่มั่นใจในตัวเองซะแล้วสิ
ลานจอดรถโรงพยาบาล
เร็ก เร็กตัส
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการแอบรักเพื่อนสนิทไม่ใช่การบอกความรู้สึกตรงๆ ไม่ได้ แต่เป็นการที่รู้ว่าเธอคนนั้นเริ่มตกหลุมรักใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง เชื่อเถอะว่าคุณไม่มีทางหลีกเลี่ยงอารมณ์และความรู้สึกของเธอได้ รวมทั้งตัวคุณด้วย
“หน้าไปโดนไรมา?” ทันทีที่เราสองคนนั่งอยู่ในรถแล้ว เฌอลินก็เป็นฝ่ายชิงเปิดบทสนทนาก่อน แถมยังทำท่าประกอบด้วยการชี้ไปยังโหนกแก้มของตัวเองด้วย
ผมนิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ “อ๋อ ลื่นล้ม”
“แล้วเอาหน้าไถลเนี่ยนะ” เธอเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ
“อือ” ผมโกหก ถึงผมจะหงุดหงิดกับความใจร้อนของแคลคูลัส แต่ผมก็ไม่อยากให้เฌอลินรู้สึกแย่กับเพื่อนผมสักเท่าไหร่ เขาไม่ใช่คนเลว แต่แค่เป็นคนใจร้อนจนดูเหมือนทำอะไรไม่คิดก็เท่านั้น
“ระวังตัวบ้างดิ ซุ่มซ่ามจังนะนาย” เธอบอกอย่างเป็นห่วง
“อือ”
“หาหมอแล้วใช่มะ?”
“ยัง แค่ลื่นล้มเฉยๆ ไม่ตายหรอก” ผมบอก แล้วพอเฌอลินอ้าปากจะพูด ผมก็ชิงเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาซะก่อน “หายโกรธแคลแล้วใช่มั้ย?”
เฌอลินพยักหน้าแล้วมองผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายแวววับเหมือนเด็กเพิ่งได้รับของเล่นถูกใจ
“นี่รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันในลิฟต์” เธอถามอย่างตื่นเต้น
ผมยักไหล่แล้วตอบมั่วๆ “ไม่รู้สิ จูบกันมั้ง”
“เฮ้ย!!” เฌอลินร้องเสียงหลงพลางสะดุ้งโหยง “นี่นายไม่ใช่แค่หมอธรรมดา แต่ยังเป็นหมอดูด้วย!!”
คำพูดของเธอทำให้ผมชะงักและหน้าชา ก่อนจะถามซ้ำด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ถ้าฟังให้ดีจะพบว่ามันแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “นี่เธอ... เธอจูบแคลงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ หมอนั่นจูบฉันต่างหาก” เฌอลินปฏิเสธพลางหัวเราะคิกคัก เล่นเอาผมอึ้งสักพักก่อนหันมาดุเสียงดัง
“เฌอลิน!”
มันไม่ใช่เรื่องน่าตลกเลยนะ – ผมเสริมต่อในใจเพราะรู้ว่าพูดออกไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี
“อย่าบอกแม่นะ” เธอพึมพำเสียงแผ่วพลางถูจมูกตัวเองไปมา “ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันแบบว่า เอ่อ... รวดเร็วมาก อยู่ๆ หมอนั่นก็ดึงฉันมาใกล้ๆ แล้วก้มลงจูบ พระเจ้า ท้องไส้ฉันปั่นป่วนไปหมด แล้วรู้อะไรมั้ย หลังจากนั้นเขาเรียกฉันว่าที่รักด้วยแหละ บ้าจริง ไม่เคยมีใครเรียกฉันแบบนี้มาก่อนเลย”
ผมได้ยินเสียงเธอหายใจหอบเล็กน้อยราวกับยังคงติดอยู่ในภวังค์นั้น ขณะที่หัวใจผมกระตุกวูบ เริ่มรู้สึกเคืองแคลคูลัสขึ้นมานิดๆ แต่ก็ยังแสร้งตีหน้าขรึมและส่งสายตาดุๆ ไปปราม ซึ่งนั่นทำให้คนพูดหน้าจ๋อยลง
“ไม่เอาน่า... อย่าทำหน้าแบบนี้สิเร็ก”
“เฌอลิน เธอคงไม่ได้จริงจังกับแคลใช่มั้ย?” ผมถามเสียงเข้ม พยายามระงับอารมณ์ขุ่นในใจ
“ฉัน... ” เธอกลอกตาเล็กน้อยก่อนก้มลงมองมือที่กุมไว้ของตัวเองบนตักแล้วพูดเสียงเบา “ไม่รู้สิเร็ก ฉันตอบไม่ถูกเหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำให้ผมฉุนนิดๆ ก้อนแข็งผุดขึ้นมาตรงลำคอ ผมพยายามกลืนมันลงไปแต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นผมจึงเงียบและหลับตา เฌอลินเองก็เงียบ เราสองคนต่างพากันเงียบอยู่ในรถเก๋งสีเงิน มีเพียงแค่เสียงเครื่องยนต์และแอร์
ในที่สุดเฌอลินก็เอ่ยขึ้น “นี่ พอมาคิดดูอีกทีฉันว่าฉันก็ไม่ควรปล่อยให้นายแคลคูลัสมาจูบเฉยๆ นั่นแหละ ฉันน่าจะร้องโวยวายสักหน่อย แต่ว่า... ”
ผมลืมตาและตัดบทเธอกลางประโยค เธอยังคงมองผม ดวงตาใสแป๋วเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดไม่ต่างจากตาของผม “อือ ฉันเข้าใจ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้าเธอรู้สึกผิดนักก็เก็บเอาไว้เป็นบทเรียนว่าจะไม่มีครั้งสองอีก”
เฌอลินพยักหน้ารับรู้ก่อนเบนหน้าไปยังหน้าต่างข้างรถ ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเราอีกครั้ง คราวนี้ผมจึงจับพวงมาลัยแล้วเหยียบคันเร่ง รถเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดรถของโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วพอๆ กับพายุในใจผมที่กำลังโหมกระหน่ำ
ผมบอกแล้วไงล่ะว่าคุณไม่มีทางหลีกเลี่ยงอารมณ์ตัวเองได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม
16.45 ชมรมคณิตกร
เฌอลิน เฌอลิยา
ในช่วงเย็นวันศุกร์แบบนี้แล้ว ฉันกับยัยณิชายังคงสิงอยู่ในห้องคณิตกรเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเราสองคนไม่ได้ทำโปรเจ็คต์จบเช่นเคย ยัยนั่นก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนิดนึง ส่วนฉันก็นั่งเท้าคางพลางยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในลิฟต์เมื่อวันจันทร์ บอกตามตรงว่าหลังจากวันนั้น ฉันถึงขั้นเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะเลยล่ะ น่าอายชะมัด
“เงยหน้าขึ้นสิ เขาบอกว่าวิธีนี้ช่วยได้”
ฉันเงยหน้าตามเขาบอก ไม่ได้เป็นเพราะอยากรู้ว่าวิธีไหน แต่เป็นเพราะฉันกำลังอ้าปากด่าว่า ‘ไร้สาระ’ ต่างหาก ทว่านายแคลคูลัสกลับเลื่อนมือมาสัมผัสริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบาจนทำให้ฉันอดสะดุ้งไม่ได้ เกิดความรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง ก่อนที่คำด่าของฉันจะถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากนุ่มของเขาอย่างรวดเร็ว
“…”
แบบนี้มันคือ... ‘จูบ’ ไม่ใช่รึ!?
“!!”
ข้อสรุปที่ทำให้ฉันเบิกตากว้างก่อนกระพริบตาปริบๆ เพื่อดึงสติ แต่ดูเหมือนสติจะไม่เป็นใจตามมาด้วย เพราะในหัวฉันตอนนี้มันมึนตื้อไปหมด ตัวของฉันแข็งทื่อ มือไม้ไร้เรี่ยวแรง ตรงข้ามกับหัวใจที่เต้นแรงราวกับกลองรบ
บ้าชะมัด... ทำไมจูบแรกต้องเกิดในลิฟต์ด้วยนะ
ทำไมไม่เกิดในที่ๆ โรแมนติกกว่านี้
“...กลั้นหายใจทำไม เดี๋ยวก็ตายพอดี นี่อุตส่าห์แบ่งอากาศให้แล้วนะ” เขากระซิบแผ่วเบาหลังจากถอนจูบแล้ว แต่ริมฝีปากกลับยังอ้อยอิ่งอยู่เหนือริมฝีปากของฉันไม่เลิก แถมดวงตาที่มองมายังเป็นประกายระยิบจนฉันหน้าร้อนผ่าว ราวกับว่าเขาพร้อมจะกลืนกินฉันอย่างไรอย่างนั้น
“นายกำลังจะฆ่าฉันมากกว่า” ฉันพึมพำแล้วตั้งท่าจะผลักอีกฝ่ายออกไป แต่เขากลับยิ้มละมุนก่อนตวัดมือข้างที่ดันกำแพงมาโอบเอว ส่วนมือข้างที่ว่างก็ยกขึ้นมาจับหน้าฉันแผ่วเบา ตอนนี้ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่มีกลิ่นหอมประหลาด... มันคือกลิ่นน้ำหอมที่ฉันเคยบ่นว่าเกลียด
“ใครว่าล่ะ”
จากนั้นเขาจึงจรดริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของฉันอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก คราวนี้มันไม่ได้นุ่มนวลเหมือนครั้งแรก ตรงกันข้าม มันกลับเร่าร้อน ลึกล้ำ และพร้อมจะแผดเผาฉันให้แหลกสลายกลายเป็นจุล หูของฉันเริ่มอื้ออึง หัวของฉันเริ่มมึนตื้อ คิดอะไรไม่ออกนอกจากหลับตาและยกมือสัมผัสเส้นผมนุ่มใต้ปลายนิ้ว หายใจรับเอากลิ่นกายของเขา แบ่งปันลมหายใจซึ่งกันและกัน และเมื่อฉันจูบเขาตอบ ทุกสิ่งก็เลือนหายไป มีเพียงแค่ฉันกับเขาในลิฟต์โรงพยาบาลที่ค้าง
แล้วสติฉันก็กลับมาเพราะเสียงแชทเฟซที่ดัง ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดูและพบว่าเป็นข้อความจากนายแคลคูลัส ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นรัวทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้น ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะรายงานตัวกับฉันสม่ำเสมอนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น
Cal Calculus : วันนี้กลับบ้านดึกนะ อย่าเป็นห่วง ;)
หน้าฉันร้อนผ่าว หัวใจฉันเต้นแรง คาดว่าเป็นเพราะมัวแต่นึกถึงจูบแรกอยู่ แล้วยิ่งคนขโมยจูบทักมา ฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก
Sherlyn Sherliya : ไปไหน
Cal Calculus : มีนัดครับผม
ฉันขมวดคิ้วก่อนพิมพ์ตอบอย่างรวดเร็ว
Sherlyn Sherliya : หวังว่าคงไม่ใช่วิเวียนอะไรนั่นหรอกนะ
Cal Calculus : ก็แย่ละ
“เยี่ยม ให้มันได้อย่างนี้สิ ผู้ชายอะไร” ณิชาบ่นเสียงดัง ฉันจึงเลิกสนใจนายแคลคูลัสแล้วหันไปมองเพื่อนฉันแทน
“มีไรเปล่า?” ฉันถามอย่างสงสัย ยัยนั่นสั่นหน้ามุ่ยๆ เป็นคำตอบ
“เปล่า”
“นี่ วันนี้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเถอะ” ฉันชวน ขณะที่ณิชาละสายตาขึ้นมามองฉันด้วยสีหน้าประหลาด ราวกับฉันเพิ่งจะพูดไปว่า ‘1+1 = 3 นะรู้มั้ย’ อะไรประมาณนี้ ก่อนจะกะพริบตาอยู่สามครั้งแล้วตอบด้วยประโยคที่ทำให้ฉันถึงกับเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“เอ่อ โทษที วันนี้ฉันมีนัดแล้ว”
“อ้าว นัดกับใครอ่ะ?”
“หนุ่มนอกคณะสักคนสองคน” เธอยักไหล่แล้วหัวเราะ เสยผมบ๊อบที่ปรกหน้าเล็กน้อยให้ออกไป “วันนี้ต้องเป็นวันดีแน่นอน ฉันมั่นใจ”
“ใช่เลยเพื่อน วันดีของแก” ฉันยิ้มพลางยกมือสองข้างขึ้นหยิกแก้มนุ่มนิ่มของนางอย่างหมั่นเขี้ยว “มีเดทก็ไม่บอก มิน่าล่ะ ถึงได้น่ารักขนาดนี้”
“ฮ่าๆๆ เดทที่ไหนล่ะ เพื่อนนัดต่างหาก” ณิชารีบแก้ ขณะที่ฉันขยับยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างคนไม่เชื่อ “เชื่อฉันเถอะน่า ยังไงไว้วันหลังค่อยไปกินข้าวด้วยกัน”
แล้วณิชาก็คว้ากระเป๋า มือจับลูกบิดเตรียมเปิดประตูเดินออกไป
“โชคดีกับหนุ่มของแกนะ” ฉันขยิบตาและโบกมือบ๊ายบาย ณิชาหันมาส่ายหัวนิดๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป
17.00 น.
ฉันใช้เวลาในการรอเร็กตัสมารับด้วยการนั่งไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊ค แล้วอยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าควรส่องเฟซยัยวงเวียนอะไรนั่นด้วย ดังนั้นฉันจึงเข้าเฟซนายแคลคูลัส เลื่อนไทม์ไลน์ลงไปแต่ไม่ลึกเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนแม่นั่นจะชอบมาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ของเขาซะ ทุกโพสต์
ช่างเป็นสายรหัสที่ดีอะไรอย่างนี้!!!
แต่คงไม่มีโพสต์ไหนที่สะดุดตามากกว่าโพสต์นี้อีกแล้ว มันคือโพสต์ที่ทำให้ฉันเทความคิดส่องเฟซยัยวงเวียนทันที เยี่ยมไปเลย
Cal Calculus
1 August 2016 Bangkok
‘มันจะมีบ้างมั้ยวะ ผู้หญิงที่ไม่งี่เง่าอ่ะ’
257 Likes 13 comments
ฉันเลื่อนดูคอมเมนต์ ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับฉันเท่ากับคอมเมนต์ของแม่สาวหลานรหัสพราวเสน่ห์ของนายแคลคูลัสอีกแล้ว
Vivien Vivieniie ‘วิเวียนไงคะ สวย ใจดี เอาใจเก่ง ไม่งี่เง่า แถมยังโสด JJJ’
อ่านจบปุ๊บ เบ้ปากมองบนปั๊บก่อนรีบกดออกจากแอพเฟซบุ๊คทันที ไงล่ะ กะไว้แล้วว่ายัยวิเวียนต้องคิดกับอีตาแคลคูลัสมากกว่าพี่รหัส แต่ก็น่าสงสารนางเหมือนกันนะ อ่อยยังไงก็เป็นได้แค่สายรหัส ไม่มีสิทธิ์เป็นมากกว่านั้น วะฮะฮ่า ฉันนี่มันร้ายจริงๆ ไม่สมควรเป็นนางเอกเลย
แต่ยังไงซะ ถ้าอีตาแคลยืนยันกับฉันว่าเขาไม่ได้รู้สึกกับยัยวงเวียนมากกว่าหลานรหัส ฉันก็ควรจะเชื่อเขา ถูกมั้ย? ฉันว่าความเชื่อใจเป็นพื้นฐานที่ดีของทุกความสัมพันธ์นะ
“เฌอลิน” เสียงเรียกทุ้มต่ำดัง ฉันเงยหน้าขึ้นไปและพบว่าเร็กตัสเข้ามาในห้องคณิตกรตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะออกจากวอร์ดเร็วกว่าที่คิดไว้ สีหน้าของเขาดูอิดโรยเล็กน้อย ท่าทางคงหนีไม่พ้นการรับมือกับคนไข้ระดับสิบมา
“อ้าว เร็กตัส” ฉันร้องทักแล้วเก็บมือถือลงกระเป๋าสะพายสีน้ำเงินของตน “วันนี้แม่ไม่ได้ทำกับข้าวไว้อ่ะ”
คนฟังเลิกคิ้วแล้วยิ้มนิดๆ ยกมือขึ้นเท้าสะเอวหนึ่งข้าง “จะชวนฉันกินข้าวว่างั้น?”
“อื้อฮึ ไปกินข้าวเย็นกัน” ฉันพยักหน้าจริงจังแล้วลุกยืนขึ้น
“ที่ไหนล่ะ?” เร็กตัสถามพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่วนฉันก็เงียบอยู่ชั่วขณะ ในหัวตื้อไปหมดอีกแล้ว
“ไม่รู้สิ นายมีที่แนะนำมั้ย?” ฉันเอียงคอลง ขณะที่คนถูกถามหัวเราะเบาๆ ก่อนเสนอ
“งั้นต้องร้าน ‘ครัวพระจันทร์’ ที่สยามวัน เธอโอเคมั้ยล่ะ”
“ร้านโปรดนายอ่ะนะ เฮ้ย ฉันยังไม่เคยลองกินร้านนั้นเลย” ฉันพูดเสียงดังอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายระยับ เรื่องกินนี่ขอให้บอก ยัยเฌอลินคนนี้ไม่เคยพลาดอยู่แล้ว
“อื้อ จะไปมั้ยละ?”
“ได้หมดถ้าสดชื่น” ฉันตอบพลางหัวเราะ ส่วนหมอนั่นก็พยักหน้าแล้วเดินมาแย่งกระเป๋าสะพายฉันไป
“งั้นรีบไปเถอะ”
18.00 น. ร้านครัวพระจันทร์ สาขา Siam One
ณิชาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ในห้างสยามวัน ใจกลางสยามสแควร์ มันตั้งอยู่บนชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นัก หน้าร้านเป็นกระจกใสจึงทำให้เห็นคนด้านใน เธอก้มมองนาฬิกาเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามาทันเวลานัดพอดิบพอดี เจ้าตัวเดินเข้าไปในร้าน สอดสายตาส่องหาคนนัดอย่างร้อนรน
“สวัสดีครับ” บริกรชุดขาวหน้าตาดีเอ่ยทัก ณิชาเลยหันไปส่งยิ้มให้ทั้งที่สีหน้ายังคงมึนงงไม่หาย “ไม่ทราบว่ามากี่ท่านครับ”
“พอดีฉัน เอ่อ... ฉันคิดว่ามีการจองโต๊ะไว้แล้วนะคะ” เธอตอบซื่อๆ “ชื่อที่จองชื่อว่าไอซ์น่ะค่ะ”
“สักครู่นะครับ” ณิชาพยักหน้ารับรู้ก่อนหันมองซ้ายขวา ในหัวเริ่มคิดไม่ตกว่าทำไมคนนัดถึงไม่ใช้ชื่อตัวเองไปเลย จะใช้ชื่อปลอมให้ยุ่งยากทำไม
“อ่า... คุณไอซ์นั่นเอง จองไว้สามที่ เชิญทางนี้ครับ”
ในที่สุดเสียงบริกรก็ดังขึ้น ณิชาจึงยิ้มก่อนจะเดินตามไปยังโต๊ะที่ถูกจองไว้
18.00 น. สยามสแควร์
เร็ก เร็กตัส
ทันทีที่เรามาถึงสยามสแควร์และลงจากรถแล้ว คนตัวเล็กก็พุ่งไปยังร้านขายเครื่องสำอางชื่อดังพร้อมหันมาถามเสียงใสทันที “นี่ แวะ Eve & Boy ก่อนได้มั้ย?”
ผมที่กำลังเดินตามชะงัก เอียงคอลงเล็กน้อยแล้วถามอย่างงุนงง “หือ? ไหนว่าหิว”
“อยากดูลิปสติกนิดนึง” เธอบอกพลางกระพริบตาปริบๆ อย่างน่ารัก แถมน้ำเสียงออดอ้อนที่ดังต่อมายิ่งทำให้ผมใจอ่อนอยู่เรื่อย “น่านะ... นิดเดียวเอง นิดนึงงงง >o<”
ถ้าเปรียบตึกวรรณสรณ์เป็นหลุมดำดึงดูดเด็กนักเรียนแล้วล่ะก็ อีฟแอนด์บอยคงเป็นหลุมดำดึงดูดบรรดาสาวๆ เช่นกัน
“อือ นานมั้ย”
“ไม่เกินสิบห้านาที”
ผมนิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมเองก็มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำเหมือนกัน
“อือ งั้นเดี๋ยวฉันตามเข้าไป”
ผมมองตามแผ่นหลังเธอจนกลืนหายไปในฝูงชน จากนั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ หยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพิมพ์ข้อความบางอย่างและกดส่งไป ผมดันแว่นที่ตกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างสงบ
เอาล่ะ วันนี้ต้องเป็นวันดีของผม
18.35 น. สยามวัน
เฌอลิน เฌอลิยา
กว่าจะหลุดออกมาจากอีฟแอนด์บอยได้ก็ใช้เวลายี่สิบนาทีกว่า แถมยังได้ของกลับมานอกเหนือจากลิปสติกอีกต่างหาก ตอนนี้หมอเร็กกับฉันกำลังอยู่บนบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปชั้น 4 เร็กตัสบอกว่าอาหารร้านครัวพระจันทร์อร่อยมากและตัวร้านก็อยู่ติดกับบันไดเลื่อนเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องเดินตามหาให้ปวดหัว
“นั่นแคลคูลัสนี่” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้น เรียกให้ฉันหันขวับไปยังโต๊ะในร้านที่เร็กตัสชี้ เนื่องจากมันเป็นร้านกระจก ฉันจึงเห็นได้ว่าคนตัวสูงที่นั่งกินข้าวอยู่คือนายแคลคูลัส ที่สำคัญ เขากำลังเอื้อมมือที่ถือผ้ากันเปื้อนสีขาวไปเช็ดปากให้หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งเธอคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
“ณิชา?” ฉันพึมพำพลางมุ่นหัวคิ้วลง สีหน้าของฉันตอนนี้ชัดเจนเลยว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่นั่นแหละคือณิชาจริงๆ ผมบ๊อบสีเข้ม ใส่ชุดนักศึกษา มีกระเป๋าสะพายข้างสีส้มวางอยู่ตรงเก้าอี้ ทุกองค์ประกอบจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากณิชา เพื่อนรักของฉัน และคนที่กำลังเช็ดปากให้เธอจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแคลคูลัส คนที่ฉันลงความเห็นว่ารู้สึกชอบแต่ยังไม่ถึงขั้นชอบมากจนอยากได้เป็นแฟน
Cal Calculus : วันนี้กลับบ้านดึกนะ อย่าเป็นห่วง ;)
“เอ่อ โทษที วันนี้ฉันมีนัดแล้ว”
“อ้าว นัดกับใครอ่ะ?”
“หนุ่มนอกคณะสักคนสองคน” ณิชายักไหล่แล้วหัวเราะ เสยผมบ๊อบที่ปรกหน้าเล็กน้อยให้ออกไป “วันนี้ต้องเป็นวันดีแน่นอน ฉันมั่นใจ”
“ใช่เลยเพื่อน วันดีของแก” ฉันยิ้มพลางยกมือสองข้างขึ้นหยิกแก้มนุ่มนิ่มของนางอย่างหมั่นเขี้ยว “มีเดทก็ไม่บอก มิน่าล่ะ ถึงได้น่ารักขนาดนี้”
เมื่อฉันขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดของบันไดเลื่อน ฉันก็เพ่งมองคู่นั้นอีกที ไม่ผิดแน่ แคลคูลัสกับณิชากำลังกินข้าวด้วยกัน ท่าทางดูเหมือนไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา แล้วตอนนี้แหละที่ฉันรู้สึกตัวเองฉลาดขึ้นเมื่อเริ่มไขปริศนาได้ทีละอย่าง
อ่าฮ้า กลับบ้านดึกเพราะมีนัดกินข้าว
ไปกินข้าวด้วยไม่ได้เพราะมีนัดกับหนุ่มนอกคณะ ซึ่งวิศวะนี่ก็ไม่ใช่วิทยา ดังนั้นชัดเจนเลย เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้นัดกัน ให้ตายเถอะ ทำไมฉันมันโง่อย่างนี้ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าหัวของฉันกำลังถูกของแข็งบางอย่างโจมตีอีกแล้ว มันมึนๆ ตื้อๆ ยังไงไม่รู้
“เฌอลิน เข้าไปในร้านกัน” เสียงทุ้มของคนข้างกายเรียกสติ ฉันจึงเบือนหน้าไปยังคนชวนแล้วพูดเสียงเบา
“ไม่กินแล้วได้มั้ย”
“หือ?” เร็กตัสเลิกคิ้ว สีหน้าดูเหมือนตะลึงไม่น้อย
“เรากินร้านอื่นได้มั้ย”
“ทำไมไม่ไปนั่งกับสองคนนั้นล่ะ?”
ยัง... ยังมีหน้าจะถาม นี่เรียนหมอจริงหรือเปล่าเนี่ยเร็ก!
“ฉันว่ามันดูไม่ค่อยเหมือนเพื่อนเท่าไรเลยอ่ะ ขอโทษนะ แต่ฉัน... ” ฉันเงียบลง แล้วเร็กตัสก็ยื่นหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีดำฉายแววเป็นห่วง จากนั้นฉันจึงหลับตาและสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
ฉันไม่กล้าคิดว่าสองคนนั้นกิ๊กกัน แต่ภาพนั้นมันเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับฉันเมื่อสมัยแอบคบแฟนคนแรกแบบลับๆ ไม่ให้ใครรู้ แล้วต่อมาก็เลิกเพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทฉันแอบชอบนี่แหละ
เพื่อนแอบชอบก่อนฉันตั้งหลายปี ส่วนฉันเป็นแค่คนถูกจีบ ฉันคงทนไม่ได้ถ้าเห็นเพื่อนตัวเองเสียใจ...
“เข้าใจล่ะ งั้นไปกินร้านอื่นกัน”
เร็กตัสจับมือฉันและพาออกไปภายในเวลาไม่กี่นาที ความอบอุ่นของมือเขาทำให้ฉันสบายใจ เราหยุดอยู่ที่ม้านั่งชั้นสาม มันเป็นที่ค่อนข้างอับและลับตาคน พนันได้ว่าเร็กตัสไม่ต้องการให้ใครเห็นฉันในสภาพนี้ เขาปล่อยมือฉันและยื่นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินจากกระเป๋าเสื้อให้ รอจนกว่าเสียงสะอึกสะอื้นของฉันจะซาลง
เขานั่งนิ่งและชำเลืองมองฉันอย่างเป็นห่วง
“นี่... ” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันน่าจะพูดได้อย่างมีสติแล้ว “เมื่อวันพุธฉันก็เห็นแคลคูลัสรับส่งณิชาอยู่ บางทีสองคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนสนิทเหมือนเราสองคนก็ได้นะ”
ฉันบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ “ไม่มีทางหรอก”
เขาเงียบอีกครั้ง ส่วนฉันเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้ฟูมฟายเหมือนตอนนั้นได้แล้ว ดังนั้นฉันจึงสูดน้ำมูกและพึมพำ
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าณิชาชอบแคล จริงๆ นะ ฉันน่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่เธอเตือนฉันเรื่องแคลคูลัสแล้ว”
ฉันได้แต่หวังว่าเขาจะไม่มองฉัน แต่เปล่าเลย ฉันรู้สึกถึงสายตาของเขาที่มองมา แล้วทันใดนั้นอาการวูบวาบก็เกิดขึ้นบริเวณท้องน้อย
“ทำไมณิชาไม่บอกฉันเลยอ่ะ... เธอคงอึดอัดมากที่รู้ว่าแคลชอบฉัน มันทรมานใจมากนะที่เห็นคนที่เราชอบไปจีบคนอื่นอ่ะ ฉันนี่มันเป็นเพื่อนที่แย่จริงๆ ฉัน... ”
แล้วฉันก็ส่ายหน้าและเงียบลงอีกครั้ง เอาจริงนะ ในหัวฉันมันตื้อไปหมด นึกไม่ออกเลยว่าควรพูดอะไรออกไปดี ไม่สิ พูดให้ถูกคือแม้แต่ให้คำนวณเลขง่ายๆ อย่าง 1+1 ตอนนี้ ฉันยังทำไม่ได้เลย
“ฟังนะเฌอลิน” ในที่สุดเร็กตัสก็พูดขึ้นมา ฉันหันไปมองเขา แต่เขาไม่ได้มองฉัน ตาของเขาจ้องไปยังร้านขายเสื้อด้านหน้าที่ไม่มีแม้แต่คนเข้าร้าน “ฉันว่าเธอควรเลิกสนใจแคลคูลัสได้แล้ว เลิกตามเกมมันสักที”
ฉันขยำผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่า...” เขาเว้นวรรคสักพักแล้วหลับตาลง สีหน้าเหมือนกับว่ามีเรื่องลำบากใจซ่อนอยู่ แล้วในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้น สูดลมหายใจลึกก่อนหันมามองหน้าฉันอย่างจริงจัง “ฉันไม่รู้ว่าแคลมันโกรธอะไรฉัน แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะทำขนาดนี้”
แน่นอนว่าถึงฉันจะไม่ฉลาด แต่ฉันก็ไม่โง่ ดังนั้นฉันจึงพอจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้
“ทำไมต้องเอาฉันไปเกี่ยวด้วย?”
เขาเงียบอีกครั้ง ฉันเองก็เงียบ เราสองคนต่างรอให้ใครบางคนพูดขึ้นมาก่อน ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วนะ ฉันรู้แล้วว่าเร็กตัสกำลังหมายถึงอะไร แต่ฉันแค่ไม่แน่ใจเท่านั้น
“เพราะเธอเป็นคนสำคัญของฉันไงล่ะ เฌอลิน”
คำตอบของเขาทำให้ฉันอดขมวดคิ้วไม่ได้ ขณะที่หัวใจเต้นรัว ก่อนที่ฉันจะถามด้วยคำถามเดิม ราวกับว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกติดตั้งระบบให้พูดแต่ประโยคนั้น “หมายความว่ายังไง?”
“หมายความว่า... ” เขามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้ง “ฉันรักเธอ”
“อะไรนะ?” ฉันถามซ้ำทั้งที่แน่ใจว่าตัวเองหูไม่ฝาด เร็กตัสกลืนน้ำลายแล้วเบือนหน้าหนี ขณะที่ในหัวฉันตื้อเหมือนกับถูกตีอีกแล้ว “เร็กตัส... ” ฉันเอื้อมมือไปจับมือเขาเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจยิ่งกว่าเดิม มันเย็นชืด ชีพจรเต้นรัว เห็นได้ฉันว่าเขาไม่ได้โกหก กระนั้นแล้วฉันก็ยังฝืนพูดต่อ “ฉันคิดว่านายล้อเล่นซะอีก”
ฉันปล่อยมือเขาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ฉันไม่เคยล้อเล่น ฉันไม่เล่นกับความรู้สึกใคร”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วหันมามองฉัน ยกมือทัดปอยผอมที่ตกลงมาปรกหน้าฉันออกไปอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงยกมือทั้งสองขึ้นจับหน้าฉันไว้อย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีดำที่มองมานั้นมีความเศร้าล้ำลึกแฝงอยู่ เร็กตัสขยับรอยยิ้มนิดๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากดวงตานั้น
“ฉันรักเธอ ได้ยินมั้ย ฉันรักเธอ”
จากนั้นเขาก็โน้มหน้าลงมาจูบฉันราวกับคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันอ่อนหวาน นุ่มนวล ล้ำลึก และต่างจากภาพพจน์หมอน้ำแข็งของเขา
ในหัวฉันตื้ออีกครั้ง มีเพียงแค่ความรู้สึกประหลาดที่กำลังลอยละล่องอยู่รอบๆ พร้อมกับเสียงเพลงในห้างที่ดังคลอเบาๆ แน่ใจเหลือเกินว่าก่อนหน้านั้นมันยังดังกว่านี้ แต่ดูตอนนี้สิ ฉันแทบจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แถมหัวใจยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ฉันได้แต่หลับตา รับสัมผัสนั้น และปล่อยให้เร็กตัสรุกล้ำตามใจชอบ
‘I loved you dangerously
More than the air that I breathe
Knew we would crash at the speed that we were going
Didn’t care if the explosion ruined me
Baby I loved you dangerously
I loved you dangerously’
(ผมรักคุณอย่างอันตราย รักคุณมากกว่าอากาศที่สูดหายใจ
รู้ด้วยว่าสักวันจะต้องปะทะกับสิ่งที่เราดำเนินอยู่
แต่ไม่สนหรอก ถ้าความรักครั้งนี้จะทำลายผม
ที่รัก ผมรักคุณโดยไม่คิดถึงอะไรเลย
แม้ไม่เหลืออะไร ผมก็ยังรักคุณ)
Dangerously – Charlie Puth
สวัสดีค่ะ
คีตาสีเงิน JLS05 Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย เองนะคะ
เฮ้ยยย บทสุดท้ายแล้วววว ในที่สุดจะได้ทำโปรเจคจบต่อสักที // จุดพลุ
ตอนที่เขียนบทนี้ ใช้เลาประมาณสองวีคได้ ลบๆ แก้ๆ อยู่ประมาณสิบครั้งจนได้แบบที่กำลังอ่านอยู่นี่แหละ จำได้ว่าตอนเขียนนี่เปิดวนอยู่ 4 เพลง Better with me, Dangerously, I don’t wanna live forever และ Versace on the floor ดังนั้นเนื้อหาบทนี้มันเลยดู เอิ่ม... Fifty Shades of Calculus และ Rectus ฮ่าฮ่า (แม้แต่ตอนที่พิมพ์ไอ้นี่อยู่ก็ยังฟัง 4 เพลงs นี้)
อะไรที่ใส่มาในบทนี้ มีผลต่อบทถัดไปมากๆ ซึ่งหวังว่าจะได้เขียนต่อ ฮา
มี 1 สิ่งที่รู้สึกว่ามันคือความผิดพลาดตั้งแต่เริ่มเขียนนิยายมา... ‘เลือกบรรยายบุรุษที่ 1 ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ถนัด’
แต่รู้อะไรมั้ย เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากจากการทำผิดพลาดครั้งนี้ ความผิดพลาดมอบโอกาสให้เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้เรียนรู้การเขียนจากกรรมการ เราอาจจะเขียนได้ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่นั่นแหละ มันคือจุดเริ่มต้น และมันคือประสบการณ์
ประสบการณ์สอนอะไรบ้าง?
ประสบการณ์สอนอะไรหลายๆ อย่าง อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเราควรพัฒนาฝีมือของเราด้วยการเขียนหลากหลายแนว อาจเหมือนเป็ดในช่วงแรกๆ แต่ถ้าเราฝึกฝนมันบ่อยๆ ก็จะเก่งเอง นี่เชื่อหยั่งงั้นนะ
ต้องขอบคุณพี่ลูกชุบมากๆ จริงๆ นะคะ ถ้าไม่ได้พี่ หนูว่าหนูคงไม่กล้าออกจาก comfort zone ตัวเองด้วยการลองอะไรใหม่ๆ สารภาพตามตรงเลยว่าหนูกลัวที่จะเปลี่ยนแนวการเขียนของตัวเอง แต่พอหนูได้ลองก้าวข้ามความกลัวของตัวเองด้วยการเปลี่ยนการบรรยายก็รู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่ามันไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่คิดเลย หนูหวังว่าบทนี้มันจะดีขึ้นนะคะ ^_^ ไม่น่าจะหลุดภาษาอลังแบบแฟนตาซีแล้ว ฮา หนูเชื่อว่าหนูสามารถพัฒนาฝีมือของตัวเองได้ค่ะ ^^
ปล.หนูชอบงานพี่มาก โดยเฉพาะ 7 Sin ฮ่า
สุดท้ายแล้ว (หรอ?) อยากพูดถึงบทนี้นิดหน่อย เราชอบเพลงสุดท้ายมาก มันดูสื่ออารมณ์ของหมอดี ฮ่าๆ เร็กตัสเป็นตัวละครที่เราชอบมากที่สุดเลย เขินจัง อยากรู้ว่าทำไมเราถึงชอบ รออ่านได้ในบทถัดและถัดๆ ไป >< สุดท้ายแล้วจริงๆ ขอฝากนิยายเรื่อง My Futuristic Beloved สะดุดรักอันตรายนายปีศาจตัวดี ด้วยค่ะ ใครชอบหมอเร็กน่าจะชอบพระเอกเรื่องนี้ นางถอดแบบมาใกล้เคียงกัน อ๊าย เขินจัง พอเถอะ
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะที่มาเม้นให้กำลังใจ อยากบอกว่าอ่านทุกเม้นเลยนะ :D
เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากมาพูดคุยกับเรา ตามมาที่นี่เลยเฟซบุ๊คแฟนเพจ คีตาสีเงิน หรือจะเป็นทวิตเตอร์ @mieltiz แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ค่อยเล่น มีไว้ขายนิยายอย่างเดียว ฮา โกโกววววว
เอ๊ะ... ถ้าจะขายอินสตราแกรมด้วยนี่จะดูบ้าไปมั้ย 55555555555555555
แต่ฝากด้วยค่ะ ไหนๆ ก็บทสุดท้ายแล้ว ig : honey.tiz
รักใคร ชอบใคร เชียร์ทีมไหน อย่าลืมใส่ #แคลคนอ่อยแรง #หมอเร็กคนนิ่ง ด้วยนะฮะ
ท้ายสุดแล้ว... กราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์สวยๆ สำหรับคอมเม้นและแรงโหวตที่ทุกคนมอบให้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมีความสุขกับตัวอักษรที่เราบรรจงร้อยเป็นเรื่องราวให้
ขอบพระคุณที่ช่วยสานฝันให้เราค่ะ ขอบคุณจริงๆ
ด้วยรัก
คีตาสีเงิน
ปล. เปิดการ์ดเปลี่ยนพระเอกเป็นหมอคงไม่ทัน ฮ่าๆ
COMPETITION COMPLETE


ทำไมเรื่องมาเดินหน้าพรวดๆ เอาตอนนี้อ่ะ ทำมายยย
จะบอกว่าจริงๆ เมื่อก่อนพี่ก็เขียนบุคคลที่สามมาก่อนนะ จนมาเขียน JLS เลยเปลี่ยนมาเป็นบุคคลที่หนึ่ง แต่ก็มีสลับบ้าง หลักๆ เลยพี่ว่าเราต้องเลือกว่าแบบไหนเล่าเรื่องได้ดีกว่ากัน อย่างเนี่ยล่าสุด พี่เขียนนิยายไปสี่สิบกว่าหน้า บุคคลที่สาม ลบทิ้งหมดเลยเพราะเปลี่ยนใจจะใช้บุคคลที่หนึ่งแทนเพราะมันเล่าเรื่องได้ดีกว่า เพราะเราต้องสะท้อนมุมมองของตัวละครแบบลึกๆ ซึ่งบุคคลที่สามมันทำได้ไม่ดีเท่ากับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพี่ว่าเราลองเลือกจากแนวเรื่องของเราดีกว่าว่าจะใช้การบรรยายแบบไหน
จริงๆ ก็อยากรู้ปมณิชานะว่าจะยังไงต่อ ว่าทำไมอยู่ดีๆ เป็นแบบนี้ จริงๆ เราน่าจะใส่คำใบ้เยอะกว่านี้หน่อย พี่ว่ามันแอบโผล่มาแบบแรนด้อม แล้วก็ชอบหมอเร็กตอนนี้อ่ะ แคลอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นร้ายเลย น่าจะใส่คำใบ้มาหน่อย พี่ว่ามันเปลี่ยนแบบหน้ามือหลังมือไปหน่อย แต่รวมๆ ก็ยังดีนะ ชอบสำนวนเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าไปงานประกาศรางวัลก็เจอกันจ้า