หนุ่มวิศวะหน้ามนคนนั้นน่ะไม่เคยเป็นสเปคฉันเลยให้ตายสิ แต่พอโดนอ่อยมากๆ หัวใจก็ชักหวั่นไหว มันคงจะดีกว่านี้นะถ้าฉันไม่รักเขาในวันที่เขากำลังจะเทฉัน! อ้าวเฮ้ย อ่อยให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ!
5
ที่อ่อยกลับไม่ได้แปลว่ามีใจให้ แต่แปลว่ามีมารยาท
“เธอไม่รู้จริงๆ ใช่มั้ยว่าฉันรักเธอ... ” เร็กตัสกล่าวเสียงเคร่งขรึมพลางเอื้อมมือไปเปิดวิทยุในรถ แล้วอยู่ๆ ทำนองเพลง ‘เพื่อนรัก’ ก็ดังขึ้นราวกับรู้หน้าที่ เล่นเอาหัวใจของฉันกระตุกวาบ ยิ่งตอนคนตัวสูงเบือนนัยน์ตาคมมาสบ ใจของฉันก็ยิ่งไม่สงบ เพราะมันช่างอ่อนโยนจนฉันเริ่มสงสัยว่านั่นคือหมอน้ำแข็งผู้ไร้หัวใจจริงๆ หรือเปล่า ทำไมมันละมุนอย่างนี้ล่ะ
เร็กตัสรักฉัน?
เสียงร้องดังขึ้นในใจ
บ้าน่า เพื่อนกันไม่ทำงี้สิ จะมาชอบกันได้ไง นายล้อเล่นใช่มั้ยเร็ก?
“ประสาท!” ฉันด่าเสียงดังทันทีที่ได้สติก่อนจะถลึงตาโตๆ ใส่อย่างตกใจพลางจ้องอีกฝ่ายอย่างควานหาคำตอบ แต่สิ่งที่พบคือรอยจริงจังบนดวงตาสีดำใต้แว่นตาที่บ่งชัดว่า ‘ไม่ได้ล้อเล่น’
‘เธอ...
เธอคงไม่รู้ว่า
เพื่อนเธอคนนี้ภายในใจนั้น
ข้างในได้เปลี่ยนไปแล้ว...’
เสียงเพลงดังแว่วเข้ามาในหู ขณะที่ใจตอนนี้ร้อนรนดั่งไฟสุม ฉันรีบร้องค้านขึ้นมาเสียงดังเพื่อดึงสติอีกฝ่ายทันที “ล้อกันเล่นใช่มั้ยเร็ก?”
“หน้าฉันดูล้อเล่นงั้นเหรอ?” อีกฝ่ายเอ่ยนิ่งๆ
“โธ่เร็ก... ไม่เอาดิ” ฉันบ่ายเบี่ยงพลางกัดริมฝีปากนิดๆ เมื่อเห็นหมอน้ำแข็งกำลังประพฤติตัวเป็นน้ำแข็งต้องคำสาปด้วยการมองหน้าแบบไม่พูดไม่จา
เอาจริงนะ แม้เจ้าตัวจะลดระดับความเร็วรถลง แต่อัตราการเต้นของหัวใจกลับเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับความปั่นป่วนในสมองที่บังเกิดแล้วนั้น ฉันก็ยิ่งว้าวุ่นกว่าเดิม...
ความอึดอัดเข้าปกคลุมเราสองคนอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่คนสารภาพรักจะเป็นฝ่ายเปรยขึ้นมาก่อน
“รักแบบเพื่อน... อย่าคิดมากสิ”
ฉันหันขวับทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นก่อนแยกเขี้ยววาวๆ ใส่อย่างอารมณ์เสีย โดยเฉพาะในยามที่เห็นรอยยิ้มกวนประสาทซึ่งนานๆ ทีจะปรากฏกับหมอน้ำแข็งแล้วนั้น ความหงุดหงิดงุ่นง่านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จากนั้นจึงได้ทีตำหนิเสียงขุ่นไม่ยั้ง
“ไอ้หมอเวร! นี่ไม่ตลกนะเว้ย เมื่อกี้ฉันเกือบอัดนายแล้ว”
“อัดฉัน?” อีกฝ่ายทวนเสียงสูงแล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ “งั้นก็กลับบ้านเองนะ”
“ชิท!” ฉันสบถแล้วเสหน้าบึ้งๆ ไปยังหน้าต่างรถ
“ทำไม? มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอถ้าฉันจะรักเธอขึ้นมาจริงๆ” เร็กตัสถามยิ้มๆ นัยน์ตาเป็นประกายระยิบ ส่วนฉันก็ผงกศีรษะแรงๆ บอกไว้ก่อนว่ามุกนี้ฉันไม่ขำ
“ใช่” ตอบเสียงห้วนแล้วนิ่วหน้าลงอย่างคนเอาแต่ใจ “แล้วก็โกรธมากด้วย นายก็รู้ว่าฉันเคยเล่าให้นายฟังว่า – ”
ยังไม่ทันพูดจบคนเรียนหมอก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ตอนม.ปลายเธอเคยเป็นแฟนกับเพื่อนสนิท สุดท้ายพอเลิกกันก็มองหน้าไม่ติดจนถึงทุกวันนี้”
“ใช่ ก็จำได้นี่”
เร็กตัสส่ายหน้าอย่างระอาพลางเปรยเสียงราบเรียบที่ไม่ต่างจากดวงหน้าหล่อรูปสลักนั้น
“ถ้าเธอเชื่อฉันจริงๆ ล่ะก็นะ แปลว่าเธอไม่รู้จักฉันเลย... เฌอลิน”
……………………………………………
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปไม่กี่วัน ฉันก็ตื่นขึ้นมาในเช้าวันศุกร์ด้วยอากัปกิริยาสดชื่นแจ่มใส ยิ้มต้อนรับวันใหม่ด้วยการทำซีเนียร์โปรเจค รู้สึกดีเป็นบ้าเลย... ซะที่ไหนล่ะ
ความเป็นจริงก็คือสภาพตอนนี้ของฉันมันแย่มาก ตาโหลๆ หน้าโทรมๆ พูดจาด้วยไม่รู้เรื่องราวกับคนนอนไม่พอ ตอนนี้ฉันถูกปลุกด้วยคอลเฟซบุ๊คจากนายแคลคูลัสที่ฉันเปรยๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า...
‘พรุ่งนี้อาจารย์นัด ตื่นไม่ทันแน่ๆ’
นั่นแหละจึงเป็นที่มาของการตื่นโดยปราศจากนาฬิกาปลุก
[ตื่นได้แล้ว]
เสียงทุ้มกรอกมาตามสาย ส่งให้ฉันขยี้ตาอย่างงัวเงียเล็กน้อยก่อนขานรับเสียงยาว
“ฮื้อ... ”
[ตื่นยัง?]
“ฮื้อ ตื่นแล้วๆ”
ทำเป็นพูดไปงั้นแหละ ทั้งที่จริงแรงดึงดูดจากเตียงมันมีมากเกินกว่าจะลุกขึ้นได้
[เสียงดูเหมือนคนยังไม่ตื่นเลยแฮะ] แคลคูลัสพึมพำ
“จริงๆ ก็ยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย” ฉันสารภาพเสียงงัวเงียเล็กน้อย
[นอนบนเตียงแบบนี้นี่คือรอฉันไปประกบปากจูบรึไง? บอกไว้ก่อนนะว่าฉันอยู่ปารีส]
พอได้ยินประโยคหื่นใส่แต่เช้าเท่านั้นแหละ ฉันเป็นต้องสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่งโดยพลันก่อนกรอกเสียงสั่นไหวส่งไปตามสาย
“จูบบ้าบออะไร ไม่ใช่เจ้าหญิงนิทราสักหน่อย!”
[เอ้า ก็นึกว่าอยากเป็นเจ้าหญิงที่รอเจ้าชายจูบถึงจะยอมตื่นได้ จุ้บ] ไม่ว่าเปล่าแถมยังส่งเสียงประกอบมาด้วย เล่นเอาฉันขนลุก รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
“อีตาบ้า ฉันลุกขึ้นมานั่งแล้วย่ะ!”
[ฮ่าๆๆ]
“นี่กี่โมงแล้ว?” ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวโดนรุกแบบเมื่อกี้
[นี่ตีสองกว่าแล้ว]
“อื้อ”
[ก็ประมาณแปดโมงที่ไทย]
“อ่าฮะ”
[เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าขึ้นบัสไปเบลเยี่ยมด้วย]
“เที่ยวบ่อยจัง ละนายเอาของให้น้องนายแล้วใช่มั้ย?”
น้องที่ว่านั่นคือน้องชายแท้ๆ ที่ไปเรียนต่อที่ปารีส เขาลืมของสำคัญไว้เลยเป็นผลให้พี่ชายที่แสนดี (?) ต้องบินเอาไปส่งมือถึงปารีส... และน้องชายของนายแคลคูลัสที่ว่านั่นก็มีชื่อว่า ‘เอ็กซ์’ กับ ‘ล็อก’ ที่ย่อมาจาก ‘เอ็กซ์โปเนนเชียล’ กับ ‘ล็อกการิทึม’
โอ้โห ครอบครัวนี้ชื่อพีคได้อีก!
อ้อ... สองคนนั้นเป็นฝาแฝดกันด้วยนะ ตอนส่องเฟสตานั่นฉันเคยเห็นรูปสามพี่น้องถ่ายรวมกันอยู่
ก็โอเค หล่อกันหมดทั้งบ้าน อาหารตาได้อีก
[ให้แล้ว] เขาบอกก่อนตอบคำถามแรก [มายุโรปทั้งทีพลาดไม่ได้หรอก ต้องไปเที่ยวให้ทั่ว]
“อ๋อ” ฉันส่งเสียงรับรู้พลางขยี้ตา “นี่นายง่วงยัง?”
[ยังหรอก เธอล่ะตื่นยัง?]
“ตื่นเต็มตาแล้ว” ฉันบอก “จริงๆ นายนอนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวตื่นสายตกรถไม่รู้ด้วย”
[เอางั้นหรอ? แต่ฉันอยากคุยกับเธอต่ออ่ะ]
ฉันเงียบอีกครั้งอย่างคนไม่แน่ใจว่าตอบอะไรออกไปถึงจะดี จะให้ตอบว่า ‘ฉันก็เหมือนกัน’ หรือจะเป็น ‘ฉันไม่เห็นอยาก’ ก็ดูตรงไป ดังนั้นจึงเลือกตอบแบบกลางๆ
“คุยอะไรล่ะ?”
[ไม่รู้สิ ยังนึกทอปิกไม่ออก]
“งั้นก็นอน พรุ่งนี้ค่อยโทรมาใหม่”
[พรุ่งนี้ของที่นี่ใช่มั้ย?]
“ตามใจนายสิ” ฉันบอกเสียงอ้อมแอ้ม
[ก็ได้]
“อยากให้ฉันโทรไปปลุกมั้ย?” โพล่งถามด้วยประโยคที่นึกอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด
[โหย ถ้าได้ยินเสียงหวานๆ ของเธอ รับรองว่าตื่นแน่นอน] เสียงของอีกฝ่ายดูกระตือรือร้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“นายตอบไม่ตรงคำถามนะแคล” ฉันบอกยิ้มๆ
[ง่ายๆ ก็คือเต็มใจให้ปลุกเลยครับผม]
“งั้นได้ เดี๋ยวโทรไปปลุก กี่โมงว่ามา”
[สักเจ็ดโมงละกัน]
“โอเค ถ้างั้นราตรีสวัสดิ์นะคะ”
[ครับ]
“แล้วก็... ขอบคุณที่อุตส่าห์นอนดึกเพื่อโทรมาปลุกฉัน” ฉันบอกอย่างจริงใจ การปลุกด้วยวิธีนี้มันได้ผลกว่าปลุกด้วยนาฬิกาแหละ จริงๆ นะ ><
[ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นหน้าที่]
“หน้าที่อะไร?”
[หน้าที่ของคนรักไง ^^]
“ประสาท” ฉันด่าเสียงเบา รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้องผ่าว ที่พูดไปเมื่อกี้คือกลบความกระดากสินะฉัน “คนรักบ้าบออะไร แฟนยังไม่เป็น”
[ก็จีบดิ] เขาบอกเสียงร่าเริง [รีบจีบรีบเป็น]
“Damn it!” ฉันอุทานก่อนจะกลอกตามองบน แต่ริมฝีปากกลับหยุดยิ้มยามอ่านประโยคเมื่อครู่ไม่ได้ แถมมีความเสริมต่อเสียงสั่นด้วยแหละ “ใครจะไปจีบคนอย่างนาย”
[ก็พวกผู้หญิงในม.ไง นี่โดนจีบจนเบื่อละเนี่ย]
“เฮอะ โนสนโนแคร์โนแยแส ใครจะจีบใครมันก็เรื่องของนาย”
[ฉันเลยมาจีบเธออยู่นี่ไง เฌอลิน ^__^]
พลันหัวใจฉันก็เต้นแรงอีกครั้ง บ้าไปแล้ว มันแรงมากจนมือไม้ฉันสั่นไม่พอ เสียงยังสั่นตามไปด้วย ฉันกำลังเขินอยู่ใช่มั้ย?
“พอ แค่นี้แหละ!”
[เดี๋ยวก่อนสิ!] อีกฝ่ายรั้งเสียงอ้อน
“อะไร!?” ฉันถามเสียงสูง กลบเกลื่อนอาการทั้งหมดที่เป็น
[ฉันอยากได้ยินเสียงหวานๆ ของเธอทุกเช้าเลยนะรู้มั้ย] เขาบอกเสียงนุ่มให้คนฟังเผลอหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง รู้สึกได้ว่าดวงหน้ายังคงร้อนวูบวาบไม่เลิก ยิ่งยามได้ยินประโยคถัดไปหัวใจยิ่งเต้นแรง [เพราะงั้น... ถ้าเกิดโทรไปปลุกเธอทุกเช้าคงไม่ว่ากันนะ เฌอลิน]
“ว่า” ตอบเสียงแข็งทันควันโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรทั้งนั้น หากแต่ดวงหน้ายังคงร้อนผะผ่าวและแดงซ่านไม่เลิก “ไม่ชอบให้ใครโทรมากวนตอนนอน รำคาญ”
[อ่าๆๆ ถึงอย่างนั้นฉันก็จะโทร]
แล้วจะมาขออนุญาตฉันทำซากอะไร!?
[รู้ตัวบ้างดิว่าเธออ่ะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในม.]
โชคร้ายน่ะสิไม่ว่า เจอคนบ้าตามตื้อเกือบเป็นเดือน
“ทำไม?”
[เพราะเจ้าของตำแหน่ง ‘หนุ่มหล่อบาดใจที่สาวๆ อยากควง’ โทรมาปลุกทุกวัน แถมโทรมาบอกฝันดีทุกคืนไงล่ะ แบบนี้ไม่ให้เรียกว่าโชคดีก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว! ฮ่าๆๆ]
คำว่าที่ทำเอาฉันเผลออมยิ้ม หัวใจเต้นแรง ดวงหน้าร้อนวูบวาบ กระนั้นแล้วก็ทำเป็นด่าอีกฝ่ายเสียงแข็ง
“หลงตัวเองได้อีก”
[ทำไมอ่ะ ก็คนมันหล่อ]
“จ้ะ มั่นหน้าต่อไปนะ”
[เอาเป็นว่าเธอตกลงแล้วนะ โอเคปะ?]
นี่ฉันไปตกลงตอนไหน อย่าบอกนะว่าหมอนี่ตีความหมายของคำว่า ‘ไม่ให้โทร’ ผิด
คิดพลางกลอกตา หน้าหล่อไม่ว่า แต่ความมั่นหน้านี่มากเกิน
แต่เอาวะ ก็แค่โทรมาปลุก มันคงไม่มีอะไรหรอก...
“อื้อ อยากโทรก็โทร”
[เยสสสส!!] อีกฝ่ายร้องเสียงดัง [งั้นแค่นี้นะครับ อย่าลืมโทรมาปลุกด้วย]
“ไม่ลืม แค่นี้แหละ ฝันดี”
จากนั้นก็วางสายไป ปล่อยให้ฉันจมอยู่ในห้วงคิดอันสับสนวุ่นวาย ก่อนที่จะเริ่มเน้นย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่านั้น ฉันก็แค่อ่อยกลับตามมารยาท ไม่มีทางหวั่นไหวง่ายๆ หรอก
ใช่มั้ยล่ะ?
ก็รู้อยู่เต็มอกว่าหมอนั่นไม่ใช่เทสต์เลยสักนิด
คนอย่างเฌอลินอ่ะนะ จะมาเสียทีให้กับหนุ่มไทย
มันเป็นแค่ฝันเท่านั้นแหละ!
……………………………………………
ฉันเพิ่งตระหนักว่า ‘แค่โทรมาปลุก มันคงไม่มีอะไรหรอก...’ ที่เคยคิดไว้นั้นผิดมาตลอด เพราะเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ชีวิตของเฌอลิน เฌอลิยาคนนี้ก็เปลี่ยนไป มันไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ก็แค่มีคนส่งเข้านอนทุกคืนและปลุกให้ตื่นทุกวัน แล้วหัวใจฉันก็ดันเต้นแรงทุกครั้งที่ได้คุยกับหมอนั่น
เห็นมั้ยว่าทุกอย่างเหมือนเดิมเลย แค่เพิ่มเติมมานิดหน่อยเท่านั้นเอง
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร มันรู้แต่ว่ารู้สึกดีที่ได้คุยกัน รู้สึกสบายใจก็แค่นั้น ฉันไม่อยากเรียกว่าความรักเพราะคนฉลาดมักพูดเสมอว่า ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ตกหลุมรัก’
ฉันไม่ได้เป็นคนโง่ โอเคนะ
หลังจากทะเลาะกับตัวเองอยู่พักใหญ่ สุดท้ายแล้วเย็นวันหนึ่งด้านมืดก็เข้าครอบงำจนทำให้ฉันเผลออัพสเตตัสบางอย่างที่ ‘เกี่ยวข้อง’ กับนายแคลคูลัส ไม่ลืมที่จะตั้งซ่อนไว้เพื่อไม่ให้เจ้าตัวเห็นด้วย มันเป็นข้อความสั้นๆ น่ารักๆ ที่ใส่แฮชแท็คบ้าบอชนิดที่ว่า ถ้าหากว่าใครได้อ่านก็คงคิดว่าฉันกำลังอินเลิฟกับหนุ่มวิศวะแน่นอน ให้ตายสิ
แต่ฉันไม่ได้อินเลิฟเลยนะ ไ ม่ แ ม้ แ ต่ นิ ด เ ดี ย ว เชื่อสิ!!
Sherlyn Sherliya
23 July 2016 Bangkok *
‘จริงๆ การมีคนโทรมาปลุกทุกเช้ามันก็ดีนะ JJJ
#แฟนยังไม่มีแต่คิดว่าน่ารักชัวร์ๆ #วิศวะหล่อบอกต่อด้วย’
จำนวนคนกดไลค์และคอมเมนต์มีเยอะพอตัวให้ฉันยิ้มได้ แต่ก็อารมณ์ดีได้ไม่กี่วันเพราะหลังจากนั้นความหงุดหงิดก็เริ่มก่อตัวตั้งขึ้นอีกครั้งในเช้าวันนี้ จริงๆ แล้วมันเป็นวันสุดท้ายที่หมอนั่นจะอยู่ปารีส แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นหลักมันอยู่ที่ว่าเช้านี้ฉันไม่ได้รับโทรศัพท์จากหนุ่มขี้อ่อย!
ไม่สิ
เรียกให้ถูกคือ...
ไม่มีแม้แต่ข้อความเลยด้วยซ้ำ!!
นั่นทำให้ฉันอดหัวเสียไม่ได้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ฉันแทบจะเหวี่ยงใส่ทุกสิ่งอย่าง เกือบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเงินซื้อก็เป็นอันต้องพับโครงการปามือถือลงอย่างช่วยไม่ได้
จนกระทั่งในช่วงบ่ายแก่ๆ ขณะที่ฉันพยายามโฟกัสตัวเองให้อยู่กับการทำโจทย์วิชา Advance Calculus แต่ให้ตายเถอะ ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ราวกับว่าสมองของฉันตอนนี้หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องการหายไปของเขา ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังโจทย์ฉันคงอยู่แค่บรรทัดแรกที่ว่า ‘We shall proof by contradiction. (เราจะพิสูจน์ด้วยวิธีขัดแย้ง)’ แน่นอน
ฉันควรทำยังไงดีล่ะ? ทักไปหาเขาดีมั้ย? หรือจะทำเมินไปเลยดี?
นั่งคิดอย่างนั้นอยู่ราวๆ ห้านาทีได้ ก่อนที่ฉันจะวางดินสอลงแล้วหยิบมือถือขึ้นมาไถแชทแทนในที่สุด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองข้อความของนายแคลคูลัสผ่านแว่นกรอบหนาพลางพ่นลมหายใจออกปากอย่างคนอารมณ์คุกรุ่น
ลองใจกันเหรอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลหงุดหงิดก่อนจะกดแชทระหว่างเขากับฉันขึ้นมา นึกพิมพ์ๆ ลบๆ มันอยู่อย่างนั้น
Sherlin Sherliya : หายไปทั้งวันเลยนะ 5555555555555
ทันทีที่เผลอกดส่ง ฉันรีบยกมือกุมแก้มสองข้างอันร้อนผ่าวไว้ ขณะที่หัวใจเต้นรัวราวกับกลองรบ – เย็นไว้เฌอลิน ก็แค่ทัก ไม่มีอะไรหรอก – แล้วเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเสียงแชทเฟซบุ๊คก็ดังขึ้น ส่งให้ฉันเผลออมยิ้มก่อนกดเข้าไปดู
Cal Calculus : sent a photo
คิ้วเริ่มขมวดลงตอนเห็นรูป มันคือถุงชาแนลสีขาวที่เขียนชื่อแบรนด์ด้วยตัวอักษรสีดำ ด้านล่างมีคำว่า 31, rue cambon อยู่ – เอ๋? หมอนี่ไปซื้อของงั้นเหรอ? – แต่ยังไม่ทันพิมพ์ถามกลับไป เจ้าตัวก็ส่งข้อความมาก่อน
Cal Calculus : โทษที วันนี้วันช็อป
Cal Calculus : คนโคตรเยอะ บอกเลย
Sherlyn Sherliya : อ๋อ
แล้วไป – ฉันพยักหน้ารับรู้ราวกับว่าอีกฝ่ายมองเห็นงั้นแหละ อยู่ๆ ก็รู้สึกโล่งใจพิลึก
Cal Calculus : ชาแนลสาขาแรกในโลกเลยนะ
Cal Calculus : sent a photo
Cal Calculus : นี่อยู่นี่
ฉันกดเข้าไปดูรูปแล้วเผลอเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน มันคือกระเป๋าถือกับเข็มขัดแบรนด์ดังระดับโลกอย่างหลุยส์วิกตอง จะรวยไปไหนนะนายคนนี้
Sherlyn Sherliya : LV?
Cal Calculus : เยส ต่อแถวนานมาก ยังไม่ได้จ่าย
Cal Calculus : แต่นี่จะหมดตัวละ 555555555555555555
Sherlyn Sherliya : แล้วซื้อทำไม
Cal Calculus : จะเอาไปฝากแม่
Sherlyn Sherliya : หมดไปกี่บาทแล้วอ่ะ
Cal Calculus : อันนี้เจ็ดหมื่น
Sherlyn Sherliya : อมก
Sherlyn Sherliya : sent a sticker
“บ้าไปแล้ว!” ฉันอุทานพลางเหลือบมองกระเป๋าถือสีชมพูพาสเทลใบละ 199 ที่ขายตามตลาดนัดของตัวเอง – จะ 70,000 หรือ 199 ก็ใส่ของได้เหมือนกันแหละนะ – แต่เอาจริงเจ็ดหมื่นนี่เอามาซื้อ Mac ได้เครื่องนึงเลยล่ะ
Cal Calculus : ส่วนชาแนลนี่ก็สามหมื่นกว่าอ่ะ
ฉันกะพริบตาปริบๆ อย่างคนนึกทึ่งในความสามารถใช้เงินราวกับเศษเบี้ยของอีกฝ่าย ตัดภาพกลับมาที่ตัวเองคงโดนแม่ด่าสามวันสามคืน
Cal Calculus : เมื่อกี้ไปซื้อเสื้อมา
Sherlyn Sherliya : แล้ว?
Cal Calculus : ที่แอร์เมสปารีส หมดไปสามหมื่นกว่าๆ
Cal Calculus : sent a photo
ไอ้ฉันมันก็คิดว่ารูปเสื้อธรรมดาๆ ที่ไหนได้คิดผิด เพราะมันคือรูปถ่ายของนายแคลคูลัสที่ลองเสื้อแขนยาวสีฟ้าขนาดพอดีตัว ฉันมองภาพนั้นอย่างพินิจพิจารณาและเผลอเกาปลายจมูกทรงหยดน้ำเล็กน้อย ตัวเขาสูงชะมัดเลยให้ตายสิ เกือบจะเท่ากระจกบานใหญ่นั้นแล้ว ยิ่งสวมกางเกงขาเดฟยิ่งทำให้ร่างเขาดูสูงโปร่งน่ามอง มือข้างหนึ่งถือไอโฟนไว้ ส่วนอีกข้างล้วงกระเป๋า บอกตามตรงว่าโคตรเท่ แล้วยิ่งรอยยิ้มทะเล้นบนเบ้าหน้าหล่อๆ นั้น พระเจ้า ยิ่งกว่าอปป้าเกาหลี
อ่า... สมแล้วกับที่เป็นเดือนวิศวะ คนอะไรมีเสน่ห์เบอร์นี้
เขาทำให้ฉันไม่อาจละสายตาได้เลย – ทำได้ยังไงกัน บ้าบอชะมัด
ฉันกัดริมฝีปากพลางยกมือขึ้นกุมแก้มทั้งสองข้างที่เริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง หัวใจยิ่งเต้นแรงจนแทบคุมไม่อยู่ แต่พอนึกถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สเป็ค รอยยิ้มนั้นก็พลันหายไป
จะมาตกหลุมความหล่อนั้นไม่ได้!
Cal Calculus : เป็นไง หล่อมะ
Sherlyn Sherliya : เสื้อเหรอ?
Cal Calculus : ก็แย่ละ
ฉันมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด ควรตอบยังไงดีนะ? งั้นแกล้งเลยละกัน
Sherlyn Sherliya : เสื้อเข้ากับนายดีนะ
Cal Calculus : หล่อปะๆ
เป็นอีกครั้งที่เขาทำให้ฉันกลายเป็นคนพูดไม่ออก อันที่จริงหมอนั่นก็หล่อนั่นแหละ แต่ถ้าพูดออกไปเลยว่าหล่อก็เกรงว่าจะดูไม่ดี เกิดความรู้สึกหนักหน่วงขึ้นในจิตใจ เอาแต่พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่อย่างนั้นอย่างคนไม่รู้จะตอบอะไร ทั้งที่มือมันก็พิมพ์ไปแล้วว่า
Sherlyn Sherliya : หล่อค่ะ
ฉันมองถ้อยความนั้นอีกครั้งพลางฉุกคิดได้ว่าไม่เอาดีกว่า เสียฟอร์มหมด
Sherlyn Sherliya : ไม่เห็นจะหล่อเลย ขี้มโน
หรือจะเป็นข้อความนี้ดีนะ? แต่แล้วก็จำต้องลบทิ้งเพราะฟังดูใจร้ายเกิน จากนั้นจึงนั่งเท้าคางอย่างคนปลงตกเพราะไม่รู้จะตอบอะไร โอ๊ย คิดไม่ออกจริงๆ นะ
Cal Calculus : คิดนานจังนะ
Cal Calculus : จะพูดว่าหล่อก็บอกมา อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่น
Cal Calculus : 555555555555555555555
ฉันสะดุ้งเฮือกที่หมอนี่อ่านความคิดฉันออก แต่กระนั้นความคิดพิลึกพิลั่นที่ฉันลงความเห็นว่าไม่ควรผุดมาตอนนี้ก็ดันผุดขึ้น...
Sherlyn Sherliya : ไม่ทราบว่าหล่อแบบนี้มีแฟนยังคะ
นั่นแหละค่ะ ข้อความอ่อยสุดแรงจากฉันที่ยังไม่ทันได้ใช้สมองไตร่ตรองดีๆ มือก็ดันเผลอกดส่งแล้ว เพียงแค่นั้นฉันก็เบิกตากว้างอย่างตกใจพร้อมกับพ่นคำสบถไม่สมหญิงออกมารัวๆ “ฉิบหายๆๆๆ เวรกรรม โฮลี่ชิท พระเจ้า!!”
หลังจากนั้นจึงลุกยืนขึ้นอย่างลนลานพลางจ้องมองโทรศัพท์ ราวกับว่าถ้าตาฉันเป็นไฟมือถือคงไหม้แล้ว
โอ๊ยๆๆๆ นังเฌอลิน แกทำอะร๊ายยยยยย!! ฟฟหสกวอาเวกสไวโ?ฮ?ศฎษฤ? =[]=
Cal Calculus : ยังครับ
อีกฝ่ายตอบกลับภายใน 3 นาทีให้หลัง หลังจากที่ฉันทำการจิกทึ้งผมสีบลอนด์ของตัวเองอย่างบ้าคลั่งแล้ว
Sherlyn Sherliya : งั้นแปลว่าจีบได้สินะคะ
น่าน จิตใต้สำนึกอันต่ำทรามของฉันมันยังไม่พอใจสินะ มันถึงได้ประกาศกร้าวด้วยข้อความอ่อยขั้นสุด ส่งให้ฉันแทบอยากตัดมือตัวเองทิ้ง แต่ก็ไม่กล้าเพราะยังอยากมีมือไว้เขียนหนังสือ ทำได้แต่เพียงกลอกตามองบนอย่างหงุดหงิด ขณะที่หัวใจตอนนี้ร้อนรนไปหมดแล้ว
Cal Calculus : ไม่ครับ
แคลคูลัสตอบกลับอย่างรวดเร็ว อ่าฮ้า! คำว่า ‘ไม่’ นี่ชัดเต็มตาเลย รู้สึกถึงความชาบนใบหน้าสลับกับความร้อนผ่าวที่เกิดจากอาการกระดาก แล้วเพียงทันใดฉันก็ขว้างโทรศัพท์ลงบนเตียงเต็มแรงพลางกัดริมฝีปากและยกมือเสยผมอย่างหงุดหงิด
ไม่ควรเลย... ไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย ดูสิหน้าฉันชาไปหมดแล้ว ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังก้องก่อนจะค่อยๆ สงบลงช้าๆ
“โอเค เย็นไว้เฌอลิน คิดจะคุมเกมต้องใจเย็น”
ฉันบอกตัวเองพลางยกมือทาบอก ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าพาตัวเองเดินวนรอบห้องราวกับหนูติดจั่นตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ตอนนี้ฉันกำลังนิ่วหน้า เม้มริมฝีปาก กัดเล็บ ก่อนเริ่มจ้องมองโทรศัพท์อย่างแพนิคอีกครั้งเมื่อพบว่าเวลาผ่านไปแล้วเกือบสิบนาที... มันยังคงเงียบกริบเหมือนเดิม ไร้วี่แววของเสียงแชทเฟซทั้งที่ฉันก็แน่ใจไว้แล้วว่าเปิดดังจนสุด
“หมอนั่นอาจจะเล่นตัวก็ได้” ฉันปลอบใจตัวเองอีกครั้งพลางยักไหล่ “จีบมาเป็นเดือน อยู่ๆ จะมาเทกันง่ายๆ อย่างนี้ได้ไงล่ะ ฮะๆๆ”
ว่าพลางจ้องโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าประมาณว่ามันคือของต้องห้ามอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบอย่างทุลักทุเลแล้วพิมพ์ข้อความลงไปอย่างร้อนรน
Sherlyn Sherliya : ตอบข้อความบ้างสิ ฉันไม่ได้ขอให้นายไปกู้ชาติสักหน่อยนะนายแคลคูลัส!
จากนั้นฉันจึงลบออก ขืนส่งไปแบบนั้นมีหวังเสียฟอร์มเฌอลินแย่ เดี๋ยวหมอนั่นจะรู้ว่าฉันรอข้อความจากเขา ซึ่งอันที่จริงก็รอแหละ แต่ก็ไม่ได้รอขนาดนั้น ก็แค่จิกทึ้งผมตัวเองประหนึ่งคนบ้าไปแล้ว เฮอะ =[]=
Sherlyn Sherliya : ที่เงียบแบบนี้นี่คือทบทวนใจตัวเองอยู่เหรอ 5555555555555555555555555555
ฉันว่าเลข 5 ฉันเยอะไปนะบางที แต่ก็ยังกดส่งไป ฉันคิดว่าข้อความนี้เพอร์เฟคต์ที่สุดแล้ว มันดูกลางๆ ไม่ดูอยากได้ข้อความตอบกลับจนออกนอกออกตาเกินไป จากนั้นก็แค่รอ... รอเท่านั้น
เย็นไว้เฌอลิน อยากคุมเกมต้องใจเย็น
กระนั้นแล้วก็คุมสติได้อยู่แค่ไม่กี่นาที เพราะหลังจากนั้นสติฉันก็เตลิดเลยไปไกลลิบ อาการแพนิค วิตกจริต กระวนกระวายเริ่มกลับมา ฉันว่าบางทีมันเงียบไป เงียบเกินไปแล้วนะ... นี่มันเกินสิบนาทีแล้วด้วยซ้ำ!!!
“ช่าง ช่างมัน ก็แค่อ่อยกลับเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย!”
โวยวายพลางกลอกตามองบน แต่แล้วเสียงแชทก็ดัง เพียงเท่านั้นฉันก็กระวีกระวาดคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโดยไม่รีรอ – บอกแล้วว่าไม่ได้รอข้อความนายแคลคูลัสเลยสักนิด
Cal Calculus : มาละ
Cal Calculus : โทษที เมื่อกี้ทะเลาะกับคนขายด้วย
Sherlyn Sherliya : อ้อ ไม่เป็นไร
ปากก็ว่าไปนั่น แต่เอาจริงนะ ใจฉันยังไม่ขึ้นจากตาตุ่มมาอยู่ที่เดิมของมันเลย
Cal Calculus : ไม่ได้ทบทวนใจตัวเอง
Cal Calculus : แต่ที่บอกไม่ให้จีบเพราะ
เพราะอะไร อย่าเงียบสิโว้ยอีตาเดือนวิศวะ!
Cal Calculus : หน้าที่จีบมันเป็นของฉัน
Cal Calculus : เธอไม่ต้องจีบฉัน เสียเวลา
Cal Calculus : มาคบกันเลย
“บ้าบอ... ” ฉันพึมพำพลางอมยิ้ม ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยิ้มด้วย แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หัวใจฉันเต้นแรงมากประหนึ่งจะกระเด็นออกมานอกอกให้ได้ สัมผัสได้ถึงไอร้อนบนใบหน้าทั้งที่ห้องนี้ก็เปิดแอร์เย็นเยียบ
เขิน...
ทำไมถึงเขินล่ะ?
งั้นต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะแย่ไปมากกว่านี้
Sherlyn Sherliya : ขึ้นเครื่องกี่โมง
Cal Calculus : พรุ่งนี้สิบโมง
Cal Calculus : ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย เฌอลิน
แคลคูลัสพิมพ์ดักราวกับรู้ความคิด แหงล่ะ ไปอ่อยเขาไว้แล้วอยู่ๆ ถามว่าจะกลับไทยวันไหน ใครไม่รู้ก็โง่แล้วว่านี่มันคือการจงใจเปลี่ยนเรื่องชัดๆ ToT แต่กระนั้นฉันก็ทำเป็นเม้มริมฝีปากแล้วแถต่อไป จะแถแล้วต้องแถให้สุดสิ
Sherlyn Sherliya : เปลี่ยนเรื่องไร
Sherlyn Sherliya : ใครเปลี่ยนเรื่อง
Sherlyn Sherliya : มั่ว
กดส่งพลางแลบลิ้นใส่หน้าจอโทรศัพท์ กลอกตามองบนแล้วทำหน้าระอา คราวนี้ฉันนั่งอดทนรอเมสเสจอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปห้านาทียังคงเงียบกริบเหมือนเดิม คราวนี้อาการวิตกจริตก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง โธ่ ยัยเฌอลิน T___T
ติ๊ง
เสียงแชทเฟซดัง ฉันรีบคว้าโทรศัพท์มาอ่านอย่างคนลืมฟอร์ม
Cal Calculus : เธอไง
Cal Calculus : ที่พูดแบบเมื่อกี้
Cal Calculus : แปลว่า
“แปลว่า?” ฉันทวนซ้ำอย่างลุ้นระทึกกับคำว่าถัดมาจนทำให้ฉันเริ่มวิตกกังวลอีกครั้ง อย่าหายหัวไปอีกนะนายแคล นี่ใจฉันหายวาบแล้ว
Cal Calculus : ตกหลุมรักฉันแล้วอ่ะดิ
ผาง...!
ฉันสัมผัสได้ถึงแรงถีบอันรุนแรงในช่องท้องสลับกับอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงมาก ตกหลุมรักบ้าบออะไรกัน ฉันลืมความรู้สึกนั้นไปตั้งนานแล้ว อย่าหลงตัวเองนักสิ ฉันมะ... ไม่ได้ชอบนายสักหน่อย!!!
Sherlyn Sherliya : ตกหลุมรักอ่ะง่าย แต่การเป็นแฟนกันมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ
ฉันกลั้นใจตอบก่อนยกสองมือที่ถือโทรศัพท์ขึ้นกุมระหว่างอกราวกับคนกำลังสวดอ้อนวอน หวังว่าคำตอบของเขาจะไม่แย่นะ
Cal Calculus : ทำไมจะไม่ง่าย
Cal Calculus : แค่เธอตอบตกลงก็ง่ายละ
Cal Calculus : ไม่เห็นต้องคิดให้วุ่นวาย
คำตอบที่ได้รับเล่นเอาคนได้รับอย่างฉันมองบน ให้ตายสิ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นฉันคงเปลี่ยนแฟนบ่อยแบบเทย์เลอร์ สวิฟต์ไปละ
Sherlyn Sherliya : ประสาท! ตอบตกลงง่ายๆ เนี่ยนะ
Sherlyn Sherliya : ใช้สมองส่วนไหนคิด
Sherlyn Sherliya : ฉันยังรู้จักนายไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ!
ไม่ต้องเสียเวลารอข้อความจากอีกฝ่ายนานนัก เพราะไม่ถึงเสี้ยวนาทีพี่แกก็เล่นส่งแชทมารัวๆ
Cal Calculus : เรื่องเรียนรู้กับปรับตัวไว้ค่อยทำตอนคบกันแล้วก็ไม่สาย
Cal Calculus : ดูอย่างพ่อกับแม่ดิ ขนาดแต่งงานมีลูกโตแล้วยังต้องมีจุดที่ปรับตัว เรียนรู้ซึ่งกันและกันเลย
Cal Calculus : เพราะงั้นถ้าเธอเอาแต่รอเวลา แล้วเมื่อไหร่จะได้คบ
Cal Calculus : เมื่อไหร่จะได้เรียนรู้ เมื่อไหร่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน
Cal Calculus : พอรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นคาน 5555555555555555555
ฉันนั่งนิ่งเหมือนคนถูกน้ำเย็นราดใส่หน้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่นายแคลคูลัสพูดมันก็ถูก ขนาดคบกันมาเป็นสิบปียังเลิกกันได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สำหรับฉันยังไงเรื่องแบบนี้ก็ต้องค่อยๆ ดูกันไปอยู่ดีนั่นแหละ เกิดคบกันแล้วอยู่ๆ มาเทฉันทิ้งขึ้นมานี่พังไม่เป็นท่าเลยนะ เสียชื่อเฌอลินหมด
Cal Calculus : ฉันไม่ได้เร่งเธอนะ แค่บอกให้ฟังเฉยๆ :)
Sherlyn Sherliya : อื้อ ก็ไม่ได้ว่าไร
ฉันตอบพลางถอนหายใจ ยอมรับเลยว่า ณ จุดนี้แล้ว ความว้าวุ่นเริ่มก่อกวนทีละนิด จนในที่สุดมันก็กลายเป็นความรู้สึกประหลาดที่ฉันเองก็หาคำตอบไม่ได้
Cal Calculus : คิดถึงเธอนะ
ฉันมองประโยคถัดมาก่อนจะเผลออมยิ้มกับตัวเองแล้วยกมือเท้าทั้งสองคาง นึกจินตนาการเอาว่าตอนนี้คนพูดกำลังยืนฉีกยิ้มทะเล้นอยู่ตรงหน้า แล้วเพียงแค่นั้นหัวใจก็เต้นระรัว บ้าบอชะมัด
Sherlyn Sherliya : What do you miss about me then? (แล้วคิดถึงอะไรเกี่ยวกับฉันละ)
Cal Calculus : Everything :) (ทุกอย่าง)
เป็นข้อความสั้นๆ ที่สามารถทำให้หัวใจฉันพองโตได้ เริ่มขยับรอยยิ้มให้กว้างขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ มันไม่ใช่แค่เขาที่คิดถึง แต่ฉันเองก็เหมือนกัน เหตุผลหลักๆ เลยก็คือตอนนี้เงินขาดมือแล้ว อยากได้เงินมาหมุนก่อน เพราะงั้นรีบกลับไทยมาให้ฉันสอนพิเศษสักทีเถอะ ToT
เห็นมั้ยว่านอกจากเรื่องเงินแล้วก็ไม่มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิด!
Cal Calculus : เขาบอกว่า... ความคิดถึงจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีเสียงตอบกลับมาว่า “คิดถึงเราเหมือนกัน”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจดจ่ออยู่ที่ประโยคนั้นโดยไม่พิมพ์ตอบทันทีเพราะรออ่านข้อความของอีกฝ่ายที่กำลังพิมพ์อยู่ ดูเหมือนว่าบทสนทนาครั้งนี้จะจริงจังกว่าครั้งก่อนๆ หรือบางทีหมอนั่นอาจต้องมนตร์ของปารีสแล้วแน่ๆ ถึงได้มาพูดจาหวานซึ้งอะไรอย่างนี้
Cal Calculus : แล้วเธอล่ะ คิดถึงฉันบ้างมั้ย?
เป็นอีกครั้งที่ฉันนิ่งงัน ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะตอบอะไร แต่เป็นเพราะหัวใจที่เคยนิ่งสงบเริ่มเต้นแรง แล้วสมองอันว่างเปล่าก็ถูกแทนที่ด้วยภาพนายแคลคูลัสเด่นชัด ทั้งท่าทางทะเล้น น้ำเสียงนุ่มละมุนและรอยยิ้มมีเสน่ห์ พลันหน้าฉันก็แดงซ่านอีกครั้งก่อนความจริงหนึ่งจะปรากฏเพื่อย้ำเตือน
เรารู้จักกันยังไม่เท่าไหร่เลยนะ...
ฉันเม้มริมฝีปาก ความวิตกกังวลก่อตัวอีกครั้ง ดวงหน้าฉายแววครุ่นคิดชัดเจน ก็ยอมรับแหละว่ามีโมเมนท์คิดถึงบ้าง ยิ่งเวลาอีกฝ่ายตอบช้ายิ่งหงุดหงิดทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยเป็นคนงี่เง่าแบบนี้ ว่ากันว่ามันเป็นเพราะเคมีบางอย่างในร่างกาย ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงหรอก! เพราะงั้นฉันเลยบอกไม่ได้ว่านี่ใช่ความรู้สึกคิดถึงหรือเปล่า...
ดังนั้น ฉันจึงเลือกเป็นฝ่ายจบบทสนทนาเอง
Sherlyn Sherliya : Read
19.35 น. ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ
แคล แคลคูลัส
‘ทำไรผิดอีกวะ?’
ผมถามตัวเองเป็นครั้งที่ร้อยหลังจากที่เฌอลินไม่ตอบข้อความผมมาตั้งแต่เมื่อวาน แถมไม่มีสัญญาณใดๆ ส่งมาอีกด้วย ทั้งที่ปกติแล้วถ้าผมตอบช้าหรือไม่ทักไป เจ้าหล่อนก็มักจะมางอแงตลอด บอกตามตรงว่าเจอแบบนี้ผมเองก็ไปต่อไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากทักไป อีกใจก็อยากซุ่มรอดูความเคลื่อนไหว
หรือบางทีที่ผ่านมาเฌอลินไม่เคยหวั่นไหว?
คิดเพียงแค่นั้นหัวใจก็พลันแกว่งวูบก่อนที่ผมจะทิ้งตัวลงเก้าอี้อย่างแรง ยกมือเสยผมที่ปรกหน้าพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างเซ็งสุดขีด ความคิดชวนปวดหัวยังคงว้าวุ่นอยู่ในใจ แม้ตัวผมจะรอทรานสิทตอนสองทุ่ม แต่ใจของผมมันชิงไปอยู่ที่ไทยตั้งนานแล้ว ตั้งใจว่าจะไปหายัยนั่นทันทีที่ถึงไทย ถ้าเกิดว่าไม่เจ็ทแล็คก่อนอ่ะนะ
แล้วผมก็ถอนหายใจแรงๆ อีกครั้งจนฝรั่งหัวทองที่นั่งข้างหันมามองเชิงตำหนิ แต่ผมไม่สน กดออกจากแอพแชทแล้วเปลี่ยนเป็นไถเฟซแทนเพื่อฆ่าเวลา เลื่อนผ่านๆ ไปเรื่อยๆ อย่างไม่ใคร่สนใจในวิถีชีวิตเพื่อนในโลกออนไลน์ ก่อนจะสะดุดตากับสเตตัสของใครบางคน
Sherlyn Sherliya
29 July 2016 Bangkok
‘มันมีจริงๆ เหรอ คนที่ตกหลุมรักผ่านตัวอักษรน่ะ?’
148 Likes
“เอ๊ะ?” ผมขมวดคิ้วเข้มอย่างสงสัย นิ้วโป้งค้างอยู่ที่คำว่า ‘Like’ อย่างคนชั่งใจว่าจะกดดีมั้ย ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปอ่านอีกรอบแบบละเอียดๆ นี่ไม่ได้หลงตัวเองเลยนะ แต่รู้สึกว่าสเตตัสนี้จงใจสื่อถึงผมยังไงไม่รู้เลยแฮะ คิดแล้วก็ยิ่งมุ่นหัวคิ้วลงมากกว่าเดิม
เอาวะ! ไหนๆ ก็เสือกแล้ว ขอเสือกต่อไปให้สุดเลยละกัน เอาให้แน่ใจไปเลยว่าผมไม่ได้มโนไปเอง ว่าแล้วก็ได้ทีไล่อ่านทีละคอมเมนต์
‘Phantip Kornkanok มีสิ’
เจ้าของสเตตัสตอบเมนท์ไปว่า ‘ไม่อยากจะเชื่อเลย 55555555’ – โอเค ไม่มีอะไรน่าสนใจ งั้นเลื่อนมาดูอีกคอมเมนต์เผื่อช่วยได้
‘Kink Mk อย่าเลย ถถถ’
‘Sherlyn Sherliya ทำไมอ่ะพี่?
‘Kink Mk คบมา 10 ปียังเลิก ถถถ’
“กรรม ไม่ช่วยห่าไรเลย” ผมสบถก่อนเลื่อนมาดูคอมเมนต์ล่างเจ๊ Kink แล้วทันใดนั้นก็โพล่งเสียงดังเมื่อเห็นชื่อคนเมนท์ชัดเจน “เฮ้ยๆๆ อันนี้แหละ”
‘Rectus Suwannalertkul Who?’
มีการตอบกลับ 2 ข้อความด้วย ผมต้องได้คลูมากกว่านี้แน่นอน! คิดพลางจิ้มอ่านอย่างรวดเร็ว
‘Nicha Krisanapon She means that guy, doc Rec! @Ca… oops!’
‘Sherlyn Sherliya @Rectus It’s my top secret! lololol @Nicha Don’t mention him, plz 555555’
“Don’t mention him?” ผมทวนซ้ำก่อนพึมพำหน้าเครียด “ฮิมนี่คือฉันป่าววะ?”
ผมละสายตาจากโทรศัพท์ไปมองด้านหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนหน้านั้นณิชาเมนท์ไปว่า ‘หมายถึงผู้ชายคนนี้’ ซึ่งนั่นน่าจะหมายถึงผม เพราะตามด้วยชื่อเฟซ @Ca... จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมวะ!
เอาวะ ยังไม่กล้ามโนแม้จะมั่นใจเกินร้อยแล้วว่าเฌอลินตั้งสเตตัสถึงผม ผมจึงเลื่อนอ่านคอมเมนต์อันเป็นคลูสุดท้าย จะมโนไม่มโนนี่อยู่ที่คำใบ้นี้ครัช
‘ธรรมดาปกติ ปกติซะที่ไหน ใช่คนที่เพ้อถึงบ่อยๆ ป่าว’
แค่ข้อความคงไม่ระทึกเท่ารูปที่แนบมา นาทีนี้หัวใจเต้นแรงมากระหว่างที่กำลังรอรูป ผมพ่นลมหายใจออกมาเป็นรอบที่ร้อย นึกภาวนาให้ความคิดผมเป็นจริง ใช้เวลาไม่นานนักรูปก็โผล่ขึ้นมา เรียวคิ้วเข้มเริ่มมุ่นลงระหว่างอ่าน
Sherlyn Sherliya
21 July 2016 Bangkok *
‘จริงๆ การมีคนโทรมาปลุกทุกเช้ามันก็ดีนะ JJJ
#แฟนยังไม่มีแต่คิดว่าน่ารักชัวร์ๆ #วิศวะหล่อบอกต่อด้วย’
167 Likes
“ฮะ?” ผมพึมพำอย่างงุนงง ดูเหมือนว่าสเตตัสในรูปจะจงใจสื่อถึงผมแน่ๆ สังเกตได้จากสองแฮชแท็คนั้น แต่นั่นไม่ทำให้ผมแปลกใจเพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองมันหล่อ แถมยังเป็นเดือนวิศวะด้วย สาวๆ ที่ไหนไม่หวั่นไหวก็แย่ละ
แต่ที่แปลกก็คือ... ทำไมผมไม่เคยเห็นสเตตัสนี้เลยล่ะ?
คิดพลางกดซูมไปยังส่วนของ privacy ใกล้ๆ ใช่.. มันถูกต้องซ่อน – ซ่อนใคร? ซ่อนผมเหรอ? – จากนั้นผมก็อ่านข้อความนั้นเป็นคำพูดช้าๆ ชัดๆ ทั้งที่คิ้วยังขมวดไม่เลิก
“จริงๆ การมีคนโทรมาปลุกทุกเช้ามันก็ดีนะ แฟนยังไม่มีแต่คิดว่าน่ารักชัวร์ๆ วิศวะหล่อบอกต่อด้วย” ผมยกมือกดขมับก่อนพึมพำอย่างครุ่นคิด “วิศวะหล่อบอกต่อด้วย? วิศวะนี่ใครวะ? ฉัน?”
เท่านั้นแหละจิตใต้สำนึกก็ตะโกนบอกมาว่าใช่! ทันใดนั้นมือไม้ก็เริ่มสั่น หัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วกำลังจะระเบิดออกมาจากอก แล้วกว่าจะตั้งสติได้ผมก็กระโดดโหยงๆ พร้อมตะโกนลั่นสนามบินไปแล้ว
“ไม่นกแล้วโว้ย!”
ฝรั่งคนเดิมหันมามองก่อนจะขยับที่นั่งหนี ขณะที่ฝรั่งพ่อแม่ลูกที่นั่งฝั่งตรงข้ามกำลังเพ่งมองผมเป็นเชิงตำหนิ คนเป็นพ่อชี้มายังผมก่อนจะกระซิบกระซิบอะไรบางอย่างกับลูกน้อย คาดว่าน่าจะด่า แต่ช่างแม่ง ผมไม่สนอะไรทั้งนั้นบอกเลยว่าดีใจมากที่ในที่สุดความพยายามนานนับเดือนก็เป็นผลสักที!!!
“Sorry ครับๆ” ผมรีบบอกพลางค้อมศีรษะลงแล้วนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม เปิดแอพแชทเฟสแล้วทักไปหาใครบางคนที่ผมมั่นใจว่าจะต้องทำให้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่อาการมโนของผม
Cal Calculus : ณิชา มีเรื่องอยากปรึกษา
หลังส่งข้อความเสร็จ ผมกลับไปยังหน้าไทม์ไลน์ของเฌอลินก่อนจะกดไลค์โดยไม่ลังเล ;)
โคตรมีความสุขเลยว่ะ!
17.00น. ประเทศไทย
เฌอลิน เฌอลิยา
ขณะที่ฉันกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงนุ่มเพื่อพักผ่อนหลังจากเครียดกับการทำโปรเจคมาตั้งแต่เช้า อยู่ๆ การแจ้งเตือนเฟซบุ๊คก็เด้งขึ้นมาส่งให้ฉันอดประหลาดใจไม่ได้
‘Cal Calculus liked your status “มันมีจริงๆ...”’
“เฮ้ย!” ฉันอุทานเสียงดังก่อนลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วเบิกตากว้างๆ เพื่ออ่านชื่อคนกดไลค์อีกครั้ง เป็นแคลคูลัสไม่ผิดแน่!
Sherlyn Sherliya
29 July 2016 Bangkok
‘มันมีจริงๆ เหรอ คนที่ตกหลุมรักผ่านตัวอักษรน่ะ?’
149 Likes
“อ้าว นี่ลืมตั้งซ่อนมันเหรอ?” ฉันพึมพำพลางสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อย่างใจเย็น
‘อ่า... ไม่มีอะไรหรอก แค่กดไลค์เอง เย็นไว้ยัยเฌอ’ ฉันปลอบใจตัวเองพลางเลื่อนไปอ่านคอมเมนต์ที่จำได้ว่ายังไม่ได้ตอบอย่างร้อนรน
‘ธรรมดาปกติ ปกติซะที่ไหน ใช่คนที่เพ้อถึงบ่อยๆ ป่าว’
แค่ข้อความเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก... เฮ้ย แต่นั่นมันรูปนี่หว่า!! มีคนกดไลค์รูปนั้นด้วย หวังว่าคงไม่ใช่นายแคลคูลัสหรอกนะ! ฉันเริ่มส่งเสียงกรีดร้องในใจก่อนกลั้นใจจิ้มดูชื่อคนกดไลค์อย่างหวาดหวั่นพลางกัดริมฝีปากแน่น หัวใจบัดนี้เต้นแรงมากจนแทบไม่เป็นจังหวะ ทันใดนั้นคำอุทานเสียงดังลั่นก็หลุดจากปากฉันพร้อมๆ กับที่โทรศัพท์กำลังจะหล่นใส่หน้า
“โฮลี่ชิท!”
ดีนะที่กลิ้งหนีทัน ไม่งั้นต้องได้ทำดั้งใหม่แน่นอน แต่ว่าเมื่อกี้นี้ชื่อนายแคลคูลัสปรากฏชัดเต็มสองตาฉันเลยนะ แปลว่าหมอนั่นต้องเห็นแล้วแน่ๆ เลย ฮือ T___T คิดพลางยกมือขึ้นกุมแก้มที่แดงซ่านทั้งสองข้าง หัวใจเต้นโครมครามพอๆ กับดวงหน้าที่ร้อนวูบวาบ ในหัวมีแต่คำว่า ‘ทำไงดีๆๆๆ!’ ลอยเต็มไปหมด
ติ๊ง
เสียงแชทเฟสดังขึ้น ฉันค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อดึงสติก่อนจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นอาการสงบที่มีก็เปลี่ยนไปทันควันเมื่อเห็นอีตาแคลคูลัสทักแชทมา พลันความกระดากกรุ่นอายก็เริ่มพล่านจนดวงหน้าร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ฉันจะไม่ยอมกดอ่านแน่นอน!!
Cal Calculus : นี่อยู่ดูไบละ รอทรานสิทอยู่
Cal Calculus : แอร์เอมิเรตส์โคตรสวย
ก็บอกว่าไม่อ่านไง นี่ก็ส่งมาอยู่นั่น!!!
Cal Calculus : ถึงแล้วจะบอกนะ
เย็นไว้เฌอลิน ทำเป็นไม่รู้อะไร ทำเป็นไม่ได้ออนไลน์ไว้ อย่ากดอ่านเด็ดขาด!
จากนั้นฉันจึงกดปิดการแจ้งเตือนแล้วเข้าเฟซบุ๊คทันควัน เห็นสเตตัสของหมอนั่นเด่นหรา เพียงแค่นั้นมือไม้ก็สั่นอีกครั้งก่อนจะเผลอหลุดเสียงกรีดร้องออกมาเบาๆ
“บ้าบอที่สุด ToT”
Cal Calculus
29 July 2016 Dubai
‘ชอบก็บอกว่าชอบ อย่าซึนสิครับคุณผู้หญิง J’
บ้า ใครจะไปชอบคนอย่างนาย... เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว! ทำยังไงดีเนี่ย โอ๊ยๆๆ ฉันวิ่งพล่านไปทั่วห้องอย่างวิตกจริตพลางกดเบอร์โทรเร็กตัสแล้วกรอกเสียงสั่นๆ ลงไปทันทีที่คนเป็นหมอรับสาย
“เร็กตัส ฉะ... ฉัน ฉันแย่แล้ว ฮือออ ToT”
[เกิดอะไรขึ้น?] น้ำเสียงของเขาฟังดูตกใจเล็กน้อย
“นาย นายเห็นตัสล่าสุดของฉันมั้ย?” ฉันรีบถามกลับ สีหน้าบอกถึงความวิตกกังวลสุดขีด
[อื้อ กำลังจะถามเลยว่าเธอหมายถึงใคร แคลคูลัสหรือหนุ่มบริติช]
“คือตอนนี้หมายถึงใครมันไม่สำคัญเท่ากับอีตาแคลมันมากดไลค์คอมเมนต์นึงแล้ว” เสียงของฉันเริ่มร้อนรนอีกครั้ง
[คอมเมนต์อะไร?]
“ไปดูสิ แงงงง ToT”
[แป๊บนะเฌอลิน]
อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก ขณะที่หัวใจฉันเต้นโครมคราม ความร้อนผ่าวกำลังแล่นวาบไปทั่วใบหน้า
[คอมเมนต์ที่เป็นรูปปะ?]
“โอ๊ย ใช่ ทำไงดี หมอนั่นต้องคิดว่าฉันชอบมันแน่ๆ” ฉันถามเสียงรัวจนลิ้นพันกันพลางเดินวนไปมาในห้องอย่างร้อนรน
[หือ? ทำไมคิดงั้นอ่ะ?]
“ก็ดูสเตตัสล่าสุดที่มันตั้งดิ ‘ชอบก็บอกว่าชอบ อย่าซึนสิครับคุณผู้หญิง’ จะหมายถึงใครไปไม่ได้นอกจากฉัน โอ๊ยๆๆ” ร้องโวยวายอย่างลืมตัวจริงจัง ขณะที่ดวงหน้าเริ่มขึ้นสีก่ำอีกครั้ง
[ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งโวยวาย]
“ก็มันเข้าใจผิดอ่ะ ไม่ได้หมายถึงมันสักหน่อย มโน!”
[ซึนคืออะไรนะ?]
“ปากไม่ตรงกับใจ” ฉันกัดฟันตอบ
[อืม...] เร็กตัสลากเสียงยาวอย่างครุ่นคิดก่อนพึมพำ [แต่เธอก็ซึนอย่างที่มันว่าจริงๆ นั่นแหละ]
“โอ๊ยย เร็ก ฉันไม่ได้ซึนสักหน่อย!” ฉันโวยวายอีกครั้งพลางหลับตาปี๋และสั่นหัวรัวๆ ราวกับคนสติแตก “ทำไงดีๆๆ”
อีกฝ่ายถอนหายใจดังเฮือกอย่างเหนื่อยใจแล้วเอ่ยตอบ [ขั้นแรกนะ ตั้งสติก่อน]
“อ่าฮะ... ” ฉันพยักหน้ารับรู้ทั้งที่ส่วนลึกในใจตะโกนว่า ‘สติคืออะไร นาทีนี้ไม่รู้จักแล้ว’
[แล้วจากนั้นก็ทำตัวเป็นเหมือนสายลม ไม่รับรู้อะไร ทำเป็นไม่เห็นก็พอแล้ว]
“ทำเป็นไม่เห็น?”
[ใช่ แล้วก็ไม่ต้องสนว่ามันจะคิดยังไง ถ้าเธอไม่ได้ชอบมันจริงๆ เดี๋ยวมันก็รู้ตัวเองแหละ]
“หรอ...” ฉันส่งเสียงรับรู้อย่างไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเท่าไรนัก
[แล้วเธอชอบมันรึเปล่าล่ะเฌอลิน?]
“ก็...” ลากเสียงยาวพลางยกหมอนขึ้นปิดหน้าแล้วว่างึมงำ “ไม่ได้ชอบดิ จะชอบได้ไง”
แต่ก็ไม่แน่... ส่วนลึกในใจแย้งมา ฉันลืมความรู้สึกตอนตกหลุมรักใครสักคนไปนานมากแล้ว นานจนฉันจำไม่ได้เลยว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไง
[อือ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ก็แค่นั้น]
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่านายกำลังชอบใครสักคน” คำถามที่ดังขึ้นเรียกเสียงเงียบไปอึดใจ ก่อนน้ำเสียงต่อมาจะเบาแสนเบาเหมือนคนพูดกับตัวเอง
[ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยเป็น...]
“นั่นสินะ ลืมไปเลยว่าฉายานายคือหมอน้ำแข็ง โอ๊ย”
[แค่นี้ก่อนนะ ไปตรวจคนไข้ต่อละ เดี๋ยวอาจารย์ด่า]
“ขอบคุณมากนะเร็กตัส ^^”
[อืม]
เพื่อนสนิทของฉันวางสายไปแล้ว ทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง แม้จะสบายใจที่ได้คุยกับเร็กตัส กระนั้นแล้วความรู้สึกแปลกๆ กลับยังล่องลอยอยู่ในหัว มันไม่ใช่ความรู้สึกเหนื่อยที่เดินวนไปรอบห้องหรือจิกทึ้งผมตัวเอง แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม...
ถ้าเกิดว่าชอบมันขึ้นมาจริงๆ นี่แย่นะ ไม่น่าหลวมตัวไปเล่นด้วยเลย เฮ้อ
……………………………………………
ฉันลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงียตอนเจ็ดโมงครึ่งของเช้าวันถัดมาเพราะเสียงคอลเฟซบุ๊คจากนายแคลคูลัส นัยน์ตาสีดำมองสายเรียกเข้าอยู่ชั่วครู่ก่อนความรู้สึกว้าวุ่นจะบังเกิดจนทำให้ฉันตัดสายทิ้งซะ แต่ดูเหมือนว่าหมอนั่นคงไม่รู้สินะว่าฉันไม่อยากคุย ถึงได้เซ้าซี้ให้ฉันตัดสายถึงสามครั้งสามครา!
แถมดีกรีการตื้อของนายวิศวะขี้อ่อยไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะพ่อคุณส่งแชทมารัวๆ แน่นอนว่าฉันไม่ยอมกดอ่าน แต่จับตาดูข้อความเหล่านั้น ไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดว่าส่งอะไรมาให้
Cal Calculus : มีความตัดสายด้วย
Cal Calculus : งอนเหรอ?
Cal Calculus : ถึงไทยละ
Cal Calculus : เจอกันเสาร์นี้ เดี๋ยวไปรับเวลาเดิม
พลันหัวใจฉันก็เต้นแรงอีกครั้งยามนึกภาพอีกฝ่ายมารับที่บ้าน โธ่ยัยเฌอลิน หวังว่าถึงตอนนั้นอาการฮอร์โมงพลุ่งพล่านของฉันมันคงหายไปนะ
……………………………………………
“นี่” ณิชาส่งเสียงเรียก ฉันละสายตาจากโค้ดไพธอนบนแล็ปท็อปไปยังคนผมสั้นที่เอาแต่นั่งจ้องหน้า วันนี้เป็นวันศุกร์ต้นเดือนสิงหาคมและเราสองคนกำลังสิงอยูในชมรมคณิตกร
“อะไร?” ฉันถามเสียงเหนื่อยหน่าย สังเกตได้จากดวงตาอันเป็นประกายนั้น สัมผัสได้ว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
“เมื่อวันก่อนนู้นแคลมันทักมา”
คำว่าที่ทำให้ฉันหูผึ่งทันควัน แล้วหัวใจก็พลันเต้นรัวเป็นอัตโนมัติ “รู้จักมันด้วยเหรอ!?”
“ใช่ เพื่อนเสรีตอนปี 1”
“ทำไมไม่บอกก่อน” ฉันเริ่มต้นโวยวายพลางมุ่ยหน้าลง
“ก็แกไม่ได้ถาม” ณิชายักไหล่หน้าตาย ส่งให้คนเห็นอย่างฉันถึงขั้นร้องโอดครวญพลางกุมขมับทันควัน
“โอ๊ยย แล้วมันทักว่าไง”
“มันถามเรื่องแก”
เป็นอีกครั้งที่ฉันสะดุ้ง สติเริ่มฟุ้งซ่านไม่หยุด “...ถามว่า?”
“ก็... ” แล้วการเงียบไปชั่วครู่ของยัยนี่ก็ทำให้ฉันเริ่มใจคอไม่ดี นี่จะเว้นวรรคทำเพื่อ!? ฉันร้อนรนไปหมดแล้ว!
“แกเป็นพวกซึนรึเปล่า อะไรประมาณนี้”
“ฉันไม่ได้ซึน” ฉันสวนกลับทันควันราวกับว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้น ขณะที่อีกฝ่ายมองหน้าประมาณว่า ‘อ้อเหรอ’ เล่นเอาฉันเผลอกลอกตาแล้วถามงึมงำ “แล้วแกบอกมันไปว่าไง”
“ก็บอกไปว่าถ้าเป็นเรื่องงาน เรื่องเพื่อนแกก็ตรงๆ ชอบไม่ชอบก็บอก” ณิชาลอยหน้าลอยตาพูดพลางยักไหล่แล้วเสริมต่อ “แต่เรื่องความรักนี่ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
คำตอบที่ได้รับเล่นเอาฉันถึงกับเกือบหงายหลังพลางสะอึกอึ๊กอย่างคนพูดไม่ออก ส่วนยัยนั่นก็ยักไหล่แล้วก้มลงจ้องสมการคณิตศาสตร์ชั้นสูงยากๆ ที่ไร้ตัวเลขของนางต่อ แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้าปกคลุมห้องคณิตกร ได้ยินเพียงแต่เสียงถอนหายใจของฉันที่ดังออกมา ตามด้วยคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แกเคยชอบใครปะวะ?”
“เคยดิ ทำไมหรอ?”
“รู้ได้ไงว่าชอบอ่ะ” ฉันถามพลางจ้องยัยคนที่ยกกระดาษขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
“อืม ก็รู้สึกคิดถึงตลอดเวลามั้ง อยากคุย อยากเจอ” ณิชาส่งเสียงอู้อี้ “ทำอะไรก็อยากบอกอยากเล่า เวลาอีกฝ่ายไม่ตอบก็น้อยใจ แต่พอเห็นตอบกลับมาก็ฟิน ยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้าตามอย่างครุ่นคิด
“ทำไม? แกหลงเสน่ห์เดือนวิศวะแล้วรึไง?”
คำย้อนที่เล่นงานฉันสะอึกอึ๊กอีกครั้ง ก่อนแสยะรอยยิ้มแล้วสวนกลับทันควัน
“บ้าบอ ก็แค่สงสัยเฉยๆ มั้ยละ”
“ไม่อ่ะ” ณิชายกมือลูบคางราวกับไม่เชื่อก่อนสวนกลับอย่างคนรู้ทัน “แกไม่เคยถามฉันแบบนี้ เสียงแกสูงมาก”
“แล้วไง?” ฉันเลิกคิ้ว นี่อย่ามายัดเยียดคำว่า ‘ชอบ’ ให้ฉันมากนักสิ!
“ถามจริงๆ แกรู้สึกยังไงกับมันกันแน่”
ได้ผลทันควัน เมื่อฉันชะงักกึกก่อนตอบราบเรื่อย พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ “เฉยๆ งั้นๆ”
“แน่ใจ๊?” เพื่อนสนิทฉันขึ้นเสียงสูงอย่างล้อเลียน ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถหลอกยัยนี่ได้เลยแฮะ
“เอาจริงก็คือรู้สึกแปลกๆ แบบอยากคุยอยากเจอ อยู่ๆ ก็เขิน ใจสั่น ประสาทมาก นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หลังๆ นี่มีความลังเลด้วยเว้ยแก แบบเวลาฉันอ่อยมันกลับยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยว่าดีมั้ย มันจะชอบเปล่า อะไรแบบนี้อ่ะ” จากที่ตั้งใจว่าจะบอกแค่นิดหน่อย กลับกลายเป็นว่าสารภาพจนหมดเปลือก หมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว “แต่ตอนคุยกับอีธานก็ไม่เป็นงี้นะ ไม่เห็นใจเต้นแรงเลย”
ยัยนั่นพยักหน้าอย่างคนทำหน้าที่เป็นศิราณีที่ดี “อืม... ไม่แปลกหรอก ฉันว่าเป็นเพราะการเข้าถึงของภาษามากกว่า”
“ยังไงเหรอ?”
“ก็คุยกับหนุ่มบริติช แกใช้ภาษาอังกฤษ ฟีลมันก็ไม่ค่อยจั๊กจี้เท่าไร” ฉันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับความรู้ใหม่ที่ได้ยินพลางผงกหัวรับรู้ “แต่พอคุยกับแคล มันเป็นคนไทย คุยกันก็ภาษาไทย ฟีลมันลึกซึ้งกว่าเยอะ ยกตัวอย่างง่ายๆ ระหว่าง ‘Don’t start being silly, honey’ กับ ‘อย่างอแงสิที่รัก’ แกชอบแบบไหนมากกว่ากัน”
“ก็ต้องอย่างอแงสิ มันฟังแล้วจั๊กจี้หัวใจกว่า” ตอบทันควันแบบไม่คิดอีกครั้ง กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอพูดไป มือไม้ก็สั่นแล้ว
“อื้อ ก็นั่นแหละ ง่ายๆ” ณิชายักไหล่ “แต่อยากเตือนแกนิดนึงว่ะ”
คำว่าที่ทำเอาหัวใจฉันกระตุกก่อนเต้นผิดจังหวะ ลางสังหรณ์บอกฉันว่ายัยนี่กำลังจะทำให้ฉันกลายเป็นโรคประสาท!
“เตือนอะไร เรื่องแคลหรอ?” ถามห้วนๆ ทำเป็นไม่ได้อยากรู้ในสิ่งทีเพื่อนสนิทกำลังเตือน
“เรื่องผู้ชายทั่วไปนี่แหละ” เธอแจกแจง “ก็แค่จะเตือนว่าโลกนี้มีคนสองแบบที่แกต้องระวังถ้าหากจะเลือกเป็นแฟน”
ฉันพยักหน้าก่อนจะนั่งฟังยัยนั่นอธิบายด้วยท่าทางจริงจังขึงขัง
“คนแรก แบบนายแคล” ฉันเผลอเลิกคิ้วกับชื่อที่ผ่านเข้ามาในหูแล้วตั้งใจฟังทันควัน ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่หมายความว่าฉันสนใจในตัวแคลคูลัส แต่หมายความว่าฉันกำลังทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีต่างหาก “หล่อ คารมดี มีสาวๆ ในสต็อกเพียบ ประมาณว่าอกหักวันนี้ ไม่ถึงสามสิบนาทีมีคนมาดามใจแล้ว”
“ก็เวอร์ไป ฮะๆๆ” ฉันพึมพำ
“อยากให้ระวังเรื่องความเจ้าชู้ของมัน หมอนั่นมันสายอ่อย ชอบไม่ชอบก็อ่อยไปทั่ว ฮ่าๆ บางทีมันไม่ชอบหรอก อาจจะไม่ได้อ่อยด้วย แต่ผู้หญิงก็เข้าใจผิดไป”
ฉันรึเปล่านะที่เข้าใจผิดว่านายแคลมาจีบ?
“ถ้าจะคบมันเป็นแฟน ต้องเผื่อใจไว้นิดนึงว่ามันมีผู้หญิงรายล้อมเยอะ”
“อ่าฮะ” ฉันพยักหน้ารับรู้ “แล้วอีกแบบล่ะ?”
“หมอเร็ก” ยัยนั่นตอบ คราวนี้ฉันอดเลิกคิ้วอย่างสงสัยไม่ได้ “รายนั้นมันสายเงียบ คิดอะไรก็ไม่บอก สีหน้ายังไม่แสดงออกเลย แต่เห็นเงียบๆ แบบนั้นฟาดเรียบเลยนะ”
“ฮะ?”
“วงในบอกว่าเพราะความเงียบของมันนี่แหละ สาวๆ เลยให้ความสนใจตรึม โดยเฉพาะพวกพยาบาล” ณิชาแจกแจงด้วยท่าทีของคนรอบรู้ ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าเร็กตัส หนึ่งในเพื่อนสนิทฉันมีคนมาจีบเพียบ สงสัยต้องเอาไปแซวแล้ว
“จริงปะเนี่ย?” ฉันส่งเสียงไม่เชื่อ
“จริงดิ ถ้าแกจะคบมัน ต้องเผื่อใจไว้ว่าอาจถูกเขม่นตอนไปรามา”
“งั้นฉันขอบาย” ว่าพลางหัวเราะลั่น ส่วนยัยรอบรู้ก็ลุกยืนขึ้นแล้วบอกยิ้มๆ
“ไปหาที่ปรึกษาละ ไว้คุยกันใหม่”
“ได้ ซียู”
……………………………………………
หลังจากณิชาออกไปจากคณิตกรแล้ว ฉันก็ยังคงนั่งทำงานต่อไปเพื่อรอเวลาเลิกเรียนของเร็กตัส แต่แล้วอยู่ๆ พี่แกก็โทรมาบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า ‘วันนี้น่าจะกลับเย็น มีติวให้เพื่อนด้วย เธอจะรอมั้ย?’ ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหมอนี่ไปอารมณ์เสียมาจากไหน แต่ฉันก็ตอบไปอย่างใจเย็นว่า
“งั้นเดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้ ไม่เป็นไร”
จากนั้นจึงอพยพตัวเองออกไปจากห้องคณิตกร มุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้าน แต่แล้วอยู่ๆ ก็ต้องชะงักเพราะขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านลานจอดรถของมหาวิทยาลัย เสียงคุ้นหูกับท่าทางคุ้นตาก็ปรากฏ
มันคือนายแคลคูลัสในชุดนักศึกษากำลังยืนคุยกระหนุงกระหนิงอยู่กับสาวน้อยน่ารักในชุดนักศึกษาเหมือนกัน!!
แคลคูลัส?
ฉันอุทานในใจขณะที่เรียวคิ้วมุ่นลง แล้วอยู่ๆ เสียงณิชาก็ดังก้องในหูราวกับต้องคำสาป
‘หมอนั่นมันสายอ่อย ชอบไม่ชอบก็อ่อยไปทั่ว’
ฉันค่อยๆ ย่องไปแอบหลังต้นไม้ที่ห่างจากทั้งคู่ประมาณสามต้น แต่ก็พอมองและได้ยินสองคนนั้นชัด เห็นได้ชัดว่านายแคลคูลัสกับผู้หญิงคนนั้นดู ‘สนิทสนม’ กันมาก
ที่สำคัญเธอสวย... สวยกว่าฉัน
แถมในมือแม่นั่นยังมีถุงชาแนลที่เหมือนกับรูปถ่ายที่นายแคลคูลัสส่งให้ฉันดูด้วย!
บังเอิญน่า... ฉันบอกตัวเอง แต่ส่วนลึกในใจกลับแย้งมาว่า... ถุงชาแนลสีขาวแบบนั้นมีแค่ที่ปารีสเท่านั้น!! เพียงเท่านั้นก็เผลอมุ่ยหน้าลงอย่างหงุดหงิด
“ขอบคุณนะคะพี่แคล วิเวียนชอบมากๆ เลยค่ะ” หญิงสาวตัวเล็กผู้ไว้ผมเป็นลอน ใส่กระโปรงทรงเอเหนือเข่าบอกเสียงหวานพลางเกาะแขนนายแคลคูลัส
อ้อร้อจริงๆ – ฉันเริ่มร้องด่าในใจ อ๊ายยย ทำไมยัยเฌอลินคนนี้กลายเป็นนางร้ายไปได้ซะล่ะ!!
“ไม่เป็นไร พี่ยินดีครับ :)” คนเป็นผู้ชายกล่าวเสียงนุ่มพร้อมขยับรอยยิ้มละมุน ส่วนฉันก็อดกำมือแน่นเสียไม่ได้
อีนี่ก็อ้อร้อเหมือนกัน อ่อยไปทั่วจริงๆ
คิดอย่างหงุดหงิดพลางเม้มริมฝีปากและนิ่วหน้าลงอย่างหัวเสีย
“แล้วนี่พี่แคลกลับยังไงเหรอคะ?” เจ้าหล่อนเอียงศีรษะลงเล็กน้อยพลางกะพริบตาปริบๆ อย่างออดอ้อน
“พี่ขับรถมาครับ แล้วเราล่ะ?” แคลคูลัสถามกลับเสียงนุ่ม ขยับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ นั่นยิ่งทำให้เขาดูดีขึ้นเป็นเท่าตัว และก็ทำให้เขื่อนโทสะฉันใกล้จะพังด้วย!
“อ๋อ เดี๋ยวคุณแม่มารับค่ะพี่แคล” เธอว่าพลางขยับตัวไปใกล้อีกนิด อ่าฮ้า ฉันล่ะอดหมั่นไส้ไม่ได้ แล้วนี่ทำไมนายถึงได้ยืนบื้อเป็นเสาอยู่ได้เล่าตาแคล! ขยับตัวหนีบ้างสิโว้ย!!
“ตอนแรกพี่นึกว่าจะต้องไปส่งเราเหมือนเดิมซะอีก”
ไปส่งเหมือนเดิมด้วย!!
คำว่าที่ทำเอาหน้าฉันร้อนผ่าว มันไม่ใช่ความเขิน แต่เป็นความโกรธที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกรธนักหนาด้วย มันรู้แต่ว่าตอนนี้หงุดหงิดงุ่นง่านไปหมดแล้ว
“แหม แต่ถ้าพี่แคลจะไปส่งวิเวียนก็ไม่ว่ากันนะคะ” ยัยวงเวียนอะไรนั่นบอกพลางยิ้มเขินอาย ตอแหลชัดๆ ผีเหมือนกัน ทำไมจะดูไม่ออก!!
ยิ่งมองก็ยิ่งรำคาญลูกตา ยิ่งเห็นก็ยิ่งรำคาญใจ แล้วโดยเฉพาะไอ้ท่าทางกระหนุงกระหนิงกับรอยยิ้มระริกระรี้ของอีตาเดือนวิศวะตรงหน้า ยิ่งทำให้อารมณ์โกรธของฉันทวีขึ้นอยู่ภายในจนแทบจะคุมไม่ได้
แล้วเพียงชั่วอึดใจเดียว เส้นอารมณ์ของฉันก็ขาดผึงในบัดดล
ยัยเฌอลินคนนี้จะไม่ยอมเป็นนางเอกอีกต่อไป!!
สวัสดีค่ะ
คีตาสีเงิน JLS05 Pride & Prejudice เทรักหมดใจให้นายขี้อ่อย เองนะคะ
ขอเปิดการ์ดเปลี่ยนพระเอกเป็นหมอเร็ก... ล้อเล่นค่ะ
นี่เป็นการเขียนพระเอกแบบแคลคูลัสเป็นครั้งแรก ToT ปกติสายพระเอกแนวนิ่งๆ เพราะชอบคนนิ่งๆ ฮา บทนี้ยาวไปนิดนึง (หรอ?) เชื่อว่าใครหลายคนก็คงมีความรู้สึกสับสนในตัวเองเวลาชอบใครสักคนใช่มั้ยล่ะ
สับสน หวั่นไหว เดี๋ยวชอบมั่ง ไม่ชอบมั่ง
พูดไม่ถูกเลยแฮะ
ยิ่งเวลาเห็นคนมาจีบตัวเองไปอ่อยอีกคน มันก็รู้สึกแบบว่า... แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ 55555555 จีบทีละคนสิ อย่าอ่อยไปทั่ว คนนะไม่ใช่นาข้าว (นี่เก็บกดใช่มั้ย?)
นี่ก็คงเป็นความรู้สึกของเฌอลินล่ะนะ ^^
มาช่วงขอบคุณดีกว่า... ต้องขอบคุณคอมเม้นจากพี่ลูกชุบ (กรรมการ) มากเลยนะคะ สำหรับคอมเม้นติชม นี่เตรียมรับมือกับบทนี้ไว้แล้ว ระยะการลงตอนที่เหลืออีกแค่ 2 ตอนเท่านั้นมันบีบให้หนูทำอย่างนี้ ฮา
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะที่มาเม้นให้กำลังใจ อยากบอกว่าอ่านทุกเม้นเลยนะ :D ขอบคุณ 。 N A I Y I N G ❀ DESIGN 。สำหรับโปสเตอร์กิ๊บเก๋นี้มากๆ เลยค่ะ :) งดงามได้อีก
เอาเป็นว่า ถ้าใครอยากมาพูดคุยกับเรา ตามมาที่นี่เลยเฟซบุ๊คแฟนเพจ คีตาสีเงิน หรือจะเป็นทวิตเตอร์ @mieltiz แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ค่อยเล่น มีไว้ขายนิยายอย่างเดียว ฮา โกโกววววว
รักใคร ชอบใคร เชียร์ทีมไหน อย่าลืมใส่ #แคลคนอ่อยแรง #หมอเร็กคนนิ่ง ด้วยนะฮะ
ท้ายสุดแล้ว... กราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์สวยๆ สำหรับคอมเม้นและแรงโหวตที่ทุกคนมอบให้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมีความสุขกับตัวอักษรที่เราบรรจงร้อยเป็นเรื่องราวให้
ขอบพระคุณที่ช่วยสานฝันให้เราค่ะ ขอบคุณจริงๆ
ด้วยรัก
คีตาสีเงิน
ปล. อย่าลืมฟังเพลงนี้เพื่ออรรถรสด้วยนะยูววว
(เพื่อเพิ่มอรรถรส ควรเปิดเพลงประกอบด้วย)
ปลล. อิมเมจณิชารอบนี้เป็นแพทตี้นะฮะ ชอบมากมาย



นางเอกบ่นว่าชอบฝรั่งตลอด แต่ไม่มีรายละเอียดของการชอบฝรั่งของนางเลยอ่ะ แบบแล้วมีคนคุยมั้ยช่วงนี้ ถ้าบอกว่าชอบนางน่าจะยังมีในแคตตาล็อคหรืออย่างน้อยไลฟ์สไตล์ก็ต้องบ่งบอกหน่อย มันเหมือนมันเป็นกิมมิคคาแรคเตอร์ของนางเอกตั้งแต่แรกอ่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องดึงมาเพื่อย้ำคาแรคเตอร์ของตัวละครหน่อยไม่ให้มันหายไป