คีตาสีเงิน

[JLS05] Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย

หนุ่มวิศวะหน้ามนคนนั้นน่ะไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่รักเขาในวันที่เขากำลังจะเทฉัน! อ้าวเฮ้ย อ่อยให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ!

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 6/7 :: นี่ไม่ใช่การร้องไห้ มันเป็นแค่น้ำที่ไหลออกจากตาเฉยๆ

ตอนถัดไป

6

นี่ไม่ใช่การร้องไห้ มันเป็นแค่น้ำที่ไหลออกจากตาเฉยๆ








ฉันหันหลังขวับเตรียมเดินหนีด้วยอารมณ์คุกรุ่นอยู่ในอกราวกับภูเขาไฟพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อพบคนที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอในตอนนี้กำลังยืนขวางทางอยู่

เร็กตัสในชุดนักศึกษาอยู่ตรงหน้าฉัน ดูท่าเขารีบมากจนถึงขั้นลืมถอดเสื้อกาวน์ตอนออกนอกโรงพยาบาลเลยทีเดียว ระยะห่างของเราสองคนตอนนี้ใกล้กันชนิดที่ว่าถ้าฉันก้าวไปข้างหน้าอีกเพียงก้าวเดียวก็คงเหยียบปลายรองเท้ามันวาวนั่นแล้ว

“อ้าวเร็ก ไหนว่าจะติวให้เพื่อนไง ^^” ฉันแสร้งทักด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ถ้าฟังให้ดีจะพบว่ามันสั่นเครือคล้ายกับคนใกล้จะร้องไห้ แถมตอนนี้ฉันยังรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบริเวณขอบตาด้วย ดูเหมือนเพื่อนเรียนหมอของฉันจะจับความผิดปกตินี้ได้ล่ะมั้ง เจ้าตัวถึงได้เอ่ยประโยคพิลึกออกมาเสียงขรึม

“อยู่ๆ ก็รู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมา เลยแวบออกมาดู... ”

“เฮ้ย ฉันโคตรโอเคเลย ^_^” ฉันฝืนยิ้มแบบสุดๆ ทั้งที่ใจมันตะโกนว่า I’m not okay at all!

“โอเคที่ไหนล่ะ อย่าเพิ่งร้องตอนนี้นะ” เร็กตัสทอดนัยน์ตาสีเข้มมองฉันด้วยท่าทางนิ่งสงบดั่งสระน้ำที่หยั่งลึกไม่ถึง หากแต่ฉันกลับรู้สึกอบอุ่นประหลาด

นี่ไม่สมควรเป็นคำตอบสักเท่าไรนะหมอ...

“ใครร้อง บ้าเปล่า” ฉันปฏิเสธแล้วฝืนยิ้มสุดขีดอย่างคนพยายามกลบกลื่น แต่มันก็ไม่สามารถปิดคนตรงหน้าได้เลยสักนิด เพราะคราวนี้มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือฉันไว้พร้อมด้วยเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง

“หนีแบบนี้ไม่สมกับเป็นเธอ”

“อะไร?” ฉันมองมือนั้นสลับกับหน้าหล่อๆ ของหมอน้ำแข็งด้วยสายตาที่บ่งชัดว่าไม่เข้าใจ อย่ามาหาเรื่องให้ฉันเลย แค่นี้เรื่องก็เยอะมากพอแล้วหมอ

“มากับฉัน” คำสั่งเรียบๆ ที่ทำให้ฉันเบิกตากว้าง แล้วโดยไม่ทันตั้งตัวขาฉันก็ดันไม่รักดีเดินตามคนตัวสูงต้อยๆ จนหยุดอยู่ที่คู่หนุ่มสาวที่มีสีหน้าออกเหวอ

จะพูดให้ถูกก็คือตอนนี้เราสองคนยืนอยู่หน้านายแคลคูลัสกับยัยวงเวียนอะไรนั่นแล้ว!!

“ถ้าว่างมาจีบกันขนาดนี้ ฉันว่าเอาเวลาไปแก้เอฟดีกว่ามั้ย แคลคูลัส”

คำตำหนิที่ดังขึ้นจากริมฝีปากนักศึกษาแพทย์ทำเอาฉันผงะ เงยหน้าขึ้นมองคนถูกว่าที่มีสีหน้าจืดเจื่อนเล็กน้อย ก่อนนายแคลคูลัสจะแกะมือยัยวงเวียนที่หน้าเสียพอกันออกแล้วถามเสียงดัง แววตาเปี่ยมไปด้วยความงุนงงอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้ยไอ้เร็ก อะไรของแกวะ!?”

คนถูกถามเหยียดรอยยิ้ม นัยน์ตาดำฉายรอยหยันปรายมองหญิงสาวตัวเล็กน่าทะนุถนอม “จีบเฌอลินอยู่ไม่ใช่รึไง? ทำไมมาควงผู้หญิงคนนี้ได้?”

“อย่าพูดหมาๆ มันไม่ใช่อย่างที่แกคิด” แคลคูลัสแค่นเสียงพลางตีสีหน้าขรึมอย่างคนพยายามข่มอารมณ์โกรธ ส่วนวิเวียนก็รีบเอ่ยเสียงหวานขึ้นมาอย่างหวังจะหล่อน้ำแข็งตรงหน้าให้เย็นแข็งเช่นเดิม

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ มันเอ่อ... ไม่ใช่ –”

แต่ดูเหมือนจะเป็นการหลอมละลายเสียมากกว่า เพราะตอนนี้ฉันสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่กระจายรอบน้ำแข็งจนเหงื่อฉันออกแล้ว ถ้าฉันเป็นแม่นั่น ฉันจะไม่มีทางเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยการสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นเด็ดขาด

“เธอก็เหมือนกัน เป็นผู้หญิงมาเที่ยวควงผู้ชายก่อนได้ยังไง” เขากล่าวเสียงนิ่งก่อนเหยียดรอยยิ้มอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเสียวสันหลังวาบ ยิ่งคำพูดถัดมายิ่งทำให้คนฟังหน้าถอดสี “...มันไม่งาม”

เจ็บ... คำสั้นๆ แต่จี๊ด ฟังแล้วยังเจ็บแทน

ฉันลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“เฮ้ย มันจะมากไปแล้วนะเว้ยไอ้เร็ก!” แคลคูลัสขึ้นเสียงด้วยความโกรธ แววตาทอประกายวาวโรจน์ประสานกับแววตาเย็นเยียบดุจดั่งน้ำแข็งของเร็กตัส แล้วเพียงทันใดคนเรียนวิศวะก็รีบเบนหน้ามายังฉัน เอื้อมมือประหนึ่งต้องการจะคว้าตัวฉันไว้ แต่เร็กตัสกลับฉุดฉันไปด้านหลังซะก่อน

แคลคูลัสปรายตามองคนฉุดด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนเบนมาทางฉันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เฌอลิน เธอต้องฟังฉัน”

ทว่าฉันเผลอก้าวถอยหลังทันทีที่เผลอสบดวงตาคู่นั้น มันมีกระแสวิงวอนร้องขอแฝงอยู่ หากแต่มันก็ทำให้หัวใจของฉันกระตุกวูบก่อนเต้นผิดจังหวะ บังเกิดความหวาดหวั่นแล่นวาบเข้ามาในจิตใจ แล้วคำพูดณิชาก็ลอยแวบเข้ามาในหัว

‘หล่อ คารมดี มีสาวๆ ในสต็อกเพียบ ประมาณว่าอกหักวันนี้ ไม่ถึงสามสิบนาทีมีคนมาดามใจแล้ว’

และตอนนั้นเองที่ในใจฉันราวกับมีเพลิงไฟมหึมาสุมอยู่ เมื่อฉันตระหนักถึงความจริงบางอย่างที่ว่า... การอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้อันตรายเกินไปสำหรับฉัน หากใกล้กันมากกว่านี้บางทีฉันอาจจะเผลอใจหวั่นไหวไปกับนายวิศวะขี้อ่อยแล้วก็ได้



ทั่กๆๆๆ

เสียงวิ่งลงส้นเท้าหนักๆ ดังขึ้นขณะที่ฉันมุ่งหน้าไปยังชมรมคณิตกร โชคดีที่ตอนนี้เย็นมากแล้วเลยทำให้ไม่มีคนอยู่ ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วปิดลงปัง! หันหลังพิงกำแพงพลางยกมือปาดน้ำตาที่เปื้อนหน้าออกไปพร้อมกับส่งเสียงสะอื้นฮักๆ

ร้องไห้ทำไม?

เสียงในใจดังขึ้น

กะอีแค่ผู้ชายขี้อ่อยที่มาจีบก็แค่นั้น ฉันไม่ได้สนใจเขาสักหน่อย ดีซะอีกที่รู้อย่างนี้ ฉันจะได้เลิกยุ่งกับเขาสักที!

คิดพลางเม้มริมฝีปากและยกมือปาดน้ำตาอีกครั้ง แต่แล้วทันใดนั้นเสียงแชทเฟซบุ๊คก็ดังขึ้น ฉันหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเพื่อเปิดดู ก่อนจะพบว่ามันเป็นเมสเสจจากไอ้คนต้นเหตุที่ทำให้ฉันบ่อน้ำตาแตกอยู่อย่างนี้

Cal Calculus : ไว้อารมณ์เย็นค่อยมาคุยกันนะ
Cal Calculus : ฉันจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังพรุ่งนี้ตอนเจอกัน

อธิบายงั้นเหรอ?

ใครจะไปอยากฟัง หลักฐานก็เห็นอยู่เต็มตา!

ฉันเบ้ปากอย่างอารมณ์เสียก่อนจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยวนาทีด้วยซ้ำ ว่ากันว่าที่พิมพ์ได้เร็วขนาดนี้เป็นเพราะความโกรธด้วยส่วนหนึ่ง

Sherlyn Sherliya : ฉันคงไปสอนนายไม่ได้แล้ว
Sherlyn Sherliya : ขออนุญาตเลิกสอนถาวร
Sherlyn Sherliya : ขอโทษด้วย

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายกดอ่าน ฉันก็รีบบล็อกนายแคลคูลัสแล้วเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าทันที เสียงสะอึกสะอื้นเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องร้องไห้ด้วย

เอี๊ยด

เสียงเปิดประตูดังขึ้นพาให้ฉันรีบปาดน้ำตาออกไปลวกๆ ก่อนหันมองคนมาใหม่ พบเร็กตัสสะท้อนผ่านม่านน้ำตา กระนั้นแล้วฉันก็ยังอุตส่าห์แสร้งส่งเสียงร้องทักสดใส ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่ ทุกอย่างเป็นแค่การแสดงเท่านั้น

“อ้าวเร็ก มาคนเดียวสินะ”

ถามทั้งที่ใจอยากให้เดือนวิศวะวิ่งตามมาด้วยแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับพยักหน้าด้วยท่าทางนิ่งสงบเช่นเคย นั่นทำให้ทำนบอารมณ์ฉันใกล้พังพินาศเลยทีเดียว

“แล้วแคลคูลัส...” ฉันเปรยขึ้นมาเสียงเบา เรียกให้ผู้ชายคนเดียวในห้องหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างสงสัย “กลับกับผู้หญิงคนนั้นแล้วใช่มั้ย?”

แทนที่คำตอบด้วยการพยักหน้าอีกครั้ง คราวนี้ฉันถึงได้หัวเราะฝืดเฝื่อน ฝืนทำท่าเริงร่าเข้มแข็งที่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นการเสแสร้งชัดๆ

“อยากร้องก็ร้องออกมา ไม่ต้องแกล้งหัวเราะอย่างนี้หรอก” ถ้อยความพูดดักเอ่ยดัง แววตาเปี่ยมไปด้วยประกายเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ฉันถึงได้ขยับมือไม้ที่เริ่มสั่นเทาขึ้นเสยผมเพื่อดึงสติที่พลุ่งพล่านให้สงบอยู่อย่างนี้

แต่เรื่องแค่นี้กลับทำได้ยากเย็นเหลือเกิน

“บ้า ไม่ร้อง ใครจะไปร้อง” ปฏิเสธเสียงสั่นเครือพลางสูดน้ำมูกฟึดฟัด “ส่วนเสียงหัวเราะเมื่อกี้นี้ก็ของแท้ ไม่ผสมครีมเทียม”

หยอดมุกลงไปเพื่อหวังให้คนได้ยินขำ แต่เพื่อนสนิทของฉันดันไม่ขำไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าเสียงสั่นเครือนั้นบ่งอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ชัด

“แล้วที่มันไหลอาบแก้มอยู่ล่ะ” คนตัวสูงขยับเท้าเข้ามาหาฉันเล็กน้อยพลางมองด้วยแววตาประหลาดที่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไร

“นี่ไม่ใช่การร้องไห้ มันเป็นแค่น้ำที่ไหลออกจากตาเฉยๆ” ฉันยักไหล่แล้วหัวเราะ ขณะที่เนื้อตัวบัดนี้สั่นเทาไปหมด หยดน้ำใสเริ่มไม่รักดีด้วยการไหลนองหน้าอีกครั้ง เล่นเอาคนมองถึงกับถอนหายใจและส่ายหน้าก่อนขยับเข้ามาใกล้ฉันอีกนิด

“ไม่ต้องฝืนก็ได้นะเฌอลิน” เขาบอกเรียบๆ

“ฝืนอะไร ฉันไม่ได้ฝืนเลย” ฉันก้มหน้างุดพลางสูดน้ำมูกอีกครั้ง พยายามกลบซ่อนน้ำเสียงสั่นพร่าแต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย เพราะเจ้าตัวจับโกหกฉันได้ตลอด “ไม่ได้ฝืนจริงๆ นะเร็ก... ”

เพียงแค่นั้นคนตรงหน้าก็เชยคางมนของฉันให้เงยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทำให้ฉันจำต้องสบประสานกับดวงตานิ่งสงบของเร็กตัส คราวนี้อย่าว่าแต่น้ำเสียงที่ปิดไม่มิดเลย น้ำใสที่เอ่อคลอเบ้าเองก็ปิดไม่มิดด้วยด้วย ชายหนุ่มจึงยกมือใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของฉันอย่างแผ่วเบา

ในกลางเสียงสะอื้นคือเสียงปลอบของเขา

“อยู่กับฉันเธอไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลาหรอกนะเฌอลิน”

ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธทำให้กำแพงความเข้มแข็งของฉันพังทลายลงครืน ก่อนเร็กตัสจะดึงตัวฉันไปกอดอย่างปลอบประโลม จนฉันลืมศักดิ์ศรีทั้งหมดทั้งปวงด้วยการปล่อยโฮอย่างไม่อายใคร



แม้จะเลิกซัดโฮไปนานแล้ว แต่นัยน์ตายังคงบวมช้ำผสมกับความหงุดหงิดและกระดากอายหลังจากรู้ตัวว่าซบอกคนเรียนหมอไปนานจนยัยณิชาที่เข้ามาใหม่ถึงขั้นตกใจ แต่หลังจากได้ระบายน้ำตาแล้วกลับรู้สึกสบายใจพิลึก ราวกับว่าความว้าวุ่นใจทั้งหมดที่มีพลันหายไป และผลจากการร้องไห้หลายชั่วโมงนี้แหละก็ทำให้เราสามคนยังคงสิงอยู่ในชมรมคณิตกรยามมืดค่ำ

“บ้าชะมัด ทำไมต้องร้องไห้ด้วยก็ไม่รู้” ฉันบ่นงึมงำพลางถูปลายจมูกที่แดงไปมาอย่างไม่กลัวซิลิโคนหัก

“...” เร็กตัสมองหน้าฉันนิ่งๆ เป็นคำตอบ ส่วนยัยณิชาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเปรย

“นี่เพิ่งเตือนแกไปหยกๆ ไม่นึกว่าจะเจอจริงๆ”

“ช่างมันเหอะแก ดีนะที่ฉันไม่ได้ชอบหมอนั่นขนาดนั้น”

“ขนาดแกไม่ได้ชอบนะยังร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ ถ้าเกิดแกชอบมันขึ้นมาจริงๆ นี่ไม่ร้องไห้จนตายเลยเหรอวะ” ณิชาสันนิษฐานพลางมองหน้าฉันสลับกับหน้าหมอเร็กแล้วขยี้ผมอย่างไม่เข้าใจ “เออ แล้วนี่แน่ใจแล้วใช่ปะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นกิ๊กไอ้แคลอ่ะ หมอเร็ก”

“ไม่รู้สิ” คนถูกถามส่ายหน้าแล้วกล่าวต่อเสียงเบา “แต่เห็นแบบนั้นแล้วฉันไม่อยากให้เฌอลินยุ่งกับแคลคูลัสอีก”

เขาเหลือบมองฉันก่อนขยับยิ้มบางให้ เห็นรอยห่วงใยฉายชัดอยู่ในแววตา ก่อนคนตัวสูงจะโอบไหล่ให้ศีรษะของฉันซบลงบนบ่าเขาประหนึ่งต้องการจะปลอบประโลม

“อื้ม นั่นสิ ฉันก็ไม่อยากให้แกเสียใจอีกแล้ว”

ณิชาเสริมพลางยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือมากุมฉันไว้ด้วยความรัก อบอุ่นใจเหลือเกินที่มีเพื่อนแสนดีแบบนี้

“เฮ้ย ไม่ได้เสียใจ ฉันมีในสต็อกอีกเพียบ” ฉันบอกเสียงใสแล้วสูดน้ำมูกอีกครั้ง หัวยังคงอยู่บนบ่าเร็กตัส “เมื่อวานยังคุยกับอีธานแล้วก็มิเกลอยู่เลย ฮ่าๆ”

“นึกว่าเธอเทหนุ่มบริติชไปแล้วซะอีก... ” เร็กตัสพูด แต่ดูคล้ายกับพึมพำกับตัวเองมากกว่า เขาเหลือบตามองฉันนิดๆ แล้วถามต่อ “มิเกลนี่ชาติไหนอีกล่ะ”

เสียงหมอนั่นฟังดูระอาใจกับพฤติกรรมฉันนิดๆ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันก็คือฉัน ฉันที่เป็นแบบนี้นี่แหละ บอกตามตรงว่าตอนนี้ก็ยังสงสัยไม่หายเลยว่าทำไมต้องร้องไห้หนักมากด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่ในสต็อกยังมีให้คุยอีกเพียบ...

อาจเป็นเพราะว่าเวลาคุยกับแคลคูลัส มันเหมือนกับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ฉันลืมบรรดาหนุ่มๆ ในสต็อกทั้งหลายไปสิ้น ลืมทุกอย่างทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

ฉันลืมแม้กระทั่งวิธีการคุมใจตัวเอง

“สเปนไง ที่ไปเที่ยวบัคกิ้งแฮมตอนนั้นอ่ะ” ฉันผละออกมาจากไหล่เร็กตัสแล้วเล่าเป็นฉากๆ อย่างกระตือรือร้น จำได้ว่าตอนได้ทุนไปอังกฤษกับณิชา เร็กตัสก็ไปเที่ยวช่วงนั้นด้วย เราสามคนเลยได้ไปตามรอยเมืองผู้ดีด้วยกันเลย “ที่อยู่ๆ นางก็มาคุยกับฉัน คุยไปคุยมาก็ขอวอทแอพไง นี่ก็ให้เพราะเห็นว่าคุยถูกคอดีอ่ะ”

“อ๋อ ไอ้คนหน้าดีที่เตี้ยไปหน่อยอ่ะนะ” ณิชากล่าวด้วยน้ำเสียงระอาไม่ต่างจากเร็กตัส “นึกว่าแกเทนางแล้วนะเนี่ย”

ฉันมองหน้ายัยนั่นก่อนหัวเราะเป็นคำตอบ ลืมเรื่องบ้าบอในหัวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่แล้วความสนุกก็หมดไปเมื่อนักเรียนแพทย์เปรยขึ้นมาลอยๆ ด้วยประโยคที่ทำเอาฉันถึงกับหันขวับแล้วเลิกคิ้ว ก่อนจะพบรอยจริงจังฉายเด่นชัดบนใบหน้า ผสานกับรอยแห่งความปวดร้าวบนแววตาที่พอเผลอสบปุ๊ปก็จางหายไปปั๊ปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

“จริงจังสักทีเถอะเฌอลิน ก่อนที่เธอจะทำร้ายหัวใจคนอื่นมากไปกว่านี้”



ตึก L คณะวิทยาศาสตร์

แคล แคลคูลัส

เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว...

ผมกับวิเวียนเป็นแค่สายรหัสกันเฉยๆ

ผมนั่งถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยของวันนี้อยู่ใต้ตึก L ในช่วงเย็นวันจันทร์ เชื่อหรือไม่เฌอลินยังคงบล็อกผมอยู่ ส่วนไอ้เร็กมันก็ไม่ยอมตอบแชท โทรไปก็ไม่รับสาย ผมล่ะอยากจะเคลียร์กับสองคนนั้นให้รู้เรื่อง แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้คือให้เพื่อนสนิทของเฌอลินอีกคนหนึ่งช่วยเคลียร์

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวันนี้ผมถึงมาอยู่ที่มหา’ลัยได้ทั้งที่ไม่มีเรียน

“ณิชา!”

ผมร้องทักพลางโบกมือโหยงๆ ทันทีที่เห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาผมสั้นกำลังเดินลงจากตึก แต่เจ้าของชื่อหันมามองเล็กน้อยก่อนจะนิ่วหน้าลงและเดินผ่านไปราวกับผมเป็นอากาศธาตุ

พนันได้ว่าณิชาต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน ไม่งั้นคงไม่เมินผมอย่างนี้หรอก

แต่ผมไม่ยอม และจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็ต้องเคลียร์กับเฌอลินให้ได้!

“เฮ้ยณิชา ฟังฉันก่อน” ผมผุดลุกพลางเดินตามอีกฝ่ายที่ก้าวฉับๆ ไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่านางพยายามเร่งฝีเท้าให้ห่างจากผมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แต่ผมเร็วกว่าด้วยการคว้าต้นแขนนุ่มนิ่มไว้ทัน เล่นเอาคุณเธอตวัดนัยน์ตาคมกริบมามองแล้วบอกเสียงนิ่ง

“ปล่อย”

ซึ่งมันก็มีอานุภาพมากพอที่ทำให้ผมทำตามคำสั่งนั้น

“ณิชา แต่เรื่องเฌอลินฉันจริงจังนะ” ผมบอกเสียงเครียด ดวงตาฉายแววจริงจังเด่นชัด ขณะที่อีกฝ่ายนิ่วหน้าลงแล้วกอดอกอย่างคนไม่เชื่อ – ก็แหงล่ะ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้หมอเร็กมันไปเล่าอะไรให้นางฟังบ้าง

“จริงจังยังไง?” เธอถามเสียงเย้ยแล้วประณามด้วยประโยคที่ทำให้หน้าผมแหยลง “ถ้าแกจริงจังกับเพื่อนฉันจริง แกคงไม่กล้าควงผู้หญิงมาที่นี่หรอกนะ”

“เฮ้ยจะบ้าเหรอ!” เสียงผมเริ่มดังขึ้นก่อนจะยกมือขยี้ผมไปมาอย่างคนใกล้หัวร้อน “นั่นมันหลานรหัสมั้ยละ”

ณิชาอ้าปากราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เป็นอันต้องหุบลงไปเพราะผมไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดแทรกเลยสักนิด

“คือทั้งไอ้เร็กทั้งเฌอลินแม่งเข้าใจผิดหมดเลยเว้ย แล้วฉันก็ติดต่อใครไม่ได้สักคน”

“เข้าใจผิด?” คนฟังทวนซ้ำพลางยิ้มเยาะ “นี่มันข้อแก้ตัวของแกหรือเปล่า”

“แก้ตัวบ้าไร วิเวียนเป็นสายรหัสฉันจริงๆ” ผมพยักหน้ายืนยัน

“ไหนหลักฐาน” ณิชาถามพลางหรี่นัยน์ตาลงมองอย่างสำรวจ ส่วนผมก็ล้วงไอโฟนในกระเป๋ากางเกงแล้วรีบเปิดหารูปถ่ายทันที โว้ย หน้าตาผมดูไม่น่าเชื่อถือหรือไงวะ!?

“นี่ไง” บอกพลางยื่นโทรศัพท์ให้ มันคือรูปถ่ายสมัยตอนผมเรียนปี 3 มีพี่รหัส ผม และหลานรหัส ส่วนน้องรหัสไม่มีเพราะซิ่วไปตั้งแต่เข้าเรียนวันแรกแล้ว

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนิทกับวิเวียนมากๆ ไงล่ะ!  

สีหน้าคนเห็นอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับหน้าจริงจังสุดๆ ของผมตอนนี้

“เธอต้องเชื่อฉันนะเว้ยณิชา” ผมอ้อนวอนพลางขยับรอยยิ้มปลงอนิจจัง ก่อนเสียงถอนหายใจเบาๆ ของณิชาจะดังขึ้น นางส่งโทรศัพท์คืนให้ผมแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“แล้วแกจะเอาไงต่อไป แคล?”

ทันทีที่ได้ยินคำถาม ผมก็ดีดนิ้วเปาะอย่างชอบอกชอบใจแล้วขยับยิ้มร่าก่อนแจกแจงเสียงใส “แค่ให้ฉันได้ปรับความเข้าใจกับเฌอลินก็พอแล้ว”

“ฉันว่าอย่าเลยดีกว่า” คนฟังเอ่ยขัด สีหน้าลำบากใจจนผมอดมุ่นหัวคิ้วไม่ได้ “เฌอลินโกรธมากตอนนี้”

“ไม่ได้ดิ ยิ่งโกรธมันต้องยิ่งเคลียร์กันให้รู้เรื่อง” ผมอธิบาย

“ไม่ได้จริงๆ เว้ยแคล” ณิชายืนยันด้วยสีหน้าจริงจังซึ่งมันทำให้ผมชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

“มันจะยากอะไรวะณิชา ก็แค่นัดเฌอลินให้ฉันเฉยๆ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ล่วงเกินเพื่อนเธออยู่แล้ว”

“ไม่ได้!” คราวนี้อีกฝ่ายขึ้นเสียง หากแต่สีหน้ากลับไม่สู้ดีเท่าไรนักจนผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความรู้สึกประหลาดบางอย่าง “ยังไงก็ไม่ได้ ฉันให้ไม่ได้ ฉันให้แกเจอเฌอลินไม่ได้”

ผมเงียบลงอย่างคนพยายามใจเย็น ครั้นเมื่อเห็นนางเสหน้าไปทางอื่นจึงกลั้นใจถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เอาจริงๆ นะ ตอนนี้คนตรงหน้ามีอากัปกิริยาที่น่าสงสัยมาก

“ทำไมเธอถึงไม่ให้ฉันเจอเฌอลิน?”

“ไม่มีอะไรหรอก” ณิชาสั่นหัวแล้วเม้มริมฝีปาก

“มันต้องมีเหตุผลดิ” ผมเลิกคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง ดูเหมือนว่าการตื้อเอาคำตอบจะทำให้นางเริ่มหัวเสีย คราวนี้ณิชาหันหน้ามาแล้วตวาดใส่อย่างหงุดหงิด

“เฌอลินมันไม่อยากเจอแก ชัดปะ!?”

“รู้ได้ยังไงว่าเฌอลินไม่อยากเจอฉัน” ผมสวนกลับด้วยระดับน้ำเสียงที่เป็นปกติ ทั้งที่เพลิงไฟกำลังสุมอยู่ในอกก็ตามที เวลานี้แล้วถ้าอีกฝ่ายเป็นไฟมอดไหม้ ผมก็ต้องประพฤติตนเป็นน้ำล่ะ

กริบ...

มีเพียงแค่ความเงียบกับรอยลำบากใจที่ฉายเด่นชัดบนหน้าของคู่สนทนาเป็นคำตอบ เห็นได้ชัดว่ายัยนี่กำลังมีเรื่องปกปิดผมแน่นอน

“หมอเร็ก... ” อยู่ๆ เจ้าหล่อนก็พึมพำหลังจากเงียบไปอึดใจนึง ผมขมวดคิ้วกับคำพูดนั้นก่อนที่ภาพนักศึกษาแพทย์ผู้เป็นอดีตเพื่อนรักจะฉายเข้ามาในหัว

“ไอ้เร็กมันทำไม?”

“ไม่มีอะไร”

ณิชาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ราวกับว่าเธอรู้สึกผิดที่เพิ่งจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป ซึ่งถ้าให้ผมเดา คำที่ว่านั้นก็คือ ‘หมอเร็ก’ นั่นแหละ

ไม่มีอะไรงั้นเหรอ?

พูดแบบนี้ร้อยทั้งร้อยแปลว่ามีแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องรอเค้นความจริงจากนางทั้งหมด ผมก็พอจะเดาอะไรได้ลางๆ แล้วล่ะ

เร็กตัส... แกคิดอะไรอยู่วะ!?

คิดเพียงแค่นั้นก็วิ่งออกไปจากตึก L อย่างรวดเร็ว จุดมุ่งหมายคือโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ข้างคณะ สถานที่หนึ่งเดียวที่ผมสามารถหาไอ้หมอเวรเจอได้ เวลานี้แล้วไม่มีอะไรสามารถหยุดผมได้แม้กระทั่งเสียงห้ามของหญิงสาว

“เฮ้ย แคล!!”



ผมวิ่งเข้ามาในอาคารผู้ป่วยใหม่ หยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่มีพยาบาลชุดขาวสองคนประจำอยู่ ทันทีที่มาถึงก็หอบหายใจแฮ่กๆ อย่างเหนื่อยอ่อนเพราะใช้ความเร็วมหาศาลดั่งนักวิ่งมาราธอนเพื่อพาตัวเองมาจุดนี้ให้ได้ สีหน้าพยาบาลดูตกใจราวกับเพิ่งรู้ตัวว่ารับคนไข้ป่วยใกล้ตายเมื่อเห็นสภาพผม ณ ตอนนี้

แต่เอาจริงๆ ผมก็อาจจะใกล้ตายก็ได้นะถ้าไม่ได้เคลียร์กับไอ้หมอเร็กวันนี้

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมจะหานักศึกษาแพทย์เจอได้ที่ไหนบ้างครับ” ยิงคำถามโง่ๆ ออกไป พยาบาลทั้งคู่มีสีหน้าเหวอเล็กน้อย ดูท่าคงตกใจกับคำถาม แหงล่ะ ผมยังงงว่าตัวเองโพล่งอะไรออกไปเลย ก่อนหนึ่งในนั้นจะถามกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“หมายความว่ายังไงคะน้อง?”

“เอ่อ ผมหมายถึงว่า... ว่า... ” ผมงึมงำอย่างคนพยายามเรียบเรียงคำพูดแล้วยิงคำถามใส่ไปอีกครั้ง “ผมกำลังตามหาพบนักศึกษาแพทย์จิรพัทธ์ สุวรรณเลิศกุลครับ ไม่ทราบว่าผมจะหาเขาเจอได้ที่ไหน”

“Extern หรือ Intern เหรอคะ?” พยาบาล A ถาม – ช่วยกรุณาอย่าโยนศัพท์เฉพาะมาแบบนี้ได้มั้ย ผมไม่รู้ว่า Extern Intern คืออะไร ผมเรียนวิศวะนะคร้าบคุณ! – ดังนั้นเมื่อไม่รู้ความหมายที่แท้จริง ผมเลยเลือกตอบแบบกลางๆ แทน

“ปี 4 อ่ะครับ”

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวประกาศให้นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” ผมปฏิเสธพลางยิ้มบาง ขืนให้ประกาศออกสื่อแบบนี้ก็เคลียร์ ‘ตัวต่อตัว’ ไม่ได้น่ะสิ คิดพลางหันหลังให้แล้วพึมพำอย่างหงุดหงิด “ไอ้เร็กนะไอ้เร็ก อยู่ไหนวะ?”

“ขอโทษนะคะ” เสียงพยาบาลอีกคนดังขึ้น เรียกให้ผมหันขวับกลับไปเตรียมสวนไปว่า ‘อะไรครับ?’ แต่ก็ต้องเงียบเพราะเธอถามต่อว่า “ไม่ทราบว่านักศึกษาแพทย์ที่น้องตามหาคือหมอเร็กหรือเปล่าคะ?”

“ครับ เร็ก เร็กตัส” ผมพยักหน้าก่อนเริ่มขยับรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้น สัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงมาก “พี่รู้จักใช่มั้ยครับ?”

“อ๋อ น้องหมอหล่อๆ ที่เงียบๆ คนนั้นไง” พยาบาล B หันไปคุยกับพยาบาล A ก่อนจะหันมามองหน้าผมและบอกยิ้มๆ “อยู่ตึกเก่าค่ะ ยังไม่ออกเวร ลองไปดูได้นะคะ”

“ขอบคุณมากครับ”

ผมยกมือไหว้อย่างสุภาพก่อนจะรีบวิ่งไป

ในที่สุดก็จะได้เจอมันแล้ว... เร็กตัส วันนี้ฉันต้องเคลียร์กับแกให้รู้เรื่อง!!


……………………………………………


ตั้งแต่จำความได้ ผมกับเร็กตัส เราสองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาลเลยด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านอยู่ติดกัน พ่อแม่สนิทกัน แถมยังสอบเข้าโรงเรียนเอกชนชายล้วนอันดับต้นๆ ในประเทศได้เหมือนกันอีกด้วย ซึ่งโรงเรียนนี้มีตั้งแต่ประถมต้นยันมัธยมปลาย ดังนั้นผมไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย แค่สอบเลื่อนชั้นให้ได้ก็พอ

ในตอนประถม ระดับการเรียนของผมกับเร็กตัสสูสีกันมาก... โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ เราสองคนมักจะเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันตามที่ต่างๆ พ่อกับแม่ไม่เคยผิดหวังในตัวผม จนกระทั่งวันหนึ่ง... ตอนที่ผมเรียนป.5 คุณครูเรียกผมเข้าไปพบก่อนจะบอกว่า

“แคลคูลัส ครูคงต้องเลือกจิรพัทธ์เป็นตัวแทนโรงเรียนนะคะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครู” ผมในตอนนั้นถาม ถ้าเลือกไอ้เร็ก ก็แปลว่าผมอดไปน่ะสิ

“การแข่งขันครั้งนี้คัดเลือกไปได้แค่คนเดียว พวกครูเลยลงความเห็นกันว่าจิรพัทธ์เหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนเพราะได้คะแนนวิทย์มากกว่าจ้ะ”

หัวผมชาเหมือนถูกทุเรียนหล่นใส่หัว แต่กระนั้นแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้ ในหัวเริ่มคิดไว้แล้วว่ากลับบ้านไปแม่ต้องบ่นหูชาแน่ๆ อ้อ.. ลืมบอกไป แม่ผมเป็นครูสอนเลขในมหาวิทยาลัย เขาเรียกว่าอะไรนะ... ผมได้ยินว่าโพรเฟสเชอร์ๆ นี่แหละ

“สู้ๆ นะจ๊ะ คะแนนแคลคูลัสห่างกับจิรพัทธ์แค่ 1 คะแนนเอง”

เฮ้อ... ผมถอนหายใจอย่างปลงตก

ตอนเด็กๆ เจ็บสุดก็แค่ได้คะแนนน้อยกว่ามัน 1 คะแนน

พอตอนมัธยมก็ได้เรียนห้องเดียวกับมันอีกละ ผมมักจะถูกเปรียบเทียบกับไอ้เร็กเสมอ ถ้าไม่ใช่จากครู ก็จากพ่อแม่ ผมไม่ชอบการถูกเปรียบเทียบ แต่ผมไม่สามารถหลีกหนีมันได้

“เทอมนี้ลูกได้ที่ 2 อีกแล้วนะแคลคูลัส เอาอย่างเร็กตัสบ้างสิ รายนั้นได้ที่ 1 ทุกเทอมเลย”

ก็แหงล่ะ... เพราะมีไอ้เร็ก ผมเลยไม่เคยได้ที่ 1 ไง!

เชื่อหรือไม่ แต่ผมไม่เคยชนะมันเลยสักครั้ง ขนาดตอนสอบเข้าห้องคิงตอนม.ปลาย... ผมยังแพ้มันเลย แพ้มันตลอด!

ฉากหน้าของเราสองคนคือ ‘เพื่อนรัก’ แต่ปีศาจร้ายในตัวผมกลับกระซิบบอกว่ามันนี่แหละคือ ‘ศัตรู’ ที่แท้จริง

เร็กตัส หน้าตาหล่อ หัวดี กีฬาเก่ง ชอบเล่นหมากรุก มักเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันตามสนามต่างๆ ทั้งด้านวิชาการและกีฬา ส่วนผมก็หล่อไม่แพ้มัน แต่โง่เลขเฉยๆ ดังนั้นเวลาอยู่กับมัน ผมมักจะดับไปโดยปริยาย

ในช่วงปีการศึกษาสุดท้ายของชีวิตม.ปลาย เร็กตัสได้รับเลือกให้เป็น ‘นักเรียนตัวอย่าง’ ผมยืนมองหน้านิ่งๆ กับท่าทางชวนขัดหูขัดตาของมันตอนขึ้นรับรางวัลและกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยๆ บนเวที ทว่าอยู่ๆ ความคิดชั้นเลวที่ผมลงความเห็นว่ามันเป็นตัวทำลายมิตรภาพก็โผล่เข้ามาในหัว

‘ถ้าไม่มีเร็กตัส ตำแหน่งนั้นคงเป็นของผม... ’

แต่ผมก็ยังคงทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ยังไงซะมันก็เป็นเพื่อนของผม จนกระทั่งขึ้นมหา’ลัย ผมย้ายบ้านไปอยู่แถวพระราม 2 ตอนนั้นโคตรดีใจที่ไม่ต้องเห็นหน้ามัน แต่ที่ไหนได้มันดันสอบติดที่เดียวกับผมซะอย่างนั้น

และนี่แหละคือสิ่งที่ผมปล่อยให้ปีศาจร้ายค่อยๆ ยึดครองจิตใจผม

คิดดูนะ เด็กหนุ่มหน้าตาดีสองคนที่เรียนโรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เด็ก โอกาสใกล้ชิดผู้หญิงสวยๆ ก็ยาก ดังนั้นเวลาได้มาเรียนในที่ๆ เป็นสหศึกษา มันก็ต้องมีโมเมนต์ตกหลุมรักบ้างสิ ถูกมั้ยล่ะ

มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าสาวคณะพยาบาลที่ผมแอบชอบไม่ได้ตกหลุมรักไอ้เร็กหัวปักหัวปำ

ในงานคืนอำลาเฟรชชี่ที่จัดขึ้น ณ ลานกลางมหาวิทยาลัย มันเป็นงานที่เหล่านักศึกษาทุกคณะมารวมตัวกันและทำกิจกรรมร่วมกัน ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมเพิ่งออกจากห้องน้ำบนชั้นสองของอาคารเรียน แต่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกัน

มันคือเร็กตัสที่ยืนกอดอกทำเท่ และตรงหน้ามันคือสาวพยาบาลที่ผมแอบชอบ

จิตใต้สำนึกกระซิบบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี เร็กตัสกำลังจะแย่งอะไรบางอย่างจากผมไป และผมกำลังจะกลายเป็นไอ้ขี้แพ้อีกครั้ง ผมเลยถอยหลังเพื่อแอบฟังบทสนทนานั้น

“มีอะไรหรือเปล่ามิ้นท์”

“เอ่อ เร็กตัส ฉัน... ฉันชอบนาย!”

ในหัวผมมึนตึ้บ ก่อนความปวดร้าวจะเข้ามาแทนที่  

มันจะมีบ้างมั้ยที่แกไม่ชนะฉัน...

มันจะมีบ้างมั้ยที่แกไม่แย่งของๆ ฉัน…

“ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันมีคนในใจอยู่แล้ว” หมอนั่นปฏิเสธเสียงนิ่ง ทำให้ผมอดโล่งใจไม่ได้

“ขะ... เข้าใจแล้ว ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรเลย”

แล้วจากนั้นสาวคณะพยาบาลก็วิ่งลงไปพร้อมกับน้ำตา ตอนแรกผมก็อยากจะวิ่งตามไปอยู่หรอกนะ ถ้าผมไม่สะดุดตากับหญิงสาวคนนึงในชุดเดรสสีชมพูที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปหามัน หน้าตาเธอน่ารัก ปล่อยผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอนคลอเคลียบ่า

“นายนี่มันร้ายจริงๆ เลย สงสารผู้หญิงคนนั้นชะมัด” เธอว่าพลางกอดอก “ว่าแต่หญิงในใจนี่ใครกันยะ ไม่เห็นเคยรู้”

“ก็แค่โกหกไปเรื่อย อย่าสนใจเลย” เร็กตัสหลุบสายตาลงต่ำนิดๆ แล้วอมยิ้มด้วยท่าทางที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่ามันกวนประสาทได้โล่ชะมัด ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “ไปกันเถอะเฌอลิน เธอหิวไม่ใช่เหรอ”

จากนั้นสองคนนั้นก็เดินลงไปข้างล่าง ทิ้งให้ผมมองตามอย่างครุ่นคิด จิตใต้สำนึกตะโกนบอกว่าเร็กตัสไม่ได้คิดกับเธอคนนั้นแค่ 'เพื่อน' แน่นอน

เฌอลินงั้นเหรอ?

ผมได้ยินเสียงปีศาจร้ายกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูผม...




……………………………………………



เร็ก เร็กตัส

การขึ้นวอร์ด OPD ของผมรอบนี้อยู่ในแผนกศัลยกรรมที่ขึ้นชื่อว่าโหดพอๆ กับอายุรกรรม ตอนนี้ผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีก 3 คนรวมทั้งรุ่นพี่ปีสูงกำลังอยู่ในห้องพักผู้ป่วย พวกเรายืนล้อมรอบเตียงของชายชราวัยมากกว่า 80 ปี โดยมีอาจารย์แพทย์ผู้เป็นเจ้าของคนไข้ยืนอธิบายลักษณะอาการอยู่

“โรคกระดูกอักเสบเกิดจากการอักเสบของกระดูกทุกชิ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อจากแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัสและปรสิต แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือโรคกระดูกอักเสบเฉียบพลันและโรคกระดูกอักเสบเรื้อรัง ซึ่ง case study วันนี้เป็นแบบแรก... Acute Osteomyelitis เกิดจากเชื้อโรค Staphylococcus ที่แพร่กระจายตามกระแสเลือด...”

และอื่นๆ อีกมากมายที่ลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะตอนนี้สติผมมันหลุดไปไกลลิบยามนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น คนตัวเล็กร้องไห้อยู่ในอ้อมกอด ผมรอจนเธอคลายสะอื้นก่อนจะใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาออกอย่างทะนุถนอม นึกประหลาดใจตัวเองไม่น้อย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลยที่ผมจะดูแลปรนนิบัติหญิงสาวคนใดจนแทบจะประคองบนฝ่ามือแบบนี้แล้ว

แต่เฌอลินเป็นคนแรกที่ผมทำ...

อาจเป็นเพราะเธอคือเพื่อนผู้หญิงคนแรกของผม และก็เป็นคนสุดท้ายที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย

คิดเพียงแค่นั้นก็เผลอขยับรอยยิ้มบนใบหน้าที่มักไม่สื่ออารมณ์อยู่เสมอ

“ผมได้ทำการรักษาคุณตาคนนี้ด้วยการผ่าตัดระบายหนองออกแล้วใส่เฝือกปูนเพื่อดามกระดูกให้อยู่นิ่ง วันนี้เป็นวันที่ต้องเอาเฝือกออกแล้ว เอาล่ะพวกคุณทุกคน ใครจะเป็นอาสาสมัคร” เสียงอาจารย์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกริบภายในห้อง ก่อนที่เพื่อนร่วมราวด์จะโพล่งขึ้นมา

“ยิ้มแบบนี้แกทำเลยละกันไอ้เร็ก”

ประโยคยัดเยียดนั้นลอยเข้ามาในหูก่อนที่ผมจะดึงสมาธิให้กลับมาแล้วเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่พอเห็นสีหน้าคาดหวังของอาจารย์หมอก็ทำให้ผมจำต้องพยักหน้าแล้วตอบ “ครับ เดี๋ยวผมทำเอง” ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไร แต่ถ้าให้เดาจากสิ่งที่ลอยเข้าหูแล้วนั้น น่าจะเป็นการถอดเฝือกแน่นอน

“นักศึกษาแพทย์จิรพัทธ์ เชิญครับ”

ผมขยับตัวเข้าไปจับขาที่ใส่เฝือกของชายชราที่นอนอยู่แล้วกล่าวเสียงนุ่ม “ผมจะเอาเฝือกออกแล้วนะครับคุณตา ระยะแรกอาจขยับตัวยากหน่อย แต่เดี๋ยวหมอจะนัดมาทำกายภาพบำบัดอีกทีนึงนะครับ”

จากนั้นจึงถอดเฝือกออกอย่างบรรจงแล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มบางให้

“เสร็จแล้วครับ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”

“ขอบใจมากนะหมอ” คุณตายกมือไหว้จนผมรู้สึกเขินไม่น้อย หลังจากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นก่อนที่อาจารย์หมอจะพูดสรุปของวันนี้

“ดีมากจิรพัทธ์ ปีสี่ใช่มั้ย อย่าลืมทำสรุปราวด์มาส่งด้วยนะ”

“ครับ” ผมค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาท

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับนักศึกษา”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากนั้นพวกเราทุกคนก็อพยพตัวเองออกไปจากห้องพักผู้ป่วย ทันทีที่พวกรุ่นพี่เดินจากไปแล้วนั้น หนึ่งในเพื่อนร่วมราวด์ของผมก็ส่งเสียงขึ้นมาระหว่างเดินไปยังห้องพักแพทย์เวรเพื่อหยิบของเตรียมกลับบ้าน

“เฮ้ยเร็ก วันนี้ไม่ได้ไปส่งแฟนใช่ปะ?”

“แฟน?” ผมทวนซ้ำพลางมองหน้าชายผิวเข้มคนถาม สีหน้าบ่งชัดว่าไม่เข้าใจที่มันพูด

“ก็สาวคณะข้างๆ ไงล่ะเหวย!” เขาอธิบายก่อนกระเซ้าด้วยการกระแทกไหล่ใส่ผม “ดีกรีแอมบาสเดอร์มหา’ลัยด้วยโว้ย ไม่ธรรมดา”

ผมหลุบสายตาลงต่ำแล้วหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย แฟนงั้นเหรอ?

“อ๋อ เฌอลินไม่มีเรียนวันนี้”

“เอองั้นดีเลย ไปหาไรกินที่สยามกัน”

“จริงๆ ก็อยากไปนะ” ผมขึ้นต้นประโยคปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนหลุบสายตาลงนิดๆ แล้วอมยิ้ม “แต่นัดเฌอลินไปกินข้าวเย็นแล้ว ขอโทษทีนะ”

“เบื่อพวกมีความรักจริงจริ๊งงงงง” คนชวนยักไหล่  “งั้นเจอกันพรุ่งนี้”

“อือ”

เพื่อนทั้งสองเดินแยกไปอีกทาง ส่วนผมมุ่งหน้าไปยังห้องพักแพทย์เวร จัดการเก็บเอกสาร ถอดเสื้อกาวน์และคว้ากระเป๋าเป้สีน้ำเงินเดินออกมานอกห้อง ช่องทางเดินเงียบกริบไร้ผู้คนรวมทั้งพยาบาลแม้ว่านี่จะเป็นเวลาเย็นก็ตามที

ตึงๆๆ

บังเกิดเสียงกระแทกส้นเท้าหนักๆ อย่างดาลเดือดขึ้นที่ด้านหลัง ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งมาทางนี้ด้วยความเร่งรีบ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงไปทางขวามือเพื่อหลีกทางให้

พรวด!

แต่แล้วอยู่ๆ ผมก็ถูกกระชากจากด้านหลังด้วยแรงมหาศาล ส่งให้ผมจำต้องหันกลับไปมองผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว แล้วนัยน์ตาก็หรี่ลงอย่างสงสัยเมื่อพบนายแคลคูลัสที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วยสีหน้าถมึงทึงราวกับคนโกรธจัด แล้วโดยไม่ทันตั้งตัวหมัดหนักก็พุ่งพรวดมาที่โหนกแก้ม ในหัวมึนงงไปหมด ได้ยินเสียงแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ขณะที่ร่างทั้งร่างกระเด็นตามแรงหมัดก่อนกระแทกพื้นดังโครม

อะไร?

ความมึนงงที่ไม่ทันหายเพิ่มขึ้นทันทีที่เห็นแคลคูลัสแสยะยิ้มเหี้ยม ก่อนที่เขาจะตวาดเสียงดังลั่นด้วยอารมณ์ที่ถูกฉุดกระชากให้พุ่งสูง

“ไอ้เร็ก แกต้องเคลียร์กับฉัน!!”









สวัสดีค่ะ

คีตาสีเงิน JLS05 Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย เองนะคะ


          บ้าจริง อ่านตอนนี้แล้วหวังว่าคงไม่เกลียดแคลคูลัสนะ

Pride (n.) แปลว่า ความทระนงตน และ Prejudice (n.)(v.) แปลว่า อคติ สาเหตุที่ใช้ 2 คำศัพท์นี้เป็นชื่อเรื่องเพราะต้องการสื่อถึงความรักในศักดิ์ศรีที่มากเกินไปของนายแคลคูลัสจนทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี่แหละ ส่วนอคติก็คงเกิดจากการที่เฌอลินมองแคลคูลัสเพียงแค่ด้านเดียว ตัดสินจากที่เห็นทั้งที่เนื้อแท้แล้วเขาอาจจะไม่ใช่คนแบบนั้น แถมยังไม่ยอมฟังเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆ อีกด้วย

เราว่าการเลี้ยงดูของครอบครัวมีผลต่อการเติบโตของเด็กมากเลยนะ อย่างเคสของแคลคูลัสก็มักจะถูกเปรียบเทียบกับเร็กตัสมาตลอด มันก็เลยจุดชนวนอะไรหลายๆ อย่าง

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงพระเอกก็เป็นแคลคูลัสอยู่ดี :)

มาช่วงขอบคุณดีกว่า... ต้องขอบคุณคอมเม้นจากพี่ลูกชุบ (กรรมการ) มากเลยนะคะ หนูชอบคอมเม้นพี่มาก มันทำให้หนูเห็นข้อบกพร่องและจุดโหว่ของตัวเอง หวังว่าตอนนี้ มันจะดีขึ้นนะคะ ><

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะที่มาเม้นให้กำลังใจ อยากบอกว่าอ่านทุกเม้นเลยนะ :D เรื่องนี้แม้ชื่อจะเวอร์วัง แต่ก็มีความสมจริงนะ เพราะมัน... อ่า... ช่างเถอะ นี่เรากำลังพูดอะไรอยู่ งงไปหมดแล้ว 55555555

ขอบคุณ 。 N A I Y I N G ❀ DESIGN 。สำหรับโปสเตอร์กิ๊บเก๋นี้มากๆ เลยค่ะ :) งดงามได้อีก

            เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากมาพูดคุยกับเรา ตามมาที่นี่เลยเฟซบุ๊คแฟนเพจ คีตาสีเงิน หรือจะเป็นทวิตเตอร์ @mieltiz แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ค่อยเล่น มีไว้ขายนิยายอย่างเดียว ฮา โกโกววววว

รักใคร ชอบใคร เชียร์ทีมไหน อย่าลืมใส่ #แคลคนอ่อยแรง #หมอเร็กคนนิ่ง ด้วยนะฮะ (เชื่อว่าหลายคนเทใจให้หมอเร็กไปหมดแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น แปลว่านักเขียนทำสำเร็จแล้วค่ะ ฮ่าๆ)

ท้ายสุดแล้ว... กราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์สวยๆ สำหรับคอมเม้นและแรงโหวตที่ทุกคนมอบให้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมีความสุขกับตัวอักษรที่เราบรรจงร้อยเป็นเรื่องราวให้

ขอบพระคุณที่ช่วยสานฝันให้เราค่ะ ขอบคุณจริงๆ

ด้วยรัก

คีตาสีเงิน

ปล. อาทิตย์หน้าวีคสุดท้ายแล้ว ดีใจมาก จะได้ทำโปรเจคจบต่อซะที (ฮา)

7 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 snownoona (จากตอนที่ 6)
    2017-02-14 17:37:03
    อิแคล
    อิบ้าาาา
    มาต่อยหมอเร็กของเลาได้ไงงงงง
    แง้งงงงงงงงงง
    สรุปว่านางทำทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะหมอเร็กใช่มั้ย
    หน็อยยยยย อิเพื่อนรักหักเหลี่ยมร้ายยยยยย
    #1
  2. #2 PAWNJEE (จากตอนที่ 6)
    2017-02-14 22:32:07
    อิแคลลล อิเลว ทำแบบเน้ โอโหหหห
    แต่เข้าใจนะ เข้าใจ เข้าใจจริงๆ
    หักมุมมากกกเสียใจเสียใจ
    #2
  3. #3 Zane Ter (จากตอนที่ 6)
    2017-02-14 23:01:56
    บังอาจ!!!!
    บังอาจมาก ที่มาต่อยหมอเร็ก นายทำยังงี้กับเพื่อนได้ยังไงแคล อ๋อ! ใช่สิ นายก็เห็นเร็กเป็นคู่แข่งตลอดเวลา แล้วเสแสร้งเป็นเพื่อนที่ดีสินะ
    อ๋อ! จริงด้วย นี่ก็คงตามเฌอลินเพราะแค่จะเอาชนะเร็กใช่มั้ย ได้ๆ เราจะเชียร์เฌอลินให้ตกลงปลงใจกับเร็กตัสโดยเร็ว คอยดู!

    โอ้ย!!! อินจัด 5555
    อยากรู้แล้วเร็กจะสวนมั้ย ใครจะชนะ 

    โกรธโกรธโกรธ
    #3
  4. #4 Kimochii. (จากตอนที่ 6)
    2017-02-15 13:51:43
    กรี๊ดหมอเร็กอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ผู้ชายอะไรมีเสน่ห์ ชอบคำพูด แล้วก็ชอบที่เขาบอกให้แคลเอาเวลาจีบสาวไปแก้F ดีกว่า ถ้าตองเป็นแคลตองคงหน้าชา

    แต่พออ่านๆ ดู โห ปมชีวิตของแคลน่าสงสารอ่ะะะ ก็เห็นใจขึ้นมาเลย ถ้าวิเวียนเป็นน้องสายรหัสตองก็ขอให้อัย เลิกคุกเข่าเถอะะะ

    แต่มาต่อยหมอน้ำแข็งนี่มันจะดีเหรอ เดาว่าอาทิตหน้าต้องเกิดศึกชิงนาง เอิ้กกก รอจ้าาา

    #4
  5. #5 (จากตอนที่ 6)
    2017-02-17 07:28:15
    อ่าวแคลลล ทำไมทำงี้ง่าา แอบสงสารปมในอดีตของแคลเลย 
    ตอนพุ่งเข้าต่อยหมอเร็กนี่แทบขึ้นเลยค่ะ ทำไมทำงี้ ฮรืออ คุณหมอเจ็บมั้ยคะ
    รออ่านตอนต่อไป~ ได้มีเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่ายแน่ โอ่ยย เลือกข้างไม่ถูกแล้วตอนนี้
    เฌอลินสู้ๆนะ ข้างไหนก็หล่อหมด เหมาคู่ไปเลย T-T
    #5
  6. #6 Macramé (จากตอนที่ 6)
    2017-02-18 18:01:47
    อื้อหือ นังแคล ทำไมทำงี้กับหมอเร็กล่ะ
    จะสงสารก็สงสาร ไม่น่าทำกับหมอเร็กแบบนี้เลย แงงงงงง
    แต่ก็ดูเป็นคนมีปม นี่เริ่มงงแล้วว่าชอบเฌอลินจริงมั้ย

    รอนะคะ สู้ๆ
    #6
  7. #7 (จากตอนที่ 6)
    2017-02-20 03:03:11
    ออกตัวว่าทีมหมอเร็กค่ะ 5555555555555
    จะทำไม จะทำมายยยยย #เปลี่ยนพระเอกเดี๋ยวนี้ !!

    พี่ชอบเรื่องที่เรามาเฉลยทีหลังนะ เกี่ยวกับเร็กและแคลอ่ะ แต่ก็แอบน่าสงสัยเรื่องว่าถ้าเกิดสนิทกันมาแต่เด็กทำไมเพิ่งมาเจอเชอลิน (ขออนุญาติ ขี้เกียจหาตัว 555555) หรือพอตั้งใจว่าจะจีบแกล้งเลยมาเจอ? แล้วก็พี่ชอบการเล่าเรื่องนะ แม้จริงๆ ขอตีมือ!! อีกแล้ว!! ระวังาษาด้วย นี่เห็นแบบมีจุดที่บรรยายอลังการติดมาอีกแล้ว ชายหนุ่มประคองหน้า... โอ๊ย พี่บอกว่าอะไรรรร าษาบุคคลที่สามคือการเล่าเหมือนเราเล่าให้เพื่อนฟัง ชั้นยังไม่เคยให้ชายหนุ่มที่ไหนมาประคองหน้านะ ม่ายยยย มีอีกหลายคำเลย แต่จุดนี้จะพยายามมองข้าม 555555 แค่เตือนไว้เพราะมันมีจริงๆ หลายจุดด้วย

    การดำเนินเรื่องคืบหน้าดีมาก ติดดาว! 
    จุดเล็กๆ ที่คิดได้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่อารมณ์ของตัวละครเปลี่ยนไวมาก จากตอนที่แล้วมาตอนนี้ เหมือนพี่เข้าใจว่าเชอลินสามารถเศร้าได้ แต่พี่อ่านแล้วไม่อิน ในส่วนที่ความเศร้ามันลึกมากเกินไป เปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนเรายิ่งยกก้อนหิวสูงมาก แรงกระแทกยิ่งลงมายิ่งแรงใช่ป่ะ พี่ว่าเรายกก้อนหินยังไม่สูงขนาดนั้น จนถึงขั้นแรงกระแทกมันลงมาแล้วจะเจ็บแบบนั้นอ่ะ เพราะตอนบรรยาย (พี่คิดว่าอาจจะเกี่ยวกับาษามันอลังการด้วย) เชอลินดูเศร้ามากก เหมือนคบกันแล้วเป็นปีแล้วโดนนอกใจ มากกว่าแค่คนที่มาจีบแอบไปกิ๊กสาวอ่ะ ระดับความเศร้ามันต่างกันนะ

    ทีมหมอเร็ก ยืนยัน
    ไปล่ะ
    #7
  • 1

แสดงความคิดเห็น