’ ช่างแต่งหน้าใต้ดิน’ อย่างเธอจะทำอย่างไรเมื่อต้องมาแต่งหน้าให้กับคนที่ทำให้ใจของเธอสั่นไหวทุกครั้งเพียงแค่เห็นหน้า
ตอนที่ 4: สมุดน้องลีฟ
큰 놀라움을 위해 카운트 다운합시다. 그것을 조심하세요. PK 엔터테인먼트, 사랑합니다.
‘Let’s Countdown to a BIG SURPRISE. Watch Out! PK Entertainment. Saranghae’
ปาร์ค เค ประธานค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่ง PK Entertainment กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเขาเปิดมาเจอหน้าเพจเว็บไซต์ปาปารัสซี่ชื่อดังอย่าง Dispatch คิดจะปล่อยข่าวดาราในสังกัดของตน
ไม่รอช้า ท่านประธานยกโทรศัพท์ติดต่อไปหาเลขา ยุน นัมโซทันที ในหัวคิดแต่ว่าจะต้องทำยังไงก็ได้ให้ข่าวพวกนี้ไม่หลุดออกไปสู่สายตาสาธารณชน
[สวัสดีครับท่านประธาน] ปลายสายรีบรับและกรอกเสียงกลับมาทันทีเมื่อเห็นสายเข้าจากท่านประธาน ปาร์ค เค
“นายทำงานยังไง ให้ไอ้พวกดิสแพทช์มาเล่นงานเราได้!”
[ขอโทษด้วยครับ] คนปลายรีบตอบกลับอย่างคนสำนึกผิด เพื่อให้ท่านประธานไม่โกรธเขาไปมากกว่านี้
“ฉันให้เวลานายไม่เกิน 5 นาที ไปสืบมาให้ได้ว่ามันคิดจะปล่อยข่าวของใคร ถ้านายทำไม่ได้ เตรียมตัวโดนไล่ออกได้เลย!” ท่านประธานกดวางสายทันทีที่ออกคำสั่งเสร็จ
ปาร์ค เค ชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 35 ผู้ประสบความสำเร็จจนก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งประธานค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งอันดับต้นๆ ของเอเชีย นั่งมองหน้าปัดนาฬิกาบนหน้าเว็บไซต์ที่ค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันระบุเอาไว้ว่าตอนนี้มีเวลาเหลืออีกเพียง 50 นาทีเท่านั้นในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง สิ่งที่เขากลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือ พวกมันคิดจะเล่นงานไอดอลเบอร์ใหญ่ของบริษัทอย่างวงกรูม โดยเฉพาะข่าวของต้นไม้ ซึ่งเป็นตัวทำเงินอันดับหนึ่งของ PK
ต้นไม้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทชั้นนำของเกาหลีมากมาย ซึ่งถ้าข่าวเสียๆ หายๆ ของเขาถูกปล่อยออกไปล่ะก็ รายได้ที่สมควรจะเข้าบริษัทหลายพันล้านวอนจะต้องหายไปในพริบตา เป็นที่รู้กันว่าบริษัทพวกนี้พร้อมจะถอดต้นไม้ออกจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ทันที หากมีข่าวแย่ๆออกมา
กริ๊ง
ไม่ถึง 5 นาที เลขาคนเก่งของบริษัทก็โทรกลับหาปาร์ค เค ตามคำสั่งของเขาทันที
“ว่าไง” เขารับด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมและเคร่งเครียดมากกว่าทุกครั้ง
[ได้เรื่องมาแล้วครับท่าน…]
“ว่าไงบ้าง”
[ข่าวร้ายครับ พวกมันคิดจะปล่อยรูปของต้นไม้ครับ]
“รูปอะไร” ปาร์ค เคกัดฟันพูดออกมาด้วยความโมโห เขาทุบโต๊ะทันทีที่ได้ยินชื่อของต้นไม้
[เอ่อ…อธิบายยากครับท่าน เดี๋ยวผมจะส่งรูปไปให้ท่านผ่าน Kakao Talk ละกันนะครับ] พูดจบ เลขา ยุน ก็รีบกดส่งรูปที่เขาได้มาทั้งหมดผ่านแอพพริเคชั่นไปหาท่านประธานตามที่เขาบอกทันที
ปาร์ค เค เปิดรูปออกมาแล้วรู้ทันทีว่าทำไมเลขาของเขาถึงบอกว่าอธิบายยาก มันเป็นรูปของต้นไม้ที่หน้าไม่มีเค้าของเขาเลยสักนิด แต่ทว่า มันดันมีองค์ประกอบของรูปอยู่หลายช็อตที่บ่งบอกว่าเป็นต้นไม้ เช่น สร้อยข้อมือที่มีจี้รูปใบไม้ เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า รองเท้า ทุกอย่างล้วนเป็นของที่ต้นไม้เคยใส่ทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีพื้นหลังของคอนโดที่มองยังไงก็ต้องเป็นคอนโดที่เขาอยู่
ถ้าองค์ประกอบรูปมีเพียงเท่านี้ ก็คงไม่น่าจะเป็นข่าวอะไรได้มากมาย แต่ที่ท่านประธานอย่างเขาต้องมาเครียดเพราะดันมีรูปนึง เห็นผู้หญิงที่ถูกเบลอหน้าจากที่ไหนไม่รู้สวมสร้อยข้อมือให้กับคนที่คาดว่าเป็นต้นไม้อยู่
“ทำไมถึงมีรูปพวกนี้ออกมาได้?! ฉันสั่งกักบริเวณมันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
[เขาน่าจะหนีเที่ยวครับ]
“หนีเที่ยว?! เป็นไปไม่ได้ ฉันสั่งคุมเข้มเป็นอย่างดี มันจะหนีออกไปได้ไง”
[ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีคนคอยช่วยอยู่เบื้องหลังครับท่าน]
“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” ปาร์ค เค ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
[ไม่ทราบครับ]
“ไปสืบมา ไม่ว่าเรื่องใครอยู่เบื้องหลังและผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เก็บรูปพวกนี้มาให้หมด อย่าให้ถูกปล่อยออกมาได้ เราต้องทำทุกทาง แม้ว่าต้องเรียกใช้ WHO ก็ตาม”
[รับทราบครับท่าน]
พี่ต้นไม้หายไปเลย…
นี่ก็ปาเข้าไปเกือบจะหนึ่งอาทิตย์เข้าให้แล้ว ก็ยังไร้วี่แววการติดต่อจากเขาอยู่ดี จะแปลกมั้ยนะ ถ้าจะบอกว่า ฉันคิดถึงเขามาก
ก่อนที่พี่ต้นไม่จะหายไป ฉันได้รับเพียงข้อความเดียวจากเขาว่า ‘เธอไม่ต้องมาแต่งหน้าให้ฉันในช่วงนี้ ไว้จะติดต่อไปอีกที’ ไม่รู้สิ พอได้ข้อความอะไรแบบนี้มา ความรู้สึกมันบอกว่า ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่ต้นไม้แน่ๆ
ซึ่งฉันมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่ามันต้องเกี่ยวกับไอ้ บิ๊ก เซอร์ไพร์สของเว็บดิสแพทซ์ เพราะในวันที่ลงหัวข้อนั่น ไม่นานพี่ต้นไม้ก็ส่งข้อความนั่นมาหาทันที ถึงแม้ข่าวที่ออกจะมาสู่สาธารณชนจะไม่ใช่เขาก็ตาม ฉันเลยคิดว่าเรื่องนี้ทางต้นสังกัดอาจจะจัดการเก็บข่าวได้ทันท่วงทีก็เป็นได้
วันนั้นฉันจำได้ว่าตัวเองก็รอลุ้นอยู่หน้าจอคอมไม่ต่างกับคนอื่นๆ ในคลาส เพราะได้ยินวงใน (ไม่รู้วงไหน) ลือกันว่า จะมีข่าวของพี่ต้นไม้ออกมาหลังจากหายหน้าหายตาจากวงการบันเทิงไปนาน แต่พอหน้าเว็บเคาท์ดาวน์ถึงเลขศูนย์ มันกลับไม่ใช่ข่าวของเขาอย่างที่หลายๆ คนเฝ้าหวัง แต่กลับเป็นข่าวของดาราโนเนมที่ยังไม่มีใครรู้จัก ทำเอาหลายๆ คนผิดหวังไปตามๆ กัน แต่ฉันกลับดีใจจนต้องพึมพำกับตัวเองว่า
“ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช่ข่าวพี่ต้นไม้”
ฉันเดินทอดน่องเข้าตึกเรียนภาษาไทย ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับพี่เจ้าหน้าที่ แถมต้องบอกเธอไปตรงๆอีกว่า…ยังหาบัตรนักเรียนไม่เจอเลยค่ะ T_T อีกอย่างครั้งที่แล้ว พี่เขาก็กำชับนักกำชับหนาว่า ครั้งนี้ต้องเอามาให้ได้ แต่ด้วยความที่ฉันรักการเรียนมากถึงมากที่สุด จึงยอมเสนอหน้ามาขอเขาเรียน หวังพี่เขาจะยอมใจอ่อนให้นะ คนไทยใจดีอยู่แล้ว ใช่มั้ยคะ
“สวัสดีค่ะพี่ ^___________^” ฉันส่งยิ้มกว้างให้พี่เจ้าหน้าที่สุดฤทธิ์
“ทำหน้าแบบนี้ยังหาบัตรไม่เจอ ใช่มั้ยคะ” ฉันถึงกลับต้องยิ้มเจื่อนทันทีที่พี่เจ้าหน้าที่พูดเหมือนรู้ทัน
“แฮะๆ หนูพยายามหาแล้วนะคะพี่ แต่หาไม่เจอเลย ช่วยหนูอีกครั้งได้มั้ยคะ” ฉันชูนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่า ฉันขอโอกาสแค่ครั้งเดียวจริงๆ
“ไม่ต้องทำหน้าอ้อนค่ะ มีคนส่งคืนมาให้แล้ว”
“เอ๋?”
พี่เจ้าหน้าที่หยิบจดหมายสีขาวขึ้นมายื่นให้ ซึ่งมันจะมีช่องพลาสติกสีใสตรงกลางที่เห็นได้ชัดว่า ข้างในมีบัตรนักเรียนของฉันอยู่
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับซองนั้นมาอย่างงงๆ ก่อนจะเปิดเข้าไปคร่าวๆว่ามีบัตรนักเรียนกับรูปรึเปล่า ปรากฏว่ามันมีแต่บัตรนักเรียน ฉันเลยยื่นบัตรนักเรียนให้พี่เขาแตะและเดินเข้าห้องเรียนไป
เมื่อนั่งลงบนโต๊ะ ฉันรีบแกะซองจดหมายนั่นออกมาดูอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าข้างในจะมีรูปคู่ฉันกับออนนี่แฝงอยู่ด้วยที่ฉันมองไม่เห็น แต่ทว่าฉันกลับไม่พบรูปนั้น มีเพียงบัตรนักเรียนกับกระดาษเอสี่ที่ถูกพับมาอย่างเรียบร้อยเท่านั้นที่อยู่ในซอง
ฉันหยิบกระดาษเอสี่นั่นออกมาจากซองจดหมายและคลี่มันออกมาอ่านทันที
‘อันยอง แพ็ค โบรา
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฉันจะได้เขียนจดหมายนี้ถึงเธอ
เอาเป็นว่า ฉันเอาบัตรนักเรียนเธอมาคืนแล้วนะ ฉันรู้ว่าเธอต้องใช้ เลยรีบส่งมันคืนให้กับเธอเลยนะเนี่ย ใจดีใช่มั้ยล่ะ ส่วนรูปเธอกับโบมี มันยังไม่จำเป็นที่เธอต้องรีบใช้ในตอนนี้ ถูกมั้ย เพราะฉะนั้น ขอเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน ฉันจะคืนให้เธอในวันที่เราเจอกันก็แล้วกัน
หรือถ้าเธอยากได้มันไวๆ ล่ะก็
ตามหาฉันให้เจอสิ ^^
ลงชื่อ
J’
นี่ใครกำลังเล่นตลกกับฉัน
ฉันเหมือนคนชอบเล่นซ่อนหาเหรอไง คนๆ นี้ต้องการอะไรกันแน่ ทำไมถึงไม่ยอมคืนรูปมาให้ล่ะ งงไปหมดแล้ว ไหนจะคำพูดคำจาในจดหมายที่ทำเหมือนจะรู้จักฉันดี ที่สำคัญ...เขารู้ชื่อออนนี่ของฉันได้ยังไงกัน สาบานว่าในรูปใบนั้น ไม่ได้เขียนชื่อหรืออะไรบ่งบอกไว้เลยนะ หรือเจ้าของจดหมายจะรู้จักเราสองคนพี่น้อง
คนๆ นี้ คือใครกันนะ...
“สวัสดีจ้ะนักเรียน”
ฉันรีบพับเก็บจดหมายและหย่อนใส่กระเป๋าทันทีที่ได้ยินเสียงครูน้ำทักทายนักเรียนทุกคนในคลาส
“วันนี้เราจะเรียนเกี่ยวกับคำว่า” ครูน้ำให้ไปทางไวท์บอร์ดและหยิบปากกาขึ้นมา ฉันสูดลมหายใจอย่างตั้งสมาธิเพราะเรื่องจดหมายลึกลับนั่นมันกวนใจเป็นบ้า แต่ฉันจะให้มันมาขัดขวางการเรียนภาษาไม่ได้ ไว้หลังจบคลาสฉันค่อยใช้สมองกับมันอีกครั้งก็แล้วกัน ตอนนี้ควรจะสนใจตัวอักษรในกระดานมากกว่า ‘보고싶다 = คิดถึง’ “โพโกชิพตา”
โพโกชิพตา…
ไม่รู้ทำไมพอเห็นคำว่า โพโกชิพตา ใบหน้าของพี่ต้นไม้ก็ลอยเข้ามาให้หัวของฉันทันที นี่ฉันคิดถึงเขามากมายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“นักเรียนรู้มั้ยว่า โพโกชิพตา ภาษาไทยพูดว่ายังไง”
“คิดถึงครับ” ซึงวูยกขึ้นมาตอบทันทีที่ครูน้ำถามจบ
“ถูกต้อง ครูเอาคำนี้มาสอน เพราะว่า เราจะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆมากมายจากความคิดถึงของเพื่อนๆ เช่น คิดถึงบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ คิดถึงเพื่อน หรือ คิดถึงครู” ครูน้ำชี้ที่ตัวเอง ทำให้เพื่อนๆ ในคลาส รวมถึงฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ครูคะ” แทรา นักเรียนหญิงที่นั่งข้างฉันยกมือขึ้นถามคำถาม
“ว่าไงจ๊ะ”
“แล้วครูล่ะคะ คิดถึงอะไร”
“อืมมม…ก็คงเป็นบรรยากาศที่ประเทศไทยมั้งจ๊ะ”
“ไม่คิดถึง…แฟนบ้างเหรอคะ ><”
“ฮิ้ววววววว” เพื่อนๆ พร้อมใจกันล้อครูน้ำกันหมด ส่วนครูน้ำที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ทำได้เพียงทำหน้าเขินๆ และแอบส่งสายตา(แกล้ง)ดุมาให้พวกเรา
“ครอบครัวครูย้ายมาอยู่เกาหลีกันทั้งครอบครัวจ้ะ”
“ฮอลลล แบบนี้ก็หมายความว่าครูมีแฟนจริงๆ ด้วย แล้ว ลูกล่ะคะ ครูมีลูกมั้ย” บรรยากาศในคลาสจากที่เคยสนุกสนานอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งดูทุกคนตั้งใจฟังครูเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะพวกเราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวครูน้ำเลยนอกจากรู้ว่าครูเป็นคนไทยที่ย้ายมาทำงานที่เกาหลี แล้วก็เปิดสถานบันสอนภาษาไทยอย่างที่พวกเราเรียนอยู่
“มีสิจ๊ะ”
ฮอลลลลล
ฉันยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจ เพราะคิดมาโดยตลอดว่าครูน้ำเป็นสาวโสด หรือไม่ ก็คงมีครอบครัวอยู่ที่ไทย ไม่เคยคิดเลยว่าครูจะมีครอบครัวอยู่ที่นี่ด้วย ถือเป็นความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย
“แล้ววว ครูมีลูกชายหรือลูกสาวคะ ><” อื้อหืออ แทรา เธอกล้ามากเกินไปแล้ว
“ลูกชายจ้ะ อายุก็น่าจะพอๆ กับพวกหนูนี่แหละจ้ะ”
“หวายยยย เขาต้องหน้าตาดีเหมือนครูแน่เลยค่ะ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ ทำไมพวกหนูไม่เคยเห็นเลยยยย” เพื่อนข้างๆ ฉันถามอย่างไม่เก็บอาการ
ฉันนึกภาพตามแทรา ถ้าลูกชายของครูหน้าเหมือนครูน้ำจริงๆ ล่ะก็ เขาคนนี้ก็คงออกมาหน้าตาดีไม่เบาเลยล่ะ แต่ยังไงก็คงสู้พี่ต้นไม้ไม่ได้อยู่แล้ว เขาคือผู้ชายที่หล่อที่สุดในสายตาฉัน (รองมาจากอัปป้า เว้นให้เขาหน่อย อิอิ)
“เขากำลังทำตามความฝันของเขาอยู่จ้ะ”
“ครูมีรูปมั้ยคะ หนูอยากเห็นจัง ><”
“เรากลับมาเรื่องเรียนของเรากันเถอะจ้ะ เรื่องลูกของครูไม่น่าสนใจเท่าบทเรียนของพวกเธอหรอกนะ” ครูน้ำอมยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเพื่อดึงให้พวกเรากลับเข้าสู่บทเรียน
นั่นสินะ เรามัวแต่มาสนใจเรื่องของครู จนตอนนี้เวลาเรียนที่เหลือเริ่มเหลือน้อยลงไปทุกที หรือนี่จะเป็นแผนของแทราที่พยายามชวนครูคุยไปเรื่อยเปื่อยเพื่อพวกเราจะได้ไม่ต้องเรียนกันเยอะๆ เรื่องแบบนี้ นักเรียนทุกชาติถนัดนักแล
ไม่นานครูน้ำก็ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนกลับเข้าสู่หมวดการเรียนการสอนที่สนุกสนานเหมือนเดิม เชื่อแล้วล่ะว่า วันนี้เรื่องที่เราเรียนเกี่ยวกับหัวข้อความคิดถึง มันทำให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาไทยใหม่ๆ มากมายอย่างที่ครูน้ำว่าจริงๆ เป็นคลาสที่เรียนสนุกสนานไม่เปลี่ยนเลย
ตอนเย็น…
ฉันนั่งทบทวนศัพท์ใหม่ที่เรียนรู้ในวันนี้ระหว่างทางกลับบ้าน มีคำหนึ่งที่สะดุดใจฉันและเพื่อนในคลาสไม่น้อยนั่นก็คือคำว่า ‘บ้านเกิด’ เพราะมีหลายๆ คนในห้องคิดถึงบ้านเกิดตัวเอง เพราะพวกเขาไม่ได้มีบ้านเกิดที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงโซล ฉันเองก็เช่นกัน
“กลับมาแล้วค่ะ” ฉันตะโกนบอกออมม่าเมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน หลังจากนั้นก็ถอดรองเท้าและเก็บใส่ตู้ที่วางไว้ข้างๆ ประตู
“กลับมาไวก็ดีแล้ว อย่าลืมเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปหาฮาราปอจิด้วยล่ะ” ออมม่าพูดขึ้น ในขณะที่ท่านกำลังหั่นผักเตรียมสำหรับข้าวเย็นอยู่
“ค่า” ฉันขานรับ ก่อนที่จะเดินไปหอมแก้มท่านและเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บของให้เรียบร้อย พอเก็บของเสร็จ ฉันก็เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมจัดกระเป๋าไปหาฮาราปอจิหรือที่คนไทยเรียกว่าคุณปู่ในวันพรุ่งนี้เช้า
ใช่แล้วล่ะ พรุ่งนี้ฉันต้องออกเดินทางไปที่บ้านเกิดของฉันในเมืองนนซาน จังหวัดชุงซองนัมโด
ที่นั่นฮาราปอจิได้พัฒนาที่ดินของเราและสร้างทำเป็นไร่สตอว์เบอร์รี่ และนอกจากนนี้ภายในไร่ยังมีที่พักเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติๆ ต่างจากเมืองหลวงมาอีกด้วย
จริงๆ แล้ว ที่นั่นเคยเป็นไร่ที่โด่งดังเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่พอพี่สาวฉันเสีย ก็ดันมีข่าวลือออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ไร่สงบสุขของฮาราปอจิ ก็กลายเป็นไร่ผีหลอกไปเสียแล้ว บ้างก็บอกว่า เห็นผีโบมีออนนี่บ้างล่ะ หรือไม่ก็บอกว่าได้ยินเสียงผู้หญิงตามมาหลอกหลอนตลอดเวลา เพราะว่าโบมีออนนี่ชอบกลับไปฮาราปอจิบ่อยๆ
แต่ไม่ใช่แค่นั้นที่ทำให้ใครต่อใครพากันหวาดกลัวจนเป็นข่าวลือ เพราะเหตุผลที่ชาวบ้านลือกันแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าอุบัติเหตุรถชนของออนนี่ ดันเกิดขึ้นตรงถนนที่กำลังจะเลี้ยวเข้าที่ไร่พอดิบพอดี จึงทำให้ไร่ที่ฮาราปอจิรักนักรักหนาต้องขาดทุนและไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักอีกเลยนับจากวันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ฮาราปอจิก็ไม่ยอมทิ้งไร่นั้น ท่านยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อและไม่ยอมปิดกิจการลง ฮาราปอจิบอกว่า มันคือไร่แห่งความทรงจำของครอบครัวเรา ถ้าอยากให้ปิดก็ต้องรอให้ท่านจากไปเสียก่อน ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิด
พอจัดกระเป๋าเสร็จ ฉันก็ออกไปช่วยออมม่าเตรียมกับข้าว ไม่นานพอพวกเราทำกับข้าวกันเสร็จ อัปป้าก็กลับมาจากที่ทำงานพอดิบพอดี เมื่อออมม่าเห็นอัปป้ากลับมาก็รีบเข้าไปช่วยถอดสูทให้ทันที ก่อนที่จะพากันมานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาดั่งเช่นทุกวัน
“โบรา จัดกระเป๋าเสร็จหรือยังลูก” อัปป้าถามขึ้น
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ฝากนี้ไปให้ฮาราปอจิด้วยนะลูก แล้วเดี๋ยวออมม่ากับอัปป้าจะตามไปสุดสัปดาห์นี้” อัปป้ายื่นกล่องของขวัญที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาให้กับฉัน
“ได้เลยค่ะ ว่าแต่ในนี้มีอะไรเหรอคะ” ฉันเขย่ากล่องทันทีที่รับ
“กล่องใส่ซีดีน่ะลูก เห็นฮาราปอจิบ่นๆ ว่าซีดีเยอะเต็มบ้าน อัปป้าเลยซื้อไปฝากสักหน่อย”
“โอเคค่ะ หนูจะให้ฮาราปอจิกับมือเลย อัปป้าไม่ต้องห่วง”
“พูดมากจริงๆ เลย ลูกคนนี้ ไปๆ ไปนอนได้แล้ว” ออมม่าหันมาเก็บจานให้กับฉันและอัปป้า ก่อนที่จะไล่ฉันไปนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า
“ค่า ฝันดีนะคะ ทุกคน”
“ฝันดีจ้ะลูกรัก”
ฉันตื่นแต่เช้าตรู่ด้วยความงัวเงียเป็นอย่างมาก ขอสารภาพเลยว่าเมื่อเช้าฉันไม่ได้อาบน้ำ (เพราะขี้เกียจ) ก่อนที่จะหยิบชุดที่น่าจะหลับบนรถบัสได้สบายที่สุดอย่างพวกเสื้อยืดธรรมดาๆ กับกางเกงเลกกิ้งขึ้นมาใส่ โดยไม่ลืมเอาเสื้อกันหนาวสวมทับอีกชั้นไว้
รอประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถบัสที่จะไปเมืองนนซานก็มาจอดที่ป้ายพอดี บนรถบัสไม่มีใครนั่งอยู่เลย นอกจากผู้หญิงที่ดูท่าทางประหลาดๆ คนหนึ่ง เธอคนนั้นพอเห็นฉัน ก็จ้องมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่เธอจะหลับตาลงแต่พึมๆ พำๆ อะไรสักอย่างที่ฉันเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง
ฉันตัดสินใจเลือกที่นั่งให้ไกลจากผู้หญิงคนนั้นให้ได้มากที่สุด พอได้ที่นั่งแล้ว ก็หยิบหูฟังมาเสียบหูและเปิดเพลงกรูม วงอันเป็นที่รักของฉัน ก่อนที่จะเผลอหลับไปในที่สุด
รู้สึกตัวอีกที รถบัสก็พามาถึงเมืองนนซาน ฉันคงหลับลึกมากจริงๆ เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นบนรถ ฉันหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ก็พบว่า คงมาถึงที่นี้ได้ประมาณ 20 นาทีแล้ว
ทำไมไม่มีคนปลุกฉันเลยล่ะ U_U
จากนี้ไปหาฮาราปอจิต้องเดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร ถึงจะเหยียบเข้าสู่ตัวไร่ที่แสนจะสงบสุข (เงียบฉี่) ของฮาราปอจิ
แต่…
ทำไมวันนี้มันไม่เงียบอย่างที่มันควรจะเป็นล่ะ
“นานส์…อิกอนยามา…บากิติ บาบา!”
ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าคือผู้หญิงที่ฉันเจอบนรถบัส กำลังร่ายรำรอบตัวใครบางคนอยู่หน้าไร่ของฉัน แล้วเพลงที่เธอร่ายรำออกมา มันก็คุ้นหูฉันชอบกล เหมือนเคยได้ยินมาจากการ์ตูนเรื่อง ไลอ้อน คิง
พอได้มาสังเกตใกล้ๆ ฉันถึงกลับชะงัก เมื่อคนที่ถูกผู้หญิงประหลาดกึกกือนั่นรำล้อมรอบอยู่ ลักษณะเหมือนชายชราที่หน้าตาใจดีแบบนี้ แถมยังยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา เขาคนนี้คือ…ฮาราปอจิฉันเอง - -
“ฮาราปอจิ ทำอะไรคะเนี่ย” ฉันถามขึ้นเมื่อเห็นผู้หญิงตรงหน้าร่ายรำเสร็จ เธอกำลังนั่งปิดตาพึมๆ พำๆ อะไรสักอย่างอีกแล้ว พึลึกคนจริงๆ
“อ้าว หลานรัก มาถึงแล้วเหรอ” ฮาราปอจิทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ หนูมาถึงแล้ว แล้วนี่ฮาราปอจิทำอะไรอยู่เหรอคะ” ฉันเสมองไปทางผู้หญิงประหลาดคนนั้น
“ชู่ อย่าเสียงดังไปหลาน ท่านกำลังทำพิธีอยู่”
“ทำพิธีอะไรคะ”
”ก็ทำพิธีเรียกลูกค้าไง นี่ฮาราปอจิเคยใช้เจ้าแม่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วด้วยนะ ได้ผลทันที มีลูกค้าเข้ามาหนึ่งคนแหนะ แถมยังอยู่หลายวันอีกต่างหาก” ฮาราปอจิพยายามทำเสียงกระซิบกระซาบก่อนที่จะดึงตัวฉันให้นั่งลงตาม
“งั้นเหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างไม่เชื่อ เพราะเจ้าแม่ตรงหน้าดูไม่ค่อยน่าศรัทธาสักเท่าไหร่ (เมื่อกี้ยังร้องเพลงไลอ้อน คิง อยู่เลย อย่าหาว่าฉันงั้นงี้)
“นังหนู!”
เฮือก!
ตกใจหมดเลย อยู่ๆ เจ้าแม่ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ตามหาเขาให้เจอ ก่อนที่เขาจะตามหาเธอเจอเอง”
“คะ” ฉันงงกับคำพูดของไปหมดแล้ว
“ถ้าเธออยากรู้เรื่องมากขึ้น จงเข้าใกล้ผู้ชายหน้าหวานเข้าไว้ เชื่อฉันสิ”
เข้าใกล้ผู้ชายหน้าหวาน…
ใครกันน่ะ คนที่ฉันสนิทก็ไม่มีใครหน้าหวานสักคน และฉันจะไปเข้าใกล้เขาคนนี้ได้จากที่ไหนกัน
“แต่!” เจ้าแม่เว้นจังหวะพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง “เขาเป็นศัตรูกับคนที่เธอรัก เลือกเอาให้ดีละกันนะนังหนู”
“ค่ะ” ฉันตอบกลับเธอไปอย่างงงๆ
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าให้ฉันหนึ่งทีก่อนที่จะลุกขึ้นมารำต่อเป็นอันจบพิธี ฮาราปอจิรีบหลีกทางให้เจ้าแม่ทันทีที่เธอทำพิธีเสร็จ
“หอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ยหลาน” ฮาราปอจิหันมาถามฉันทันทีที่เจ้าแม่หายลับเข้าไปในไร่
“พวกของใช้ของหนูแหละค่ะ” สายตาของฮาราปอจิจับจ้องไปที่กล่องของขวัญ ฉันถึงได้ถึงกับบางอ้อว่า ฮาราปอจิไม่ได้ห่วงที่ฉันเอาของมาเยอะ แต่ท่านคงหมายถึง อัปป้าฝากอะไรมามากกว่า “อ๋อ อัปป้าฝากนี่มาให้ด้วยค่ะ”
“มันคืออะไร”
“กล่องเก็บซีดีค่ะ” ฉันตอบตามที่ฉันรู้มา
“อ๋อ ดีเลย หลานรีบไปทำความสะอาดที่ห้องโบมีและเก็บเอาซีดีวางเป็นหมวดหมู่ด้วยนะ และเอากล่องนี้วางไว้ที่ห้องมุมขวาด้วยล่ะ เจ้าแม่บอกว่าถ้าไม่ทำตามนี้จะเป็นอัปมงคลเอา”
“คะ? แล้วทำไมต้องให้หนูทำด้วย” ฉันแปลกใจมาก ทำไมไม่มีใครเข้าไปทำความสะอาดห้องของพี่ฉันเลยเหรอ
“ไม่มีใครกล้าเปิดเข้าไปหรอกหลาน”
“ทำไมล่ะคะ”
“เอาหน่า รีบไปเถอะ คืนนี้เจ้าแม่จะทำพิธีที่ห้องโบมี ไปทำความสะอาดด้วยล่ะ”
“ค่ะๆ” ฉันโค้งให้ฮาราปอจิหนึ่งที ก่อนจะเดินตามหลังไปต้อยๆ
เมื่อได้รับคำสั่ง ฉันก็ต้องทำตาม ฉันเอาพวกสัมภาระของตัวเองไปเก็บที่ห้อง ก่อนที่จะเดินออกมาที่ประตูห้องข้างๆ และหยิบกุญแจขึ้นมาไข
พอเปิดเข้ามาในห้องของออนนี่ได้ ฉันถึงได้เข้าใจว่าทำไมฮาราปอจิถึงอยากให้ฉันทำความสะอาดและเก็บซีดีมากนัก ห้องของออนนี่มีของเยอะแยะที่ดูวางไม่เป็นที่ไม่เป็นทางเต็มไปหมด เหมือนคนเอาของหลายๆ อย่างที่ไม่จำเป็นมากองไว้ที่ห้องของเธอ นอกจากนี้ยังมีซีดีมากมายวางระเกะระกะไว้อยู่ตามมุมห้องอีกด้วย
“เฮ้อ จะเสร็จมั้ยเนี่ย แพ็ค โบรา” ฉันเท้าเอวมองดูบรรยากาศรอบห้องที่ดูเหมือนจะเป็นงานหนักสำหรับฉันเลยทีเดียว
“เธอต้องทำได้ ไฟท์ติ้ง”
ฉันเริ่มจากการยกของไปวางไว้ตรงข้างประตูให้หมดก่อน แล้วก็กวาดพวกสิ่งสกปรกออกไป เสร็จแล้วก็ถูพื้นจนห้องดูสะอาดขึ้นทันตาเห็น จากนั้นก็เริ่มหันมาทำงานยากเป็นอย่างสุดท้าย นั่นก็คือการจัดซีดีเป็นหมวดหมู่ลงกล่องที่อัปป้าเพิ่งซื้อมาใหม่ให้สวยงาม
ฉันแบ่งซีดีที่ล้วนแล้วแต่เป็นซีดีเพลงทั้งนั้น ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าจะแบ่งหมวดหมู่ยังไง จึงทำตามแบบที่ฉันเข้าใจเอาก็แล้วกัน คือการแบ่งตามสไตล์เพลง
พอแบ่งทุกอย่างเสร็จ ฉันก็เริ่มเอาซีดีเป็นหมวดๆ ลงกล่องอย่างเป็นระเบียบ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสวยงาม
เย้! ฉันยกกล่องซีดีขนาดใหญ่ไปไว้ที่มุมขวาของห้องตามที่ฮาราปอจิสั่ง แต่ก่อนที่จะวางลง สายตาของฉันก็ดันไปสะดุดเข้ากับแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งที่วางอยู่ในลืบลึกมากจึงทำให้ฉันมองไม่เห็น
ซวยแล้วมั้ยล่ะ!
นี่มันยังไม่หมดอีกเหรอเนี่ย
ฉันตัดสินใจวางกล่องไว้ข้างลำตัว ก่อนจะพยายามเอื้อมไปหยิบซีดีนั่นอย่างยากลำบากแต่ก็ไม่ถึงอยู่ดี ด้วยความที่มันติดเข้าไปอยู่ในหลืบของตู้เสื้อผ้า แถมยังคว่ำหน้าอีกต่างหาก พอเพ่งดีๆ แล้วปกซีดีด้านหลังนั่นมีพื้นหลังเป็นโบสถ์ (เหมือนอัลบั้มแรกของกรูมไม่มีผิด แต่ในเมื่อฉันเป็นแฟนคลับตัวยง ฉันย่อมรู้ว่ารายละเอียดมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง)
เอาไงดี ฉันควรพลักตู้เสื้อผ้าแสนหนักนี่ออกไปก่อนมั้ยนะ?
“โบราเสร็จรึยัง ลงมานี่ ด่วนเลยนะหลาน!” ฉันได้ยินเสียงฮาราปอจิตะโกนลงจากชั้นล่าง
โอ๊ย ยังไม่ได้หยิบไอ้ซีดีนี้เลย ทำไงดี ช่างมันไปก่อนก็แล้วกัน ไว้ทำธุระให้ฮาราปอจิเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาเก็บก็คงยังไม่สายไม่หรอกมั้ง
คิดได้ดังนั้น ฉันเลยทิ้งซีดีนั้นไว้ก่อน และเดินลงไปหาฮาราปอจิที่ชั้นล่าง
“มาแล้วค่ะ ฮาราปอจิ มีอะไรให้หนูช่วยเหรอคะ”
“เอาน้ำสตอว์เบอร์รี่ปั้นไปให้ลูกค้าตรงศาลาหน่อย”
“คะ?” อะไรนะ เรื่องแค่นี้น่ะเหรอที่ทำให้ฉันต้องรีบลงมา รู้งี้ยอมเสียเวลาพลิกดูซีดีซะยังจะดีกว่า
“เอาไปให้ลูกค้าคนแรกในรอบสี่ปีของเรา” ฮาราปอจิยื่นแก้วน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั้นทีอยู่ในถาดอย่างสวยงามมาให้ฉัน
“ค่ะ ได้ค่ะ”
“ตรงศาลากลางไร่ จำได้ใช่มั้ย”
“จำได้ค่ะ”
ฉันรับถาดมาจากฮาราปอจิ ก่อนที่เดินออกไปทางไร่ ที่ตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยลูกสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสด โชคดีของลูกค้าคนนี้จริงๆ ที่มาได้ถูกฤดู ช่วงหน้าที่กำลังเข้าหน้าฤดูใบไม้ผลิแบบนี้สตรอว์เบอร์รี่กำลังออกผลสวยเลย แถมยังอร่อยมากอีกด้วย
ว่าแต่ เขาอยู่ไหนล่ะเนี่ย ไม่เห็นอยู่ที่ศาลาอย่างที่ฮาราปอจิว่าเลย
ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นผมสีดำของผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่กลางดงต้นสตรอว์เบอร์รี่ เหมือนว่าเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออะไรสักอย่างอยู่อย่างตั้งแถม อีกมือนึงก็ถือลูกสตอว์เบอร์รี่ที่กำลังเอาเข้าปาก
ฉันจึงค่อยๆ เดินเข้าไป ไม่กล้าทำบุ่มบ่ามอะไรเสียงดัง เพราะกลัวว่าถ้าเดินพรวดเข้าไปจะทำให้คนที่กำลังอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ จะตกใจเอาได้
เอ๊ะ นี่มัน O_O
เมื่อได้เห็นหน้าของผู้ชายคนนี้ใกล้ๆ ปากฉันก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฉันถึงกับชะงักฝีเท้าทันที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เจอเขาที่นี่
นี่ต้องเป็นเรื่องพรหมลิขิตแน่ๆ
“พี่ต้นไม้!” ฉันเรียกชื่อคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยความดีใจ
ส่วนพี่ต้นไม้เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจปนประหลาดใจ ไม่เพียงแค่นั้น พอเขาเห็นฉันที่ยืนอยู่ตรงหน้า มือของเขาก็รีบปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ทันที
ว่าแต่…ทำไมหน้าปกมันดูคุ้นตาจังแฮะ
แต่ฉันก็ดันสายตาเสียดูไม่ทันไปอีก กะจะเก็บข้อมูลไปซื้อตามสักหน่อย
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนพยายามให้ราบเรียบแต่ว่าสีหน้ากลับฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าพี่ต้นไม้มาอยู่ไร่ของฮาราปอจิของฉันได้ยังไง” ฉันถามเขากลับ ก่อนที่จะถือวิสาสะหย่อนตัวลงไปนั่งข้างๆ กับเขา
“นี่ไร่ฮาราปอจิของเธองั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ ทีนี้ พี่ต้นไม้ตอบฉันได้ยังหรือยังคะ”
“พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย ผู้จัดการเลยให้ฉันมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว” หลังจากได้รับคำตอบสีหน้าและท่าทางสงสัยใครรู้ของเขาก็เบาลง
“งั้นพี่ต้นไม้ ก็คือลูกค้าคนแรกในรอบสี่ปีของไร่นั่นเอง”
“งั้นเหรอ แต่ก็คงใช่มั้ง ถ้าที่นี่มีคนเยอะ ผู้จัดการก็คงไม่เลือกให้ฉันมาอยู่หรอก” เขาพูดยิ้มๆ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมาดูดหน้าตาเฉย ว่าแต่ เมื่อกี้ฉันบอกเขาแล้วงั้นเหรอว่านี่เป็นแก้วเขาน่ะ
“ว่าแต่ เมื่อกี้พี่อ่านอะไรอยู่เหรอคะ เห็นนั่งยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่เลย ดูน่าสนุกน่าดู” ให้ฉันเดาคงไม่พ้นพวกนิยายสืบสวนสอบสวนอย่างที่เขาชอบอ่านแน่นอน
พี่ต้นไม้ได้แต่มองฉัน ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือเล่มนั้นให้ห่างไกลจากตัวฉันไปอีก แล้วก็หันไปดูดน้ำสตรอว์เบอร์รี่ของเขาต่อ
ตั้งใจกวนฉันใช่มั้ยคะเนี่ย คุณพี่ต้นไม้!
“ใจร้าย แนะนำหน่อยก็ไม่ได้” ฉันแกล้งบ่นออกมาลอยๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลแหะ
”เฮ้อ บอกให้ก็ได้ สมุดเล่มที่ฉันอ่าน มันเป็นสมุดที่เปลี่ยนชีวิตฉัน” เหมือนเขาจะหันมาจ้องฉันด้วยความเบื่อหน่าย แต่สุดท้ายก็ยอมตอบอยู่ดี
อ้าว แล้วตกลงมันคือสมุดงั้นเหรอ ฮะฮะ เกือบปล่อยไก่แล้วมั้ยล่ะ
“ว้าว แสดงว่าคนเขียนต้องเก่งสุดๆ ไปเลยสิคะ”
“ไม่หรอก คนเขียนเป็นแค่เด็กบ๊องคนหนึ่งเท่านั้น”
“เอ๋?”
เป็นแค่เด็กบ๊องคนนึงงั้นเหรอ ถ้าเป็นแค่เด็กบ๊องแล้วจะเปลี่ยนชีวิตพี่ต้นไม้ได้ยังไงกันนะ -*-
“ฉันเคยคิดที่จะลาออกจากวงในวันที่เพิ่งเดบิ้วต์ แต่เพราะได้อ่านสมุดเล่มนี้ มันทำให้ความคิดของฉันเปลี่ยนไป” นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินคำตอบยาวๆ ออกมาจากปากเขา ฉันรู้สึกว่าแววตาที่เคยแข็งกระด้างของพี่ต้นไม้ดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อพูดถึงคนที่เขียนสมุดเล่มนั้น
“ทำไมล่ะคะ มันคือความฝันพี่เลยไม่ใช่เหรอ”
“เพราะมันคือความฝัน ฉันถึงได้ลังเล ถ้ามันไม่ใช่ความฝันของฉัน ฉันคงทิ้งมันไปตั้งนานแล้วล่ะ” พี่ต้นไม้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พี่ต้นไม้…”
“ตอนนั้นฉันเป็นเพียงเมมเบอร์ตัวเสริมที่เข้ามาแทนเมมเบอร์ที่สละสิทธิ์ไป ไม่มีใครยอมรับฉันสักคน พอคุยกับคนในวง ทุกคนก็เมินฉัน หรือไม่ก็ถามคำตอบคำ บรรยากาศในวงทุกอย่างอึมครึมไปหมด แถมตอนนั้นฉันก็ยังพูดภาษาเกาหลีได้ไม่ค่อยเก่ง จะสื่อสารกับใครก็ยากไปหมด บางทีมันก็ทำให้ท้อบ้างเป็นธรรมดา”
ได้ยินแบบนี้แล้ว นึกถึงที่ซอฮุนเคยเล่าให้ฟังที่ฮงแดในวันนั้น แสดงว่ามันก็ป็นความจริงน่ะสิ พี่ต้นไม้ไม้ของฉันน่าสงสารจังเลย… ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นฉันก็คงคิดที่จะยอมแพ้ไม่ต่างจากเขาหรอก
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ผ่านอะไรมาเยอะขนาดนี้ U_U”
“เฮ้! ฉันไม่ได้ตั้งใจเล่าให้เธอเศร้านะ”
T_T <<< ก็ยังเศร้าอยู่ดี เผลอๆ เศร้าหนักกว่าเดิม
“ไปกันใหญ่แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ นะ อย่างน้อยก็มีเด็กบ๊องคนนึงคอยให้กำลังใจฉันมาตลอด ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้” พี่ต้นไม้เบนสายตามาทางฉัน เดาว่าเขาคงตั้งใจจะปลอบฉันล่ะมั้ง
“ฉันอยากเป็นเด็กบ๊องคนนั้นจังค่ะ”
“สมุดเล่มนี้” เหมือนเขาจะหันไปหยิบสมุดที่วางอยู่ข้างตัวของเขา แต่ฉันก็ยังอยู่ในอารมณ์ที่อยากก้มหน้าอยู่ดี กลัวมองหน้าเขาแล้วน้ำตาจะพานไหลออกมาได้ “ทำให้ฉันได้รู้ว่า ฉันไม่ได้สู้อยู่คนเดียวลำพัง ยังมีคนๆ นึงที่คอยสู้ไปกับฉันด้วย เธอรู้มั้ยว่าเด็กคนนั้นคือใคร”
“…” พี่ต้นไม้ถามฉัน แต่ฉันก็ได้แต่เงียบและส่ายหน้าเท่านั้น
“คือเธอยังไงล่ะ โบรา”
หืมมม เมื่อกี้ฉันได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า
ฉันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพี่ต้นไม้กำลังยื่นสมุดเล่มหนึ่งมาทางฉัน ฉันจ้องมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอย่างที่ฉันเคยตกหลุมรักเขาเมื่อครั้งแรกที่ฉันได้เจอพี่ต้นไม้เมื่อสี่ปีก่อน
“นี่คือของเธอใช่มั้ย”
พอเขาถามฉันมาแบบนี้ ฉันถึงได้เบนสายตาไปมองที่มือของพี่ต้นไม้ทันที มันเป็นสมุดที่มีปกสีเขียว ตรงกลางเป็นรูปใบไม้…
O_O
นี่มัน…
สมุดลีฟของฉันนี่นา!
มันไปอยู่กับเขาได้ยังไงกัน เท่าที่จำได้ ฉันเพิ่งส่งสมุดน้องลีฟที่เขียนการบ้านไปให้ครูน้ำไปนี่นา
“พี่ต้นไม้ไปได้มันมาจากไหน?!”
“ความลับ J”
TALK WITH พิมพ์อักษร
ในที่สุดก็ได้เขียนฉากจบที่พี่ต้นไม้ คนเขียนรอมานานมากค่ะ 555555555 หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ J
ทำไมฉากนี้มีความละมุน หอมกรุ่นๆ จากดินของต้นรัก แว้กก เขิน ><
ชอบฉากตรงที่เห็นพี่ต้นไม้อ่ะ หล่อ หลัวว //เดี๋ยวววว
สมกับที่รอคอยค่ะท่านพี่ สู้ๆ นะคะ รักพี่ต้นไม้ //โบกป้ายไฟ จุ้ฟ >3<
ป.ล.ท่านปู่ ทำไมต้องเข้ามาตอนจะดูซีดีล่ะ มันคือซีดีลึกลับของปู่ชิมิฮ้าาาาา
ยังยืนยันคำเดิมค่ะพิมพ์ อยากทำงานกับ Who จริงๆ นะ แลดูดิบๆ เท่ๆ ดี =..=
ส่วนตอนนี้ก็ทิ้งอะไรไว้อีกแล้ว ลูกครูน้ำ... ทางนี้คิดไปไกลแล้ว่าเป็น... (ไม่พูดเดี๋ยวหน้าแตก 555)
หนุ่มหน้าหวานนี่พี่ต้นไม้ช่ะ (เรียกชื่อถูกซักที 555) ไหนจะเรื่องซีดีอีก...
เอาเป็นว่าตอนนี้ก็สนุกอีกเช่นเคย ถึงจะไม่จุใจเท่าตอนอื่นๆ แต่ให้อัยเพราะพี่ต้นน่ารัก
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ สู้ๆ ค่ะพิมพ์ สู้ๆๆๆ
ถ้างั้นข้าขอจองท่านประธา---------- แค่กกกกกๆๆๆๆ
นี่อ่านละตงิดๆ มากว่าครูน้ำนี่ต้องเป็นแม่ต้นไม้ เออใช่จริงด้วย
โลกมันกลมมากๆ เลยนะคะเนี่ย ฮิ้วววว ชีวิตติ่งได้ถวายกายใจก็งานนี้
พี่ต้นไม้ต้องเป็นลูกครูน้ำแน่เลย สองคนนี้นี่มันพรมลิขิตชัดๆ
ชอบฉากที่มาเจอกันที่ไร่มาก น่ารักไปอีกกก
สู้ๆ นะคะ รออ่านต่อน้าพี่
อยากเป็นแพ็คโบราจังค่ะ คุยกันกระหนุงกระหนิงกันสองคน
แถมพี่ต้นไม้ยังแอบว่าโบราเป็นเด็กบ๊องอีก แงงงน่ารัก //อยากมีโมเม้นนี้บ้าง ปาสมุดไปเกาหลีแป๊ป (เดี๋ยว!)
เก๊ารอตอนต่อไปนะพี่พิมม *ปักหมุนรอ* พี่ต้นไม้ของเก๊าาาา
เพราะจะทำให้ลูกค้า (อย่างอิฉัน) หันไปคว้าผู้ชายแทน //หืดหาดดดด
หงิดๆ ว่าครูน้ำกับพี่ต้นไม้น่าจะเกี่ยวของกัน กรี้สสส จริงด้วยยยย
เธอนี่มันน่าอิจฉาสุดๆ ไปเลยโบร๊าาาา
อ่านแล้วอยากกรี๊ดพี่ต้นไม้ตามคนอื่นเลยค่ะ (แต่ในใจยังมีคิสอยู่) จากนี้ไปเรื่องราวต้องเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิมแน่เลยยย รอติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอน้าาาพี่พิม
นี่สงสัยจริงๆ ใครส่งบัตรมาให้โบราาา แล้วWHOนี่จะเป็นใครกัน ฮือออ
ดีใจจริงๆ ที่เจอพี่ต้นไม้กลางไร่สตอเบอร์รี่ อูยยย น่าย้ากกก
สู้ๆๆๆ รออ่านตอนหน้าต่อน้าาา
รออ่านตอนต่อไปนะคะ