’ ช่างแต่งหน้าใต้ดิน’ อย่างเธอจะทำอย่างไรเมื่อต้องมาแต่งหน้าให้กับคนที่ทำให้ใจของเธอสั่นไหวทุกครั้งเพียงแค่เห็นหน้า
ตอนที่ 5: แสงสว่างกับมุมมืด
“ความลับ J” พี่ต้นไม้ตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งแต่รอยยิ้มของเขามันช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
“พี่ต้นไม้บอกมาเถอะ ฉันอยากรู้จริงๆ นะคะ”
บอกตรงๆ ว่ามันเหนือความคาดหมายของฉันมาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมุดน้องลีฟจะไปอยู่ในมือของพี่ต้นไม้ได้
“บอกเหรอ บอกอะไรดีล่ะ -_-”
หน้าพี่ต้นไม้แบ้งค์มากเลยค่ะ แล้วแบบนี้ฉันจะหาคำตอบได้จากไหน
ผู้ต้องสงสัยของฉันตอนนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อน้องลีฟคือสมุดของฉันที่เขียนไว้ส่งการบ้านเท่านั้น อีกอย่าง เท่าที่จำได้ ไม่เคยมีใครได้อ่านน้องลีฟ แม้แต่ซอฮุนก็เถอะ เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่คนเดียวที่เป็นผู้ต้องสงสัย นั่นก็คือ…
ครูน้ำ
แต่…ครูน้ำไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ต้นไม้ได้นอกจากเป็นคนไทยเหมือนกันหรอกนา
เอ๋? หรือว่า
อยู่ๆ ฉันก็นึกถึงบทสนทนาในคลาสเรียนครั้งที่แล้วของแทรากับครูน้ำขึ้นมา
‘แล้ววว ครูมีลูกชายหรือลูกสาวคะ ><’
“ลูกชายจ้ะ อายุก็น่าจะพอๆ กับพวกหนูนี่แหละจ้ะ’
‘หวายยยย เขาต้องหน้าตาดีเหมือนครูแน่เลยค่ะ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ ทำไมพวกหนูไม่เคยเห็นเลยยยย’
‘เขากำลังทำตามความฝันของเขาอยู่จ้ะ’
ไม่นะ!
“พี่ต้นไม้!”
“ว่าไง”
“พี่ต้นไม้คือลูกชายของครูน้ำงั้นเหรอ O///O”
“…”
“O_O”
ไม่ตอบแบบนี้ ฉันขอทึกทักว่าใช่แล้วกันนะ โอ๊ย
ฉันเริ่มนึกย้อนไปว่า ตัวเองได้เขียนอะไรลงไปในสมุดน้องลีฟบ้าง แล้วพอยิ่งนึกก็ยิ่งอยากจะกระโดดเข้าไปแย่งสมุดคืนแล้วมุดดินไร่สตรอว์เบอร์รี่หนีซะให้รู้แล้วรู้รอด โดยเฉพาะ ไอ้การบ้านที่เขียนในหัวข้อ ‘คนในฝัน’ ฉันดันเขียนขอพี่ต้นไม้เป็นแฟนตัวเบ้อเร้อเลยน่ะสิ
กรี๊ด!
ฉันอายมาก จนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าโดยพลัน เวลาแบบนี้ฉันไม่กล้ามองหน้าคนข้างๆ ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ
แย่ชะมัด
“อายทำไม จริงๆ ภาษาไทยเธอก็ดีนะ” พี่ต้นไม้พูดออกมาหน้าตาเฉย
“ฉันไม่ได้อายเรื่องนั้นสักหน่อย!” ฉันตอบออกไปทั้งๆ ที่มือทั้งสองข้างยังปิดหน้าด้วยความเขินอยู่
“อืมม… งั้นลายมือเธอก็สวยดี ไม่เห็นจะแย่ตรงไหน - -”
“ฉันอายพี่ต่างหากเล่า” ไม่รู้อะไรบ้างเลย พี่ต้นไม้บ้า!
“อายฉัน? อายทำไม ในเมื่อเธอตั้งใจจะเขียนให้ฉันอ่านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ (‘ ‘)”
“มันก็ใช่ แต่ฉันไม่คิดว่าพี่จะได้อ่านมันจริงๆ นี่นา”
“ทำไงดี ฉันดันอ่านไปทุกคำแล้วด้วย - -”
ยิ่งพอได้ยินว่าพี่ต้นไม้บอกว่าได้อ่าน ‘ทุกคำ’ ความคิดที่ว่า เอาหน้ามุดดินหายไปเลยยังทันมั้ยก็เข้ามาในหัวอีกรอบ
“อ่านถึงไหนแล้ว พี่อ่านถึงไหนน” ขอร้อง อย่าอ่านถึงตรงที่ฉันขอเป็นแฟนเลยเหอะ ฉันกลัวว่าเขาจะหาว่าฉันโรคจิต
พี่ต้นไม้หันมามองฉันอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะหยิบสมุดลีฟขึ้นมาเปิด พอเห็นเขาเปิดสมุดเท่านั้นแหละ ฉันรีบเอามือลงทันที ฉันมีลางสังหรณ์ว่า พี่ต้นไม้จะต้องอ่านมันแน่ๆ
“ถ้าให้ฉันพูดถึงคนในฝันของฉัน เขาคนนี้เป็นถึงดาวที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเอื้อมไม่ถึง…” น้ำเสียงที่เขาอ่านมันช่างราบเรียบยิ่งนัก แต่ทำไมมันกลับทำให้ฉันใจเต้นชอบกล
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“หยุดอ่านค่ะ โอ๊ย พี่ต้นไม้อ่ะ ปิดมันเถอะ ขอน้องลีฟคืนด้วยค่ะ”
“ก็ได้” พี่ต้นไม้ปิดมันลงตามที่ฉันขอ “แต่สมุดนี้ ยังให้ไม่ได้ ไว้ตรวจเสร็จเมื่อไหร่จะคืนให้พร้อมคอมเมนต์“
“เดี๋ยวนะคะ พี่ต้นไม้เป็นคนตรวจ?”
“ถูกต้อง”
“ได้ไงกัน?! พี่ยุ่งจะตาย”
“ช่วงนี้ว่าง - -”
จริงด้วยสิ ฉันก็ลืมไปว่าเขาโดนพักงานอยู่ ตอนนี้ถึงหน้าพี่ต้นไม้จะดีขึ้นอีกระดับ แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะกลับไปเป็นไอดอลหน้าใสอย่างที่ทุกคนหวังอยู่ดีแหละมั้ง
“พี่ตรวจให้ทุกคนเลย ใช่มั้ยคะ”
“เปล่า นี่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับ ‘เจ้าสาว’ ของฉัน”
อย่าตกใจไปค่ะ พี่ต้นไม้ไม่ได้หมายถึงว่าฉันเป็นเจ้าสาวของเขาหรืออะไรหรอกนะคะ แต่เขาหมายถึงชื่อเรียกกลุ่มแฟนคลับวงกรูมก็เท่านั้น
“กรี๊ด! งั้นฉันขอเปลี่ยนเมนด่วน” เมนที่ฉันหมายถึงคือสมาชิกที่ฉันชอบมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าคนๆ นั้นคือพี่ต้นไม้
“ฉันไม่ยอมให้เธอเปลี่ยนหรอก” พี่ต้นไม้รีบหันมาหาฉันทันที ทำไมเขาต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้นด้วยนะ ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆหรอก
“ฉันคงเปลี่ยนไม่ได้หรอกค่ะ…” ฉันรีบพูดตอบกลับเขาไปอย่างแผ่วเบา
“…”
“รักมาตลอดสี่ปีแล้วนี่นา…” พูดจบ ฉันก็แกล้งเสมองไปบนฟ้า เพื่อกลบความเขินของตัวเอง
“ให้มันได้ตลอดไปก็แล้วกัน”
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าพี่ต้นไม้เป็นอย่างไร เพราะตัวเองไม่กล้าที่จะหันหน้าไปมองเขาด้วยซ้ำไป พี่ต้นไม้จะรู้มั้ยนะ ว่าไอ้ประโยคที่เขาพูดเมื่อกี้ คนพูดอาจจะพูดด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร แค่พูดในฐานะไอดอลที่ยังอยากให้แฟนคลับรัก แต่สำหรับคนฟังอย่างฉัน แอบอมยิ้มดีใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะ
เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ฉันจะจดจำไปตลอดกาลเลย ^_^
ณ ชั้นบนสุดของตึก PK Entertainment คังนัม โซล
16 นาฬิกา 35 นาที
“ขออนุญาตครับ ท่านประธานครับ” เลขายุนโค้งให้กับปาร์ค เค ก่อนที่จะเดินไปวางเอกสารที่เขาเพิ่งได้รับรายงานมาไว้ที่โต๊ะของคนที่มีตำแหน่งสูงสุดของบริษัทนี้
ประธานบริษัทผู้เคร่งขรึมอย่างปาร์ค เค เปิดเอกสารออกมาอ่านอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่แม้แต่ลูกน้องคนสนิทอย่างเลขายุนก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวอันชาญฉลาดนั้นกันแน่
“พวกช่างแต่งหน้าใต้ดิน…อีกแล้วงั้นเหรอ” ปาร์ค เค พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ครับท่าน นอกจากนี้เธอยังเป็น…”
“น้องสาวของแพ็ค โบมี” ไม่ต้องรอให้เลขายุนพูดจบ เขาก็สามารถต่อประโยคนั่นได้ทันที
“ครับ”
“ฮะฮะ ฮะฮะ!” ปาร์ค เค หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ในใจกับครุกกรุ่นที่แพ็ค โบมี คนที่เขาคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว กลับมีผู้สืบทอดโผล่มาสร้างปัญหาให้กับ PK Entertainment ของเขาอีกจนได้
ในใจของท่านประธานได้แต่คิดว่าทำไมต้องเป็นคู่พี่น้องคู่นี้อีกแล้ว ครานั้นพี่สาวก็ได้สร้างความพินาศทำให้วงกรูมเกือบจะไม่ได้เดบิ้วท์เหมือนทุกวันนี้ มาครานี้น้องสาวยังจะมายุ่งกับคนที่ถือว่าเป็นตัวทำเงินหลักของบริษัทอย่างต้นไม้อีกงั้นหรือ
“เกลียดจริงๆ”
“แถมต้นไม้ดูท่าทางจะสนิทสนมกับเด็กคนนี้พอสมควรเลยนะครับท่าน” เลขาอย่างเขามีหน้าที่รายงานทุกอย่างที่เขาสืบมาได้ให้เจ้านายได้รู้ ก่อนที่คนตรงหน้าจะโกรธจนไม่ได้ฟังในส่วนสำคัญไป
“งั้นเหรอ”
“ครับ อีกอย่าง ที่เว็บ Naver ชื่อของต้นไม้ยังถูกค้นขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้วยนะครับ”
“เรื่องอะไร”
“เหมือนมีคนสงสัยแล้วครับว่า ที่เราไม่ยอมให้วงกรูมกลับมาคัมแบ็คไม่ใช่เพราะเตรียมอัลบั้ม แต่เป็นเพราะต้นไม้”
“ไหน ส่งมาให้ดูสิ”
เลขาคนเก่งรีบส่งแท็ปเล็ทที่เปิดหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวไว้อยู่แล้วให้กับเจ้านายของจนในทันที
ในหน้าเว็บบอร์ดชื่อดังที่เขากำลังหมายถึง ตอนนี้มีแต่ชาวเน็ตที่กำลังพูดถึงประเด็นของต้นไม้กันอย่างมันส์ปากในกระทู้ที่ฮอต โดยคนตั้งที่มีนามแฝงว่า ‘วงใน’
ไม่รอช้า ปาร์ค เค รีบกดเข้าไปอ่านในเนื้อความทันที
จะบอกอะไรให้ ที่วงกรูมคัมแบ็คไม่ได้ ไม่ใช่เพราะต้องการทำอัลบ้ม อัลบั้มอะไรหร๊อก แต่เป็นคนไอ้คนไทยหนึ่งเดียวในวงนั้นแหละ ที่ดันโง่ไปทำศัลยกรรมจนหน้าเละไม่เป็นท่า แก้ไขไม่ทันการคัมแบ็ค จนต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดนั่นไงล่ะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อยังไงก็ตามใจ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าข่าวของฉันมาจากวงในแน่นอน
ฮึ
ปาร์ค เค ได้แต่อ่านขอความและก็ยิ้มเยาะให้คนที่ทำเป็น ‘เหมือน’ รู้ไปซะทุกอย่าง แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่รู้อะไรเลยมากกว่า นอกจากสร้างกระแสไปวันๆ แต่ก็ดีที่มันไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้น PK Entertainment ที่เขาสร้างมากลับมือคงต้องพังอย่างย่อยยับ
จริงอยู่ที่ต้นไม้หน้าไม่ปกติ แต่เขาย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่สาเหตุมาจากศัลยกรรมแน่นอน มันเป็นเรื่องที่เขาเองก็ตามสืบอยู่ว่าในคืนนั้น เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้กันแน่ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ปาร์ค เค แยกต้นไม้ออกมาจากทุกคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยของเขา แต่ไม่นึกเลยว่า คนที่เขาไว้ใจให้เป็นถึงผู้จัดการวงอันดับหนึ่งของพีเค ดันแนะนำให้ต้นไม้จ้างพวกช่างแต่งหน้าใต้ดินได้ แถมยังคอยช่วยเหลือเปิดทางให้ยัยเด็กนั่นเข้ามาอย่างง่ายดายอีกต่างหาก
แต่ก็อย่างว่า ชาวเน็ตมักจะเชื่อแหล่งข่าวจากคนที่บอกว่าตัวเองเป็นวงใน และยิ่งมาเล่นในเว็บบอร์ดใหญ่อย่าง Naver แบบนี้ จึงทำให้กำลังในการกระจายข่าวยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี จนทำให้ประธานอย่างเขามานั่งกลุ้มที่ต้องพลิกเกมนี้ให้จงได้
“เลขายุน”
“ครับ”
“ฉันควรจะทำยังไงดีที่ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
มองเจ้านายแค่พริบเดียวก็รู้แล้วว่าท่านประธานสูงสุดแห่ง PK Entertainment จริงๆ แล้ว เขามีคำตอบอยู่ในใจ เพียงแต่ว่าแค่ต้องการฟังความคิดเห็นพอเป็นพิธีของเลขาคนสนิทอย่างเขาก็เท่านั้น
“เอาอย่างงี้มั้ยครับ ปิดข่าวอย่างที่เราเคยปิด”
“เดี๋ยว…” ท่านประธานยกมือขึ้นให้เขาหยุดพูดทันที
เลขายุนรู้ตัวแล้วว่าคำตอบของเขาคงจะไม่โดนใจคนหนุ่มอย่างปาร์ค เค อย่างแน่นอน
“ฉันว่าไม่ดีหรอก”
“แล้วเราควรทำยังไงดีครับ” เลขายุนถามกลับด้วยความอยากรู้ความคิดของคนตรงหน้า
“ใช้เด็กนั้นให้เป็นประโยชน์สิ หลังจากนั้นก็กำจัดเธอซะ”
แค่เจ้านายของตนพูดออกมาแค่นี้ ลูกน้องที่ทำงานเคียงคู่เขามาตลอดอย่างเขา ก็เข้าใจเจตนารมณ์ของคนที่มีตำแหน่งอันสูงส่งอย่างหมดเปลือก
“เข้าใจแล้วครับ”
ไร่สตรอว์เบอร์รี เมืองนนซาน
ฉันปลุกตัวเองขึ้นมาตอนตีห้า ด้วยความคิดที่ว่า อยากจะไปสูดอากาศธรรมชาติๆ ข้างนอกในเวลาเช้าๆ เหมือนตอนเด็กๆ ที่ฉันกับออนนี่มักจะทำกันทุกครั้งที่มาไร่แห่งนี้
พอมองออกไปนอกหน้าต่างห้องของฉัน ก็เห็นผู้ชายคุ้นตาคนหนึ่งกำลังวิ่งออกกำลังกายและฟังเพลงไปด้วยในเวลาเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกของฉันเลยที่เห็นพี่ต้นไม้ใส่ชุดออกกำลังกายที่แลดูสบายๆ แบบนี้ แปลกตาแต่ก็ยังดูดีเช่นกัน
เห็นแบบนี้แล้ว ฉันจึงตัดสินใจออกไปปิ้งขนมปังที่ห้องครัว เอาไว้เป็นอาหารเช้าให้กับพี่ต้นไม้กับตัวฉันเอง โดยไส้ที่ฉันเลือกทาก็จะมี แยมสตรอว์เบอร์รี่ของขึ้นชื่อของที่นี่กับทูน่ากระป๋อง
ฉันยกถาดออกไปวางตรงโต๊ะที่คาดว่าพอพี่ต้นไม้ออกกำลังกายเสร็จ เขาก็น่าจะมาตรงนี้ เพราะฉันเห็นพวกกระเป๋าที่มีพวกเสื้อผ้าและผ้าขุนหนูของพี่ต้นไม้วางเอาไว้อยู่
ได้มาเห็นบรรยากาศที่คุ้นเคยแบบนี้ ก็พลันทำให้ฉันนึกถึงออนนี่ขึ้นมาทันที รูปคู่ของเรารูปแรกถูกถ่ายขึ้นที่ตรงนี้ล่ะ ในวันนั้น จำได้ว่า ออนนี่กับฉันชวนกันมาเก็บสตรอว์เบอร์รีที่บริเวณนี้ บทสนทนาในวันนั้นเป็นอะไรที่ฉันยังจำได้ถึงวันนี้ และยังจำไม่ลืมเลือนด้วย…
‘โบรา…’ อยู่ดีๆ โบมีออนนี่ก็หยุดเดิน ทำให้ฉันที่เดินตามหลังมาต้องหยุดตามเธอไปด้วย
‘หืม?’
‘ขอระบายอะไรให้ฟังหน่อยได้มั้ย’ เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสนจะแผ่วเบา
‘ได้สิคะ ว่ามาเลย’ ฉันรีบวางตะกร้าใส่สตรอว์เบอร์รีทันทีที่เห็นสีหน้าของคนตรงหน้าดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก
‘สัญญาก่อนว่าเธอต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ’
‘สัญญาค่ะ’ ฉันตอบรับทันที
‘จริงๆ ตอนนี้ออนนี่มีแฟนแล้วล่ะ…’
‘หา? เขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จัก ไหนขอดูรูปหน่อยสิ หรือว่า…’ จู่ๆ ฉันก็นึกถึงรูปคู่ใบนึงของออนนี่กับผู้ชายหน้าตาดีที่ฉันไม่รู้จัก ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักห้องนอนของออนนี่อย่างมิดชิด แต่เพราะวันนั้นออนนี่ดันใช้ให้ฉันหาของเลยบังเอิญเปิดเจอเข้าพอดี ‘ต้องใช่แน่ๆ เลย…’
‘ใช่อะไร’
‘ผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย รูปนั้นที่อยู่ในลิ้นชักของออนนี่’
โบมีออนนี่เลือกที่จะไม่ตอบอะไรฉันทั้งนั้น นั่นก็แปลคำตอบได้อย่างเดียวแล้วว่า ใช่
‘ว่าแล้วเชียว’
‘ออนนี่ขอโทษ สถานะของเรามันไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้ได้’
‘แม้แต่ฉันงั้นเหรอ…’ ฉันถามกลับไปด้วยความรู้สึกแอบน้อยใจเล็กน้อย แต่พอมาคิดดีๆ แล้ว ออนนี่คงต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกกับใครได้ ‘แล้วยังไงต่อคะ’
‘แต่ออนนี่คิดว่า…ออนนี่จะไปบอกเลิกเขาแล้วล่ะ’
‘ทำไมล่ะคะ’ ฉันรีบโพล่งถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
‘เขากำลังจะได้เดบิ้วท์…’
‘เดบิ้วท์? เดบิ้วท์แล้วทำไมต้องเลิกด้วย ฉันไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย’ จริงๆ นะ ยิ่งออนนี่อธิบายมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งไม่เข้าใจมากเท่านั้น
‘ไอดอลไม่สมควรมีแฟน เธอน่าจะพอรู้กฎข้อนี้มาบ้างไม่ใช่เหรอ’
‘ก็คบกันแอบๆ สิ๊ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ แบบออนนี่หรอก’ ฉันตอบออกไปอย่างหนักแน่น เพราะฉันเคยมโนอยู่เหมือนกันว่าถ้าตัวเองมีแฟนเป็นไอดอลนะ จะไม่มีวันปล่อยมือเขาไปเด็ดขาดเลย
‘ถ้าออนนี่เข้มแข็งแบบเธอได้ก็คงจะดีสินะ’
‘มันไม่ใช่เรื่องของความเข้มแข็งหรอกนะคะ ที่ฉันแนะนำไปแบบนั้นเพราะฉันรู้ว่าออนนี่ยังรักเขามากอยู่ต่างหาก’
‘เพราะรักมาก พี่ถึงต้องยอมปล่อย’
‘รักมาก ก็ต้องจับมือกันแน่นๆ สิคะ’
‘บางทีก็ต้องปล่อยเพื่อให้เขาได้เดินตามความฝัน’
‘ความฝัน ถ้าไม่มีความรัก ก็เดินต่อไม่ได้นะคะ’ จะหาว่าฉันเป็นหญิงโลกสวยก็ได้ แต่ฉันไม่เชื่อว่า ความฝันกับความรักจะเดินไปด้วยกันไม่ได้
‘ออนนี่จะลองไปคิดดูก็แล้วกัน’
‘ตัดบทชัดๆ’
พอเห็นออนนี่ตัดบทไปแบบนั้น ก็เลยหยิบตะกร้าใบเดิมขึ้นมา เพื่อหวังจะเดินไปเก็บสตรอว์เบอร์รีต่อ แต่ทว่าออนนี่กลับเรียกฉันไว้ก่อน
‘นี่โบรา’
‘ว่าไงคะ’
‘มารูปกันหน่อยมั้ย เรายังไม่เคยมีรูปคู่กันเลยนี่นา’ ออนนี่พูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
‘ไม่เอาหรอก ฉันไม่ชอบถ่ายรูป’
‘ถ่ายด้วยกันเถอะ นะๆ ใบเดียวก็ได้ ออนนี่อยากเก็บไว้’
‘ก็ได้’ ฉันพูดออกไปอย่างตัดรำคาญ และไปยืนข้างๆ เธอ ยอมถ่ายรูปด้วยแต่โดยดี
‘ยิ้มนะ’ ออนนี่สั่งให้ฉันยิ้ม แต่ฉันก็ได้แต่ยิ้มอย่างขอไปทีก็เท่านั้น ‘1 2 3 กิมจิ’
แชะ
รู้มั้ยคะว่าทุกวันนี้ ฉันยังอยากจะเจอแฟนหนุ่มคนนั้นของออนนี่อยู่เลย งานศพของโบมีออนนี่เขาก็ไม่มาปรากฏตัวเลยสักครั้ง มันจึงทำให้ฉันเริ่มติดตามวงไอดอลเพราะต้องการตามหาเขาให้เจอ แต่…ฉันยังไม่เห็นเขาผ่านหน้าจอทีวีแม้แต่เงา
และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ฉันยอมก้าวเข้าสู่วงการช่างแต่งหน้าใต้ดินอีกด้วย
อีกอย่างที่ฉันจำวันนั้นได้ดี ก็เพราะในชีวิตฉันไม่เคยอยากย้อนเวลาไปวันไหน นอกจากวันนั้นเลย ถ้ารู้แบบนี้ ฉันคงยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ ใครจะไปเชื่อล่ะคะว่า รูปที่ออนนี่อยากเก็บเอาไว้ มันดันกลายมาเป็นรูปที่ฉันหวงแหนแทน
แต่ก็นั่นแหละ…มันได้หายไปแล้ว
“ทำไมถึงมีเด็กบ๊องขี้แยมานั่งตรงนี้ได้ล่ะ” ฉันรีบเช็ดน้ำตาและเงยหน้ามองคนที่เข้ามาใหม่ทันที
“เปล่าร้องสักหน่อย พี่ต้นไม้ตาฝาดแล้ว” ใช่ นี่คือคำโกหกตัวโตๆ เลยล่ะ
“อ่าฮะ โอเค ไม่ร้องก็ได้” พี่ต้นไม้หยิบผ้าขุนหนูของเขาออกจากกระเป๋าออกกำลังกาย เขาเหล่มองฉันเล็กน้อยก่อนที่จะก้มไปหยิบของอะไรบางอย่างในกระเป๋า “เอ้านี่” พี่ต้นไม้ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้กับฉัน
“บอกว่าไม่ได้ร้องไงคะ”
“ให้เช็ดน้ำมูก” พอเขาพูดออกมาแบบนั้น ฉันรีบรับทิชชู่มาจากมือของพี่ต้นไม้ทันและรีบซับน้ำมูกออกจากปลายจมูก
พี่ต้นไม้นั่งลงข้างๆ ฉัน โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยปากถามหรือพูดอะไร แต่ทำไมฉันถึงสัมผัสได้ว่า เขากำลังปลอบฉันอยู่ในแบบของเขา
พี่ต้นไม้แสดงให้ฉันรู้ว่า ถ้าฉันพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ เขานี่แหละที่จะคอยอยู่ข้างๆ รับฟังในสิ่งที่ฉันอยากระบาย หรือถ้าไม่อยากเล่า เขาก็ยินดีที่จะนั่งอยู่ข้างๆ ฉันอยู่ดี
“ขอบคุณมากนะคะ”
“สบายใจขึ้นรึยัง” ถึงแม้น้ำเสียงที่ถามออกมาจะแสนราบเรียบ แต่ฉันรู้ว่ามีความห่วงใยอยู่ในนั้น
ฉันได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบให้กับเขา
“นี่อะไรเนี่ย” พี่ต้นไม้ถามขึ้น โดยที่มือของเข้าชี้ไปที่จานอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า
“แซนด์วิซค่ะ มีใส่ทูน่ากับแยม”
“อันไหนเป็นแยม”
“อันนี้ค่ะ” ฉันชี้ไปที่ฝั่งขวาของจาน
“งั้นฉันขอกินแยม ไส้ทูน่า ฉันกินไม่ได้”
“อ๋อ จริงด้วย” ทำไมฉันถึงได้โง่แบบนี้นะ ครั้งที่แล้วเขาก็ถามฉันมาทีนึงแล้วว่าใส่ปลาลงไปในข้าวต้มรึเปล่า มาครั้งนี้ก็ดันทำไส้ทูน่าให้เขาอีก แสดงว่าพี่ต้นไม้ต้องไม่ชอบกินปลา แย่จริงๆ เลยฉัน “งั้นฉันกินไส้ทูน่าเองก็ได้ค่ะ” ฉันรีบเสนอตัวขอกินไส้ทูน่าแทนเขาทันที
“ตามนั้น” พี่ต้นไม้หยิบแก้วนมที่วางอยู่บนถาดขึ้นมาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะหยิบไส้แยมขึ้นมากินด้วยท่าทางที่เรียบง่าย
“มาอยู่นี่เอง ตามหาตั้งนาน”
ทั้งฉันและพี่ต้นไม้หันหน้าไปตามเสียงที่ฟังดูไม่คุ้นหูเลยสักนิด และพบกับผู้ชายวัยกลางที่ดูแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าท่าทางของเขา ดูออกว่าเป็นคนเคร่งขรึม กำลังยืนเกาะอกมองพวกเราด้วยสายตาเรียบเฉย
“คุณมาทำอะไรที่นี้” พี่ต้นไม้ถามคนตรงหน้าขึ้น ดูท่าเขาจะเป็นคนรู้จักของพี่ต้นไม้ล่ะ
“ฉันได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของวงกรูมชั่วคราว”
“เป็นไปไม่ได้ จุนฮยอง*…”
“เขาถูกเรียกตัวกลับไปนานแล้ว และฉันไม่มีเวลามาตอบเธออะไรนายมากมายหรอกนะ ไปขึ้นรถ” เขาเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าของพี่ต้นไม้มาสะพายไว้กับตัว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง
“ไปไหน”
“กลับโซล” นี่ฉันยังตั้งตัวไม่ติดเลย อะไรกัน พี่ต้นไม้จะต้องกลับโซลแล้วงั้นเหรอ แล้วจะกลับไปทำอะไรกันล่ะ “ส่วนเธอ ‘ใบหญ้า’ ใช่มั้ย ฉันมีงานใหญ่ให้เธอทำ”
O_O
งานใหญ่อะไรฉันไม่สนแล้ว! ตอนนี้รู้เพียงแต่ว่าเขารู้ว่าฉันคือใคร!
ฉันมองผู้ชายคนนั้นกลับด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก ผู้ชายคนนี้เรียกโค้ดเนมฉันออกมาอย่างชัดแจ๋ว นี่ก็หมายความว่า ผู้ชายคนนี้รู้จักตัวตนของฉันด้วยอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเขาจะสืบเรื่องฉันมากันแน่ แล้วถ้าเขารู้เรื่องมากกว่าโค้ดเนม ฉันควรจะเอาตัวรอดยังไงดี
น่ากลัวชะมัด
ผู้ชายคนนี้คือใครกัน
“คนนี้ไม่ใช่ใบหญ้า” พี่ต้นไม้ตอบเขาไป
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันต้นไม้ จะบอกอะไรให้นะ เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาพูดตอนนี้ได้หรอกนะ” ผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวไม่น้อยที่พูดประโยคดังกล่าวนั่นออกมา ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองปฏิเสธอะไรคนตรงหน้าไม่ได้เลย
“อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนี้”
“ฮึ ต้นไม้ นายรู้ซะบ้างว่าตอนนี้มันเกิดเหตุการณ์อะไรข้างนอกบ้าง” ผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นผู้จัดการชั่วคราวของพี่ต้นไม้โยนกระดาษมากมายให้พี่ต้นไม้อ่าน “นายคงรู้แล้วนะ ว่านายควรทำตัวยังไง ถ้าไม่อยากให้เราทำอะไรไปมากกว่านี้”
“…” พี่ต้นไม้หันมามองฉันด้วยสายตาที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนคนยอมจำนนกับอะไรสักอย่าง
“ส่วนของที่อยู่ในห้อง ฉันจัดการให้หมดแล้ว รวมถึงของเธอด้วย” เขาพูดกับพี่ต้นไม้ ก่อนจะหันมาพูดกับฉัน
“เดี๋ยว ฉันไปไม่ได้ ฮาราปอจิ…”
“ฉันบอกฮาราปอจิของเธอเรียบร้อยแล้วว่าเธอต้องรีบกลับไปเยี่ยมเพื่อนที่โซลด่วน”
ให้ตายเถอะ เขาวางแผนมารัดกุมหวังจะมัดมือชกกันชัดๆ อีกอย่างดูท่าฉันคงจำต้องตามน้ำเขาไปก่อน ในเมื่อเหมือนผู้ชายคนนี้จะสืบประวัติฉันมาเป็นอย่างดีอีกด้วย ถ้าเกิดเขาไม่พอใจขึ้นมา บางทีอาจจะแย่ได้
ทั้งฉันและพี่ต้นไม้เหมือนจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เลย เมื่อพอฉันเริ่มได้มองรอบข้างดีๆ แล้ว ก็ค้นพบว่าพวกเราถูกห้อมล้อมไปด้วยทีมงานอีกมากมายที่ดูยังไงเราก็สู้ไม่ได้อยู่ดี
สิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ตามผู้ชายตรงหน้าไปขึ้นรถตู้ที่มีฟิล์มมืดทึบอย่างที่ไอดอลคนดังหลายๆ คนชอบใช้ ตรงหน้าไร่
พอประตูรถเปิดออกมา ฉันถึงได้สังเกตเห็นชุดเครื่องสำอางขนาดใหญ่ที่ถูกวางเอาไว้ตรงในสุดของรถคันนี้
น่าแปลกอีกแล้ว…
“นั่นคือที่ของเธอ ขึ้นรถสิ” ฉันได้แต่มองหน้าเขาและเดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ในสุดตามที่เขาบอก
พี่ต้นไม้เป็นคนถัดไปที่ต้องขึ้นมานั่งข้างฉัน และปิดท้ายที่ผู้ชายมาดโหดคนนั้น เขาปิดประตูรถและให้สัญญาณคนขับให้ออกรถได้ ก่อนจะกดรีโมตหน้าต่างปิดกั้นระกว่างคนขับกับผู้โดยสาร
“เอาล่ะ ฟังฉันให้ดี เรากำลังจะแถลงข่าวกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้” เขาเว้นจังหวะหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตามาทางฉัน “เธอมีหน้าที่แต่งหน้าเขาให้เนียนที่สุด อย่าให้ใครจับได้ว่าหน้าของเขาไม่ปกติ เข้าใจมั้ย”
“นี่มันอะไร” พี่ต้นไม้ถามขึ้น
“เอ้านี่ สคริปท์” เขาโยนแฟ้มสีดำที่หยิบออกมาจากกระเป๋าให้พี่ต้นไม้
พี่ต้นไม้รับมันมาและเปิดอ่านมันทันที จากที่ฉันสังเกตตั้งแต่ที่พี่ต้นไม้ไล่อ่านสคริปท์ใบหน้าของพี่ต้นไม้ก็ดูเครียดเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากัน สีหน้าดูเคร่งเครียดอย่างที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อน
“บ้าไปแล้วรึเปล่า ให้พูดแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราหลอกลวงน่ะสิ” พี่ต้นไม้ทิ้งสคริปท์ลงพื้นทันที
“เราหลอกลวงมาตั้งแต่แรกแล้ว และนี่ก็เป็นทางเดียวที่จะให้นายหลุดจากไอ้ข่าวลือบ้าๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้”
“…”
“นายไม่รู้เลยรึไง ตอนนี้มีคนแอนตี้นายเต็มไปหมด มีหลายคนหาว่านายติดศัลยกรรม ท่านประธานเล็งเห็นแล้วว่าวิธีนี้แหละที่ดีสุดที่เราจะสยบข่าวพวกนี้ได้”
“ถ้าเราเงียบ เดี๋ยวข่าวมันก็เลิกลือกันเอง”
“เราเงียบมานานแล้วต้นไม้ ถึงเวลาแล้วที่นายควรทวงบัลลังก์คืน”
ฉันนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว ฉันก็แอบเห็นด้วยกับผู้ชายที่ฉันไม่รู้จักชื่อคนนี้ หลายวันมานี้มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้กล่าวถึง เพราะกลัวคนข้างๆ จะเครียดเอาได้ แต่จริงๆแล้วตามเว็บบอร์ดต่างๆ ก็เริ่มลือเรื่องพี่ต้นไม้กันให้แซ่ด นอกจากนนี้ยังมีไบร์ดบางคนเริ่มสงสัยและแปรพักพวกอักต่างหาก ฉันเองต้องมานั่งกดรีพอร์ตให้พวกกระทู้ที่สร้างความร้าวฉานพวกนี้ถูกลบไปไม่รู้จะกี่กระทู้ต่อกี่กระทู้แล้ว
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทางค่ายคิดจะทำอะไร ฉันรู้แต่ว่า ฉันอยากช่วยให้ข่าวลือเสียๆ หายๆ นั่นหมดไป
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะ แต่งหน้าให้ต้นไม้สิ” เขาหันมาพูดกับฉัน
“ทำไมไม่ใช้คนของเรา อย่าเอาเด็กคนนี้เข้ามาเกี่ยว”
“คนของเราสามารถทำหน้านายให้เปลี่ยนไปแบบนี้ได้รึเปล่าล่ะ” ผู้ชายคนนั้นโชว์รูปพี่ต้นไม้ที่ฉันเคยแต่งหน้าให้เขาดู “ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ ไม่มีใครสามารถแต่งหน้านายได้เนียนเท่าเด็กคนนี้อีกแล้ว คิดเหรอว่าทางเราจะไม่ลองทดสอบฝีมือคนภายในก่อนน่ะ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครทำได้เลย อีกอย่างไหนๆ เด็กนี่ก็รู้ว่าหน้านายเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เด็กคนนี้แหละเป็นตัวแปรสำคัญในครั้งนี้”
เข้าใจแล้ว…
ฉันเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งสำหรับพวกเขาในเกมครั้งนี้สินะ แต่ฉันยอมถ้ามันจะทำให้ที่ต้นไม้ชนะได้
“ก็ได้ แต่เด็กคนนี้ต้องปลอดภัย”
“รับประกันได้เลย”
ไม่รอช้า ฉันเริ่มปฏิบัติการแต่งหน้าให้พี่ต้นไม้ทันที การแต่งหน้าในครั้งนี้ ง่ายกว่าครั้งแรกที่เจอเยอะเลย เพราะนอกจากจะแค่กลบรอยแดง รอยผื่นที่เริ่มจะลดน้อยลงของเขาแล้ว ฉันยังไม่ต้องคิดแปลงโฉมให้เขาเป็นคนอื่นอีกต่างหาก แค่แต่งหน้าให้เป็นพี่ต้นไม้สุดหล่อเท่านั้น
หลังจากที่ฉันแต่งหน้าให้เขาเสร็จ บรรยากาศในรถเริ่มเงียบอย่างกับป่าช้าเข้าไปทุกที ไม่มีใครยอมพูดกับใคร ทุกคนนั่งกันอย่างเงียบเชียบ พี่ต้นไม้อ่านสคริปท์ ส่วนผู้ชายที่นั่งประกบเขาก็เหมือนทำรายงานอะไรบางอย่างอยู่ น่าอึดอัดไปหมด
เฮ้อ
“เอาล่ะเราใกล้ถึงตึก PK ล่ะ ใส่แว่นดำนี่ด้วย ฉันได้รับรายงานว่า พวกไบร์ดมารอนายหน้าตึกกันเต็มไปหมด” พี่ต้นไม้รับแว่นดำที่คนข้างๆ ยื่นให้ ก่อนที่จะสวมมันและไม่พูดอะไรอย่างเคย
“ส่วนเธอ เอานี่ปิดหน้าเธอไว้ และเดินตามพวกเราอย่าให้เด่นล่ะ” ฉันพยักหน้าเป็นอันรับทราบและเอาผ้าปิดปากที่เขาให้มาสวมทันที
“ขอลงตรงนี้เลยไม่ได้เหรอคะ ในเมื่อหน้าที่ฉันหมดแล้ว”
“อะไรกัน ฉันยังไม่ได้ให้ค่าจ้างเธอเลยนะ”
“ไว้ค่อยโอนมาก็ได้ค่ะ”
“ทางเรามีเรื่องจะคุยกับเธอ เพราะฉะนั้นต้องอยู่จนกว่าจะจบงาน”
เรื่องจะคุย?
ไม่รู้สิ ฉันเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลแล้ว
หลังจากที่เขาพูดจบไม่นาน รถตู้ที่เรากำลังนั่งกันอยู่ก็จอดลง ฉันแอบแง้มหน้าต่างเปิดมาดู ก็พบว่าเรามาอยู่หน้าตึกของบริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง PK Entertainment แล้วล่ะ
“พร้อมนะ”
“อืม”
พอได้ยินคำว่าอืมจากที่ต้นไม้ ผู้ชายคนนั้นก็เปิดประตูรถออกตามหน้าที่ของเขา เมื่อประตูรถถูกเปิดออก เสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาทันที
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด”
ฉันลอบสังเกตพี่ต้นไม้ที่เดินอยู่ตรงหน้าฉัน เขาทำได้แต่ยิ้มให้กับแฟนคลับที่มารับเขาและโบกมือให้อย่างมืออาชีพ
ความรู้สึกที่ว่า ฉันเริ่มห่างกับพี่ต้นไม้ก็เข้ามาในหัวทันทีที่ฉันเห็นภาพนั้น ถ้ายังเป็นแฟนคลับเหมือนเมื่อก่อน ฉันคงได้รอยยิ้มของพี่ต้นไม้และได้รับการโบกมือจากเขาเหมือนแฟนคลับที่มารอในวันนี้ แต่พอมาเป็นแบบนี้สิ่งเดียวที่ฉันได้เห็นที่แผ่นหลังของพี่ต้นไม้
“เฮ้ย แก ต้นไม้อุปป้า*ยังหล่อเหมือนเดิมเลยอ่ะ กรี๊ดดดด” แฟนคลับผู้หญิงที่พี่ต้นไม้เพิ่งโบกมือให้ไปพูดขึ้นมาทันที
“จริงแก ไม่เห็นหน้าเละอย่างที่ข่าวว่าเลย ><“
“ข่าวมั่วชัวร์ โอ๊ย คนอะไร หล่อเป็นบ้า กรี๊ดดดดด อุปป้า!”
“แกๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ใครอ่ะ”
ฉันรีบก้มหน้าทันทีที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจ
“ทีมงานมั้ง ช่างเถอะ ขอกรี๊ด ต้นไม้อุปป้าก่อน อุปป้า ทางนี้ค่ะ ทางนี้ กรี๊ดดดด”
ฉันอยากจะไปกรี๊ดกับแฟนคลับพวกนั้นใจจะขาด แต่ฉันก็ทำได้เพียงเดินตามต่อยๆ เข้าไปในตึกอย่างเงียบๆ ตามที่เราตกลงกันไว้บนรถ
พอเข้าตึกมาได้ ฉันสังเกตได้ว่าตรงหน้าห้องๆ หนึ่ง มีนักข่าวยืนเรียงคิวลงทะเบียนอยูที่โต๊ะ ส่วนพวกฉันก็เดินเลาะเข้าไปข้างหลัง ที่เหมือนจะเป็นทางเข้าไว้สำหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น
พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่หน้าห้องโค้งอย่างถูกต้องก่อนจะหันไปเปิดประตูให้ทันทีที่เห็นพวกเรา
บรรยากาศในห้องเหมือนห้องจัดแสดงโชว์ ตรงโซนที่นั่ง เหมือนมีที่สำหรับโซนวีไอพีที่มีโซฟาถูกวางเอาไว้ตรงกลาง ส่วนตรงโซนปกติ ก็จะเก้าอี้ที่โรงหนังที่จะมีการไล่ระดับกันขึ้นไป
“เอาล่ะ ใบหญ้า เธอนั่งรอตรงนี้ก่อนล่ะกัน” ผู้จัดการคนนั้นผายมือให้ฉันนั่งตรงโซฟาที่ถูกจัดวางเอาไว้ตรงกลาง “ส่วนต้นไม้ ตามฉันมา ประธานต้องการพบเธอ”
พี่ต้นไม้มองมาทางฉันเล็กน้อยเหมือนอยากพูดอะไร แต่เราทั้งคู่ถูกจับตามองอยู่ เขาจึงได้แต่เดินตามผู้ชายคนนั้นไปอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนฉันก็มีผู้ชายมาดโหดใส่สูทมากมายยืนอยู่เป็นเพื่อน แต่ดูท่าไม่มีใครสนใจฉันสักคน
ทำไงดีล่ะ ปวดฉี่ชะมัดเลย ตั้งแต่นั่งรถมาก็ยิงตรงมาที่โซล ไม่ได้แวะเข้าห้องน้ำระหว่างทางเลยแม้แต่น้อย ฉันเริ่มหันซ้ายทีหันขวาทีอย่างคนอยู่ไม่สุก
“เอ่อ…ขอโทษนะคะ” ฉันตัดสินใจถามออกไป
“อะไร”
“ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอคะ”
“ข้างนอกเลี้ยวขวา”
“ขอบคุณค่ะ”
“มินยอง ตามเธอออกไป”
“เอ่อ ไม่ต้องดีกว่าค่ะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก” ฉันรีบพูดขึ้นทันที
“ถ้าเธอหนี…”
“ฉันหนีไม่ได้หรอกค่ะ บริษัทรัดกุมออกขนาดนี้”
“ห้ามกลับมาสายล่ะ”
“ค่ะ” ฉันโค้งให้คนที่ตอบฉัน ก่อนที่ผลักประตูออกไป
จะได้ฉี่แล้ว ห้องน้ำจ๋า รอฉันหน่อยน้า
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง โดยที่จุดโฟกัสของสายตาฉันมีอยู่ที่เดียวคือห้องน้ำตรงฝั่งขวานั้น
พลั่ก!
โอ๊ย เจ็บชะมัด เหมือนฉันจะเดินชนเข้ากับใครสักคนเข้าให้แล้ว
“นี่เธอ!” นี่ฉันเดินชนหัวหน้าวงของวงกรูมเลยเหรอเนี่ย ไม่รู้ทำไม พอได้ยินเสียงตวาดของเขา ฉี่ที่เคยจะราดก็หดกลับเข้าไปในทันที
O_O
แต่พอฉันดูดีๆ กลับไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นี่มันวงกรูมเกือบทั้งวงเลยนี่นา จะขาดก็ขาดแค่พี่ต้นไม้คนเดียว ชักอยากรู้แล้วสิว่าวันนี้ทางค่ายจะแถลงข่าวอะไร
“เธอเป็นใครเนี่ย ใครใช้ให้มาป้วนเปี้ยนแถวนี้ รู้รึเปล่าว่าตรงนี้คนนอกเข้าไม่ได้”
“เอ่อ…คือ…”
“แล้วเสื้อฉันที่ยับไป เธอจะรับผิดชอบยังไง หา?!”
“ฮยอง พอเถอะ ดูสิ ตกใจหมดแล้วเนี่ย” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินขึ้นมาห้ามด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น
“ไอ้คิส หุบปากเลย”
“ผมว่าเขาแค่หลงทาง ใช่มั้ย” คิสหันมาถามฉัน และส่งสัญญาณให้ฉันเออออไปตามเขาก่อน
“ใช่ค่ะ”
“เห็นมั้ยล่ะ ฮยองจะถือสาอะไรกับคนหลงทางกันล่ะ”
“เออๆ รีบไปให้พ้นๆ หน้าเลย” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“มา ฉันจะพาเธอไปส่งเอง” คิสขยิบตาให้ ก่อนที่เขาจะลากฉันออกไปจากจุดเกิดเหตุโดยที่ฉันเองก็โต้แย้งอะไรไม่ทัน
ฉันแอบมองคิสที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเนียนๆ ด้วยความกลัวว่า บางที เขาอาจจะจำฉันได้ แต่คนข้างๆ ก็ทำตัวเหมือนปกติ ไม่ได้สงสัยอะไร ฉันจึงถอนหายใจอย่างเบาๆ ด้วยความโล่งอก
“เดี๋ยวฉันพาเธอไปที่ประชาสัมพันธ์ก็แล้วกัน” นี่อย่าบอกนะ ว่าเขาเข้าใจว่าฉันหลงทางจริงๆ
“เอ่อ…คือ”
“ว่าแต่… เธอนี่หน้าคุ้นๆ นะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนป่ะ”
ซวยแล้ว!
หรือว่าคิสจะจำได้ว่าฉันคือคนเดียวกันกับแม่บ้านกำมะลอที่เดินออกมาจากคอนโดนเพื่อนของเขาน่ะ ยิ่งมาดตอนนี้ก็เหมือนตอนนั้นอีกต่างหาก
“ฮะฮะ ไม่เคยนี่คะ” ฉันแกล้งขำกลบเกลื่อนออกไปอย่างที่คิดว่าเนียนที่สุดแล้ว
“ฉันคุ้นเธอมากเลยนะ”
“หน้าฉันโหลน่ะค่ะ”
“ฮะฮะ” อยู่ดีๆ เขาก็ขำออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
โอเค คำตอบของฉันน่าตลกมากเหรอ = =
พอฉันเบนสายตาไป ฉันก็เจอเพื่อนรักของฉันกำลังมองมาทางนี้อยู่ด้วยสีหน้าที่มีความสงสัยอยู่เต็มประดา เชื่อแล้วล่ะว่าโลกมันช่างแคบจริงๆ มาเจออีตาเพื่อนรัก คิม ซอฮุนจนได้ อีตานี่มองมาทางฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมา
มั่นใจเลยว่าต้องจำฉันได้แน่นอน
“อ้าว ซอฮุน!” อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ทักมัน แต่เป็นคิสต่างหากที่เป็นคนทัก
“อ่า อันยองฮาเซโย ซอนเบนิม” เขาหันไปโค้งให้คิสอย่างสุภาพเมื่อเห็นคิสทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง
“เฮ้ย มากพิธีทำไมวะ คนกันเอง”
“ครับ ซอนเบ”
“เออ จริงสิ” เขามองไปดูนาฬิกาที่ข้อมือของเขา “ฉันเจอผู้หญิงคนนี้หลงทางอยู่ ฝากนายดูแลหน่อยก็แล้วกัน”
“ได้ครับ ซอนเบ”
“แล้วไว้เราไปดื่มกันนะ พาเพื่อนที่นายเคยเล่าให้ฉันฟังมาด้วยล่ะ”
ซอฮุนเหล่สายตามาทางฉันทันที นี่นายอย่าบอกนะ ว่าเพื่อนที่นายพูดถึงคือฉันน่ะ
โอ๊ย ให้ตายเถอะ ซอฮุน นายไปพูดเรื่องอะไรของฉันให้คิสฟังบ้างเนี่ย
“ได้เลยครับ ซอนเบ”
“ไปล่ะ ฝากผู้หญิงคนนี้ด้วยนะ”
ซอฮุนโค้งค้างไว้อย่างนั้นจนคิสเดินหายเข้าไปข้างใน
“ซอฮุน นายพูดอะไรไปบ้างเนี่ย” ฉันรีบยิงคำถามใส่ซอฮุนอย่างรวดเร็ว
“ฉันต้องถามเธอมากกว่าว่ามาทำอะไรที่นี่”
“มีธุระนิดหน่อย”
“ธุระอะไรของเธอ - -”
“เอาน่า ไว้จะเล่าให้ฟัง นายช่วยพาฉันไปห้องน้ำและกลับไปห้องนั้นหน่อยได้มั้ย” ฉันชี้ไปที่ห้องเดิมที่ฉันออกมา ต้องให้ซอฮุนช่วย เพราะจะเข้าห้องนั้นได้ ต้องเป็นคนในบริษัทเท่านั้นน่ะสิ ตอนนี้อารมณ์ฉี่ของฉันก็หดหายไปหมดแล้วด้วย
“เธอจะเข้าไปทำไรห้องนั้น” ทำไมซอฮุนต้องดูตกใจอะไรขนาดนั้นด้วยล่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องนั้นงั้นเหรอ
“ไม่รู้ เขาให้ฉันรอที่ห้องนั้นนี่นา”
“แปลก แปลกมาก”
“อะไรแปลก”
“ที่เธอได้เข้าไปในงานแถลงข่าวของวงกรูมน่ะสิ”
ซอฮุนนายคงไม่รู้น่ะสิว่า ฉันนี่แหละผู้อยู่เบื้องหลังในการแต่งหน้าพี่ต้นไม้
“เอาเถอะ พาฉันกลับไปหน่อย”
“เออๆๆ ก็ได้ๆ” ถึงซอฮุนจะบ่น แต่เขาก็ทำหน้าที่เพื่อนแสนดีพาฉันมากที่ห้องน้ำ รอฉันทำธุระเสร็จ ก็ไปส่งที่ห้องนั้นจนได้
โห ไม่อยากเชื่อเลยว่า พอฉันกลับมาในห้องนี้อีกนี้ ที่ตรงโซนปกติก็ถูกจับจองกันเต็มหมดแล้ว แถมยังมีกล้องอยู่มากมายตั้งอยู่เต็มห้อง
นี่คงต้องเป็นการแถลงข่าวครั้งใหญ่แน่ๆ เลย
“หายไปไหนมา ฉันตามหาเธอให้ทั่ว” ผู้จัดการคนใหม่ลากฉันไปที่โซฟาทันทีที่เขาเห็นฉันเดินกลับเข้ามาในห้อง
“ไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ” ฉันตอบกลับไปอย่างส่งๆ
“นั่งลงเร็วเข้า งานกำลังจะเริ่มแล้ว”
“ค่ะๆ”
แสงไฟในห้องเริ่มถูกหรี่ลงจนมืดในที่สุด บนเวทีมีจอโปรเจ๊กเตอร์ยักษ์ถูกเลื่อนลงมา เรียกความสนใจให้กับคนดูทั้งห้องได้เป็นอย่างดี ยิ่งพอมันขึ้นตัวเลข 4 มา ทุกคนเริ่มมีเสียงฮือฮาทันที
เสียงดนตรีที่กระหึ่มไปทั่วห้อง และหลังจากนั่นบนจอโปรเจ๊กเตอร์ก็เปลี่ยนจากเลข 4 เป็นหน้าเมมเบอร์แต่ละคนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะจบด้วยหน้าที่ยืนรวมกันและขึ้นคำว่า
“WE ARE BACK”
O_O
แถลงข่าวการคัมแบ็ค!
วงกรูมจะคัมแบ็คแล้วงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่พี่ต้นไม้ยังไม่หายดีเลยอ่ะนะ ฉันยอมรับว่ามันเป็นการพลิกเกมที่ดีเกมหนึ่ง แต่ทว่า ถ้าเรื่องของพี่ต้นไม้ดันถูกเปิดเผยออกมาล่ะก็ รับรองได้เลยว่าจำนวนแอนตี้แฟนต้องเพิ่มอย่างล้นหลามแน่นอน จริงอยู่ที่สาเหตุมันอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่ข้อหา หลอกลวง มักจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอในสังคม ยิ่งเป็นคนในวงการบันเทิง ยิ่งแล้วใหญ่
แบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ต้นไม้ของฉันในอนาคตกันนะ…
เป็นห่วงชะมัดเลย
ฉันเริ่มตั้งสมาธิและกลับไปสนใจกลางเวทีอีกรอบและพบว่าเมมเบอร์ทุกคนก็ปรากฏตัวตรงกลางเวทีแล้ว แสงสปอร์ตไลท์ทุกดวงส่องตรงไปที่พวกเขา พี่ต้นไม้ของฉันยืนอยู่ตรงตำแหน่งเซนเตอร์หรือคนที่ 4 พอดิบพอดี
ฉันไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่รู้สึกว่าพี่ต้นไม้กำลังมองลงมาจากเวทีมาที่ตรงที่ฉันกำลังนั่งอยู่
เสียงชัตเตอร์ดังระงมไปทั่วห้องทันทีที่เสียงเพลงดับลง
“เธอเห็นรึยัง” ผู้ชายที่นั่งข้างฉัน พูดขึ้นมาทันที
“คะ?”
“เธอว่า เขาเหมาะที่จะยืนอยู่บนจุดแสงสว่างนั้นรึเปล่า”
ฉันหันไปจ้องพี่ต้นไม้ที่ยืนอยู่ตรงกลางเวที ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พี่ต้นไม้เหมาะที่จะยืนอยู่ตรงนั้นเป็นที่สุด
“เหมาะมาก ใช่มั้ยล่ะ”
“ค่ะ…เหมาะมาก” ฉันไม่ได้รู้สึกว่าคนข้างๆ ตั้งใจจะถามคำถามนี้กับฉัน แต่กำลังพยายามจะบอกนัยยะอะไรที่แอบแฝงอยู่ในข้อความนั้นต่างหาก
นัยยะในข้อความนั้น ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เขาคงต้องการจะบอกฉันว่า พี่ต้นไม้ที่อยู่บนจุดที่ทุกคนต่างให้ความสนใจแตกต่างจากฉันมากที่กำลังนั่งอยู่ในมุมมืดไม่มีใครมองเห็น
“ขอเข้าประเด็นเลยล่ะกัน ฉันไม่อยากเสียเวลา”
ฮึ
รอมาตั้งนาน ในที่สุดเขาก็เข้าประเด็นได้สักทีสินะ ฉันว่าแล้ว ว่าเขาต้องมีจุดประสงค์ให้ฉันอยู่ต่อ เดาไว้ไม่ผิดเลย
“นี่คือเงินของเธอ 20 ล้านวอน” เขาชูเช็คในมือให้ฉันดู
“ให้ฉันทำไมคะ” ฉันรีบหันไปถามเขาทันทีที่ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเงินที่มีจำนวนเยอะเกินจนไม่น่าไว้ใจ
“ค่าแต่งหน้าของเธอในวันนี้ และก็ค่าชดเชย”
“ค่าชดเชยอะไรกันคะ”
“สัญญาที่เธอเคยทำไว้กับต้นไม้ ทางบริษัทขอชดใช้ค่าเสียเวลาของเธอทั้งหมด”
“…”
“และนี่คือสัญญาฉบับใหม่ระหว่าง PK Entertainment กับเธอ แพ็ค โบรา เมื่อเธอเซ็นมันเสร็จ เงินจะถูกโอนเข้าบัญชีเธอทันที”
ฉันรับสัญญานั้นมาด้วยความรู้สึกที่ตัวเองเหมือนโดนดูถูก
โกรธ…
โกรธมาก มันมากซะจน ฉันพูดอะไรไม่ออก
แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ นอกจากข่มใจเอาไว้ ไม่ให้ทำอะไรที่เป็นที่จับตามอง
“กลับไปอยู่ใต้ดินของเธอเถอะ อย่ามาดับแสงสว่างของต้นไม้เลย”
อันยองฮาเซโย = สวัสดี
ฮยอง = พี่ชาย เวลาคนเด็กกว่าเป็นผู้ชายเรียก
อุปป้า = พี่ชาย เวลาคนเด็กกว่าเป็นผู้หญิงเรียก
TALK WITH พิมพ์อักษร
เดินทางมาถึงตอนที่ 5 กันแล้วนะคะ ก่อนอื่นเลย ต้องขอบคุณพี่ลูกชุบมากๆ ที่ให้คำแนะนำดีๆ มา กราบบ พิมพ์จะพยายามปรับให้ได้ดีที่สุดค่ะ ^^
ขอบคุณทุกคะแนนเสียงโหวต คอมเมนต์ทุกคอมเมนต์ นักอ่านทุกคน และเพื่อนๆ ที่ช่วยเราอ่าน แล้วมาช่วยกันปรับ ซาบซึ้งมากจริงๆ รักทุกคนมากนะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ <3

- ไปเจอพี่ต้นไม้ที่ไร่ปู่ อันนี้บังเอิญมากก แต่ก็เอาวะ พี่พยายามมองอันนี้หยวนเอา
- ต้นไม้กับครูน้ำ จุดนี้พี่ชอบนะ แต่ก็ยังตงิดที่ครูน้ำเอาการบ้านของเด็กตัวเองให้ลูกชายอ่านหน้าตาเฉยเลย แปลกๆ อ่ะ แต่ก็หยวนได้
- ปู่นางเอกปล่อยให้ไปกับคนแปลกหน้าแค่บอกว่ากลับไปกับเพื่อนเนี่ยนะ พี่ว่ามันไม่สมเหตุสมผลอ่ะ
- นางเอกแต่งหน้าเก่งมากระดับที่คนในบริษัททำไม่ได้ อันนี้หมายถึงยังไงอ่ะ คือเท่าที่พี่อ่าน นางเอกก็ไม่ใช่ใช้สเปเชี่บลเอฟเฟค ใช้เรซิ่นปูหน้าพระเอกอ่ะ เหมือนแค่แต่งลงรอยพื้่น กลบรอยแดง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่ช่างแต่งหน้าทั่วไปจะทำไม่ได้ โดยเฉพาะช่างแต่งหน้าในวงการบันเทิง อันนี้เป็นจุดอ่อนของเรื่องเลยอ่ะ ตอนแรกพี่พยายามมองข้ามแต่พอมาถึงจุดนี้ัเหมือนเราตั้งจุดให้มันเว่อร์ไปหน่อย คนในบ.คนอื่นทำไม่ได้เลยมันเกินปายยย
- สรุปหน้าพี่ต้นไม้เป็นอะไรอ่ะ ทำไมไม่ไปหาหมอ ทำไมไม่รักษาจะได้จบข่าวไป
- จริงๆ ค่ายก็บอกได้นี่ว่าผิวมีปัญหา รักษาหน้า มันไม่ใช่เหตุผลคอขาดบาดตายจนถึงขั้นต้องปิดขนาดนี้อ่ะ ขนาด YG ยังออกมาว่านัมแทมีปัญหาทางจิตใจไม่พร้อมกลับมาทำงานและบอกว่าปาร์คบอมป่วยแต่เจ้าตัวออกมาบอกว่าไม่ป่วยเลย 555555 มันแบบมีทางไปเยอะมากๆ อ่ะ พี่เลยไม่เข้าใจว่าทำไมค่ายถึงได้พยายามหนีอะไรขนาดนี้
- ไล่นางเอกไปทำไมอ่ะ นางเอกไม่เห็นทำอะไรเลย แค่บังเอิญเจอต้นไม้ที่นั่นนี่เฉยๆ พี่ไม่คิดว่ามันมีผลยังไงกับเรื่อง แค่ฉากกุ๊กกิ๊กเอง นางเอกก็ไม่ได้ออกตัว เสนอตัวเป็นแฟนต้นไม้ ไปลงโซเชี่ยลเนตเวิร์กอะไรจนถึงขั้นไป "ดับแสงสว่าง" เลยอ่ะ
อาทิตย์นี้จัดหนักนะ เพราะมันอาทิตย์หลังๆ แล้ว 5555555 โดนเหมือนกันทุกเรื่อง ไม่ต้องกลัวววว