หนุ่มวิศวะหน้ามนคนนั้นน่ะไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่รักเขาในวันที่เขากำลังจะเทฉัน! อ้าวเฮ้ย อ่อยให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ!
4
อย่ามาอ่อยซะให้ยาก ยังไงฉันก็ไม่มีวันสนใจนายหรอก
“Can’t boy and girl be friends without falling for each other?”
- Rec Rectus –
“โอ้โห มีที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ...”
เป็นเสียงของฉันที่ดังขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อภาพห้องอ่านหนังสือปรากฏสู่สายตาหลังจากแคลคูลัสเปิดประตูแล้ว มีหนังสือตั้งอยู่ในชั้นจำนวนมากไล่สีเรียงสวย ตรงกลางห้องมีโต๊ะตัวเตี้ยพร้อมเก้าอี้ตั้งอยู่ใต้โคมไฟห้อยระย้า
ขณะที่ฉันกำลังตาโตเป็นไข่ห่าน คนที่อยู่ห่างจากฉันสองเมตรกลับสาวเท้าไปนั่งบนเก้าอี้ ทำให้ระยะห่างเพิ่มจากสองเมตรเป็นสิบสองเมตรเรียบร้อยโรงเรียนฉัน
“ตกใจอะไรล่ะ มานี่” เขาหันมากวักมือเรียกพร้อมขยับยิ้มยียวน
“ตกใจสิ” ฉันบอกพลางเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ อีกครั้ง “แน่ใจนะว่านี่คือห้องอ่านหนังสือ มันใหญ่พอๆ กับห้องสมุดคณะฉัน”
“ก็ห้องอ่านหนังสือน่ะสิ!” เขาพยักหน้าขึงขังพลางกวักมือเรียกฉันอีกครั้ง “สงสัยอยู่นั่นแหละ มานี่เร็วๆ สิครับครู!”
เพื่อตัดความรำคาญ ฉันจึงเดินเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นกลิ่นแรกที่ปะทะจมูกไม่ใช่กลิ่นกระดาษของหนังสือ แต่เป็นกลิ่นหอมเย้ายวนของอาหาร ซึ่งนั่นทำให้ท้องของฉันปั่นป่วนและร้องประท้วงอีกครั้ง ในสมองเกิดการตั้งคำถามขึ้น
ทำไมถึงมีกลิ่นอาหารอยู่ในห้อง?
บางทีจมูกฉันคงเพี้ยนไปหลังจากใกล้ชิดกับกลิ่นน้ำหอมบ้าบอนั่นถึงสองครั้ง
แต่พอหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามนายแคลคูลัสเท่านั้นแหละ ฉันก็รู้ทันทีเลยว่าจมูกตัวเองไม่ได้เพี้ยน
“นั่นสเต็กใคร?” ถามพลางจ้องที่มาของกลิ่นหอมนั้นอย่างสงสัย
“น่ากินมั้ยล่ะ?” เขาถามกลับพลางระบายรอยยิ้ม ส่วนฉันก็ยื่นหน้าไปใกล้ๆ จานอย่างไม่แน่ใจว่าที่มันหอมมากขนาดนี้เป็นเพราะฉันหิวเกินไปหรือเปล่า เนื้อสเต็กบนจานขาวรายล้อมไปด้วยผักหลากสีทั้งเขียวของผักกาด ม่วงของกะหล่ำและแดงของมะเขือเทศ แลดูเฮลท์ตี้เมื่อไม่มีสปาเก็ตตี้เป็นเครื่องเคียง
จะว่าไปแล้วรูปร่างหน้าตามันคล้ายกับสเต็กที่เขาเคยถ่ายรูปให้ดูเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตอนนั้นฉันตอบไปว่า
“น่ากิน”
นั่นแหละ ฉันตอบไปอย่างนั้น ตอบเหมือนตอนนี้เลย
“เห็นเธอบ่นว่าอยากกิน วันนี้ก็เลยตื่นแต่เช้ามาทำให้” แคลคูลัสบอกพลางขยับยิ้มแห้งๆ แล้วเกาหัวแก้เขินเล็กน้อย ทำหน้าตาประหนึ่งว่ารอคำชมจากฉัน
และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดหวัง
อันที่จริงเวลานายทำตัวแบบนี้ก็...
“น่ารักดีนะ” โพล่งปากชมออกไปตรงๆ แบบไม่ทันคิด
“แล้วรักมั้ยล่ะ?” เสียงกึ่งขันกึ่งจริงเย้ากลับ รอยยิ้มทะเล้นปรากฏบนใบหน้าคมคาย หากแต่นัยน์ตานี่สิกลับมีประกายเว้าวอนแฝงอยู่ ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบแววตาแบบนี้ชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์รับมือด้วยการหยอดกลับแบบไม่ทันคิดอีกครั้ง
“ก็...” เว้นวรรคเล็กน้อยพลางเอ่ยตอบ “ถ้าทำตัวดีๆ อาจจะรักก็ได้นะ”
ไงล่ะ บอกแล้วว่าอ่อยมาอ่อยกลับไม่โกง
พลันอีกฝ่ายก็ชะงักกึกไปชั่วขณะ คล้ายสมองกำลังประมวลผลคำตอบเมื่อครู่ ก่อนดวงหน้าของเขาจะขึ้นสีระเรื่อ ดูท่าแล้วนายคงตกใจล่ะสิว่าทำไมฉันถึงตอบแบบนั้นไป
อย่าว่าแต่นายเลย... ฉันก็เหมือนกัน!
“กินสักทีสิ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก”
เจ้าของน้ำเสียงเคร่งขรึมเปลี่ยนเรื่อง ถ้าให้เดาฉันว่าเขากำลังเขิน และเมื่อเขาเขินฉันต้องแกล้งให้สุด
“ถามจริง นี่นายเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย?” ฉันโพล่งออกไปขณะที่หั่นสเต็กกลิ่นเย้ายวนออกเป็นชิ้นๆ
“ก็เคยนะ” แคลคูลัสพยักหน้า มองดูฉันที่ใช้ส้อมจิ้มเนื้อหมูขนาดกลางขึ้นมา “...เคยมีแฟน 5 คน”
“ห๊า!?” ฉันอ้าปากค้างอย่างตกใจ เผลอปล่อยส้อมในมือที่มีอาหารโอชะหล่น แต่อีกฝ่ายเร็วกว่าคว้าไว้ทัน ไม่เช่นนั้นจากอาหารคนคงกลายเป็นอาหารเชื้อโรค
“อย่าสิ เสียดายของ” ดุพลางยื่นหมูมาจ่อปากฉันใกล้ๆ ให้รีบถอยหน้าออก จ้องมองท่าทางนั้นอย่างงุนงง – อะไรกันจะป้อนฉันเหรอ – ตามมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ พร้อมแววตาคมกริบแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน “กินซะเฌอลิน”
ครั้นเมื่อฉันไม่ยอมกินสักที หมูนั่นก็ยังจ่ออยู่ใกล้ปากไม่เลิก กลิ่นหอมช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน คราวนี้พอฉันทนเสียงร้องประท้วงของท้องไม่ไหวเลยจำต้องงับมันเข้าปากไป นัยน์ตาดุจัดเมื่อครู่จึงค่อยคลายลงก่อนริมฝีปากจะขยับรอยยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นฉันเคี้ยวตุ้ยๆ
ส่วนฉันอ่ะนะ ทันทีที่ลิ้นรับรู้รสชาติ ศักดิ์ศรีก็ศักดิ์ศรีเถอะ โนสน โนแคร์ โนแยแส รีบโยนมันทิ้งแล้วแย่งส้อมมาเป็นของตัวเอง
“เอามานี่!”
“ใจเย็นๆ สิเธอ” เขาท้วงด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เย็นไม่ได้ หิว” เงยหน้ามาตอบห้วนๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาอ่อนโยนที่ทอดมองมา ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจเหลือเกิน เมื่อเป็นดังนั้นฉันจึงแยกเขี้ยวงุดแล้วบอกเสียงแข็ง “เลิกจ้องได้แล้ว คนจะกิน”
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจในคำพูดของฉันสักเท่าไร หมอนั่นเอาแต่หัวเราะเบาๆ และมองไม่เลิก กวนประสาทนักใช่มั้ย ด้ายยย! งั้นฉันโนสน โนแคร์ โนแยแส จิ้มหมูชิ้นต่อไปเข้าปาก
“ฮะๆๆ เธอนี่น่ารักเป็นบ้า” เอ่ยชมเสียงทุ้มอย่างอารมณ์ดี
พรวด! หมูที่เคี้ยวแล้วและกำลังจะกลืนถูกพ่นพรวดออกมาอย่างรวดเร็ว กระเด็นลงมาอยู่บนจานในสภาพเละเทะ แถมเศษเนื้อบางส่วนยังตกไปอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีชมพูหวานแหววด้วย หมอนั่นทำหน้าเหวอเล็กน้อย พนันได้เลยว่ารับไม่ได้แน่นอน!
ทว่ากลับผิดคาดเมื่อประโยคถัดมาทำให้ฉันขนลุกเกรียว
“น่ารักจัง”
“ฮะ?”
“เป็นตัวของตัวเองแบบนี้อ่ะ น่ารักที่สุดแล้ว ดีกว่าเสแสร้งให้คนมาจีบตกใจ :)”
ฟังดูเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่ฉันว่านัยยะแท้จริงของมันต้องแปลตรงตัวได้ว่า ‘ถ้าอยากขึ้นคานก็ขอให้มีมารยาททรามแบบนี้ต่อไปนะ’ แน่นอน
“อย่ามาชมฉัน” สวนกลับรวดเร็วพลางทำหน้าเหยเก ใช้ส้อมเขี่ยหมูเน่าไปไกลๆ ก่อนจิ้มชิ้นใหม่ยัดเข้าปาก
“ทำไมอ่ะ?”
“ถึงฉันจะชอบชมตัวเอง แต่ก็ไม่ชอบให้คนอื่นมาชม” ตอบห้วนๆ ก่อนจงใจเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่เคยมีแฟน 5 คนจริงดิ”
“อือ” เขาพยักหน้ามึนงง ไม่รู้ว่างงคำถามหรืองงคำตอบ แต่ถ้าให้เดาคงงงทั้งสองอย่าง
“อย่างนายเนี่ยนะ!?” ฉันเบิกตากว้างแล้วร้องเสียงดัง ทำเป็นเล่นใหญ่
คนถูกสบประมาทคิ้วกระตุก “ทำไมอ่ะ ก็ฉันหล่อ”
“เบ้าหน้านายดีก็จริง แต่สกิลการจีบของนายนี่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก พูดเลย” พลั้งปากพูดในสิ่งที่คิดออกไป แถมยังไม่วายด่ารัวต่อเป็นชุดโดยไม่นึกเกรงใจสเต็กหมูตรงหน้าที่คนถูกต่อว่าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำให้ “คนอะไรอ่อยตลอดเวลา บ้าไปแล้ว เกิดมาไม่เคยเจอ รู้มั้ยว่า… ”
ฉันชะงักเล็กน้อยเมื่อตั้งสติได้ว่าตัวเองกำลังจะหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป
“ว่า?”
“ว่าฉัน...”
‘เกลียดการถูกจีบด้วยวิธีนี้มาก ใครทำแบบนี้เป็นต้องไล่กลับบ้านไปทุกราย’ คือสิ่งที่เสริมต่อในใจ และหมอนั่นจะรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด มันเป็นความลับระดับชาติเลยนะเว้ย
“เธอ...?”
สงสัยคงใช้เวลาคิดนานเกินไปมั้ง อีกฝ่ายถึงได้ส่งเสียงเร่งเร้าน่ารำคาญมาให้
“ฉันล่ะโคตรสงสัย นายมีแฟนได้ไงตั้งห้าคน ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะนั่น” ฉันโกหกก่อนแสร้งตีสีหน้าประหลาดใจ
คนถูกสวดยับหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะเงียบลงสักพักแล้วพึมพำ “อันที่จริง...”
จากนั้นพ่อคุณก็ก้มหน้านิ่งๆ แววตาดูสลด ได้ยินเพียงแค่เสียงฉันกลืนหมูลงท้อง ลางสังหรณ์ฉันบอกว่ามีบางอย่างกำลังผิดปกติ บางทีฉันคงพูดแรงเกินไป ครั้นเมื่อฉันกำลังจะเอื้อมมือเรียวไปสัมผัสไหล่อีกฝ่ายเป็นเชิงขอโทษ อยู่ๆ เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมาพลางตอบหน้าซื่อดูกวนตีนไม่น้อย
“ที่ผ่านมาก็เป็นฝ่ายถูกจีบตลอดอ่ะ ไม่เคยจีบใครเลย”
“ห๊า!!?” คราวนี้ฉันอุทานลั่น ดวงตาสีเทาเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างอย่างคนตกใจกว่าเดิม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเบ้าหน้าอย่างนายจะจีบสาวไม่เป็น
“ฉันจีบเธอคนแรกเลยนะ” แคลคูลัสเสริมต่อด้วยน้ำเสียงนุ่ม รอยยิ้มละมุนปรากฏขึ้นบนดวงหน้า ดูดีเป็นบ้าแต่ฉันไม่ชอบเอาซะเลย จั๊กจี้หัวใจชะมัด
“นะ... นาย” เจอถูกขอจีบไปโต้งๆ แบบนี้ก็เงิบไปต่อไม่ถูกน่ะสิ ผลเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อย่างนี้ “นายจีบฉันจริงๆ เหรอ?”
“ถ้าตอบว่าใช่” ชายหนุ่มสายอ่อยที่ผันมาเป็นสายจีบยืนยันด้วยสีหน้าขึงขังให้ฉันนึกอยากเอาหัวฟาดขอบโต๊ะ รู้สึกได้ถึงแรงถีบมหาศาลของหัวใจกับใบหน้าที่ร้อนผ่าว กระนั้นแล้วก็ยังคุมสติได้พอประมาณ
“พระเจ้า นี่นายจริงจัง?” คนถูกถามพยักหน้าอีกรอบ ส่วนฉันรีบพูดรัวจนลิ้นพันกัน “จีบไปก็ไม่ติดหรอก อย่าเลยๆ เสียเวลานายเปล่าๆ”
“รู้ได้ไงว่าไม่ติด” สวนกลับเสียงเข้ม
เออว่ะ ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน
เขาอาจจะจีบฉันติดก็ได้นะ ใครจะไปรู้!
เฮ้ย ไม่ใช่สิ!!
“ถ้าเกิดฉันจีบเธอติดขึ้นมา เธอจะทำยังไง?”
นั่นสิ ทำยังไง?
มันเป็นคำถามที่ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในเซลล์สมองเพราะไม่เคยรับมือกับอะไรแบบนี้ ดังนั้นฉันจึงเงียบลงสักพักอย่างคนใช้ความคิด เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคน เงียบจนชายหนุ่มผู้ถามต้องเปิดปากเป็นฝ่ายแรก
“เฌอลิน...”
ฉันเปลี่ยนจากมองหน้าหมูมาเป็นมองหน้าคน พบรอยจริงจังปรากฏบนดวงหน้าเด่นชัด ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยกระแสเว้าวอนอีกแล้ว ฉันไม่ชอบสายตาแบบนี้แต่หยุดมองไม่ได้ ราวกับว่าต้องมนตร์สะกดซะอย่างนั้น ดังนั้นฉันจึงรีบดึงสติแล้วถามกลับเสียงห้วน
“จะตามจีบอะไรนักหนา?”
“ก็ชอบอ่ะ ชอบผู้หญิงเก่ง” ตอบพลางยักคิ้วกวนประสาท เล่นเอาฉันกลอกตาแล้วพึมพำ
“ประสาท”
แต่เนื่องจากในห้องนี้มีเพียงแค่นายแคลคูลัสกับฉัน แถมยังเงียบสงัดเพราะมันเป็นห้องอ่านหนังสือ ดังนั้นแม้ว่าฉันจะพูดเสียงเบามากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ยังได้ยินอยู่ดี
“จริงๆ ฉันชอบเธอมานานแล้ว” เขาบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เพ้อเจ้อ!” สวนกลับเสียงแหวพลางขยี้ผมตัวเองอย่างอารมณ์เสียกับความโกหกหน้าด้านๆ ของอีกฝ่าย ฉันเพิ่งรู้จักนายเองด้วยซ้ำ มาพูดได้ไงว่าแอบชอบตั้งนาน
“เอ้า ก็ชอบตั้งแต่เธอแข่ง Ambassador แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เจอสักที” แคลคูลัสแจกแจงยิ้มๆ นัยน์ตาฉายแววจริงจังน่าประหลาด แล้วอยู่ๆ หน้าฉันก็พลันแดงก่อนหัวใจจะเต้นรัว จากนั้นเจ้าตัวจึงเลียนแบบเป็นเสียงฉันเมื่อครั้งตอนพูดสปีชปีที่แล้ว “Hey! Can you see? I’m on university ambassador’s stage, this’s loser girl you called! (เฮ้ เห็นมั้ยว่าฉันกำลังยืนอยู่บนเวทีตัวแทนมหาวิทยาลัย นี่แหละฉัน คนขี้แพ้ที่พวกเธอเรียก!)”
“บ้าน่า... ” หลุดอุทานพลางกระพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจในคำฉันเท่าไรนัก เพราะพี่แกเล่นเสริมต่อเสียงราบเรื่อย
“ยิ่งพอรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนไอ้เร็ก มันยิ่งเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี”
คำพิลึกที่ฉันนึกสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไปเพราะเสียงเรียกเข้าดังขึ้นก่อน ฉันกระวีกระวาดคว้าโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงลงไป
“ว่าไงเร็ก”
[นี่เฌอลิน ไม่อยู่บ้านงั้นเหรอ?] น้ำเสียงของปลายสายติดจะประหลาดใจเล็กน้อย
“อ่าฮะ ใช่”
[ลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าวันนี้หมอตานัด] คราวนี้เสียงเข้มฟังดูดุขึ้น ขนาดไม่เห็นหน้าฉันยังจินตนาการออกเลยว่าหมอนี่กำลังทำหน้านิ่งๆ แล้วส่งสายตาเย็นชาพิฆาตมาให้
“ก็...”
เออว่ะ ฉันเลื่อนหมอเป็นอาทิตย์หน้าเพราะนายแคลคูลัสไม่อยู่ไทย
แต่ฉัน..
“ลืมบอกนายว่าเลื่อนหมอเป็นเสาร์หน้า”
นั่นแหละ แถมยังหัวเราะแห้งๆ กรอกไปตามสายด้วย ครั้นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจ ฉันจึงรีบเสริมต่อ
“พอดีวันนี้ติดสอนพิเศษอ่ะ”
[สอนที่ไหน? แล้วเลิกเมื่อไร?]
มาอีกแล้ว คุณพ่อคนที่ 2 ของฉัน เป็นแบบนี้ประจำเลย
“บ้านแคลคูลัส” ฉันบอกก่อนจะเผลอมองหน้าเจ้าของชื่อที่กำลังทำหน้าสงสัย “เลิกบ่ายสาม”
[…]
“มีอะไรหรือเปล่าเร็กตัส?” ถามพลางเลิกคิ้วนิดๆ อย่างตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
[เดี๋ยวฉันไปรับตอนบ่ายสองโมง โอเคนะเฌอลิน?]
“เพิ่งบอกไปเมื่อกี้ว่าสอนเสร็จบ่ายสาม!” ฉันสวนขวับก่อนไม่ลืมแขวะว่าที่สารถี “นายหูตึงรึไงฮะคุณหมอ!?”
[ไม่เป็นไร รอได้] เสียงของเขาฟังดูจริงจังไม่น้อย พิลึกแฮะตานี่
“ไม่ต้อง –”
ปิ๊บ
ยังไม่ทันเติมคำว่า ‘มา’ ลงไป เพื่อนสนิทของฉันก็ตัดสายไปแล้ว ส่วนเพื่อนของนายเร็กตัสก็ขยับริมฝีปากเป็นคำพูดเชิงรู้ทัน
“ไอ้เร็กโทรมาหรอ?”
“อ่าฮะ พอดีนางมาหาฉันที่บ้านอ่ะ” ฉันบอกเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปกตินัก ส่วนสีหน้าคนฟังนี่ประหลาดราวกับกินของแสลง เมื่อเป็นดังนั้นฉันจึงรีบชิงบอก “แต่ตอนนี้กลับไปแล้วล่ะ เห็นบอกว่าจะมาที่นี่ตอนบ่ายสอง”
ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็เงียบกะทันหันอีกครั้งให้ฉันเผลอมุ่นหัวคิ้ว เงียบแบบนี้ลางสังหรณ์ชักไม่ดีเท่าไร รู้สึกเหมือนกับว่าหมอนี่กำลังมีแผนการบางอย่างอยู่ในหัว
“นี่เธอกินเสร็จยัง” เขาโพล่งขึ้นมา ส่วนฉันที่กำลังเคี้ยวสเต็กหมูชิ้นสุดท้ายในปากก็พยักหน้าหงึกหงักก่อนตอบหลังกลืนเสร็จว่า
“อ่าฮะ กินเสร็จแล้ว”
“งั้นวันนี้ไม่เรียนแล้วนะ” บอกด้วยสีหน้านิ่งเฉยราวกับไร้อารมณ์
“ฮะ?” ฉันอ้าปากค้างพลางกะพริบตาปริบๆ ก่อนทวนซ้ำอีกครั้ง “นายว่าอะไรนะ?”
“ไม่เรียนแล้วนะวันนี้”
น้ำเสียงคราวนี้เย็นเยียบราวกับเร็กตัสสอง แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกน่ากลัวสักนิด แถมคำตอบที่ได้ยินทำเอาฉันเคืองไม่น้อยด้วย อยู่ๆ นายมาแคนเซิลแบบนี้แล้วค่าสอนฉันละ? เงินตั้งสองพันเชียวนะ! ฮึย เลวร้ายชะมัด
แต่ถึงแม้ฉันจะโกรธมากแค่ไหน ในฐานะติวเตอร์แล้วนั้นการเหวี่ยงออกไปตรงๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ดังนั้นฉันจึง...
“ทำไมไม่เรียนล่ะ?” แสร้งถามเสียงหวาน กะพริบตาปริบๆ เอียงคอเล็กน้อยดูใสซื่ออินโนเซนส์ ดัดจริตชะมัด นั่นไม่ใช่ฉัน แต่เพื่อเงินฉันทำได้!
“เพิ่งนึกได้ว่ามีธุระบ่ายสาม”
“แต่นี่เพิ่งบ่ายโมงกว่าเอง เรียนสักชั่วโมงแล้วเลิกบ่ายสองก็ยังทันนะ” ยังคงตื้อต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ในใจนี่ราวกับภูเขาไฟเดือดปุๆ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด อุตส่าห์เสียเวลามาขนาดนี้แล้ว ได้พันนึงกลับไปก็ดี!
“ไม่อ่ะ” แล้วอยู่ๆ หมอนั่นก็ทำฝันฉันสลายอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์กรุ่นนิดๆ แถมยังสั่นหัวไปมาชวนกวนฝ่าเท้าฉันมาก
โว้ย พันนึงของฉัน อีตาบ้า!!
“แต่กว่านายจะได้เรียนอีกทีก็หลังจากกลับจากฝรั่งเศสเลยนะ” ย้ำอีกครั้งพลางแสร้งตีหน้าเศร้าเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ท่องไว้ในใจว่าเพื่อเงิน “แล้วถ้านายสอบไม่ผ่านอีกล่ะ นายจะทำยังไง?”
“ช่างแม่ง” เขาพูด น้ำเสียงเจือไปด้วยความหงุดหงิดไม่น้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กินเสร็จแล้วอยากกลับก็บอกนะ ฉันจะไปส่งเธอเอง”
“กลับเลยก็ได้” ฉันบอกพลางเสริมต่อในใจ ‘ฉันจะอยู่ทำซากอะไร เงินก็ไม่ได้’
“อ่ะนี่ ค่าเสียเวลา” ดูเหมือนว่าเขาจะอ่านใจฉันออก เมื่อมือหนายื่นแบงค์สีเงินที่หยิบมาจากกระเป๋าสตางค์ให้สองใบ ส่วนฉันก็มองงงๆ แล้วถาม
“สำรองจ่ายครั้งหน้าเหรอ?”
“เปล่า ครั้งนี้นี่แหละ รับไปสิ”
“ไม่เอาหรอก” ฉันปฏิเสธ ถึงจะเห็นแก่เงินแต่ก็มีคุณธรรมนะยะ ไม่ได้สอนแล้วมาเอาเงินแบบนี้เป็นสิ่งไม่ควร
“ไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอหงุดหงิดแค่ไหนที่อยู่ๆ ก็ถูกแคนเซิล”
“เออ ก็จริง” กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเผลอพึมพำออกไปแล้ว – หมอนี่รู้ใจฉันดีแฮะ
“เห็นมั้ยล่ะ? เพราะงั้นรับๆ ไปเถอะ” เขาเซ้าซี้พลางยื่นเงินเข้ามาใกล้อีกครั้งพร้อมกับขยับรอยยิ้มบาง
“ขอบคุณ”
เอาวะ กล้าให้ก็กล้ารับ เฌอลินคนนี้ไม่ได้หน้าเงินเลยสักนิด
“อ่อ อย่าบอกเร็กตัสด้วยนะว่าเธอถึงบ้านแล้ว”
นั่นไง ฉันกะไว้แล้วว่ามันต้องมีลับลมคมใน สรุปว่านี่คือค่าปิดปากฉัน นายแคลคูลัสต้องอยากเจอหมอเร็กเป็นการส่วนตัวแน่ๆ ว่าแต่ทำไมล่ะ? นายทำให้ต่อมเผือกของฉันทำงานขึ้นมากะทันหันนะรู้มั้ย
“ทำไมล่ะ?”
อีกฝ่ายถอนหายใจเล็กน้อยพลางทำท่าบิดขี้เกียจ “เฮ้อ ก็แค่อยากคุยกับมันตามประสาเพื่อนเก่าเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”
แปลให้ง่ายก็คือ ‘นี่มันเรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงอย่างเธออย่าเผือกสิ’
“ตกลงนะ” เขาถามซ้ำก่อนจะแย้มรอยยิ้มกว้าง ส่วนฉันก็จำต้องพยักหน้าตามน้ำเพราะคิดได้ว่าฉันเสียเวลากับหมอนี่มามากพอแล้ว
“ได้”
หลังจากนั้นแคลคูลัสก็ขับรถปอร์เช่สีแดงไปส่งฉันที่บ้าน ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรที่แปลกมากกว่า ‘คุยกันตามประสาเพื่อนเก่าเฉยๆ’ แน่นอน แต่ช่างมันเถอะ เอาไว้ถามเร็กตัสเองก็ได้ หวังว่านายเพื่อนสนิทของฉันมันคงจะเล่าให้ฟังนะ
……………………………………………
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ นับจากวันที่เจอแคลคูลัสวันนั้นก็ผ่านมาแล้วเกือบสองอาทิตย์ หลังจากต่อมเผือกของฉันทำงานด้วยการเปิดปากถามเร็กตัส อีกฝ่ายก็แค่ตอบว่า ‘คุยกันตามประสาเพื่อนเก่าเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก’ แบบที่แคลคูลัสบอกไม่มีผิด ถ้าทั้งคู่ยืนยันอย่างนั้นก็คืออย่างนั้น บางทีลางสังหรณ์ฉันแค่เพี้ยนไป
ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ของฉันกับแคลคูลัสเป็นไปขนาดไหน ก็คงต้องตอบว่าเหมือนเดิม เรื่อยๆ ไม่หวือหวา มีเพิ่มเติมคืออ่อยมาอ่อยกลับก็แค่นั้น ชีวิตวนลูปแบบนี้เป็นประจำจนกระทั่งเย็นวันเสาร์มาถึง
ณ ลานจอดรถโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่
Cal Calculus : ถึงปารีสแล้วนะ
Cal Calculus : sent a sticker
เสียงแชทดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาอ่านแต่ยังไม่ทันพิมพ์ตอบอะไร
“เอาแต่เล่นโทรศัพท์แบบนี้ไง ตาถึงได้แห้งไม่เลิก”
ประโยคแรกดังขึ้นทันทีที่ก้าวขึ้นไปนั่งในรถ ฉันเหลือบสายตาขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงดุที่ปรายมองฉันตั้งแต่แรกก่อนอยู่แล้ว
“เดี๋ยวสิ ขอตอบแชทหน่อยนึงนะเร็กตัส” แถมยังบอกปัดเสียงหวานอย่างไม่รู้สึกผิดอีกด้วย พอเห็นคนตัวสูงถอนใจก่อนพยักหน้าเท่านั้นแหละ ฉันก็ได้ทีตัวเป็นหนูร่าเริงตอบแชทใหญ่
Sherlyn Sherliya : โอเค อย่าลืมสัญญานะ :)
Cal Calculus : ครับผม หอไอเฟล ไม่ลืมหรอก
Sherlyn Sherliya : ไม่ใช่ รูปฉันกับหอไอเฟลต่างหาก
Cal Calculus : ก็นั่นแหละ ไม่ลืมอยู่แล้ว
Sherlyn Sherliya : ดีมาก XD
Cal Calculus : ขึ้นบัสก่อนนะ
Cal Calculus : ถึงบ้านพักละจะบอก :D
“มัวแต่อยู่ในโลกออนไลน์จนลืมโลกแห่งความเป็นจริง ระวังเถอะ” เร็กตัสเกริ่นเสียงนิ่ง
“ระวังอะไร?” ฉันเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเป็นงี้ นึกมางอนฉันรึไง
“ก็... ” เว้นวรรคสักพัก ส่วนฉันก็รอลุ้นใจหายใจคว่ำ “ช่างเหอะ เธอเป็นคนฉลาด พูดแค่นี้ก็คงเข้าใจแล้ว”
ฉันชะงัก หมอนี่พูดจาแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เข้าใจอะไรฟะ? เข้าใจว่านายกำลังงอนฉันอยู่เหรอเร็กตัส?
ครั้นพออ้าปากจะถาม อีกฝ่ายก็ดันพูดแทรกเฉย “แล้วนี่แชทกับหนุ่มชาติไหนล่ะ? อังกฤษเหรอ?”
“ไทย” คำตอบทีได้รับทำให้เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ พอเห็นเครื่องหมายคำถามซ่อนอยู่บนดวงหน้ารูปสลักนั่นแหละ ฉันจึงย้ำอีกครั้ง “หนุ่มไทยนี่แหละ”
คนเรียนหมอเหยียดรอยยิ้มนิดๆ ที่ดูก็รู้แล้วว่ามันเป็นอาการของคนกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง ก่อนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับฉันแต่ก็เงียบไป เพียงเท่านั้นดวงตาคู่เทาจึงกลับไปสนใจแชทของนายแคลคูลัสต่อ
Sherlyn Sherliya : ได้ ละก็อย่าเที่ยวไปเหล่สาวที่ไหนนะ XD
Cal Calculus : ก็แย่ละ
Sherlyn Sherliya : 5555555555555555555555555555
Cal Calculus : หึงเหรอ?
Sherlyn Sherliya : ไม่มีทาง นี่นายชักจะหลงตัวเองใหญ่ละนะ
Cal Calculus : โห นึกว่าหึง
“เฌอลิน” เสียงทุ้มร้องเรียก ฉันเพียงแค่ชำเลืองสายตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าสารถีนิดนึงแล้วตอบแชทต่อ เอาจริงๆ คุยกับนายแคลคูลัสนี่มันก็สนุกดีนะ
Sherlyn Sherliya : จริงๆ ก็เป็นคนขี้หึงนะ
Sherlyn Sherliya : มากกกกกกกกกกด้วย
Cal Calculus : งั้นหึงฉันบ้างสิ :P
Sherlyn Sherliya : ทำไม??
Cal Calculus : ชอบให้หึง
Sherlyn Sherliya : บ้าเปล่า 555555555555555
Cal Calculus : ก็อยากเป็นคนสำคัญของเธออ่ะ
Cal Calculus : เป็นได้ปะล่ะ???
ฉันอมยิ้มให้กับประโยคอ่อยสุดแรงของนายเดือนวิศวะ แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์ตอบเร็กตัสก็หันมาเน้นเสียเข้ม
“เฌอลิน”
“หือ?” พอเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาดุจัดที่ส่งปราดมาเท่านั้นแหละ ความกลัวก็พลันแล่นวาบ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์แสร้งทำทะเล้นหน้าตาเฉย “แล้วนี่ทำไมไม่ออกรถล่ะ?”
“ก็เธอไม่ยอมคาดเข็มขัดสักที จะออกรถแล้ว” เจ้าของรถออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขัดกับน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดไม่น้อย แถมยังมีการนัยน์ตาคมกริบตวัดมายังฉันอีกด้วย
“เออน่า รู้แล้ว” ฉันพยักหน้ารับรู้พลางเอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดรถมาคาด
“ชักช้า” แถมยังไม่วายบ่นต่อเป็นพ่อสองอีกด้วย วันนี้เร็กตัสผิดปกติมากๆ อย่าบอกนะว่าการขึ้นวอร์ดเด็กของมันตลอดสัปดาห์จะทำให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
“ดุฉันอีกแล้ว” ฉันงอแงพลางหันไปทำแก้มป่องใส่ดวงหน้ารูปสลักที่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไอความเย็นเริ่มเกาะกุมโดยไม่ต้องพึ่งแอร์ สบนิลสนิทนั้นชั่วครู่ก่อนจะรีบหันกลับมาสนใจโทรศัพท์ตัวเองต่อทันทีที่นึกได้ว่าขึ้นรี้ดให้กับคู่สนทนา
Cal Calculus : เป็นไร โกรธอ่อ?
Sherlyn Sherliya : เปล่า นี่อยู่กับพ่อ 555555555555555
Cal Calculus : อ้าว งั้นคุยกับพ่อไป เดี๋ยวงีบแป๊บ
Sherlyn Sherliya : พ่อสองน่ะ
Sherlyn Sherliya : sent a sticker
Cal Calculus : หือ?
Sherlyn Sherliya : อยู่กับเร็กตัส
“เลิกเล่นโทรศัพท์ได้แล้ว เสียสายตา” แว่วเสียงดุๆ ดังมาจากคนที่ไม่ยอมขับรถออกไปสักที
ฉันแค่ส่งเสียงรับรู้แต่ก็ยังเล่นมือถือต่อไป “อือ แป๊บนะ”
Sherlyn Sherliya : ไว้คุยกันใหม่นะแคล พ่อดุใหญ่แล้ว
Sherlyn Sherliya : 5555555555555555555
“คุยอยู่นั่นแหละกับคนในโลกออนไลน์ ทีกับคนในชีวิตจริงไม่ยักจะพูด” ประโยคสุดท้ายคล้ายจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า ส่วนฉันก็ไม่ได้สนใจในท่าทีนั้นเท่าไรนักเพราะสายตาจ้องอยู่ที่โทรศัพท์
Cal Calculus : ฝากบอกมันด้วยว่าอย่าดุมาก
Cal Calculus : เป็นแค่เพื่อนสนิท ไม่ใช่เป็นแฟน
Sherlyn Sherliya : โหยย เร็กตัสเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวของฉันที่สนิทนี่นา
Sherlyn Sherliya : รายนั้นก็แค่หวังดีกะฉันเฉยๆ
Sherlyn Sherliya : นายนั่นแหละอย่าคิดมาก :)
Cal Calculus : เพื่อนก็เพื่อนเหอะ
Cal Calculus : แต่มันก็ต้องมีขอบเขตกันหน่อยดิ
Cal Calculus : จะมาทำตัวเป็นหมาหวงก้างไม่ได้
Cal Calculus : โตๆ กันแล้ว
“บอกให้เลิกเล่นไง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?” น้ำเสียงฟังดูคล้ายคนกำลังข่มอารมณ์โกรธ แล้วโดยไม่ทันตั้งตัวมือหนาก็เอื้อมมายึดโทรศัพท์ฉันไว้ ฉันเงยหน้ามองอีกฝ่ายขวับ ปรากฏแค่โทสะแล่นเป็นริ้วเด่นชัดในดวงตาดำสนิทที่มองมา แล้วจากนั้นฉันจึงนึกสรุปในใจ
โอเค มันโกรธ...
แล้วโกรธอะไร?
“โกรธหรอ?” ถามซื่อๆ พลางกะพริบตาปริบๆ พลันดวงหน้าเย็นชาก็เบือนไปยังกระจกหน้ารถราวกับเลี่ยงที่จะตอบ ทว่าริมฝีปากกลับเอ่ยตอบด้วยถ้อยความที่ฟังดูยังไง๊ ยังไงก็รู้ว่าเป็นการประชดประชันแบบเจ็บแสบ
“ฉลาดนักนี่ เธอน่าจะเข้าใจนะเฌอลิน”
“โอเค นายโกรธ” ฉันพึมพำแล้วถอนหายใจ “ถ้าเป็นเรื่องลืมคาดเข็มขัด ขอโทษจริงๆ นายก็รู้ว่าฉันขี้ลืมระดับสิบ”
กริบ...
ไม่มีคำตอบ สงสัยจะขอโทษผิดเรื่อง
“ถ้าเป็นเรื่องเล่นมือถือ เอ... แต่ปกตินายก็ไม่เคยเป็นงี้นี่นา... ” ฉันแสร้งตั้งข้อสันนิษฐานเสียงดัง คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบ แต่กลับผิดคาดเพราะยังคงเมินเฉยไม่เลิก
โอเค หมอนี่ไม่ชอบการแก้ตัว งั้นเปลี่ยนเรื่อง
“เอางี้เร็ก ถ้านายยังโกรธก็ลงมาจากรถแล้วมานั่งนี่ ฉันจะขับเอง” ฉันบอกเสียงใสพร้อมขยับรอยยิ้มกว้างให้ เอาความใจดีสู้เสือเข้าสู้ “เขาบอกว่าตอนโกรธอย่าเพิ่งขับรถ เดี๋ยวตายยกคัน”
แต่สิ่งที่ได้คือความเงียบเช่นเดิม เพิ่มเติมคือเสียงร้องของท้องฉัน...
ตกลงนี่นายจะเล่นสงครามประสาทกับฉันใช่มั้ย เร็กตัส?
ครั้นเมื่ออีกฝ่ายจับพวงมาลัยไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ฉันเลยสวนกลับด้วยถ้อยคำประชดประชันมั่ง เอาสิ ประชดมาประชดกลับไม่โกง “งั้นก็อยู่กันอย่างนี้จนโรง’บาลปิดนั่นแหละ นายคงคิดถึงวอร์ดของนาย”
เป็นอีกครั้งที่เกิดความเงียบกริบขึ้น เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคนที่เริ่มไม่ปกติ กับความนิ่งเฉยของคนนั่งข้างชวนให้ใจหายวาบ
“ฉันบอกเธอให้หยุดเล่น ทำไมไม่หยุดตั้งแต่แรก” เร็กตัสเปรยขึ้นมาก่อน ฉันจึงหันไปมองหวังโต้กลับทันควัน
‘ก็ยังตอบแชทไม่เสร็จอ่ะ’ ขืนสวนออกไปอย่างนั้นมีหวังก้อนน้ำแข็งบ่นได้คงกลายเป็นไฟร้อนพร้อมแผดเผาโรงพยาบาลที่ตัวเองเรียนแน่นอน เมื่อเป็นดังนั้นจึงฟังอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“รู้มั้ยว่ามันเสียสายตา ยิ่งเล่นบนรถยิ่งทำให้เธอสายตาแย่ขึ้น”
คราวนี้เขาหันมาสบตาฉันอย่างจริงจัง ความแข็งกร้าวบนนัยน์ตาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว แล้วเพียงแค่นั้นฉันก็จำต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงฉันขนาดไหน
“ค่ะๆ” ฉันพยักหน้า กระนั้นก็ยังคงนึกสงสัยอยู่รำไรว่าวันนี้หมอข้างกายไปหัวเสียมาจากไหน ขนาดพ่อแท้ๆ ยังไม่เคยบ่นขนาดนี้เลย หรือจะเป็นเพราะว่าฉันไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์บนรถแล้วมาเล่นนะ?
“เข้าใจมั้ย?”
ยังมีการหันมากำชับอีกด้วยนะ เชื่อเขาเลย
“เข้าใจแล้วค่ะคุณหมอ” ฉันบอกเสียงอ่อนก่อนจะหันไปถาม “โทรศัพท์ก็ยึดไปแล้ว ทีนี้จะออกรถได้ยังคะ”
คนฟังหยักยิ้มประหลาดคล้ายกับว่ากำลังระงับอารมณ์บางอย่างที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นความโกรธ มันทำให้ฉันเผลอมุ่นหัวคิ้วอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนเจ้าตัวจะสตาร์ทรถและขับออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายแปด
พนันได้เลยว่าอารมณ์กรุ่นเมื่อครู่ยังไม่หาย
หวังว่าเฌอลินคนนี้คงถึงบ้านโดยสวัสดิภาพนะ
เร็ก เร็กตัส
แย่ชะมัด นี่ผมเผลอทำตัวงี่เง่าไปตั้งแต่เมื่อไร? แถมยังเป็นแบบไม่รู้ตัวด้วย ยอมรับเลยว่าหงุดหงิดไม่น้อยที่เห็นเฌอลินเอาแต่เล่นโทรศัพท์ต่อหน้าผม ตอนนี้เราสองคนกำลังจะลงจากทางด่วนพระราม 2 ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ ขอบคุณความโกรธที่ช่วยย่นระยะเวลาได้
ผมเหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งนิ่งๆ เป็นตุ๊กตาโดยไม่พูดไม่จามาตลอดทางแล้ว ดูท่าว่าผมคงทำเธอตกใจมากสินะ อย่าว่าแต่ยัยนั่นเลย ผมเองก็ยังตกใจตัวเองไม่แพ้กัน
“ขอโทษนะ เมื่อกี้พูดแรงไป” ผมหันไปบอกเจ้าหล่อนพลางขยับยิ้มบางๆ ให้ คนฟังเบนหน้ามองผมพลางเอียงคอลงเล็กน้อยดูบ้องแบ๊ว
“อ้อ... ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ” เธอตอบเสียงหวาน “ฉันเองก็ขอโทษด้วยที่ดื้อไม่ยอมฟัง”
“อืม” ผมรับคำเสียงขรึม ขณะที่ดวงตาคู่เทาของเธอสบมองนิลสนิทของผมชั่วครู่ ก่อนเจ้าหล่อนจะหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริงเป็นสัญญาณว่าเฌอลินคนเดิมกลับมาแล้ว
นั่นทำเอาผมเผลอขยับยิ้มตามบ้าง
“ยิ้มบ้างก็ได้เร็กตัส เวลานายยิ้มน่ารักจะตาย” เธอพูดพลางเอื้อมมือมาหยิกแก้มผมราวกับเด็กน้อย
น่ารักงั้นเหรอ?
เขินเป็นบ้า
แต่กระนั้นก็ยังสู้อุตส่าห์ทำเป็นกลบเกลื่อนเสียงขรึม “ฉันขับรถอยู่”
“แต่รถติด” อีกฝ่ายเถียงพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างคนจงใจกวนประสาท ส่วนผมก็ถอนหายใจอย่างจำนน
เฮ้อ ต่อให้กวนมากแค่ไหนแต่ผมก็ไม่เคยโกรธเธอลงเลยสักนิด
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอไม่ควร –”
“แหมๆ ดุอีกแล้ว” ยังไม่ทันบ่นเสร็จเจ้าตัวก็พูดแทรกแถมยังหัวเราะร่า ก่อนที่ผมจะเผลอมองเสี้ยวหน้าแม่สาวน้อยข้างกาย เพียงแค่นั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ ดวงหน้าร้อนวูบวาบ เกิดความรู้สึกประหลาดไปทั่วจนต้องรีบสลัดความคิดทิ้งไป แต่ปากผมกลับไม่ทำตามสมองเลยสักนิด เพราะกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายไปแล้ว
“นี่เฌอลิน”
“ฮะ?” เจ้าของชื่อหันมาอย่างรวดเร็วพลางทำหน้างงเล็กน้อย
“กับแคลคูลัสน่ะ ไปถึงไหนแล้ว?” ผมกลั้นใจถามก่อนจะเบือนหน้าไปยังกระจกหน้ารถเพื่อมองทาง
“เอ๋? กับนายแคลน่ะเหรอ?” เจ้าหล่อนทวนซ้ำพลางโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย “ก็ไม่ถึงไหน คุยเรื่องปกติทั่วไป อ่อยมาก็มีอ่อยกลับบ้างก็แค่นั้น”
“เหรอ?” ผมพึมพำคล้ายกับคนไม่ใส่ใจ ทั้งที่ความจริงแล้วตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง “อ่อยมาอ่อยกลับอ่ะนะ”
“ใช่” เธอพยักหน้าหนักแน่น “เป็นคนมีมารยาทไง อ่อยมาก็เลยอ่อยกลับ จะได้ไม่เสียมารยาท”
“แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะกับความเพี้ยนของเจ้าหล่อน “ไม่กลัวอ่อยไปอ่อยมาแล้วเผลอชอบมันขึ้นมาจริงๆ เหรอ?”
“โหย ก็แย่ละ หมอนั่นไม่ใช่สเป็คฉัน” ผมลอบอมยิ้มกับประโยคนั้น แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นทันทีที่ลอบมองเจ้าหล่อนและพบว่าสีหน้าของเธอบ่งชัดถึงความไม่แน่ใจ
“แล้วทำไมถึงชอบคุยกับมันอ่ะ?” ยังคงถามต่อไปทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น
“ก็ไม่เคยมีคนไทยมาจีบอ่ะ เลยลองคุยดู คุยไปคุยมาก็สนุกดี”
“งั้นเหรอ?”
“อื้อ ก็แค่คุย อย่าคิดมากดิ” เธอบอกก่อนจะหันมายกนิ้วชี้แตะปากด้วยท่าทางครุ่นคิด “ฮันแน่ หรือว่านาย...”
เป็นนาทีที่ใจผมหายวาบ ลุ้นเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร กระนั้นเมื่อเจ้าหล่อนอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูดสักที ผมจึงเอ่ยถามออกมาอย่างร้อนรนเป็นฝ่ายแรก หวังเหลือเกินว่ารายนั้นคงจับอาการพิลึกของผมไม่ได้หรอกนะ
“ฉัน?”
“ใช่ นายกลัวว่านายแคลคูลัสจะเลื่อนขั้นมาเป็นเพื่อนสนิทฉันแทนนายอ่ะดิ เร็ก!” สันนิษฐานเสียงหวานพลางหัวเราะลั่นรถให้ผมลอบมองเธออย่างเอ็นดู ปากก็พาลปฏิเสธเป็นอัตโนมัติ
“ยัยบ๊อง ใครจะไปสนเรื่องปัญญาอ่อนพรรค์นั้นล่ะ”
กลัวเรื่องอื่นต่างหาก...
“เอ้า แล้วทำไมต้องถามด้วยล่ะว่าคุยไปถึงไหน?” เธอสวนกลับพลางเอียงคอลงอีกครั้งอย่างน่ารัก – เอาล่ะเฌอลิน ฉันว่าเธอต้องหยุดทำตัวน่ารักสักที ก่อนที่มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ’ ขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“หรือนายกลัวว่าฉัน...”
เอาอีกแล้ว ยัยบ๊องนี่
“กลัวว่าเธอทำไมอีกล่ะ?” เสียงคราวนี้ปกปิดความร้อนรนไว้แทบไม่อยู่ หากแต่สีหน้าผมไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากนัก อาจเป็นเพราะชินกับการทำหน้าเป็นรูปสลักอยู่เป็นนิจแล้วก็ได้มั้ง
“กลัวฉันชอบแคลคูลัสไงล่ะ”
ผมเงียบ นึกอยากดึงร่างน้อยนั้นมากอดแล้วบอกว่า ‘ใช่’ จริงๆ ซึ่งผมคงทำอย่างใจคิดไปแล้วแหละ ถ้าไม่ติดว่าสถานะระหว่างเราคือ ‘เพื่อนสนิท’
ดังนั้นผมจึงหยุดความคิดเพ้อฝันไว้แค่นี้
“เธอจะชอบใครหรือจะคบใครมันก็เรื่องของเธอ” ผมสวนกลับทันควัน น้ำเสียงเจือไปด้วยอารมณ์กรุ่นเล็กน้อย ทั้งที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกเคืองด้วย
มันรู้แต่ว่าทุกครั้งที่เฌอลินพูดถึงแคลคูลัส ทำเอาอารมณ์ผมเป็นต้องพังพินาศตลอด
“อ้าว... ” เสียงนั้นฟังดูไม่มีความผิดหวังแม้แต่น้อย
“ฉันแค่ไม่อยากให้เธอเสียใจซ้ำๆ ซากๆ ก็แค่นั้น ไหนว่าอยากได้แฟนฝรั่งไม่ใช่รึไง” แถมยังดุใส่เจ้าหล่อนอีกด้วย คราวนี้เธอถึงได้หันมาถลึงตาโตๆ ใส่ผมพร้อมสวนกลับบ้าง
“ก็ใช่ แต่ฉันยังไม่ได้ชอบนายแคลสักหน่อย นายอ่ะคิดมาก!”
“ฉันไม่ได้คิดมาก”
“นายนั่นแหละคิดมาก” เธอย้ำ น้ำเสียงเจืออารมณ์กรุ่นไม่น้อย “ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ชอบๆ นี่ก็ยัดเยียดอยู่นั่น อยากให้ชอบรึไง?”
“ไม่!!” ผมตอบเสียงแข็งทันควัน แล้วทันใดนั้นรถทั้งคันก็เงียบลงอีกครั้ง เธอมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจว่าวันนี้ผมเป็นอะไร นั่นสิ วันนี้เส้นอารมณ์ผมขาดผึงได้ง่ายมากเลยนะ ผมรู้ตัวดี
“ก็นั่นแหละ แล้วจะเซ้าซี้อะไรนักหนา” เฌอลินเม้มปากแล้วกอดอก ทันใดนั้นผมจึงกลั้นใจถามในสิ่งที่ผมไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบมากที่สุดออกไป
“ถ้าวันนึงเกิดเธอหวั่นไหวขึ้นมาล่ะ เฌอลิน?”
“โหย ถ้าฉันหวั่นไหวง่ายขนาดนั้น ป่านนี้คงหวั่นไหวกับนายตั้งนานแล้วล่ะเร็ก!” เจ้าหล่อนสวนกลับแทบจะในทันที แม้จะดูเหมือนปกติ หากแต่ดวงตาสีสวยของเธอกลับไหววูบเล็กน้อย... แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่คนได้รับคำตอบอย่างผมถึงกับชะงักกึก ดวงหน้าชา ในสมองว่างเปล่ากะทันหัน แล้วริมฝีปากก็หลุดพึมพำในสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดออกมาเลยสักนิด
“เธอไม่เคยหวั่นไหวกับฉันจริงๆ เหรอ?”
“ก็แหงสิ ใครจะไปหวั่นไหวกับเพื่อนสนิทตัวเองได้ล่ะ!” เธอตอบเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าในน้ำเสียงไม่มีอะไรปกปิดอยู่เลยแม้แต่น้อย เธอคงไม่โกหก ผมมั่นใจ “อีกอย่าง ผู้ชายดีๆ อย่างนายก็คงไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นกับฉันใช่มั้ยล่ะ?”
ผมเหลือบมองดวงหน้าน่ารักที่เอาแต่แจกแจงเสียงใสปาวๆ นัยน์ตาของผมมีรอยกลัดกลุ้มอยู่เพียงน้อยนิดจนแทบจะดูไม่ออกด้วยซ้ำเมื่อยามที่มีกรอบตาสีเข้มบดบัง
“ผู้หญิงที่มองความรักเป็นแค่เกม มองผู้ชายเป็นแค่หมาก ผู้หญิงที่ไม่เคยคิดจริงจังกับใครเลยสักคน ผู้หญิงที่เป็นโรคกลัวการตกหลุมรัก ผู้หญิงที่เป็นขนาดนี้ใครจะไปทนได้”
ฉันไง... ผมตอบ
“อือ”
“เห็นมั้ยว่าฉันไม่ได้ดีพอที่จะเป็นแฟนนายเลย ฮ่าๆๆ”
ใครว่าล่ะ... ผมเถียงกลับ
“แล้วก็... ” เฌอลินเบือนดวงหน้าน่ารักมายังผมก่อนเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตาหนักแน่น “เพื่อนกัน เขาไม่กินกันเองหรอก ถูกมั้ย”
เป็นประโยคที่ทำให้โลกทั้งใบของผมแทบสลาย ผมรู้ดีมาตลอดว่าเฌอลินไม่เคยคิดกับผมมากกว่าเพื่อน การข่มใจยอมรับความจริงที่ผมไม่ต้องการเป็นสิ่งที่ผมทำได้และสมควรทำในตอนนี้ ดังนั้นผมจึงพยักหน้ารับรู้เนิบๆ
“อือ”
มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจ
โดยที่ใครคนใดคนหนึ่งไม่เป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อน…
แต่ก่อนที่ผมจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไหว คำพูดบางคำก็หลุดออกจากปากแล้ว
“เธอไม่รู้จริงๆ ใช่มั้ยว่าฉันรักเธอ... ”
“!!?”
สวัสดีค่ะ
คีตาสีเงิน JLS05 Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย เองนะคะ
ยอมรับว่าเหนื่อยมากจริงๆ เพราะว่าทำทั้งโปรเจคแล้วก็แข่งขันอะไรสักอย่างในมหาลัย บทนี้น้อยนิดนึง แต่หวังว่าทุกคนคงชอบนะคะ รักใคร ชอบใคร เชียร์ทีมไหน อย่าลืมใส่ #แคลคนอ่อยแรง #หมอเร็กคนนิ่ง ด้วยนะฮะ ส่วนนี่เชียร์ทีมหมอ อยากมีแฟนเป็นหมอ ฮาาา ล้อเล่น เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ด้านล่างเป็นคาแรกเตอร์หมอเร็กค่ะ


อยากรู้ตอนต่อไปละ
พี่ชอบเร็กมากกว่าแคล เพราะแคลทะเล้นไป ไม่ใช่แนว อันนี้รสนิยมส่วนตัวล้วนๆ 555555555