คีตาสีเงิน

[JLS05] Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย

หนุ่มวิศวะหน้ามนคนนั้นน่ะไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่รักเขาในวันที่เขากำลังจะเทฉัน! อ้าวเฮ้ย อ่อยให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ!

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 3/7 :: นี่เดือนวิศวะเขาจีบสาวอย่างนี้เหรอ?

ตอนถัดไป

3

นี่เดือนวิศวะเขาจีบสาวอย่างนี้เหรอ?

“Don’t come close to me, I don’t want to be involved with you.”
- Sherlyn Sherliya –


 

 

สำหรับเฌอลิน เฌอลิยา ผู้หญิงที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำระดับประเทศ ได้ทุนแลกเปลี่ยนไปทำวิจัยระยะสั้นที่อังกฤษ เกรดเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แถมยังเป็น Ambassador ของมหาลัยแล้วนั้น ทุกการตัดสินใจของฉันจึงฉลาดและไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง

แต่การยอมรับข้อเสนอของเดือนคณะวิศวะคงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดตั้งแต่เกิดมา!

เชื่อหรือไม่ นับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยมีวันไหนเลยที่แชทเฟซบุ๊คของฉันจะสงบสุข นอกจากการคุยกับเร็กตัสและปฏิเสธหนุ่มบริติชอันเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว ก็มีอีตาแคลคูลัสนี่แหละที่พยายามก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตด้วยการขยันทักเช้า สาย บ่าย เย็น มันเริ่มจากทักแชท ถามไถ่ ชวนคุย ตลอดจนส่งรูปเวลาทำกิจกรรมต่างๆ  ยังดีนะที่เขาไม่ได้ส่งรูปตัวเองตอนเข้าห้องน้ำมาให้ ไม่งั้นฉันคงหัวใจวายตายก่อนแน่นอน 

          เขาทำแบบนี้ทุกวันเป็นกิจวัตรราวกับว่าเราสองคนเป็นคู่รักสุดมุ้งมิ้งที่ต้องคอยรายงานกันและกันตลอดเวลา

โอ้วว แล้วฉันก็ดันทำแบบนั้นกลับซะด้วยนะ ตลกเป็นบ้า ฮ่าๆๆ

ให้ตายสิ ฉันไม่รู้ว่าตาบ้านี้มันจีบฉันจริงจังหรือจีบเล่นๆ แล้วเททีหลัง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยึดหลัก ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ เป็นคติประจำตัวไป

และมันก็เกือบได้ผลซะด้วยสิ

อ่านไม่ผิดหรอก เกือบที่ว่านี้คือ เกือบ’ จริงๆ เพียงแต่ฉันยังไม่ตกหลุมพรางนายแคลคูลัสก็เท่านั้น แม้ว่าเบ้าหน้าหมอนั่นจะดียิ่งกว่าผ่านการศัลยกรรมที่เกาหลี หรือเขาจะเป็นเจ้าของน้ำเสียงทุ้มนุ่มละมุนคอยหว่านเสน่ห์

ซึ่งเรื่องศัลยกรรมอันนั้นฉันพูดเล่นนะ ความจริงคือเบ้าหน้านางดีแต่กำเนิด หลักฐานพิสูจน์ได้จากรูปถ่ายสมัยเด็กที่อัพลงเฟซบุ๊ค

ฉันรู้ ฉันส่องมา

ติ๊ง

เสียงแชทเฟซบุ๊คดังขึ้น ฉันละสายตาจากการส่องเฟซตานั่นก่อนนึกยิ้มกระย่องอยู่ในใจเมื่อเห็นชื่อเฟซของคนที่ทักมา ไงล่ะ บอกไว้แล้วไม่มีผิดว่านางทักฉันเช้า สาย บ่าย เย็น มืดค่ำและนี่สามทุ่มแล้วนะ ซึ่งฉันกำลังจะนอน กระนั้นแล้วฉันก็ดันกดอ่านข้อความนั้นโดยไม่รีรอ

วะฮะฮ่า ฉันนี่มันฉันจริงๆ

Cal Calculus : เจอกันพรุ่งนี้นะ

ฉันขยับรอยยิ้มนิดๆ แล้ววางโทรศัพท์ก่อนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าจากคอลเฟซบุ๊คนี่แหละ ใครบังอาจโทรมาปลุกฉันเนี่ย!!

“ฮัลโหล” ฉันส่งเสียงงัวเงียพลางขยี้ตาไปมา ไม่ทันได้ดูด้วยซ้ำว่าเป็นคอลจากเฟซใคร

[อรุณสวัสดิ์ครับคุณครู]

ปลายสายส่งเสียงเริงร่า ถ้าให้เดาจากสรรพนามเมื่อกี้แล้ว...

“แคลคูลัส?

[อะไรกัน นี่เพิ่งตื่นเหรอครับเนี่ยครู]

หมอนี่กล้าดียังไง บังอาจมาปลุกฉันเนี่ย!

แม้ใจจะเหวี่ยงไปแล้ว แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับเขามันช่างสะลึมสะลือเพราะง่วงนอนยิ่งนัก

“นาย...”

ให้ตายสิแคลคูลัส นายไม่ควรโทรมาในตอนที่ฉันกำลังหลับเพลินๆ นะ มันเป็นการปลุกที่ไร้มารยาทสิ้นดี ฉันจะทำยังไงให้นายเลิกยุ่งกับฉันได้สักทีเนี่ย

[รีบๆ อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาเลยเธอ นี่ฉันรออยู่ใต้คอนโดแล้ว]

“หา!?” แล้วเสียงสะลึมสะลือเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องตกใจดังลั่นจนแม่ฉันถึงขั้นต้องเดินมาเปิดประตูห้องนอนแล้วถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นเฌอลิน? หาไม่อะไรไม่เจอ ฮึ?”

กระแสเสียงนั้นช่างมีอานุภาพแห่งการทำลายล้างยิ่งนัก เล่นเอาฉันสะดุ้งเฮือกแล้วสปริงตัวลุกขึ้นนั่งตั้งสติก่อนแสร้งส่งเสียงหวานๆ ตะโกนกลับไป “เปล่าค่าแม่”

“เสื้อในแม่ใส่ไว้ในตู้ให้แล้วนะ”

“ขอบคุณค่า” ฉันรีบบอกปัด โธ่แม่ มาเสื้อนงเสื้อในอะไรตอนนี้!! หนูกำลังคุยโทรศัพท์กับผู้ชายอยู่ แง้ ToT นี่ถ้าหมอนั่นได้ยินจะเอาหน้าไปไว้ไหน ฮือ อายจัง

หลังจากแม่พยักหน้ารับรู้และปิดประตูแล้ว ฉันจึงหันมากระซิบกระซาบกับโทรศัพท์อีกครั้ง “อะไรนะแคล? นายว่าไงนะ?”

[นั่นเธอทำอะไรอ่ะ? หาเสื้อในอยู่เหรอ?]

เสียงของเขาดูงงๆ ส่วนฉันก็รีบปฏิเสธรัวๆ กะไว้แล้วเชียวว่าต้องได้ยิน โอ๊ย อับอายขายหน้าจริงๆ

“ไม่มีอะไรหรอก นายแค่หูฝาดเฉยๆ”

[แต่ฉันได้ยินคำว่าเสื้อในจริงๆ นะ หูย พูดแล้วฟินเลย]

“ฮึย แคลคูลัส นี่นายกำลังคุยกับผู้หญิงอยู่นะ อย่ามาหื่นตอนนี้” ฉันโวยเสียงเบาเพราะไม่แน่ใจว่าคุณนายของบ้านหลังนี้ยังอยู่หน้าห้องหรือเปล่า ยังไงกันไว้ดีกว่าแก้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

[อ้าว ไม่ให้หื่นตอนนี้แล้วให้หื่นตอนไหนอ่ะ ตอนอยู่บนเตียงเธอรึไง?]

          แล้วหมอนั่นก็ระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้งให้หน้าฉันพลันแดงพอๆ กับมะเขือเทศสุกยามจินตนาการตามที่พูด 

              “ไอ้บ้า!” ฉันโวยวาย ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่นายขี้อ่อยจะกลายเป็นนายขี้หื่นแล้วลามปามใส่ฉันมากกว่านี้ เท่านั้นแหละฉันเลยถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “แล้วนี่นายมาอยู่ใต้คอนโดฉันจริงๆ เหรอ?”

[ใช่สิ ฉันกำลังนั่งรอเธออยู่ตรงล็อบบี้เนี่ย เฌอลิน]

“มาได้ไงเนี่ย!?” คำอุทานสุดจะงงหลุดออกจากปากอย่างไม่คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบ ทว่าคนหน้าหล่อดันหวังดีเอ่ยตอบเสียงกวนตีนซะงั้น

[ขับรถมาสิครับ ถามได้]

โอ๊ย ฉันอุทานมั้ยล่ะ ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้มั้ง

“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงว่านายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่ต่างหาก” ฉันเลิกคิ้ว

[เซอร์ไพรส์มั้ยละ?]

คนที่นั่งอยู่ที่ล็อบบี้ใต้คอนโดถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“เซอร์ไพรส์สุดยอดไปเลยล่ะแคลคูลัส” ตอบกลับเสียงนิ่งแล้วกลอกตา แถมทำหน้าซังกะตายด้วย “แล้ว 

[ไม่ต้องถามแล้ว ให้ไวเลยเฌอลิน]

เขาพูดแทรกทันควันก่อนตัดสายฉับ ปิ๊บ อ่า... สายโทรศัพท์ฉันขาดแล้ว เล่นเอาฉันถึงกับกะพริบตาปริบๆ ไปมาอยู่สองสามครั้งเพื่อดึงสติ

ผู้ชายอะไรพิลึกชะมัด

จากนั้นจึงลากสังขารตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัว คว้าอุปกรณ์การสอนและลงไปยังล็อบบี้ใต้คอนโดทันที แม่ฉันคงงงน่าดูว่าธุระของฉันมันสำคัญขนาดที่คนเห็นแก่กินอย่างฉันยอมพลาดมื้อเช้าสุดวิเศษเลยเหรอ?

เมื่อเดินมาถึงล็อบบี้ก็พบกับนายวิศวะขี้อ่อยกำลังนั่งไขว่ห้างรอฉันบนโซฟาสีน้ำตาลนุ่ม วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูหวานแหวว เข้ากันได้ดีกับกางเกงขาสั้นพอดีเข่าสีครีมและรองเท้าผ้าใบราคาแพงหูฉี่คู่เดิม ทันทีที่หมอนั่นเห็นฉันเยื้องกรายลงมา เจ้าตัวก็ถอดแว่นตากันแดดสีดำสุดเท่ออกไปพลางโบกไม้โบกมือประหนึ่งว่าตนเป็นศิลปินเกาหลี

ทำเท่อวดสาวอยู่ได้นะนายคนนี้!!

“ให้คนอื่นรอแล้วยังทำตัวชักช้าอีกนะเธอ” ส่งเสียงทักพร้อมขยับรอยยิ้มกวนประสาท ฉันเลยลอยหน้าลอยตาต่อปากต่อคำพร้อมแย้มยิ้มหวานชนิดที่ว่า ถ้าใครดูไม่ออกว่ามันคือรอยยิ้มจอมปลอมก็สมควรไปตายแล้วเกิดใหม่ซะ

“ใครใช้ให้นายมารอฉันไม่ทราบ”

นายแคลคูลัสลุกยืนขึ้นแล้วกวาดตามองฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ผมสีบลอนด์ทองถูกรวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง เสื้อยืดคอวีสีน้ำเงินใส่เข้าไปในกางเกงยีนส์สีเข้มที่ขาดตรงเข่าทั้งสองข้างแลดูฮิปเตอร์ได้อีก ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เข้ากับรองเท้าคัชชูสีดำเพียงคู่เดียวในบ้านที่กำลังใส่อยู่เลยสักนิด

หลังจากสำรวจการแต่งกายของฉันเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มประหลาดก็ฉาบขึ้นบนดวงหน้าคู่กรณี ก่อนคำว่าที่สุดแสนกวนบาทาจะดังขึ้น

“หูววว รองเท้าเธอ โคตรเข้ากับชุดเลย”

แล้วก็ยกมือขึ้นประกบกันกลางอากาศ ทำหน้าตาปลื้มอกปลื้มใจสุดขีดชนิดที่ว่าเด็กประถมยังดูออกว่านี่คือท่าทางประชดประชัน ส่วนฉันดูแล้วก็คิดว่ามันโคตรจะกวนตีน นี่นายจะเล่นใหญ่ไปไหน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่พูดเมื่อกี้มันคือคำประชดชัดๆ

“ทำไม?” ฉันเน้นคำ อันที่จริงก็ยอมรับนะว่ามันไม่เข้ากับชุดเลยสักนิด แต่เพื่อรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรี ฉันจะไม่ยอมปล่อยไก่ต่อหน้าเดือนคณะวิศวะเด็ดขาด เพราะงั้นก็เลยแอบเชิดหน้าขึ้นอย่างวางมาดสง่างาม

“น่ารักดีๆ เหมาะกับเธอมาก” อีกฝ่ายยิ้มจนเหมือนจะขำฉัน ให้ตายสิ นายนี่มันกวนประสาทสุดยอดไปเลยนะ ถามจริง นี่ไม่ได้จีบฉันจริงจังใช่มั้ยนายแคลคูลัส? ไม่ยักจะเคยเห็นคนมาจีบทำแบบนี้กับฉันเลยสักคน

“อ้อเหรอ?” ลอยหน้าลอยตาเถียงพลางเลิกคิ้ว ส่วนชายหนุ่มก็ยกมือข้างนึงขึ้นปิดปากตัวเองอย่างคนพยายามกลั้นขำสุดขีด จนตอนนี้หน้าขาวๆ ของเขามันเปลี่ยนสีเป็นแดงไปหมดแล้ว

“แต่เอาไว้ฉันซื้อคู่ใหม่ให้เธอน่าจะดีกว่านะ ฮ่าๆๆ”

แถมยังว่าต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอีกด้วย ส่วนฉันพอได้ยินประโยคนั้นก็เผลอทำสีหน้าตกใจไปบ้าง ครั้นได้สติจึงตอบกลับในน้ำใจของเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจัง ยึดมั่นในอุดมคติโลกสวยที่ว่า ถึงบ้านนายจะรวยแค่ไหน แต่ฉันมีปัญญาหาเงินเองได้ ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องมาเปย์

“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”

คนที่แต่งตัวดูดีกว่าไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่หัวเราะหน้าระรื่นแล้วฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีก่อนเดินไปยังประตูคอนโด ทิ้งให้ฉันมองตามอย่างหมั่นไส้ ครั้นเมื่อติวเตอร์อย่างฉันยืนนิ่งไม่ยอมขยับตามสักที นายแคลคูลัสอะไรนั่นก็หันมาเรียกด้วยน้ำเสียงทุ้มพลางเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง

“นี่เฌอลิน ไม่รีบตามมาเดี๋ยวสายไม่รู้นะ”

“จะพาฉันไปไหน?” ฉันตะโกนถาม

“ก็ไปเรียนไง” บอกพลางขยิบตาข้างซ้ายลงแล้วฮัมเพลงอีกครั้งให้ฉันอดหงุดหงิดไม่ได้ แต่ก็ยอมตามออกไปเพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ เดินไปจนกระทั่งเห็นรถ BMW สีเงินคันหรูที่จอดอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์จนสะท้อนกับแสงแดดชวนแสบตา

เขากดรีโมทปลดล็อครถแล้วเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ รอจนกว่าฉันขึ้นไปนั่งเรียบร้อยจึงปิดมัน จากนั้นก็เดินไปอีกฝั่งก่อนมุดตัวเข้าไปนั่งประจำที่ พอเราสองคนอยู่ในรถคันหรูแล้ว ความเงียบก็โรยตัวเข้าปกคลุม มันเงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคน และเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดอึมครึมเกินไป ฉันจึงตัดสินใจเปรยขึ้นมาเบาๆ

“นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่ เร็กตัสบอกเหรอ?”

ทว่าคนข้างกายไม่ตอบอะไร เขากลับทำสิ่งพิลึกพิลั่นด้วยการเอี้ยวตัวมารัดเข็มขัดนิรภัยให้ฉัน แน่นอนว่าฉันถึงขั้นต้องรีบแนบแผ่นหลังชิดไปกับเบาะพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าตกใจเพราะเขาจู่โจมมาใกล้ขนาดนี้ หรือตกใจเพราะกลิ่นน้ำหอมที่โชยมาแตะจมูกกำลังทำให้หัวใจฉันปั่นป่วนกันแน่

แต่เอาเป็นว่าฉันสรุปว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมละกัน

เกลียดน้ำหอมกลิ่นนี้ชะมัด!

“เวลาขึ้นรถต้องรัดเข็มขัดด้วย เข้าใจมั้ย?” หันมากำชับเสียงขรึมพร้อมกับแย้มรอยยิ้มบนดวงหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาคู่ดำฉายแววอ่อนโยนให้หัวใจฉันเต้นรัวยิ่งกว่าเดิม ครั้นเห็นท่าไม่ค่อยดีนักฉันจึงรีบเบือนหน้าหนีพลางแสร้งกอดอกมองบนทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำเพื่ออะไร

บางทีอาจจะกลบอาการเขินก็ได้มั้ง?

ให้ตายสิ แต่ตอนนั่งรถกลับบ้านพร้อมเร็กตัสก็ไม่เคยเป็นงี้นะ

แต่นั่งรอตั้งนานหมอนั่นก็ไม่ยอมสตาร์ทรถสักที คราวนี้ฉันจึงจำต้องหันหน้ากลับไป ก่อนจะพบกับความงุนงงขั้นขีดสุดเมื่อคนเป็นสารถียังคงจ้องหน้าฉันไม่เลิก แล้วอยู่ๆ ฉันก็สัมผัสได้ถึงอาการวูบวาบบนใบหน้า บ้าบอชะมัด

โอเค นายรอคำตอบเมื่อกี้ใช่มั้ย? ด้ายยย! เฌอลินจัดให้!!

“อือฮึ เข้าใจแล้ว” ส่งเสียงรับรู้พลางตีสีหน้าขรึมจัดแล้วชิงพูดเป็นเชิงออกคำสั่งนิดๆ “สตาร์ทรถสักทีสิ นี่มันจะบ่ายละนะ”

“จะรีบไปไหน คนเรียนก็นั่งอยู่ตรงนี้” สารถีโต้เสียงทุ้มก่อนหัวเราะเบาๆ แถมยังไม่หยุดจ้องฉันอีกด้วย จ้องจนฉันสัมผัสได้ถึงไอร้อนบนใบหน้าแล้วนะ ให้ตายสิ นี่ฉันกำลังหน้าแดงต่อหน้าคนที่มาจีบอย่างนั้นเหรอ? บัดซบ! เท่านั้นยังไม่พอ พี่แกยังมีการขยับยิ้มมุมปากด้วยนะ

ฮึย หยุดสักทีได้มั้ย ไม่ชอบนะวุ้ย!

“นายนี่มันบ้าจริงๆ” พึมพำอย่างหงุดหงิดพลางเบือนหน้าหนีอีกครั้ง

“ความรักมักทำให้คนทำเรื่องบ้าๆ ได้เสมอนั่นแหละ” แคลคูลัสบอกเสียงนุ่มอย่างไม่ขัดเขินในคำพูดชวนเลี่ยนของเขาสักนิด จากนั้นจึงสตาร์ทรถและออกตัวช้าๆ ก่อนจะค่อยไต่ความเร็วให้เทียบเท่ากับรถเมล์สายแปด

“นายยังไม่ตอบฉันเลยนะแคลคูลัส ตกลงรู้ได้ไงว่าบ้านฉันอยู่นี่ เร็กตัสบอกเหรอ?” เปรยขึ้นมาดื้อๆ ส่งให้คนตัวสูงทำหน้ายิ้มๆ พลางสั่นหัวน้อยๆ ก่อนปฏิเสธอย่างภาคภูมิใจ

“ไม่ใช่อ่ะ สืบเอง”

“อะไรนะ?” ทวนซ้ำพลางเบิกตาอย่างคนไม่เชื่อหูตัวเอง

“นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้วเธอ คิดว่าดึกดำบรรพ์เหรอ? หรืออยุธยา?” ถามลอยๆ ก่อนแจกแจงด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “เฟซบุ๊คมี กูเกิ้ลแมพมี สังเกตจากรูปที่เธอชอบถ่าย แล้วก็ลงสำรวจพื้นที่จริงนิดๆ หน่อยๆ ก็เดาได้แล้วว่าน่าจะเป็นที่นี่”

“โห เชอร์ล็อค โฮล์มส์ไปอีก” พึมพำเสียงเบาอย่างคนนึกอึ้งในความพยายามของเขา

“อีซี่ๆ” ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนเปลี่ยนเรื่องเสียงราบเรื่อย “เออ นี่ไม่เรียนที่เซ็นทรัลได้มั้ยอ่ะ ไม่มีสมาธิเลย”

“งั้นจะเรียนที่ไหนล่ะ?” ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ยังไงซะฉันก็ไม่ซีอยู่แล้ว

“บ้านฉันนี่แหละ”

Yeah, go on. It depends on you. (ได้ เอาเลย แล้วแต่)” เผลอสวนกลับเป็นภาษาอังกฤษตามสัญชาติญาณ ก่อนจะรีบเสริมต่อเป็นภาษาไทย “ไม่หลอกพาฉันไปฆ่าก็พอ”

จากนั้นก็ลอบมองเสี้ยวหน้าของสารถีข้างกายอย่างครุ่นคิด ผู้ชายคนนี้เป็นยังไงกันแน่นะ?

“หูย พาเธอไปฆ่ามันไม่ได้อะไรหรอกเฌอลิน” น้ำเสียงเข้มฟังดูกวนโทสะดังขึ้นพอดีกับที่เจ้าตัวหันมามองฉัน แม้จะไม่มีรอยยิ้มบนหน้า หากแต่นัยน์ตาสีดำนี่สิกลับติดรอยยิ้มนิดๆ แล้วยิ่งยามได้ยินถ้อยความถัดมา ดวงหน้าคนฟังอย่างฉันก็ร้อนผะผ่าวเลยล่ะ “สู้ให้เธอมาเป็นแฟนฉันมันน่าจะได้อะไรมากกว่า ดีต่อใจด้วย”

เราสองคนสบตากันอยู่ครู่นึง ก่อนคนแรกที่ชิงหลบตาวูบจะเป็นฉันซึ่งบัดนี้สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เต้นรัวแรงอยู่ในอกข้างซ้าย คราวนี้เลยรีบบอกปัดก่อนที่ตัวเองจะตกที่นั่งลำบากมากกว่าเดิม “เลิกมองหน้าฉันแล้วมองถนนได้แล้วแคลคูลัส ฉันยังไม่อยากตาย นายขับเร็วยังกับจะท้านรก”

อีกฝ่ายหัวเราะลั่นก่อนจะเริ่มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง ให้ตายสิ การสบตากับหมอนี่เป็นสิ่งที่อันตรายชะมัด มันทำให้หัวใจของฉันเต้นไม่สงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เห็นทีคงต้องลิสต์รายชื่อนายแคลคูลัส เดือนคณะวิศวะไว้เป็น 'บุคคลต้องห้าม เลี่ยงเจอได้ให้เลี่ยงไป' ซะแล้ว

 

……………………………………………

 

ไม่นานนักก็มาถึงบ้านของนายแคลคูลัส มันเป็นหมู่บ้านที่เวลาฉันนั่งรถผ่านทีไรก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าข้างในจะหรูหราไฮโซขนาดไหน เพราะในละแวกนี้ก็มีแต่หมู่บ้านของเขานี่แหละที่ราคาโหดสุด มันโหดชนิดที่ว่าต่อให้แม่ฉันขายที่นาสักสิบแปลงรวมกับควายอีกหนึ่งครอกเพื่อซื้อก็ยังซื้อไม่ได้!

โหดแค่ไหนถามใจดู

รถเคลื่อนตัวมาจอดที่หน้าบ้านสไตล์ยุโรปขนาดใหญ่ อันที่จริงจะเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกนักหรอก มันต้องเรียกว่าคฤหาสน์สิถึงจะถูกกว่า อื้อหือ รวยอื้อซ่าจริงๆ เลยนะท่าน และฉันขอการันตีความเป็นอภิมหึมามหาเศรษฐีของหมอนี่ด้วยรถยุโรปหลากหลายแบรนด์ตั้งแต่ปอร์เช่โฟลค์สวาเกน, สปอร์ต และอื่นๆ รวมแล้วประมาณห้าคันที่จอดอยู่ในโรงรถแห่งนี้

          อืม สมแล้วกับที่เรียนอินเตอร์ โนสนโนแคร์แม้จะติดเอฟสามรอบ แถมยังกล้าเปย์ฉันด้วยเงินจำนวนมากด้วย!!

          “ดูเหมือนไม่มีคนอยู่เลยแฮะ” ฉันโพล่งทันทีที่รถ BMW เคลื่อนมาจอดสนิทที่ลานหน้าประตูเข้าบ้าน นึกสงสัยไม่น้อยเลยว่าทำไมไม่เอารถเข้าไปจอดในโรงรถ

          “อ่าฮะ พอดีพ่อกับแม่ไปทำธุระด่วนที่สวิตอ่ะ” เขาบอกเสียงราบเรียบราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกตินัก

          “งั้นเหรอ?”

          “ครับ” เขาเว้นวรรคก่อนเสริมต่อ “พอดีที่บ้านทำธุรกิจจิวเวลรี่”

          “อ๋อ เปิดร้านทองอะไรประมาณนั้น?” ถามขึ้นอย่างสงสัย

          “เปล่า” ลูกชายเจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ส่ายศีรษะก่อนเฉลยความจริง “ผลิตและนำเข้า-ส่งออกจิวเวลรี่ต่างหาก เราเน้นยุโรปเป็นคู่ค้าสำคัญอ่ะ”

          “โอ้ววว” ฉันเผลอทำสีหน้าตกใจขั้นสุดก่อนกล่าวเสียงเบา “ฉันว่านายไม่ควรเรียนวิศวะเลยนะนั่น”

          “นั่นสิ ฉันก็คิดเหมือนกัน ตอนนั้นก็คิดว่าวิศวะมันเท่นี่นา ใครจะไปรู้ว่าพอเข้ามาเรียนจริงแล้วมันจะยากฉิบหายอย่างนี้” แคลคูลัสบ่นก่อนหันมาไล่ลงรถด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเมื่อครู่ มันฟังดูสุภาพไม่น้อย “ถึงแล้ว ลงกันเถอะเฌอลิน”

“แต่นายยังไม่ได้จอดรถที่นั่นเลยนะ” แย้งพลางชี้นิ้วไปยังโรงรถด้านหน้า ส่วนผู้เป็นเจ้าของรถก็มองตามพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ฉันเห็นเครื่องหมายคำถามฉายเด่นชัดบนหน้าเขาด้วยแหละ

          “อ๋อ เดี๋ยวก็มีคนขับรถเอาไปจอดให้เองแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เขาอธิบายสั้นๆ พลางหันมายิ้มอ่อนโยนให้ แล้วจากนั้นเจ้าของน้ำเสียงนุ่มละมุนก็ไล่ลงรถอีกครั้ง “ลงมาได้แล้ว ที่ไม่ยอมลงสักทีนี่คือจะให้ฉันอุ้มลงมาแบบนางเอกซีรี่ส์เหรอ?”

          “ไม่ใช่” ปฏิเสธห้วนทันควันก่อนปลดเข็มขัด ทว่าปลดเท่าไรก็ปลดไม่ออก ฉันเลยหันไปยังฝั่งคนขับเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ก็พบกับความว่างเปล่าเพราะเจ้าตัวลงไปแล้ว เมื่อเป็นดังนั้นฉันจึงพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยต่อไป

          ทางด้านคนตัวสูงเมื่อเห็นว่าคนในรถยอมออกมาสักที เขาจึงเปิดประตูข้างรถแล้วถามพลางเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย

          “ทำไมไม่ยอมลงมาล่ะครับคุณ? อย่าบอกนะว่ารอให้ฉันอุ้มลงไปจริงๆ อ่ะ”

คนถูกกล่าวหาว่าอยากโดนอุ้มอย่างฉันเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรถพลางสั่นหัวรัวๆ แล้วบอกเสียงแข็ง “จะบ้าเหรอ ฉันก็อยากลงจะตายอยู่ละ แต่ไอ้เข็มขัดเวรนี่มันปลดเท่าไรก็ปลดไม่ออกต่างหาก!

          “หืม?” คนเบ้าหน้าดีเหลือบตามองฉันแว็บนึงก่อนจะขยี้ผมตัวเองไปมา “โทษทีๆ พอดีรถคันเก่าน่ะ สงสัยมันคงเสีย เธอต้องกดแล้วดึงมันแรงๆ แบบนี้” เขาแจกแจงพลางกำมือหนาและทำท่าสะบัดแขนเหมือนคนกำลังดึงทึ้งอะไรบางอย่างกลางอากาศ ส่งให้ฉันถึงกับกลั้นขำไว้แทบไม่อยู่ก่อนจะทำตามบ้าง

          แต่แล้วกลับพบว่า... ไม่ได้ผล

        โฮลี่ชิท!

          คราวนี้ฉันเงยหน้ามองคนตัวโตอีกครั้ง สบตาอีกฝ่ายอย่างวิงวอนร้องขอ คาดหวังว่าคนตรงหน้าต้องทำอะไรสักอย่างบ้างสิ นี่ไม่อยากติดแหง็กอยู่ในรถคันนี้จนวันตายนะเฮ้ย

          “เอ่อ...”

          เจ้าของน้ำเสียงเข้มถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ย “ขอโทษนะเฌอลิน”

จากนั้นแคลคูลัสก็โน้มตัวเข้ามาในรถเพื่อปลดเข็มขัดเจ้าปัญหาให้ฉัน เป็นอีกครั้งที่กลิ่นน้ำหอมรัญจวนใจได้โชยมาแตะจมูก พลันหัวใจเจ้ากรรมที่เคยคิดว่าสงบก็ดันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ขณะที่นัยน์ตาสีเทาก็ลอบมองคนที่กำลังทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไม่เลิก

แล้วอยู่ๆ จิตใต้สำนึกก็สั่งให้ริมฝีปากหลุดเสียงพึมพำออกไป

          “ถ้าเกิดฉันหวั่นไหวกับนายขึ้นมาให้ทำไงเนี่ยแคล”

แม้เสียงที่เปล่งออกไปจะเบาแสนเบาแค่ไหน หากแต่เจ้าของชื่อกลับได้ยินชัดเต็มสองหู คราวนี้เจ้าตัวจึงละสายตาจากสิ่งที่ทำอยู่ขึ้นมามอง ขยับยิ้มบนดวงหน้าหล่อเหลานิดๆ และตรึงฉันไว้ด้วยแววตาอันอ่อนโยนคู่นั้น ก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงละมุน

          “ฉันก็จะรับผิดชอบด้วยการดูแลเธอไปตลอดชีวิตไงล่ะ”

          นิลสนิทนั้นตรึงดวงตาคู่เทาไว้ชั่วครู่ก่อนคนเบือนหน้าหนีฝ่ายแรกจะเป็นฉันอีกครั้ง ให้ตายสิ ทำไมต้องเป็นฉันอยู่เรื่อยเลยที่เป็นฝ่ายชิงหลบตาก่อนเสมอ

          บ้าบอชะมัด!

          “อะ เสร็จแล้ว” แคลคูลัสบอกยิ้มๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อย

          “ออกไปได้แล้ว ขอบคุณมาก” ไล่เขาไปไกลๆ ก่อนจะรีบพาตัวเองออกมาจากรถเจ้าปัญหา ส่วนคนถูกไล่ก็เดินเปิดประตูหลังรถแล้วคว้ากระเป๋าถือสีชมพูพาสเทลของฉันออกมา

          “นี่ของเธอใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวถือไปให้นะ” บอกพร้อมกับแย้มยิ้มหวานกริ่ม ส่งให้คนได้รับรอยยิ้มอย่างฉันแสร้งทำเป็นตีหน้าขรึมวางมาดแล้วพูด

          “ขอบคุณ”

          เอาจริงนะ ตั้งแต่เกิดมานอกจากพ่อก็มีเร็กตัสนี่แหละที่เป็นผู้ชายที่ใกล้ชิดฉันมากที่สุด

          แต่สองคนนั้นไม่เคยทำให้ใจฉันเต้นแรงได้บ่อยขนาดนี้เลย ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ทำให้ใจฉันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาได้อย่างผู้ชายข้างกายฉันอีกแล้ว

          โธ่ ยัยเฌอลิน นายแคลคูลัสอะไรนั่นไม่ใช่สเป็คเธอเลยด้วยซ้ำ!

          Damn it!

หลังจากนั้นเขาก็พาฉันเดินเข้าไปในบ้านสุดหรู สภาพแวดล้อมเหมือนกับละครหลังข่าวช่องหลากสีไม่มีผิด บางทีกองถ่ายละครพวกนั้นอาจจะมายืมสถานที่แห่งนี้ถ่ายทำก็ได้นะ เขาหยุดอยู่หน้าหญิงสาวท่าทางมีอายุที่สวมชุดกระโปรงขาวซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้วพลางขยับรอยยิ้มขรึมส่งให้หล่อน มาดทะเล้นที่เคยเห็นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ฉันอดแปลกใจไม่ได้ กระนั้นฉันก็ยกมือไหว้ซะสวยราวกับเป็นนางงามพร้อมกล่าวเสียงหวาน

“สวัสดีค่ะ รบกวนหน่อยนะคะ”

แล้วก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาท ไงล่ะ ที่บ้านฉันสอนมาดีมั้ย  แต่อีกฝ่ายกลับขำพรวดจนหลุดมาดขรึมที่วางไว้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าบ้าน

อะไรกันฟะตานี่ มีอะไรน่าขำไม่ทราบ!?

“ไหว้พระเถอะจ้ะ” หญิงกลางคนผู้นั้นยกมือรับไหว้ ดวงตาฉายแววอ่อนโยน

“น้าแจ๋วครับ เดี๋ยวช่วยเอาไอติมรสมิ้นท์ที่ซื้อมาเมื่อวานขึ้นไปให้ผมที่ห้องด้วยนะครับ” คำพูดเชิงออกคำสั่งเสียงเข้มดังขึ้น นี่น่ะเหรอคือคำทักของนาย!? เจอหน้าก็เรียกใช้แล้ว ไร้มารยาทสิ้นดี

“ได้เลยค่ะคุณหนู”

“เธอหิวมั้ย?” คนที่ฉันนึกนินทาในใจหันมาถามพลางเอียงคอเล็กน้อย

          “ไม่อ่ะ ไม่หิว รีบเรียนจะได้รีบกลับ” ปฏิเสธเสียงห้วนพลางกอดอก

โครก... คราก...

แต่ท้องฉันนี่สิมันดันไม่รักดีที่ร้องประท้วงซะดังจนผู้ชายคนเดียวที่ยืนอยู่นั้นหลุดขำ – ท้องเวร

“ไม่หิวเล๊ยยย อ๊ะ นั่นเสียงอะไรนะ? เสียงท้องน้าแจ๋วหรอครับ?” หมอนั่นขยับยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหาแนวร่วม ครั้นเมื่อคนถูกเอี่ยวสั่นหัวเป็นคำตอบ คนผิวขาวก็ยื่นหน้ามาหาฉันก่อนนึกสรุปเองเออเองเสร็จสรรพ นัยน์ตาสีดำทอประกายระยับติดจะขันนิดๆ “อ๋อๆๆ เสียงมาจากทางนี้นี่เอง ไหนว่าไม่หิวไงล่ะคร้าบคุณ”

“ฉันไม่หิว แต่ท้องฉันหิว จบนะ” พัฒนาสกิลการแถอีกครั้ง แถมยังทำสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งไม่รู้สึกรู้สากับท่าทางกวนโทสะนั้น ทั้งที่ในใจมันกรีดร้องเป็นบ้า ผู้ชายอะไรโคตรกวนตีนระดับล้าน

ขณะคนที่ฉันลงความเห็นว่าเป็นผู้ชายโคตรกวนตีนระดับล้านมีสีหน้าไม่เชื่อ แหงล่ะ ถ้าเชื่อก็โง่แล้ว หลักฐานเห็นอยู่ชัดๆ ว่าฉันหิวมาก หิวจนสามารถกินบ้านทั้งหลังได้

“อ้อ งั้นผมขอน้ำฟักทองปั่นหวานน้อยไม่ใส่น้ำแข็งด้วยนะครับน้าแจ๋ว” เขาบอกคนที่รอรับคำสั่งยิ้มๆ ส่วนฉันพอได้ยินว่าเป็นน้ำฟักทองเท่านั้นแหละก็หูผึ่งทันควัน อาการหงุดหงิดเมื่อครู่ค่อยคลายลง ก่อนทึกทักเอาว่านายวิศวะขี้อ่อยผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังโตชอบดื่มน้ำฟักทองเหมือนฉัน

“แต่คุณหนูไม่ชอบกินฟักทองไม่ใช่เหรอคะ?”

ฉันชะงักกึก ตกลงเดาผิดเหรอนั่น

“ไม่ใช่ของผม เป็นของยัยนี่ต่างหาก”

แก้ให้ถูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพลางชี้นิ้วมายังฉันซึ่งยืนทำหน้าตกใจเป็นรอบที่ล้านของวันนี้

เอ๋... ของฉันงั้นเหรอ? เขารู้ได้ไงว่าฉันชอบกินน้ำฟักทองปั่นหวานน้อยไม่ใส่น้ำแข็ง

“อ๋อ ได้ค่ะ”

ครั้นเมื่อคนรับใช้เดินจากไปแล้ว ฉันก็ทำเนียนด้วยการขยับตัวไปใกล้ๆ พลางกะพริบตาปริบๆ ราวกับว่า เฮลโล้วว นี่ฉันไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายสั่งมาให้ฉัน ไม่รู้จริงจริ๊ง

ดัดจริตชะมัด ชักเริ่มขยาดตัวเองซะแล้วสิ

“นี่นายเอามาให้ใครอ่ะ?” แสร้งถามเสียงเบาแล้วเอียงคอมองคนสูงกว่า อีกนิดฉันคงคอเคล็ดแล้วล่ะ

“ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าเอามาให้เธอ” คำตอบพร้อมรอยยิ้มยียวนทำให้ฉันอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แม้จะขี้อ่อยไปหน่อยแต่ก็ทำการบ้านมาดี – รู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยบอก

“รู้ด้วยนะว่าฉันชอบกินน้ำฟักทอง เก่งจริงๆ” เอ่ยชื่นชมลอยๆ พลางขยับรอยยิ้มพึงพอใจเล็กน้อย

“รู้ใจเธอขนาดนี้อยากให้ฉันเป็นคนรู้ใจเธอปะล่ะ?” ถามกลับพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง

“นายไม่รู้ใจฉันหรอก” ฉันแย้งยิ้มๆ ให้คนเป็นผู้ชายมีสีหน้าออกเหวอ ส่วนตัวเองก็นึกขำอยู่ในใจกับท่าทางตลกนั้นก่อนได้ทีแกล้งต่อไป “เพราะถ้านายรู้ นายจะไม่มีวันอ่อยฉันแบบนี้เด็ดขาด”

          กริบ...

พลันความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แคลคูลัสแอบมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนขยับริมฝีปากเป็นคำพูด

“ไม่ชอบให้อ่อยงั้นเหรอ...”

ยังไม่ทันที่ฉันจะหายใจได้ถึงเสี้ยวนาที รอยยิ้มกริ่มก็ปรากฏบนดวงหน้าคมคายนั้น แล้วเพียงคนตัวสูงเริ่มขยับเท้าเข้ามาหาเท่านั้นแหละ เท้าของฉันก็เผลอก้าวถอยหลังบ้าง

มันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับฉันแน่นอน!

ลางสังหรณ์ฉันบอกอย่างนั้น

แค่ก้าวปราดเดียว เขาก็ประชิดตัวฉันได้แล้ว แววตาขี้เล่นที่เคยฉายอยู่เป็นนิจบัดนี้เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ขณะที่ลางสังหรณ์ในตัวเริ่มร้องเตือนเสียงดังอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งว่า นายวิศวะขี้อ่อยต้องมีแผนทำเรื่องอันตรายชัวร์!!

แล้วลางสังหรณ์ก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังสักนิด

“งั้นรุกเลยละกัน”

ว่าจบก็ดึงฉันเข้ามาในวงแขนให้ไม่ทันให้ตั้งตัว ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่ม รุก’ ด้วยการโน้มหน้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ร้อนจนดวงหน้าของฉันแดงซ่าน สติวิ่งพล่านไปไกลลิบ ขณะที่ประกายประหลาดฉายชัดบนนัยน์ตาคู่คมนั้น ทำให้ฉันนึกก่นด่าตัวเองในใจว่าไม่ควรเป็นฝ่ายเปิดฉากตั้งแต่แรก และเพื่อไม่ให้อะไรๆ เลยเถิดไปมากกว่านี้ ฉันก็รีบส่งหมัดลุ่นๆ ใส่ท้องคนจู่โจมจนเขาต้องทรุดเข่าลงนั่งร้องโอดโอยกับพื้น

“อย่าทำแบบนี้ ออกไป”

แถมยังอุตส่าห์ตั้งสติได้ด้วยการไม่ตวาดเสียงกราดเกรี้ยวให้เสียภาพพจน์ตัวเอง ทำเพียงแต่พูดเสียงขรึม ตีหน้านิ่งที่บัดนี้สีระเรื่อยังไม่จางหาย ทั้งที่ในใจฉันมันกรีดร้องก่นด่าเป็นบ้าอยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ทำให้คนขี้อ่อยที่นึกอยากผันตัวมาเป็นฝ่ายรุกรู้สำนึกเลยสักนิด เมื่อรอยขันปรากฏขึ้นเด่นชัดบนดวงหน้าคมคาย ส่งให้ฉันรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกฉุนแกมอายโดยพลัน ความรู้สึกที่นานๆ ทีจะบังเกิดให้ฉันได้สัมผัสถึงแรงถีบของหัวใจอย่างรุนแรง ผสมกับความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าที่ไม่ยอมหายไปสักที

เลวร้ายที่สุด!

“เอ้า ไหนบอกไม่ชอบให้อ่อย ฉันก็คิดว่าเธอชอบแบบรุกเลย ไม่ต้องจีบกันเป็นปีให้เสียเวลา เจอหน้าก็...” ยังไม่ทันที่เจ้าของน้ำเสียงนุ่มจะท้วงเสียงเจือขันพลางหัวเราะนิดๆ จบ ฉันก็ตัดบทอย่างเหลืออดแล้วหันมาถลึงตาโตๆ ใส่ ประกายขุ่นฉายชัดในดวงตาสีเทา

“จะรุกหรือจะอ่อยก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ!

“เอ้า ไม่ชอบทั้งรุกทั้งอ่อย แล้วเธอชอบแบบไหนอ่ะ?” นัยน์ตาสีเหล็กคู่คมหรี่เป็นคำถาม ก่อนเจ้าตัวจะค่อยพยุงตัวเองให้ยืนขึ้นโดยไม่มีการซวนเซแม้แต่น้อย แหม อะไรจะแข็งแกร่งเบอร์นั้น

ฉันขึงตาขวางก่อนสะบัดเสียงใส่ “ไม่ชอบให้ใครมาจีบ”

“ฮะ?” ชายหนุ่มผู้จู่โจมทวนซ้ำด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนถามต่อ “ทำไมไม่ชอบอ่ะ?”

เห็นได้ชัดว่าหมอนี่อยากรู้เรื่องของฉันมากเกินไปแล้ว เพราะงั้นฉันเลยตอบด้วยถ้อยความที่มีนัยยะง่ายๆ ว่า อย่ากินเผือก’ นะคะ

“เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง”

แล้วก็แยกเขี้ยวใส่จอมกวนประสาทด้วยความหงุดหงิดเต็มหัวใจก่อนหันหลังให้ จากนั้นจึงก้าวฉับๆ หนีออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะเสียงเบาแล้วตะโกนถาม

“ฮะๆๆ แล้วนั่นจะเดินไปไหนอ่ะเฌอลิน”

“จะไปหาที่นั่งสอน ฉันเสียเวลากับเรื่องไร้สาระมามากพอแล้ว!”

          “ที่นั่งสอนงั้นเหรอ?” เขาทวนซ้ำ เลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยบนดวงหน้าหล่อที่บ่งบอกถึงอาการมึนงงชัดเจน “ก็สอนข้างบนไงครับเฌอลิน”

          “ขึ้นไปห้องนายอ่ะนะ?” ฉันหันกลับมามองคนที่ยืนห่างประมาณห้าเมตรแล้วถามเสียงสูง ทำสีหน้าประมาณว่า นั่นนายพูดอะไรออกมา มีสติหรือเปล่า? เชิญรับยาช่องสองได้นะ

          คนได้ยินหลุบตาลงต่ำพลางเกาจมูกด้วยท่าทางเขินอายจนทำให้ฉันชักเริ่มรู้สึกแปลกๆ ก่อนคำตอบที่ได้รับจากเจ้าของน้ำเสียงทุ้มที่ว่างึมงำจะทำให้ฉันผงะหงาย

“ไม่ใช่แล้วมั้ย ขืนไปห้องฉันก็เจอหนังโป๊สิ... ”

“หา?” ฉันถอยหลังกรูดจากห้าเมตรเพิ่มเป็นเจ็ดเมตรทันควัน

          “ฉันเป็นผู้ชายนะ ไม่ดูหนังโป๊ก็แปลกล่ะ”

บอกเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปกติพลางสาวเท้าตรงมายังฉัน เท่านั้นแหละปากก็อ้าทันควัน ตั้งใจจะตะโกนออกไปว่า อย่าเข้ามานะยะตาบ้า ><’ แบบนางเอกโลกสวย แต่จำต้องหุบลงไปเพราะหมอนั่นไม่ได้เดินมาหาฉัน เขาเลี้ยวขวามือแล้วขึ้นบันไดขนาดใหญ่โดยไม่สนใจคนอย่างฉันที่ยืนนิ่งอ้าปากค้างแม้แต่นิด

ดีแล้วๆ อย่ามาใกล้ฉันนักเลย – คิดพลางถอนหายใจอย่างโล่งโอก

“เอ้า รีบตามขึ้นมาสิครับครู” เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมเดินตามมาสักที นายแคลคูลัสก็หันมาบอกหน้าซื่อๆ ชนิดที่ว่าดูยังไง๊ ยังไงก็รู้ว่าเสแสร้งชัดๆ

          “ไม่ นายดูอันตรายเกินไป” ยืดตัวขึ้นพลางเชิดหน้าก่อนบอกเสียงแข็ง

          “แหม ทำเป็นรับไม่ได้ เชื่อเถอะว่าหมอเร็กของเธอก็ดูเหมือนกันนั่นแหละ” เขาพูดเสียงเนือยพร้อมทำหน้าระอาเล็กน้อย

          “หมอเร็กของฉัน?” ทวนเสียงสูงแล้วกลอกตามองบน “นายจะบ้าเหรอ ฉันกับเร็กตัสไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่เพื่อนสนิทกันเท่านั้นย่ะ!

          “ดูแลกันขนาดนั้นระวังจะกลายเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนะ”

          “ไม่มีทาง” ฉันเบ้ปาก

          “เอ้า แล้วนี่ยืนนิ่งทำไม ขึ้นมาได้แล้ว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก” เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย

“ฉันไม่ไว้ใจนาย” ยังคงยืนยันด้วยประโยคเดิม ท่าทางเดิม สีหน้าเดิมวนไป “อีกอย่าง นายยังไม่บอกฉันเลยว่าเราจะเรียนกันที่ไหน”

          “ข้างบนไง” แคลคูลัสตอบพลางเอียงคอเล็กน้อย

“ฉันรู้แล้วว่าข้างบน แต่ไอ้ข้างบนที่ว่านั่นมันห้องไหนล่ะ?” เสียงของฉันเริ่มดังขึ้น ให้ตายสิ หมอนี่ชักจะกวนประสาทฉันมากขึ้นซะแล้ว อยากให้หน้าหล่อๆ มีรอยบาทามากนักใช่มั้ย?

“ห้องอ่านหนังสือ”

          “โอเค”

          “ทีนี้ตามมาได้ยัง”

          “ได้ แต่นายต้องอยู่ห่างจากฉันสองเมตรเป็นอย่างน้อย” ยื่นข้อเสนอด้วยสีหน้าจริงจังขึงขัง

“โอ๊ยแม่คุณ จะอะไรนักหนา ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก ตามมาเร็วๆ เถอะน่า” คราวนี้เขาเริ่มขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นอาการของคนรำคาญ เยี่ยมไปเลย ที่นี้ล่ะเขาจะได้เลิกอ่อยฉันสักที!

“ได้” ฉันบอกก่อนจำต้องเดินตามขึ้นไปยังห้องอ่านหนังสือด้วยการเว้นระยะห่างจากหมอนั่นสองเมตรเป็นอย่างน้อย จากเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว เห็นทีนอกจากจะลิสต์รายชื่อนายแคลคูลัสเป็นบุคคลต้องห้าม เลี่ยงเจอได้ให้เลี่ยงแล้ว ฉันคงต้องไฮไลท์เน้นๆ เลยว่า

นี่คือบุคคลอันตราย ไม่ควรเสี่ยงอยู่ใกล้เกินสองเมตร

คิดพลางยกสองมือขึ้นมาประกบกันแล้วภาวนากับตัวเอง อ้อนวอนร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกป้องคุ้มครองฉันจากนายแคลคูลัสตัวร้าย หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์บ้าๆ แบบนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง รวมทั้งหวังว่าเขาจะไม่ทำให้ใจฉันเต้นไม่สงบเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์เถอะ ไม่ช่วยอะไรฉันสักนิด!

และนั่นทำให้ฉันเริ่มด่าตัวเองว่าโง่อีกครั้ง

ไม่ควรเลย... ไม่ควรหลงเชื่อนายแคลคูลัสเลย

 

 

สวัสดีค่ะ

คีตาสีเงิน JLS05 Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย เองนะคะ

            เครียดจังเลย... อยู่ๆ ต้องมาเขียน character แบบแคลคูลัส บ้าบอชะมัด (ติดจากเฌอลิน) ผู้ชายอะไรนอกจากขี้อ่อยแล้วยังมีความหื่น ToT

ก่อนอื่นต้องขอบคุณคอมเม้นจากพี่ลูกชุบ (กรรมการ) มากเลยนะคะ อย่างที่พี่ชุบบอก เขียนแฟนตาซีภาษาอลังแล้วให้มาเขียนแนวแบบนี้ มันยาก ตอนนี้หนูก็กำลังพยายามปรับ ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า มันเป็นงานที่ท้าทายมากๆ เลยค่ะ แต่พอทำไปทำมาก็ชักเริ่มสนุกซะแล้วสิ :D

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะที่มาเม้นและโหวตให้กำลังใจ อยากบอกว่าอ่านทุกเม้นเลยนะ :D ยังไงวีคนี้ฝากเนื้อฝากตัวอีกรอบด้วยนะคะ หวังว่าแคลคูลัสคงทำให้ทุกคนยิ้มได้ ^_^           

งวดนี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากมาพูดคุยกับเรา ตามมาที่นี่เลยเฟซบุ๊คแฟนเพจ คีตาสีเงิน หรือจะเป็นทวิตเตอร์ @mieltiz แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ค่อยเล่น มีไว้ขายนิยายอย่างเดียว ฮา โกโกววววว

รักใคร ชอบใคร เชียร์ทีมไหน อย่าลืมใส่ #แคลคนอ่อยแรง #หมอเร็กคนนิ่ง ด้วยนะฮะ

ท้ายสุดแล้ว... กราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์สวยๆ สำหรับคอมเม้นและแรงโหวตที่ทุกคนมอบให้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมีความสุขกับตัวอักษรที่เราบรรจงร้อยเป็นเรื่องราว

ขอบพระคุณที่ช่วยสานฝันให้เราค่ะ ขอบคุณจริงๆ

ด้วยรัก

คีตาสีเงิน

ปล. อิมเมจของเฌอลินรอบนี้ขอส่ง เทย์เลอร์ สวิฟต์ มาให้นะคะ 555555 อันที่จริงไม่เคยมีใครในหัวเลย เพราะตอนเขียนนี่คิดถึงแต่หน้าตัวเอง อยากเป็นเฌอลินมั่งไรมั่ง เลยโนสนโนแคร์อิมเมจสักเท่าไร แต่รูปนี้ที่เลือกมาดูเหมาะกับนางดีนะคะ สวยเลือกได้ 55555

 

ปลล. ไปเรียนละ อาจารย์มองแรงแล้ว T___T

 

ความเห็นที่ปักหมุด
  1. #16 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-30 04:36:14
    อืมมมมมมมม
    อ่านจบแล้วคอมเม้นไม่ถูก 555555 เหมือนว่ามันไม่มีอะไรแย่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ แต่ก็ไม่น่าตื่นเต้นเหมือนกัน พี่ว่าแคลคูลัสยังดูแรนด้อมไปหน่อย แบบว่า ทำไมชอบนางเอกอะไรขนาดนี้ ทำไมรุกขนาดนี้ แล้วคำพูดหวานๆ มันดูไม่น่าเชื่อถืออ่ะ อ่านแล้วดูกะล่อนมากกว่า แต่พี่เดาว่าเราก็น่าจะอยากได้คาแรคเตอร์ประมาณนี้ป่ะ แบบทะเล้นๆ ไรงี้ เหมือนที่บอก อ่านแล้วมันยังรู้สึกไม่ได้คล้อยตามไปกับเรื่อง อาจจะเพราะว่ามันดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น ไดอะลอคก็ไม่ได้หวือหวา เหมือนอ่านได้เรื่อยๆ อ่ะ พี่ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะ แต่อยากเห็นอะไรที่มันสดชื่น ที่มันใหม่มากกว่านี้ จริงๆ แล้วคาแรคเตอรี์นางเอกเรามาถูกทาง มาแนวตลกเปิ่นโก๊ะแต่มีความซ่าๆ มันน่าจะจับไปวางในฉากที่น่าสนใจกว่านี้หน่อย แล้วก็จริงๆ เคมีตัวละครมันง่ายไป เช่น แคลจีบ นางเอกก็เหมือนจะชอบ มันเหมือนไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ถ้าเกิดไม่มีอะไรมาทำให้น่าตื่นเต้นอีกไม่กี่ตอนก็จบได้แล้ว ทำนองนี้

    ยังไงรออ่านตอนต่อไปนะคะ สำนวนปรับแล้วอ่านง่ายขึ้นนะ แต่ยังมีนัยน์ตาสีเหล็กแว่วๆ มาให้เห็น 55555 ถึงบอกว่าจริงๆ เราลองอ่านแบบ คำบรรยายที่เหมือนเราเล่าให้เพื่อนฟังอ่ะ คำไหนที่เราจะไม่ใช้เล่าให้เพื่อนฟัง นางเอกก็ไม่น่าจะใช้บรรยายตัวพระเอกเหมือนกัน
    #16

15 ความคิดเห็น

  • 1
  • 2
  1. #2 Zane Ter (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 11:39:56
    ตอนแคลคูลัสมารับที่คอนโดนี่แทบจะเปลี่ยนจากทีม #หมอเร็กคนนิ่ง มาทีม #แคลคนอ่อยแรง
    จินตนาการาพตามแล้วมันดูดีกว่าตอนก่อนหน้า 555 มันดูน่ารักขึ้น นึกถึงคนรู้จักบางคนเลย

    แต่ไหงพอมาบ้านแล้วมันกลับตาลปัตรจาก #แคลคนอ่อยแรง เป็น #แคลคนหื่นหนัก ไปได้อะ พอบอกไม่ชอบให้อ่อยก็รุกเลยอะ โหดสัส 555

    ย้ายๆๆๆ ย้ายทีมกลับมาอยู่ทีมหมอเร็กตามเดิม
    โกรธ

    เรื่องเริ่มเร้าใจแล้ว แคลก็เริ่มรุกแล้ว เฌอลินอะจะเผลอใจหลงมันหรือยัง อยากอ่านตอนหน้าแล้วว่าแคลจะทำอะไรเฌอลินอีก นี่พาขึ้นชั้นบนด้วย ม่ายยยยยย!!! อย่าทำอะไรเฌอลินนะ 

    อยากถามเฌอลินเป็นการส่วนตัวว่า ค่าเรียนที่แคลจ่ายเนี่ย...คุ้มมั้ย?
    555


    #2
  2. #3 Marshmallows. (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 11:48:38
    ชั้ลขำมุกเสื้อใน อับอายแทนเธอจริงๆ 55555555
    เจ้าแคลนี่อ่อยแรง แล้วยังหื่นแรงอีก ยังไม่แน่ใจเลยว่าผญเค้าชอบยัง
    มาแซวบนตงบนเตียง ถ้าไม่หล่อนี่บอกเลย นกแน่ หมั่นไส้นัก 55555555

    ฮืออ แต่แอบเขินฉากถอดเข็มขัดนิรัยให้ รู้สึกว่าฉากนี้พระเอกดูน่ารักขึ้นมา
    อะไรนะ นี่กำลังหวั่นไหวตามเฌอลินหรอ มรั่ยยยยย
    แต่เอาจริงๆ นางเอกหวั่นไหวขนาดนี้ก็ยอมรับไปเถอะ เดี๋ยวก็ทะลุเข้าไปในจอแย่งมาเลยนี่
    หล่อ รวย เพอร์เฟ็กต์ขนาดนี้
    #3
  3. #4 paploy♡ (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 16:29:35
    แคลน่ารักจัง อ่อยๆ หื่นๆ รักเลย
    #4
  4. #5 paploy♡ (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 16:29:36
    แคลน่ารักจัง อ่อยๆ หื่นๆ รักเลย
    #5
  5. #6 paploy♡ (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 16:29:40
    แคลน่ารักจัง อ่อยๆ หื่นๆ รักเลย
    #6
  6. #7 paploy♡ (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 16:29:40
    แคลน่ารักจัง อ่อยๆ หื่นๆ รักเลย
    #7
  7. #8 paploy♡ (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 16:29:40
    แคลน่ารักจัง อ่อยๆ หื่นๆ รักเลย
    #8
  8. #9 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-24 22:59:07
    ฉากที่แคลบอกว่า 'ขอโทษนะเฌอลิน' นี่ใจเต้นแรงล้านครั้งต่อวินาทีประหนึ่งเป็นนางเอกเอง 555555 ถึงอิตาแคลจะขี้อ่อย แต่บ้านรวยให้อัยได้นะคะ 55555//ไม่ใช่ล่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  //สู้วๆ
    #9
  9. #10 (จากตอนที่ 3)
    2017-01-25 07:44:01
    โอ๊ยยยยสนุกกกกก เจอแบบนี้เข้าไปเฌอลินไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว
    นี่มโนว่าตัวเองเป็นเฌอลิน ยังยิ้มแก้มแทบแตก >\\\<
    เอาเซ่ #แคลคนอ่อยแรง มีความ(แอบ)หื่น และรุกเข้าให้แล้วไง

    อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว นผ พร้อมรับการอ่อยแรงจากแคลแล้ว เย้ยยยย

    #10
  10. #11 Kyoha (จากตอนที่ 3)
    2017-01-25 11:29:20
    ผช.ขี้อ่อยนี่มัน...

    ฮึ่ยยยยย... (พูดไม่ออก บอกไม่ถูก แต่หมั่นหน้ามากกกกก)

    นี่ทีมหมอเร็กนะ... แต่เจอความอ่อยนี้แล้วแบบ...

    โอเค เข้าใจแล้วว่าทำไมเอ็งได้เป็นพระเอก 55555555555555

    ฮึบๆ... เรื่องงานสู้ๆนะจ๊ะมาดามนผ.
    #11
  • 1
  • 2

แสดงความคิดเห็น