’ ช่างแต่งหน้าใต้ดิน’ อย่างเธอจะทำอย่างไรเมื่อต้องมาแต่งหน้าให้กับคนที่ทำให้ใจของเธอสั่นไหวทุกครั้งเพียงแค่เห็นหน้า
ตอนที่ 6: ข้อความข้างหลัง
ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งตัดสินใจทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องรึเปล่า แต่จะทำไงได้ ในเมื่อฉันตัดสินใจที่จะเดินออกมาแล้ว
ฉันแบกสัมภาระเข้ามาในบ้านโดยที่พยายามไม่ให้เกิดเสียงดัง เพราะคิดว่าออมม่ากับอัปป้าคงจะนอนกันหมดแล้ว แต่ฉันกลับคิดผิด เพราะพอก้าวเข้ามาในบ้านก็ได้ยินเสียงของรายการวาไรตี้และเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังอยู่กลางบ้าน
“กลับมาแล้วค่ะ”
“เห็นฮาราปอจิโทรมาบอกออมม่าว่าเราออกไปกับคนแปลกหน้า รู้มั้ยว่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงไปหมด โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้อีก” ออมม่าหยุดดูทีวีทันทีและหันมาดุฉัน
“โทรศัพท์หนูแบตหมดน่ะค่ะ อีกอย่างเพื่อนหนูป่วยหนักกะทันหัน เลยต้องรีบกลับมาเยี่ยม” ฉันตัดสินใจโกหกออมม่ากับอัปป้าเพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง โดยเสริมเรื่องเพื่อนป่วยเข้ามาตามที่บริษัทได้แจ้งไว้กับฮาราปอจิ
“อ้าว แล้วไปเยี่ยมเพื่อนมารึยัง” พอได้ยินน้ำเสียงออมม่าถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดและอยากร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น
“ไปมาแล้วค่ะ”
“กลับมาเหนื่อยๆ ก็ไปอาบน้ำให้สดชื่นซะหน่อยสิลูก หน้าตาดูซีดเซียวมาเชียว”
“ค่ะ…” ฉันโค้งให้พวกท่าน ก่อนที่จะเอาของเข้าไปเก็บในห้อง
แทนที่จะอาบน้ำตามที่ออมม่าบอก ฉันกลับรู้สึกอยากเดินเข้าไปหาพวกท่านตรงหน้าทีวีมากกว่า ไม่รู้สิ ภาวะอารมณ์ในตอนนี้ การได้อ้อมกอดอบอุ่นจากคนที่เรามั่นใจว่ารักเราที่สุด มันเป็นอะไรที่ฉันเชื่อว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเผชิญมาบรรเทาลงได้
พอมาถึงหน้าทีวี ฉันก็ทรุดตัวนอนลงบนตักและกอดท่านเอาไว้พร้อมกับหลับตาลงเพื่อให้จิตใจเราสงบ…
ฉันรู้ว่าออมม่าคงจะตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ ฉันเป็นแบบนี้ แต่ท่านก็เลือกที่จะกอดฉันตอบและไม่ได้พูดอะไรออกมา ร่างกายของฉันสงบลง แต่จิตใจและสมองมันกลับไม่สงบเลยแม้แต่น้อย ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง พร้อมกับคำถามที่ฉันเฝ้าแต่ถามตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนในระหว่างทางกลับบ้าน
‘กลับไปอยู่ใต้ดินของเธอเถอะ อย่ามาดับแสงสว่างของต้นไม้เลย’ คนที่นั่งข้างฉันพูดขึ้นในขณะที่สายตาของเขายังจับจ้องไปตรงเวที
‘ต้องขอโทษด้วยค่ะ แต่ฉันขอไม่รับข้อเสนอนี้’ ฉันวางสัญญาที่เคยถือไว้ในมือลงบนโต๊ะ
‘อย่าคิดว่าตัวเองเก่งไปหน่อยเลยที่จะไม่รับข้อเสนอของเรา’
‘ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งค่ะ แต่ที่ฉันไม่รับเพราะดิฉันคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด อีกอย่าง ฉันไม่เคยผิดสัญญากับใคร’ ฉันเบนสายตาขึ้นไปบนเวที เพราะยังจำได้ถึงสัญญาฉบับแรกที่ทำไว้กับพี่ต้นไม้ ถ้าเกิดว่าฉันเซ็นสัญญาฉบับนี้ของ PK Entertainment ก็เท่ากับว่า ทุกอย่างที่เคยคุยไว้กับพี่ต้นไม้ต้องเป็นโมฆะ
‘แล้วแต่เธอนะ’
‘…’
‘เราไม่จำเป็นต้องง้อเธอ เธอก็น่าจะรู้ดีว่า บริษัทเรามีช่างแต่งหน้าที่เก่งกว่าช่างแต่งหน้าใต้ดินอย่างเธออยู่จำนวนมาก ที่ฉันพูดไปบนรถก็เพื่อให้ต้นไม้ยอมกลับมาก็เท่านั้น อย่าได้เข้าใจผิดเชียวล่ะ’ ประโยคนี้คงต้องการตอกย้ำสินะ ว่าไม่มีฉัน พวกเขาก็สามารถจัดการเรื่องของพี่ต้นไม้ได้อย่าง่ายดาย ก็เป็นถึงบริษัทบันเทิงอันดับหนึ่งนิเนอะ แต่ฉันก็ไม่ได้เหลิงว่าตัวเองจนคิดว่าเขาต้องง้ออย่างที่เขาบอกมาหรอกนะ
‘ฉันเข้าใจดีค่ะ แต่ฉันขอไม่รับ เหตุผลก็ตามที่ฉันบอกเอาไว้ ฉันไม่คิดว่าตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้ใคร’
‘หยิ่งยโสเหมือนกันไม่มีผิด’
‘เอาล่ะค่ะ ไม่ว่าคุณจะว่ายังไง ฉันก็ขอไม่รับข้อเสนอนี้ และต้องขอตัวก่อนนะคะ’ พูดจบ ฉันก็ลุกออกจากเก้าอี้เตรียมตัวจะเดินออกไป
‘เธอจะไปรู้เรื่องอะไร’
‘ค่ะ ฉันไม่รู้’ ฉันหันไปตอบเขาก่อนที่จะหันกลับไปทางเดิม
‘แล้วเธอจะเสียใจ เพราะนอกจากเธอจะไม่ได้เจอต้นไม้แล้ว เธอยังจะไม่ได้เงินสักวอนอีกด้วย’ ผู้จัดการคนใหม่คนนี้พูดดักฉันไว้เหมือนจะให้คิดตัดสินใจใหม่
‘รับทราบค่ะ’ ฉันตอบเพียงแค่นั้น และเดินออกจากที่นั่นทันที
“ออมม่า…” ฉันเรียกท่านออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“หืมม”
“หนูตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ย”
“ตัดสินใจเรื่องอะไร”
“…” ฉันเลือกที่จะไม่เล่าให้ออมม่าฟัง
ออมม่าก้มลงมามองฉันด้วยสายตาที่มีความสงสัย แต่ท่านคงรู้ดีว่าลูกสาวคนนี้คาดคั้นให้ตายคงไม่ยอมบอกแน่ๆ
“ออมม่าไม่รู้หรอกนะว่าหนูหมายถึงเรื่องอะไร แต่จะถูกหรือจะไม่ถูก หนูก็ตัดสินใจไปแล้ว ถูกมั้ย”
ฉันได้แต่ซุกหน้าในอ้อมกอดของท่านและพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ถ้าแบบนั้นก็ไม่ควรคิดว่าที่เราตัดสินใจไปมันจะผิดหรือถูก แค่จำไว้ก็พอว่า ถ้ามันผิดก็ให้รู้ว่าผิด และรีบแก้ไขมันซะ เพราะเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปตัดสินใจใหม่ได้” อ่อมม่าไปลูบหัวฉันไปอย่างอ่อนโยน
“แล้วถ้าผลออกมาว่าเราพลาดแต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ล่ะคะ…”
“ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นบทเรียนของเราไป”
ฉันขยับตัวเข้าไปกอดออมม่าให้แน่นขึ้นอีก
“เฮ้อ เป็นอะไรไปเนี่ย ลูกสาวที่สดใสของออมม่า” ออมม่าดันตัวฉันขึ้นเพื่อให้เราเผชิญหน้ากัน แต่ฉันก็เลือกที่หลบสายตาท่าน ก้มลงมองพื้นแทน
“ไม่ว่าหนูจะเจอกับอะไรอยู่ ขอให้จำเอาไว้ว่ายังไงหนูก็จะมีออมม่ากับอัปป้าอยู่ข้างหนูเสมอนะลูกรัก” ออมม่าค่อยๆ ดึงตัวฉันเข้าไปกอดและตบหลังเบาๆ เป็นการปลอบ
“หนูรู้ค่ะ…หนูรู้”
พอเห็นออมม่าดูเป็นห่วงขนาดนี้ ฉันก็สัญญากับตัวเองเลยว่า ขออ่อนแอแค่วันนี้วันเดียว และหลังจากนี้ไปจะกลับมาเป็นโบราคนสดใสคนเดิมที่เข้มแข็งและไม่ทำให้พวกท่าเป็นห่วงอีกแน่นอน
คอยดูสิ
บริษัท PK Entertainment
ปาร์ค เค ได้รับรายงานจากลูกน้องคนสนิทว่าแพ็ค โบรา ไม่ยอมรับข้อเสนอของเขา ซึ่งความจริงแล้ว นี่ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรของเขาเท่าไหร่นัก เพราะจากที่เขารู้มา แพ็ค โบราเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มแข็งอยู่พอสมควร
แต่…เข้มแข็งไปให้ได้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
แน่นอนว่า การที่เขาให้วงกรูมคัมแบ็คในวันนี้ ย่อมผ่านกระบวนความคิดของปาร์ค เค เป็นอย่างดี คนอย่างท่านประธานไม่เคยตัดสินใจอะไรผิดพลาด หรือถ้าจะผิดพลาดก็คงมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นด้วยซ้ำมั้ง ตั้งแต่ครั้งที่เลือกที่จะปิดข่าวเรื่องของต้นไม้แล้ว รับรองได้เลยว่า ถ้าเกิดเขาเชื่อพวกผู้บริหารคนอื่นๆ ว่าให้แถลงข่าวไปตรงๆ เรื่องใบหน้าของต้นไม้ กระแสชาวอินเตอร์เน็ตของเกาหลีคงต้องขุดคุ้ยถึงสาเหตุที่ทำให้หน้าของต้นไม้เป็นแบบนั้นแน่นอน และถ้าเกิดว่าขุดจนเจอสาเหตุที่แท้จริงแล้วล่ะก็ วงกรูมคงถึงคราวต้องอวสาน
เรื่องการคัมแบ็คนี้ก็เช่นกัน นอกจากเขาจะเล็งเห็นแล้วว่า หน้าที่เคยมีปัญหาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุของต้นไม้ ตอนนี้คงต้องบอกว่าทราบสาเหตุแล้ว แถมเริ่มจะรู้แล้วด้วยว่าใครเป็นคนกระทำ ก็เริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต้องขอบคุณหมอผิวหนังประจำบริษัทที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกอย่าง มันสามารถเบี่ยงประเด็นไปได้อย่างง่ายดาย และเรียกความสนใจจากสาธารณชนโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากมาย
“ท่านประธานครับ”
“ว่าไง”
“เราจะทำไงกับ แพ็ค โบราดีครับ”
“คอยดู” ท่านประธานตอบด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นเหมือนอย่างเคย
“ครับ?”
“ปล่อยเด็กนั่นไปก่อน ตอนนี้เราคงต้องจับตามองไปที่อีกคนมากกว่า”
“ใครครับท่าน”
“ก็คนที่ทำให้หน้าของต้นไม้เป็นแบบนั้นไง”
ใช่แล้ว คนที่น่ากลัวในตอนนี้ ไม่ใช่ แพ็ค โบรา แต่เป็นอีกคนที่มีจุดประสงค์ที่ต้องการทำลายวงกรูมให้สิ้นซาก แถมคนๆ นี้ ยังเป็นคนวงในอีกด้วย
ถ้าจะบอกว่าเรื่องที่ผิดพลาดไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นของปาร์ค เค
เรื่องนี้ก็คงต้องรวมอยู่ในความผิดพลาดนั่นด้วยล่ะมั้ง
1 อาทิตย์ผ่านไป
หลังจากวันแถลงข่าวไปหนึ่งอาทิตย์ ทาง PK Entertainment ก็เริ่มพรีเซลล์อัลบั้ม ซึ่งเป็นไปตามคาดที่ยอดสั่งจองของวงกรูมพุ่งทะยานขึ้นอันดับหนึ่งแซงทุกวง ถึงแม้ว่าทางค่ายจะยังไม่ได้ปล่อยเพลงโปรโมทออกมาเลยก็ตาม ซึ่งฉันรู้ดีว่าทำไมทางค่ายยังยื้อที่จะปล่อย หลายคนเดาว่าทางค่ายอยากให้คนตื่นเต้นและพูดถึงกันไม่หยุด แต่ฉันคิดว่าเป็นเพราะถ้าค่ายเปิดเร็วเท่าไหร่ โดยธรรมเนียมแล้ว ต้องขึ้นเวทีคัมแบ็ครายการเพลงอื่นๆ เร็วเท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่าหน้าของพี่ต้นไม้ยังไม่พร้อม แต่ให้ฉันเดาจากครั้งล่าสุดที่เจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้วล่ะก็ อีกไม่นานหรอก วงกรูมจะต้องผงาดบนเวทีของรายการเพลงทุกรายการอย่างไม่ต้องสงสัย
ขนาดทุกวันนี้ไม่ว่าฉันจะเดินไปไหนมาไหน ทุกคนรอบข้างล้วนแต่จะพูดถึงเรื่องการคัมแบ็คของวงกรูมกันไปหมด หรือจะเป็นตอนที่ฉันกำลังเล่นมือถือท่องอินเทอร์เน็ตระหว่างไปเรียนก็ยังเห็นตามหน้าไทม์ไลน์ ไม่ว่าจะเป็นแท็ก #Groom4thalbum หรือ #WelcomebackTonmai ล้วนฮิตติดเทรนด์กันทั้งนั้น
อย่างวันนี้ก่อนเริ่มคลาสเรียนภาษาไทย เพื่อนๆที่เรียนกับฉันก็ไม่เว้น ที่น่าแปลกใจก็คือ ส่วนใหญ่เพื่อนๆ ในคลาสจะไม่ค่อยสนใจวงการไอดอลบ้านตัวเองเท่าไหร่ แต่มาครั้งนี้พอมาเป็นเรื่องการคัมแบ็คของวงกรูม กลับเรียกความสนใจได้ดีเกินคาด ประเด็นเรื่องศัลยกรรมจอมปลอมของพี่ต้นไม้ก็ถูกยกไปในที่สุด ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเสียๆ หายๆ อีกต่อไป
อืมม คงต้องยอมรับว่า PK Entertainment พลิกเกมได้ดีเลยทีเดียว…
“ครูรู้สึกภูมิใจมากนะ ภาษาไทยของทุกคนดีขึ้นเยอะเลยจ้ะ” ครูน้ำพูดขึ้นขณะที่ในมือของเธอถือสมุดการบ้านของนักเรียนเอาไว้อยู่
“ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณครับ”
“วันนี้ครูจะคืนสมุดการบ้านของทุกคนนะจ๊ะ ถ้าใครถูกเรียกชื่อ ให้ออกมารับได้เลยนะ”
“ค่ะ/ครับ”
“คนแรก ปาร์ค แทรา”
ครูน้ำเรียกชื่อเพื่อนๆ ในคลาสไปเรื่อยๆ ถ้าใครได้รับแล้วก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านได้เลย ส่วนของฉัน พอแอบเห็นแล้วล่ะว่า สมุดน้องลีฟถูกวางไว้ข้างล่างสุด ก็เป็นคนสุดท้ายที่จะได้กลับอย่างไม่ต้องสงสัย ระหว่างรอจึงหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเพื่อส่องข่าวคราวของวงกรูมต่อไป ทำไงได้ ตอนนี้ฉันติดต่อพี่ต้นไม้ไม่ได้เลยนี่หนา ทางเดียวที่จะรู้ความเคลื่อนไหวของเขาได้ ก็คือวิธีแบบแฟนคลับปกตินี่แหละนะ
ติ๊ง
เอ๋?
ฉันเห็นข้อความเข้าตรงแถบด้านบนของมือถือ แต่พอหัวของข้อความเท่านั้นแหละ คิ้วของฉันถึงกับต้องขมวดขึ้นมาทันที
[ใบหญ้า]
มีคนจ้างฉันไปแต่งหน้า….
แน่นอนว่าฉันยังไม่รู้ว่าลูกค้าคนนี้เป็นใครเหมือนเดิม มีทางเดียวที่จะรู้ได้คือต้องรับงานก่อนเท่านั้น
ฉันกดเข้าไปดูข้อความอย่างละเอียด และพบว่างานครั้งนี้ไม่ได้ถูกจ้างให้แต่งกับคนๆ เดียว แต่ต้องแต่งให้ถึงสองคนด้วยกัน โดยโจทย์ที่ให้มาคือ ต้องการให้ดูเหมือนนักท่องเที่ยวที่มาจากโซนยุโรป
มันก็ไม่ได้เป็นงานยากอะไรมากมาย ฉันจึงตัดสินใจตอบรับไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
“แพ็ค โบรา” อ่ะ ครูน้ำเรียกชื่อฉันแล้วนิหนา
ฉันเก็บมือถือตัวเองเข้ากระเป๋า และเดินไปหน้าห้องเพื่อรับสมุดการบ้านคืน ก่อนจะรับมาจากมือครูน้ำ ฉันก็ไหว้ตามธรรมเนียมแบบคนไทย พอเงยหน้าขึ้นมา กลับเห็นสายตาของครูน้ำเหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไรกับฉันสักอย่าง
“โบรา ขอคุยด้วยหน่อย ได้มั้ยจ๊ะ” ครูน้ำถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล
“ได้สิคะครู” ฉันเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ และพบว่ามันยังพอมีเวลา ก่อนที่จะไปหาลูกค้า
“เชิญนั่งก่อนจ้ะ” ครูผายมือไปที่เก้าอี้ตรงหน้า
“ค่ะ”
ครูน้ำนั่งลงตรงข้ามกับฉัน ก่อนที่จะเอื้อมมือมาจับมือของฉันเอาไว้ เธอสบตาฉันอย่างคนรู้สึกผิด แววตาของครูน้ำมีความเศร้าหมองอยู่ในนั้น
“ครูเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ฉันถามครูขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“โบรา”
”คะ”
“ก่อนอื่น ครูต้องขอโทษด้วยที่อยู่ดีๆ เอาสมุดการบ้านของเธอไปให้ต้นไม้อ่าน”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ไม่เป็นไรเลยค่ะ” ฉันส่งยิ้มให้กับครูเพื่อยืนยันว่าฉันไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้
“ตอนแรกครูก็ไม่ได้ตั้งใจจะเอาให้เขาอ่านหรอก แต่ว่า…” ครูน้ำหยุดชะงักไปชั่วครู่ “เขาดันเจอเรื่องไม่คาดคิด ครูรู้สึกว่าลูกชายครูกำลังจะทิ้งความฝันทั้งหมด ทั้งๆ ที่เขาสู้กับมันมานาน”
จริงสินะ พี่ต้นไม้เคยเล่าให้ฟังที่ไร่ว่าก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดที่จะขอลาออกจากวงเพราะไม่มีใครยอมรับในตัวสมาชิกคนสุดท้ายอย่างพี่ต้นไม้ ยิ่งมาฟังครูน้ำแบบนี้อีกครั้ง พี่ต้นไม้คงต้องผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ กว่าจะมาเป็นต้นไม้แห่งวงกรูมได้อย่างทุกวันนี้
บางที ฉันก็เริ่มจะสงสัยแล้วสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวงกรูมก่อนที่พี่ต้นไม้จะเข้ามาและเดบิ้วท์กันแน่ ทำไมถึงต้องทำกับเขาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรแบบนี้ด้วย
“เรื่องนี้หนูก็พอทราบมาบ้างค่ะ”
“แล้วครูก็ได้มาอ่านการบ้านของเธอและมีความคิดว่า…ถ้าเขาได้อ่าน เขาต้องมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาได้อีกครั้ง เพราะอย่างน้อยลูกชายครูก็จะได้รู้ว่า มีคนที่รักและสนับสนุนเขาแล้ว…”
“หนูไม่เคยนึกโกรธครูเลยค่ะ จริงๆ นะคะ” ตรงกันข้าม ฉันกับรู้สึกว่า ดีแล้วที่ครูเอาสมุดน้องลีฟให้พี่ต้นไม้อ่าน ถึงแม้ว่ามันจะน่าอายอยู่บ้าง แต่ถ้าสิ่งที่ฉันเขียนกับทำให้คนที่ฉันรักและพร้อมสนับสนุนลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง ฉันยินดีที่จะเขียนให้เขาอ่านมันทั้งเล่มเลย
นี่แหละนะ ความรักของแม่
ครูน้ำคงทนไม่ได้ที่เห็นลูกชายตัวเองเศร้า
ฉันรู้ว่าครูน้ำก็คงคิดหนักไม่น้อยเรื่องที่จะเอาสมุดการบ้านของลูกศิษย์ให้ลูกชายอ่าน แต่มันคงเป็นทางเดียวในตอนนั้นที่ครูคงนึกออก
“ขอบคุณเธอมากๆ เลยนะ ที่เข้าใจและขอโทษจากใจเลยจ้ะ”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรค่ะครู ไม่ต้องขอโทษหนูเลยค่ะ”
ครูน้ำพยักหน้าหนึ่งที ก่อนจะส่งยิ้มให้กับฉัน
“อ๋อ จริงสิ ครูเกือบลืม”
“คะ”
“ดูคอมเมนต์เสร็จแล้ว อย่าลืมเปิดไปที่หน้าสุดท้ายล่ะ”
“มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามครูออกไปอย่างนึกสงสัย
“มีคนเขาฝากข้อความถึงน่ะ”
“ค่ะ…ค่ะ”
ฉันตอบรับไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็เกรงใจที่จะถามครูน้ำไปมากกว่านี้เหมือนกัน ฉันจึงทำได้เพียงเก็บสมุดลีฟเข้ากระเป๋าและบอกลาคุณครูน้ำ ก่อนจะเดินออกจากห้องมาอย่างงงๆ
พอเดินออกจากห้องมาแล้ว ใจหนึ่งก็อยากจะเปิดอ่านข้อความข้างหลังดูเลย แต่พอมาดูเวลาอีกที ก็คิดว่าเดี๋ยวค่อยเปิดอ่านระหว่างทางกลับบ้านไปเอาพวกอุปกรณ์เครื่องสำอางที่ดันไม่ได้พกติดตัวมา เพราะงานครั้งนี้ค่อนข้างรับกะทันหันอยู่เหมือนกัน
ฉันเดินลงใต้ดินเหมือนอย่างเคย ดีที่เวลานี้ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ทำให้ในโบกี้รถไฟใต้ดินมีที่นั่งว่างอยู่พอสมควร ฉันจึงไปเลือกนั่งตรงที่ไม่มีคนนั่งขนาบข้าง เมื่อได้นั่งแล้ว ก็หยิบสมุดน้องลีฟออกมาดูอีกครั้ง ฉันเปิดไปดูการบ้านหน้าล่าสุดก่อน และพบว่า มันมีลายเซ็นของพี่ต้นไม้อยู่ในนั้น
นี่อย่าบอกนะ ว่าเขาเป็นคนแก้ให้ฉันจริงๆ น่ะ
หัวใจฉันก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
หัวข้อ: ความคิดถึง
ฉันดันต้องมาเขียนหัวข้อความคิดถึง ในตอนที่ฉันกำลังหิว เพราะชะนั้น (ฉะนั้น) สิ่งเดียวที่กำลังคิดถึงในตอนนี้ก็คือ อาหาร โดยฉะเพราะ (เฉพาะ) ในเวลาดึกๆ แบบนี้ ไก่ถอด (ทอด) กับ เบีย (เบียร์ : เป็นเด็กไม่ควรดื่ม) เป็นอะไรที่เข้ากันที่สุดเลยค่ะ ยิ่งถ้ามีคนกินด้วยก็คงจะดีไม่น้อยเลย แล้วคนที่ฉันอยากกินด้วยที่สุด ก็ดันหายไปเลย คิดถึงชะมัด คิคิ ถ้าพูดอีกก็เคิน (เขิน) อีก จะมีสักครั้งมั้ยนะ ที่เราจะได้มากินข้าวด้วยกัน แต่คงเป็นไปได้ยาก ไม่คิดดีกว่าค่ะ(เว้น)สรุปคือที่เขียนมายาวๆ ก็คิดถึงเขาที่สุดแหละค่ะ โดยมีของกินเป็นข้ออ่าง (อ้าง) เท่านั้นแหละ J (ใคร? ถ้าบอกมาจะดีมาก เพราะคนอ่านจะงงได้)
(5/10 พอ เพราะ 1. เขียนผิดเยอะ 2. ไม่ยอมบอกว่าเขาคนนั้นเป็นใคร) – tonmai
อื้อหือ บอกได้คำเดียวว่า พี่ต้นไม้โหดกว่าครูน้ำเยอะเลย
แล้วทำไมปากฉันต้องยิ้ม ทั้งๆ ที่ ตัวเองได้คะแนนแค่ผ่านครึ่งเนี่ย พี่ต้นไม้นะพี่ต้นไม้ ถ้าได้เจอกันก็คงจะดีหรอก ฉันจะได้บอกพี่ไงว่าเขาคนนั้นที่ฉันไม่ยอมเขียนลงไปและพี่ดันมาหักคะแนนฉันน่ะ คือตัวพี่เองนั่นแหละ
แต่…ตอนนี้มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อเขาคงยุ่ง ไม่ว่างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว…ถ้าเป็นเมื่อก่อน วันนี้ฉันคงไม่ได้รับงานแต่คงกำลังไปแต่งหน้าให้กับพี่ต้นไม้แทนมากกว่า
พอดูคอมเมนต์เสร็จ ฉันก็จำได้ว่าครูน้ำยังบอกให้เปิดไปหน้าสุดท้าย ฉันจึงพลิกหน้ากระดาษไปที่หน้านั้นตามที่ครูน้ำบอก และพบว่ามันมีข้อความที่พี่ต้นไม้เขียนถึงฉันเป็นภาษาไทยอยู่
ถึงโบรา
ฉันมีเรื่องจะเขียนถึงเธอมากมาย แต่พอจะเอาเข้าจริงกลับเขียนอะไรไม่ออกเลยแฮะ แต่ฉันก็ยังอยากเขียนถึงเธอนะ ในเมื่อนี้เป็นทางเดียวที่เราสามารถติดต่อกันได้
ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่มั้ย… เรียนหนักรึเปล่า
อืมม ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อแล้วล่ะ ขอโทษด้วยที่เป็นคนเขียนอะไรไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
เอาเป็นว่า…ฉันรอที่จะได้เจอเธออีกครั้งนะ
ต้นไม้
แหมะ
พออ่านจบ น้ำตาฉันก็ไหลลงกระดาษแผ่นนั้นทันที ถึงแม้ว่าจะมีบางคำที่ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พี่ต้นไม้เขียนมาก็เถอะ แต่ฉันยังพอจับใจความได้และสัมผัสได้ว่าคนเขียนคงตั้งใจเขียนมันมากจริงๆ
ฉันเองก็อยากจะบอกพี่ต้นไม้ว่า ฉันรอที่จะได้เจอพี่ต้นไม้อีกครั้งเช่นกันค่ะ
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันก็อ่านมันวนไปแบบนั้นและไม่ได้เปิดไปหน้าไหนเลย จนทำให้เกือบเลยสถานี ดีนะที่ฉันเหลือบขึ้นไปเห็นตรงสัญญาณไฟพอดีว่ามันมาถึงที่ฉันต้องลงแล้ว ฉันรีบเก็บสมุดน้องลีฟเข้าไปกระเป๋าลวกๆ และวิ่งออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะถูกปิดลงพอดิบพอดี
+Hey Hey Hey, Please listen, this is your groom speaking+
เสียงเรียกเข้าที่ฉันเปลี่ยนตามพี่ต้นไม้ดังขึ้นมาจากกระเป๋า ฉันหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเพื่อนรักที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลยอย่าง ซอฮุน เป็นคนโทรเข้ามา
“ว่าไงคะ คุณคิมซอฮุน” ฉันกดรับ ก่อนจะเดินต่อเพื่อกลับบ้านไปด้วย
[ทำไมเรียกห่างเหินอย่างนั้นล่ะ] เสียงคนปลายสายฟังออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเอือมระอาฉันสุดๆ
“ก็เดี๋ยวนี้นายทิ้งฉันไปแล้วนิ”
[ไม่ได้ทิ้ง นี่ไง โทรมาหาแล้วเนี่ย]
“แล้วตกลงมีอะไรอ่ะ”
[คิสฮยอง…]
“เดี๋ยวๆๆ เมื่อก่อนนายยังต้องเรียกเขาว่า ซอนเบ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ” อยู่ดีๆ ทำเป็นตีซี้เรียกคิสแค่ฮยองเฉยเลยทั้งๆ ที่เขาเป็นรุ่นพี่แท้ๆ
[เขาบอกให้ฉันเรียกเขาแบบนี้] อื้อหืออ ฟังดูแบบนี้ คิสกับซอฮุนต้องเข้ากันได้ดีมากๆ แน่ๆ ไม่ค่อยมีใครที่ไหนหรอกนะที่เป็นถึงรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็น รุ่นพี่ที่โรงเรียน ที่มหาลัย ที่ทำงาน จะยอมให้เรียกแค่ฮยอง นูน่า อปป้า อะไรแบบนี้น่ะ ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่สนิทกันจริง ต้องเรียกซอนเบ หรือ ให้สุภาพอีกก็ต้อง ซอนเบนิมกันทั้งนั้นแหละ
“โอ้ ว้าว ชิพเลยนะเนี่ย”
[ชิพบ้าอะไรของเธอ แล้วนี่คิสฮยองชวนกินข้าว มาป่ะ]
“หา? ทำไมเขาต้องชวนฉันกินข้าว”
[ก็จำได้ปะล่ะ ที่เขาบอกว่าไว้นัดดื่มกัน ให้ชวนเพื่อนมาด้วยอ่ะ]
ขอนึกแป๊บ
อ๋อ ต้องเป็นครั้งที่แล้วที่เจอกันที่ตึก PK Entertainment ในงานแถลงข่าวคัมแบ็กวงกรูม แน่เลย ที่คิสคิดว่าฉันหลงทางและพามาส่งที่หน้าประชาสัมพันธ์
“อ๋อๆ จำได้ๆ”
[เออ ก็นั่นแหละ จะมามั้ยเย็นนี้]
จริงๆ ถ้าจะไปก็ไปได้ แต่ติดที่ว่า ฉันกลัวว่าคิสจะคุ้นหน้าฉันมากเกินไป ในเมื่อเขาเคยเจอฉันที่หน้าห้องของพี่ต้นไม้ ไหนจะวันแถลงข่าวอีก รอบนั้นก็เกือบเอาตัวไม่รอดแล้ว ถ้ามาเจอกันอีก ไม่โดยสงสัยแย่แน่เหรอ เรื่องนี้กันไว้ดีกว่าแก้จะดีกว่า
“ขอโทษนะ ฉันติดธุระอ่ะ ไปไม่ได้”
[ธุระอะไรของเธอเนี่ย]
“โปรเจกต์ที่มหาลัยไง” ฉันหาข้ออ้าง
[เออๆ คราวหน้าห้ามเบี้ยวละกันนะ]
“จ้ะๆ ไม่เบี้ยวแน่นอนจ้ะ” ซะที่ไหนล่ะ
[ทำโปรเจกต์ให้สนุกล่ะ]
“โอเคๆ”
[บาย]
“บาย”
เมื่อกดวางสายปุ๊บ ฉันก็เดินมาถึงหน้าบ้านพอดี พอเข้ามาในตัวบ้าน ก็เห็นออมม่านั่งดูทีวีเหมือนอย่างเคย ฉันทักทายท่านตามปกติ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องไปเอาของที่ต้องการทั้งหมด
ฉันเลือกหยิบของที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการแต่งหน้าในครั้งนี้ใส่กระเป๋าใบคู่ใจ แต่ยังมีอีกอย่างที่ดันหาไม่เจอคือสเปรย์ฉีดผิว ฉันพยายามหาทั่วห้อง ลองเปิดกระเป๋า ลิ้นชักอะไรทั้งหมอ หายังไงก็หาไม่เจอ สงสัยตัวเองต้องไปทำบุญทำทานชุดใหญ่แล้วล่ะ ช่วงนี้รู้สึกว่าของหายบ่อยชะมัด คราวที่แล้วก็รูปคู่โบมีออนนี่กับบัตร แต่โชคดีอย่างหลังได้คืนมา แถมยังเป็นของสำคัญอีกต่างหาก
เมื่อมั่นใจแล้วว่าหาไม่เจอในห้องตัวเองแน่ๆ ฉันถึงได้เดินออกไปหาออมม่าที่ห้องรับแขก เผื่อว่าออมม่าอาจจะเคยเห็นมาบ้าง
“ออมม่า” จากที่ดูทีวีอยู่ ออมม่าก็หันมาหาฉัน
“หืม?”
“ออมม่าพอจะเห็นสเปรย์ฉีดผิวของหนูบ้างรึเปล่าคะ”
“อันนั้นของลูกเหรอ” เหมือนเห็นแสงสว่างอยู่รำไร ออมม่าต้องเห็นมันแน่นอน
“ใช่ค่ะใช่ มันเป็นขวดสีขาว ขนาดประมาณขวดน้ำอ่ะค่ะ”
“อืมม…น่าจะอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งห้องโบมีนะ”
“ทำไมถึงไปอยู่ห้องออนนี่ได้ล่ะคะ” ฉันถามออกไปด้วยความงง
“พอดีออมม่าเข้าไปโละของที่หมดอายุห้องโบมีและเห็นสเปรย์ที่มันวางอยู่ข้างนอก เผลอคิดว่าตัวเองเอาออกมาผิด เลยเอากลับเข้าไปเก็บในห้อง”
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูเข้าไปหาเอง” เฮ้อ เป็นอย่างนี้ประจำสินะ ออมม่าฉัน ขนาดตอนที่ออนนี่ยังอยู่เสื้อผ้าเราสองคนมักจะสลับกันอยู่บ่อยๆ
ทางเดียวที่จะเจอก็คงต้องเข้าไปหาในห้องของโบมีออนนี่สินะ
ฉันเปิดเข้าไปในห้องของออนนี่ และพบว่าสเปรย์มันตกอยู่ใต้โต๊ะเครื่องแป้ง
ฉันคลานเข้าไปหยิบสเปรย์ที่ใต้โต๊ะ แต่ด้วยความซุ่มซ่ามที่มีอยู่มากโข เลยทำให้กะจังหวะตอนเอาหัวยกขึ้นมาผิดไปในขณะที่กำลังคลานออกมาจากโต๊ะ ทำให้หัวอันชาญฉลาดของฉันโขกเข้ากับลิ้นชักเข้าอย่างจังเลยน่ะสิ ทำฉันทรุดลงไปนั่งกับพื้นเลย
เจ็บชะมัด ให้ตายเถอะ T_T
ปุ๊ป
เหมือนกับว่ามีอะไรตกลงมาข้างๆ ฉัน พอหันไปก็เห็นว่าเป็นกล่องเล็กอะไรสักอย่าง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันจึงเปิดออกมาดู กลับเห็นเหมือนรูปที่ถูกฉีดขาดออกไปอยู่ในกล่องนั้น มันเป็นรูปคู่ของออนนี่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันเดาเอาว่าคงเป็นแฟนหนุ่มแสนจะลึกลับที่โบมีออนนี่เคยกล่าวถึง
พอฉันพลิกมาดูข้างหลังก็เห็นข้อความที่ถูกเขียนด้วยปากกาที่เริ่มจะจางแต่ก็ยังพออ่านออกได้บ้างมันถูกเขียนไว้ว่า
‘โบมี
ถึงรูปนี้จะไม่ใช่รูปคู่ของเรา แต่มันก็ยังเป็นรูปที่เราได้ยืนอยู่ข้างกันนะ
เจ’
สรุปแฟนหนุ่มของโบมีออนนี่ชื่อเจ
หน้าตาของเขาก็หล่อเหลามากเลยทีเดียว เป็นหนุ่มมาดแมนหน้าคม ผิวสีแทน ให้เดาก็คงเป็นคนปูซานสินะ ข้อความนี้ก็ดูรักออนนี่ฉันดี แต่ทำไมในงานศพถึงไม่ยอมโผล่มาเลยแม้แต่น้อยล่ะ
หายไปไหนของเขา หรือเป็นเพราะว่าทั้งคู่เลิกกันและไม่ได้ติดต่อกันอีก
แล้วนี่ไม่ใช่รูปคู่ แสดงว่ารูปนี้ต้องเป็นรูปหมู่แน่นอน สังเกตได้ว่ามันถูกฉีดขาดออกไปให้เหลือแค่พวกเขาสองคน
ฉันพลิกมันดูไปมา เมื่อไม่เห็นอะไรเพิ่มเติมแล้ว จึงลุกเอารูปไปใส่ลิ้นชักเอาไว้เพราะไม่รู้ว่ามันหล่นมาจากไหน ก่อนจะเดินออกมาและเอาสเปรย์กับคอนแทคเลนส์ใส่ไว้ในกระเป๋าใหญ่
เมื่อทุกอย่างเตรียมเสร็จเรียบร้อย ฉันก็บอกลาออมม่าก่อนออกจากบ้าน และตรงดิ่งไปขึ้นรถบัสไปหาลูกค้า ตามสถานที่ที่นัดหมายเอาไว้
ไม่นานฉันก็มาถึงสถานที่ที่นัด ครั้งนี้เป็นร้านอาหารส่วนตัวของศิลปิน ฉันเดินเข้าไปโดยที่ไม่ลืมที่จะปิดหน้าตัวเองเหมือนอย่างเคย เมื่อพนักงานเห็นฉันก็มีคนพาฉันเข้าไปที่หลังร้านและเดินลงไปในชั้นใต้ดินที่มีไอดอลสองคนชายหญิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
ฉันเดินตรงเข้าไปหาสองคนนั้น พวกเขาแนะนำตัวกับฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปคุยกันอย่างหวานแหว๋วกันต่อ สงสัยต้องเป็นคู่รักไอดอลแน่เลย
“อปป้า” ฉันไม่ได้เรียก ฉันยังจัดของเงียบๆ ของฉันต่อไป เป็นไอดอลหญิงเรียกแฟนหนุ่ม(?)ของเธอมากกว่า
“ว่าไง”
“ไหนอปป้าบอกว่าสนิทกับคิสซอนเบยังไงล่ะ ทำไมไม่เห็นเคยพาฉันไปเจอบ้างเลย” ฉันเริ่มสนใจบทสนทนาของสองคนนี้ขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินชื่อของคนในวงกรูมอย่างคิส
“เธอจะไปอยากเจอมันทำไม” ผู้ชายเริ่มตอบกลับอย่างมีน้ำโห ฉันเดาว่าเขาคงหึงแน่ๆ
“ก็ฉันเป็นแฟนคลับของคิสซอนเบตั้งแต่ยังไม่เดบิ้วท์เลยน่ะสิ พาฉันไปเจอเขาหน่อยนะ” ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปเกาะแขนผู้ชายอย่างอ้อนๆ
“ใครบอกเธอว่าฉันสนิทกับมัน”
“ก็อปป้าบอกเองนี่นา ว่าถ้าฉันยอมคบด้วย อปป้าจะพาฉันไปเจอคิสซอนเบอ่ะ”
“พูดอะไรก็ให้ระวังปากหน่อย มีคนแปลกหน้าอยู่กับเรานะ อย่าลืม”
“ก็ช่างสิ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป ไม่หลุดจากอปป้าก็ยัยนี้แหละ”
“ฉันมีจรรยาบรรณพอค่ะ ไม่ต้องห่วง” ฉันตอบเขาออกไป เพื่อให้ความมั่นใจว่า จะไม่ปล่อยข่าวนี้อย่างแน่นอน
“เอ้า เธอ มาแต่งหน้าผู้หญิงคนนี้ก่อนเลย” เหมือนผู้ชายจะไม่อยากตอบอะไรผู้หญิงแล้ว เลยตัดบทให้ฉันไปแต่งหน้าให้เธอแทน
ฉันเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น แต่ดันถูกเบรกเข้าอย่างจัง
“อย่าเพิ่ง ตกลงว่าไงอปป้า อย่าบอกนะว่าหลอกฉันน่ะ”
“ฉันไม่ได้หลอกเธอนะ เมื่อก่อนฉันสนิทกับมันจริงๆ เพราะเคยเป็นเด็กฝึกที่ PK มาเหมือนกัน”
“แล้วไง”
“ดีที่ฉันได้รู้ธาตุแท้ของ PK ก่อนเลยได้ออกมาฝึกที่ JC อย่างที่เธอเห็นเนี่ยแหละ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับคิสซอนเบตรงไหน”
“เธอนี่น่ารำคาญจริงๆ ทำไมเธอถึงได้ชอบมันนักหนาเนี่ย”
“คิสซอนเบดูเป็นคนใจดี ใส่ใจ ดูแลเอาใจใส่ทุกคน”
อืมมม…
จะว่าไปผู้หญิงคนนี้ก็พูดถูกนะ คิสดูเป็นคนแบบนั้นจริงๆ นั้นแหละ ไม่ยากเลยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะตกหลุมรักเขาได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
“มันไม่ได้เป็นคนอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”
หื้มม ทำไมผู้ชายคนนี้พูดแบบนี้ล่ะ
“ยังไง อปป้าอย่ามาพูดมั่วๆ นะ”
“ไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นคนที่น่ากลัวคนหนึ่ง และยิ่งพอเกิดเรื่องไอ้เจ เพื่อนรักของมันน่ะ มันยิ่งดูน่ากลัวขึ้นหลายเท่าเลย”
ตุ๊บ!
“ขอโทษค่ะ” ฉันทำของตกทันทีที่ได้ยินชื่อของเจ… ก่อนที่จะรีบหันไปขอโทษพวกเขาทันที
เจ…
จะใช่เจคนเดียวกับที่เป็นแฟนออนนี่ฉันรึเปล่านะ! ในเมื่อเขาคนนี้ก็เป็นไอดอลเหมือนกัน…
ฉันก้มลงไปเก็บของและตัดสินใจฟังอย่างเงียบๆ เพื่อแอบเก็บข้อมูลจากบทสนทนาของไอดอลสองคนนี้
“ไม่จริง อปป้าพูดแบบนี้ เพราะอปป้าหึงฉันใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วแต่เธอจะคิดแล้วกัน ยัยโง่”
“เอ้า พูดแบบนี้ ก็เลิกกันเลยดีกว่า”
“เออ ฉันก็เบื่อเธอแล้วเหมือนกัน”
อ้าว เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทัน
อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนั่นก็หยิบเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำที่ถูกพาดไว้กับเก้าอี้ และเดินออกไปอย่างหน้าตาเฉย
ฉันจึงเบนสายตาไปหาผู้ชายที่ยังไม่ได้ลุกไปไหน เพื่อส่งสายตาไปถามเขาว่า ตกลงเขาจะเอายังไงต่อ ยังจะให้ฉันแต่งหน้าให้เขารึเปล่า ผู้ชายคนนั้นหันมาหาฉัน ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนหยิบแจ็กเก็ตมาสวม
นี่อย่าบอกนะ ว่าจะยกเลิกน่ะ
แต่เขาจ่ายตังค์มาให้ฉันเต็มจำนวนแล้วนะ
“ฉันยกเลิกเลยแล้วกัน ส่วนเงินฉันยกให้ ไม่ต้องคืน ถือเป็นค่าเสียเวลา แล้วก็หุบปากของเธอเอาไว้ด้วย เข้าใจรึเปล่า” เขาชี้หน้าฉันอย่างอารมณ์ร้าย ก่อนที่จะสวมหมวกและเปิดประตูจากไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้รอคำตอบอะไรจากปากฉัน
ปัง!
เสียงประตูปิดดังลั่น ทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ
โอเค…มันเป็นอย่างที่ฉันคาดสินะ เขายกเลิกอย่างที่ฉันคิดจริงๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่โดนยกเลิกกะทันหันขนาดนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่รู้สาเหตุและฉันอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
แม้จะงง แต่ก็ช่วยไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้เงินแหละน่า คิดได้ดังนั้นฉันก็เริ่มเก็บอุปกรณ์ของตัวเองที่มีอยู่มากมาย แล้วเดินออกไปเงียบๆ ทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
+Hey Hey Hey, Please listen, this is your groom speaking+
[ออมม่า]
หน้าจอปรากฏชื่อว่าออมม่าเป็นคนโทรมา ปกติถ้าไม่มีเรื่องด่วน ออมม่าจะไม่โทรตามฉันแบบนี้นะเนี่ย มันต้องมีเรื่องอะไรแน่เลย
“ว่าไงคะ ออมม่า”
[โบรา ลูกไปจ่ายค่าเช่าที่สำหรับครึ่งเดือนหลังรึยัง] ออมม่ารีบพูดกลับมาอย่างรีบร้อนทันทีที่ฉันรับสาย
“ค่าเช่าที่อะไรกันคะ”
[ค่าเช่าที่ของโบมีไงลูก]
วันนี้คือวันพฤหัสวันที่…กรี๊ดดด โอ๊ย จริงด้วย มันถึงกำหนดที่ฉันต้องไปจ่ายค่าเช่าที่แล้ว ยัยเต๋อ แพ็ค โบรา ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย
“หนูลืมไปสนิทเลยค่ะ เดี๋ยวจะรีบไปจ่ายเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะออมม่า”
[รีบไปเลยนะลูก ทางนั้นเขาโทรมาเร่งรัดแล้ว]
“ค่ะๆ ได้เลยค่ะ”
ก่อนหน้านี้ที่เคยเดินอย่างกับเต่าคลาน และเมื่อสายตาดันไปปะทะกับรถบัสที่จะสถานที่เก็บกระดูกมาจอดตรงป้ายพอดี ฉันก็รีบพุ่งสปีดขึ้นรถไปได้อย่างไม่คิด
ฮู้
ยังดีนะที่ตัวเองเพิ่งได้เงินมาจากคู่รัก(?)ไอดอลคู่นั้น ถึงแม้จะทำให้ฉันต้องหิ้วของพะรุงพะรังมาแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ทำให้มีเงินพอที่จะจ่ายค่าเช่าที่ที่ค่อนข้างแพงอยู่ได้บ้างน่ะนะ
ไม่นานรถบัสก็จอดตรงหน้าสถานที่เก็บกระดูก ฉันรีบเดินไปหาเจ้าหน้าที่ทันทีที่มาถึง
“มาจ่ายค่าเช่าที่ค่ะ” ฉันรีบพูดออกไปด้วยความรีบ จนเหมือนลนลานไปหมด
“ขอทราบชื่อและหมายเลขล็อคด้วยค่ะ”
“คุณแพ็ค โบมีค่ะ ล็อคหมายเลย 0098 ค่ะ”
“เอ๋? เมื่อกี้รู้สึกจะมีคนมาจ่ายให้แล้วนะคะ” เจ้าหน้าพูดขึ้นด้วยสีหน้างงงวยหลังจากเช็กจากระบบคอมพิวเตอร์
ได้โปรด อย่าทำหน้างงใส่ฉันค่ะ เพราะฉันเองก็งงไม่ต่างกัน
“มีอีกแพ็ค โบมีรึเปล่าคะ จำเลขล็อคผิดรึเปล่า”
“ถ้าเป็นเลขล็อค 0098 ไม่ผิดแน่นอนค่ะ เขาเพิ่งมาจ่ายเมื่อครู่นี้เอง”
“เอ๊ะ?”
มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน เมื่อกี้ออมม่าเพิ่งโทรมาบอกฉันให้มาจ่ายค่าเช่าที่ เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่ออมม่าแน่นอน ส่วนอัปป้าน่ะเหรอ ก็คงทำงานอยู่ เป็นไปไม่ได้เลยอ่ะ ที่จะเป็นคนในครอบครัวหรือเป็นญาติฉัน
หรือถ้าเป็นคนนอก…ฉันก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นใคร
“อ่ะ ฉันคิดว่าเขายังอยู่นะคะ ลองเข้าไปดูได้ค่ะ” อยู่ดีๆ ก็เหมือนเจ้าหน้าที่นึกอะไรออก
“อ๋อ โอเคค่ะ”
พอได้ข้อมูลมา ฉันก็โค้งให้กับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะเดินออกจากตึกลงทะเบียน ตรงไปที่ตึกเก็บผงกระดูกทันที
อยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะเป็นใคร…ใจจริงฉันก็แอบมีลางสังหรณ์ว่าจะเป็นคนที่ชื่อ เจ รึเปล่า แต่อีกใจ ฉันก็ไม่มั่นใจเพราะอย่างที่เคยบอกว่าตั้งแต่ออนนี่เสียไปก็ไม่เคยเห็นเขาเลย แล้วจะมาโผล่เอาอะไรตอนนี้ล่ะ
พอฉันเดินมาถึงตรงตึก มองเข้าไปก็เห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งสวมหมวกแก๊ปยืนอยู่ โดยที่เขากำลังเปลี่ยนดอกไม้ที่ตู้ของออนี่ มองแวบแรกก็รู้เลยว่าเขาไม่ใช่ญาติของฉันแน่ แต่ทว่า เขากับมีลักษณะอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ฉันค่อยๆ เดินเข้าไป หวังจะดูให้ชัดๆ ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ และดูเหมือนผู้ชายตรงหน้าจะเห็นผ่านตู้กระจกว่ามีคนเดินเข้ามา เพราะเขาหันข้างมาข้างหลังเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกลับไปที่ตู้และพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความรู้สึกที่ฉันเองก็อธิบายไม่ได้
“ในที่สุด เราก็เจอกันอย่างเป็นทางการแล้วนะ โบรา” เสียงผู้ชายคนนี้คือใครกันนะ แล้วทำไมเขาถึงได้เรียกชื่อฉันอย่างสนิทสนมขนาดนั้น
หรือว่าแท้จริงแล้ว เราเคยสนิทกัน แต่ฉันจำไม่ได้เอง…
จากที่เขาเคยหันหลัง ผู้ชายปริศนาคนนี้ก็ค่อยๆ หันหน้ามาเผชิญหน้ากับฉัน
“อันยอง”
“…”
“ฉันเอง... คี ซองซู”
O_O
คิส!!
เขามาทำอะไรที่นี่
และ…เป็นอะไรกับพี่สาวฉัน!
ความเป็นโคนันของเราเริ่มตั้งเค้าอีกแล้ว 555+
ตอนนี้เคลียดจังค่ะ แอบคิดถึงโมเมนต์มุ้งมิ้งของพี่ต้นไม้จากตอนก่อน เบาๆ แต่ก็ยังสนุกอยู่
ก็... ดำเนินมาถึงวีคที่หกแล้วเนอะ การบรรยายของพิมพ์ดีขึ้นเรื่อยๆ เลย
ยังไงก็สู้ๆ นะคะ รออ่านตอนต่อไปอยู่น๊าาา ^^~
ตอนนี้ทิ้งปริศนาของออนนี่กับคิงซองซูไว้ให้คิดไปไกลอีกแล้ววว
แล้วรูปถ่ายที่ลงชื่อว่าเจไว้อีก รออ่านตอนต่อไปน้าาพี่พิม
ปล.พี่ต้นไม้น่ารักมากกกก
สู้ๆๆวีคต่อไปตอนสุดท้ายแย้วว
สารพัดปมชวนปวดหัว โคนันก็มา 5555
คิดถึงพี่ต้นไม้คนน่ารัก มาตรวจการบ้านให้มั่งจิ #ผิด
เหลืออีกวีคเดียวแล้วว พี่พิมพ์สู้ๆ น้า เป็นกำลังใจให้
ตอนนี้น่าสนใจนะ รอดูต่อว่าจะยังไง เรื่องคืบหน้าดีเลยอ่ะ เพราะมันใกล้จบแล้วพี่ว่าช่วงหัวโค้งนี้สำคัญมาก การบรรยายดีขึ้นมาก มันไม่สับสนเหมือนตอนแรกๆ แล้ว ไดอะลอคก็ลื่นด้วย พี่ชอบที่ต้นไม้เขียนโน้ตผ่านการบ้านนะ น่ารักดี ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ติเลยอ่ะ อาทิตย์ที่แล้วจัดหนักไปแล้ว เลยข้ามไปแล้วกัน 555555