’ ช่างแต่งหน้าใต้ดิน’ อย่างเธอจะทำอย่างไรเมื่อต้องมาแต่งหน้าให้กับคนที่ทำให้ใจของเธอสั่นไหวทุกครั้งเพียงแค่เห็นหน้า
ตอนที่ 7/7 :: บุคคลหมายเลข 4
ตอนที่ 7 : บุคคลหมายเลข 4
[Tonmai’s Part]
มันเป็นช่วงมรสุมในชีวิตของผม ผมถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ห้องสี่เหลี่ยมห้องหนึ่ง กฎเหล็กของการโดนกักบริเวณก็คือ ห้ามออกจากน้องนี้เป็นอันขาด โชคดีที่ผู้จัดการอย่าง จุนฮยอง นึกสงสารผม จึงแอบแนะนำวิธีใต้ดินที่ไอดอลมักจะแอบใช้กันให้ผมรู้จัก
แต่ก็ไม่น่าเชื่อ ที่การจ้างช่างแต่งหน้าใต้ดินในครั้งนี้จะนำพาให้ผมได้เจอกับเธออีกครั้ง
“แพ็ค โบรา…”
ให้ตายเถอะ!
ผมอยากจะโขกหัวตัวเองกับกำแพงจริงๆ ที่ดันตกใจเกินเหตุและหลุดชื่อของเธอออกมาในเวลาแบบนี้ มันไม่ควรเลยจริงๆ
โบรา หรือ ผมควรจะเรียกเธอว่าใบหญ้ามากกว่า ดูจะตกใจไม่น้อย สายตาของเธอเลิ่กลั่กไปมาเหมือนกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ยินไปนั้น ถูกต้องรึเปล่า
“คะ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะคะ” เธอถามผมขึ้น
ขอบคุณพระเจ้าที่เธอไม่ได้ยินอะไร
“เอ่อ ไม่มีอะไร ฉันถามเธอว่า เธอชื่ออะไร” ผมรีบทำหน้าขรึมและถามเธอกลับไปทันที
จากตอนแรกที่โบราทำหน้าเหมือนงงๆ พอได้ยินผมพูดกลับไป หน้าของเธอก็เหมือนเข้าใจในทันที โบราเกาหัวตัวเองเล็กน้อย เชื่อว่าคงเป็นการแก้เก้อ
“อ๋ออออ ฉันชื่อโบราค่ะ แพ็ค โบรา” โบราตอบผมและฉีกยิ้มกว้างจนตาของเธอแทบจะหายไป
ผมรู้สึกว่า…เธอน่ารักเกินไปแล้ว
“โอเค ฉันตกลงจะไปกับเธอ โบรายา” แน่นอนว่าผมอยากไปกับเธออยู่แล้ว คำตอบคือตกลงตั้งแต่ได้เห็นหน้า เธอน่ารักจนผมอดเรียกชื่อของโบราออกมาไม่ได้
แล้วดูสิ
เหมือนเจ้าตัวจะช็อกไปเลยกับสิ่งที่ได้ยิน โบรารีบเอามือปิดปากตัวเอง ผมเห็นแล้วอยากจะหัวเราะชะมัด หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นมาเหมือนเธอกำลังเขินผมอยู่ยังไงยังงั้น
“เอ้า ตกลงจะไม่ไปใช่มั้ย” ผมแกล้งถามเธอขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ไปค่ะพี่ต้นไม้ เอ่อ ฉันเรียกคุณว่าพี่ต้นไม้ได้ใช่มั้ยคะ”
คราวนี้คงเป็นผมเองใช่มั้ยที่เป็นคนช็อกกับสรรพนามที่โบราเรียกผม โอเค ผมรู้ว่าอยู่แล้วว่าเธอเรียกผมแบบนี้ตอนเป็นแฟนคลับ แต่พอมาเจอเข้าตรงหน้า มันก็รู้สึกหัวใจกระตุกไปวูบนึงได้เหมือนกันนะครับ
“อยากเรียกอะไรก็เรียก ตามใจเธอสิ”
ผมรีบพูดเร็วๆ และรีบกลับหลังหันทันทีไม่ให้โบราเห็นว่าผมกำลังกลั้นยิ้มอยู่ ก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องทันที
“รอฉันด้วยสิคะ!”
ผู้หญิงคนนี้ตลกชะมัดเลย
ตลกตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน แล้วรู้อะไรมั้ยครับ…ผมประทับใจเธอตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
4 ปีที่แล้ว @ The First Fan Meeting: Will you be my ‘Bride’?
กรี๊ดดดดด
เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มไปทั่วฮอล์ลตั้งแต่พวกเราวงกรูมขึ้นเวที หลังจากนั้นก็ทักทายแฟนๆ ตามพิธี ก่อนที่จะนั่งเก้าอี้เรียงกัน 7 คนตามที่บริษัทได้จัดเอาไว้ให้ ผมได้นั่งเป็นคนที่ 4 ซึ่งเป็นจุดเซ็นเตอร์อยู่ตรงกลางพอดิบพอดี
พอมองออกไปตรงคนดู จากที่ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้มาอยู่ตรงนี้กลับรู้สึกเศร้าในใจ เพราะผมไม่เห็นป้ายเชียร์ชื่อผมเลยแม้แต่อันเดียว ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ในวงมีแฟนคลับมาเชียร์กันเพียบ
ต้องยอมรับว่าตอนเปิดตัวออกมา ผมเป็นสมาชิกที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด ด้วยท่อนร้องที่มีน้อยหรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลยในเพลงโปรโมท แถมในเอ็มวีที่ถูกปล่อยออกมาก็ทำให้แอร์ไทม์ของผมเทียบอะไรไม่ได้เลยกับเมมเบอร์ที่เป็นจุดสนใจมากที่สุดในเวลานี้อย่างคิส
ยิ่งตอนที่ลัคกี้แฟนหรือผู้โชคดีที่ได้รับลายเซ็นขึ้นมาหาพวกเราบนเวที ดูออกเลยว่าไม่มีใครเป็นเมนผมสักคน เพราะพวกเธอเหล่านี้ไม่เคยรู้จักผมมาก่อนเลยไม่สนใจที่จะทักทายหรือพูดคุยกับผมเหมือนตอนที่ทำกับเมมเบอร์คนอื่นๆ
จนกระทั่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา…
‘สวัสดีก๊ะ’ เธอทักทายผมเป็นภาษาไทยในสำเนียงแบบคนเกาหลี ซึ่งทำให้ผมประหลาดใจมาก เรียกได้ว่าประทับใจเลยก็ว่าได้ และผมมองว่าเธอน่ารักดี
‘สวัสดีครับ ชื่ออะไรเหรอครับ’ ผมทักทายเธอกลับเป็นภาษาเกาหลี และถามชื่อเธอไปเพื่อจะได้เซ็นบนโปสเตอร์ของวงได้ถูก
‘แพ็ค โบราค่ะ!’
‘โอเคครับ’ ผมเขียนชื่อเธอลงบนโปสเตอร์ทันที
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้จะมีจริง!’ เธอพูดขึ้นและเอามือปิดปากทันทีที่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าผม
‘…’ ตัวผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เธอ
‘ฉันชอบพี่มากเลยค่ะ ฉันเรียกพี่ว่า ‘พี่ต้นไม้’ แทนอปป้า ได้ใช่มั้ยคะ’ เธอพูดชื่อของผมออกมาเป็นภาษาไทย
‘โอะ เธอรู้ภาษาไทยด้วยเหรอ’ ผมถามเธอกลับไปอย่างประหลาดใจ
‘ไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไปเปิดหามาเพื่อมาพูดกับพี่เลย’
‘เก่งนะครับเนี่ย’ ผมชมเธอออกไปอย่างจริงใจ บอกไม่ถูกสิ ยิ่งมองก็ยิ่งเอ็นดู
‘ต่อไปนี้ ฉันจะตั้งใจเรียนภาษาไทย เพื่อมาพูดกับพี่ให้ได้เลยค่ะ!’
ดูแฟนคลับของผมคนนี้จะมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่เธอยังดูเป็นแค่เด็กมัธยมปลายด้วยซ้ำไป พลังบวกของเธอทำให้ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งรู้สึกหดหู่ไปเองแท้ๆ แต่พอเธอขึ้นมาอารมณ์ของผมก็เปลี่ยนในทันที
‘สู้ๆ นะ’ ผมยื่นโปสเตอร์ที่เพิ่งเขียนข้อความและเซ็นกำกับไว้ส่งให้เธอ
ผมเขียนเอาไว้ว่า
To: แพ็ค โบรา
ขอบคุณที่สนับสนุนพวกเราวงกรูม ขอให้โบรามีพลังบวกแบบนี้ไปตลอดนะ
ครั้งหน้าต้องกลับมาพูดภาษาไทยให้พี่ฟังด้วยล่ะ J
ต้นไม้
‘ขอบคุณค่ะ’ เธอพูดขอบคุณแต่ก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน ผู้หญิงตรงหน้าจ้องมองผมด้วยสายตาลังเลอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายเธอก็หยิบโพสอิทสีม่วงออกมาจากกระเป๋าและติดมันตรงหน้าผมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรีบลงบันไดไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลายเซ็นจากคนอื่นๆ ที่เหลือเลย
ผมหยิบโพสอิทนั่นมาดูและพบว่า เธอวาดรูปเป็นต้นไม้ และเขียนไว้ว่า ‘Tonmai & Bora’
แน่นอนว่า ถ้าเราเจอกันคราวหน้า ผมจำเธอได้อย่างไม่ต้องสงสัย…
ผู้หญิงหน้าขาว แก้มป่อง ตาชั้นเดียว ผมประบ่า มีพลังบวกแบบนี้ และมีชื่อที่แปลว่าสีม่วง
เธอมีชื่อว่า…แพ็ค โบรา
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเจอกับโบรา แฟนคลับคนแรกของผม
ทุกวันนี้ผมยังเก็บโพสอิทอันนั้นเอาไว้อยู่เลย
โบราไม่เปลี่ยนไปเลย เคยมีพลังบวกยังไงก็ยังมีพลังบวกอยู่อย่างนั้น ดูเธอสิ ลากผมไปนู้นมานี่อย่างไม่เหนื่อยเลย แล้วดูท่าเจ้าตัวจะมีความสุขมากเสียด้วย ยอมรับตามตรงเลยว่า ผมแอบยิ้มตามตอนเธอเดินนำอยู่ข้างหน้า และแอบมีหลายทีอยู่เหมือนกันที่เกือบจะกลับมาเก็กฟอร์มเดิมแทบไม่ทันตอนเธอหันมามองผม
แล้วรู้อะไรมั้ยครับ ผมไม่เคยเชื่อในคำว่าโลกกลมมีอยู่จริงจนกระทั้งผมได้รู้ว่า แพ็ค โบรา คนนี้คือคนเดียวกันกับแพ็ค โบราที่เป็นลูกศิษย์แม่ของผมทีผมเคยอ่านสมุดของเธอในวันที่อยากจะลาออกจากวง เธอเปลี่ยนชีวิตผมไปเลยแหละครับ
ผมยังจำได้ขึ้นใจในหน้าแรกที่ผมได้อ่านสมุดการบ้านของเธอ โบราตั้งชื่อมัน ‘ลีฟ’ ล่ะ และผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าเธอเรียกมันอย่างน่ารักๆ ว่า สมุดน้องลีฟด้วย ตลกชะมัด
ถึงเธอจะเขียนแบบผิดๆ ถูกๆ แต่ก็กินใจผมไม่เบาเลย
เธอเขียนเอาไว้ว่า (ขอแปลให้ในแบบฉบับที่ถูกต้องแล้วกันนะครับ)
หัวข้อ: ทำไมถึงอยากเรียนภาษาไทย
ฉันอยากจะเอาไปพูดกับพี่ต้นไม้ค่ะ ฉันบอกกับเขาเอาไว้ว่า ‘ฉันจะตั้งใจเรียนภาษาไทยไปพูดกับเขาให้ได้’ แล้วฉันก็ได้ทำตามอย่างที่ฉันพูด เพราะฉันอยากจะสื่อสารในภาษาบ้านเกิดของเขาให้เขาฟังอยากชัดเจนสักวัน ฉันรู้ว่าพี่ต้นไม้คงจะกังวลไม่น้อยเรื่องแฟนคลับ ฉันจึงอยากจะตะโกนใส่หูพี่ต้นไม้ดังๆ เป็น ภาษาไทยว่า ‘ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างพี่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ต้องห่วง โบราคนนี้จะสนับสนุนพี่ตลอดไปและตลอดไปและตลอดปายยยยย
จบ
พอเช้าวันรุ่งขึ้นของวันนั้น แทนที่ผมจะทำตามแผนเดิมคือเข้าบริษัทว่าจะขอลาออกจากวง ผมกลับไปที่โรงเรียนสอนพิเศษแม่ผมแทน และผมก็ถึงกับบางอ้อว่าแพ็ค โบราคนนี้คือแพ็ค โบราเดียวกันกับงานแฟนมีตติ้งในวันนั้น
ให้ตายเถอะ
ทำไมผมถึงยิ้มออกมาทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ด้วยนะ
“พี่แว่นกลม เรามาลองถ่ายรูปคู่กันดูมั้ยคะ” เสียงใสๆ จากคนข้างๆ เรียกผมขึ้น
แว่นกลมคือชื่อที่เธอตั้งให้กับผม กันคนจำผมได้
“เฮ้อ วุ่นจริงๆ เลยนะเรา”
“ไม่ได้เหรอคะ” แล้วดูทำหน้าสิ เห็นแบบนี้เป็นใคร ใครก็ใจอ่อน ไม่ใช่แค่ผมหรอก
“ถ่ายก็ถ่าย” เฮ้อ ปฏิเสธไม่ได้เลยสินะ
“เย้”
ดูโบราจะมีความสุขมากที่เราได้ถ่ายรูปคู่กัน ผมสั่งให้เธอทำหน้านิ่งๆ ซึ่งเธอก็ทำตามอย่างน่ารัก รูปของเราออกมาตลกมาก แต่ผมก็ชอบมากเช่นกัน
“ใกล้จะเย็นแล้ว ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันมั้ยคะ” ดูเหมือนเธอจะพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดเรียกชื่อของผมออกมา
อยากไป อยากไปสิ แต่ผมก็คงตอบได้แค่
“เอาสิ ไปไหนดีล่ะ” เบื่อตัวเองชะมัดที่ตอบได้แค่นี้
“โซลทาวเวอร์ไงคะ ^^”
ยิ่งอยากไปเข้าไปใหญ่เลย ผมเริ่มคิดภาพแล้วว่าถ้าจะซื้อกุญแจไปให้เธอก็คงจะดีไม่น้อย แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมดันมาดังขัดจังหวะเอาเสียก่อน
+Hey hey hey, Please listen, this is your groom speaking+
บนหน้าจอโทรศัพท์ของผมขึ้นมาว่า คิส เป็นคนโทรมา ผมไม่ค่อยชอบคุยกับไอ้หมอนี่เท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะชอบมาสุงสิงกับผมก็ตาม
คุยไปคุยมา จนทำให้ผมต้องรีบกลับคอนโดเป็นการด่วน อดไปโซลทาวน์เวอร์กับโบราเลย ด้วยความที่ไอ้เพื่อนรัก? ต้องการมาเยี่ยมผมที่คอนโด ใจจริงผมไม่อยากกลับเลย แต่ติดที่ว่าจะให้ใครรู้เรื่องที่ผมแอบออกมาข้างนอกไม่ได้เด็ดขาด แถมคิสเองก็ไม่ยอมฟังอะไรเลย จะมาหาผมวันนี้เอาให้ได้ ทำให้ทุกอย่างดูลุกลี่ลุกลนไปหมด
โชคยังดีที่โบราเป็นมืออาชีพมากพอที่ทำให้พอเรามาถึงคอนโดแล้ว เธอก็จัดการล้างหน้าให้ผมทันและออกไปจากคอนโดก่อนที่คิสจะมา
ครั้งหน้าเราต้องได้คล้องกุญแจกันนะโบรา…
กริ๊ง
นั่นไงล่ะ มันคงมาถึงแล้ว
ผมลุกจากโซฟาไปเปิดประตูให้กับคิส สิ่งแรกที่ผมเห็นคือใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสของมัน
“ไฮ” คิสพูดจบก็เดินเข้ามาในห้องผมเลย
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรมันไป เพราะขี้เกียจจะพูดด้วย เลยพยักหน้าตอบกลับไปไม่ให้เสียมารยาท
“เออ นี่นายจ้างแม่บ้านใหม่มาเหรอวะ”
“แม่บ้านอะไรวะ” ผมถามออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ผมก็ต้องรีบชะงักทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้โบราเพิ่งออกไปจากห้อง
“ก็เมื่อกี้…” เหมือนกับว่าคิสจะพูดอะไรต่อ แต่อยู่ๆ ดีๆ ก็หยุดพูดไปซะดื้อๆ “ช่างเถอะๆ”
ขอให้ช่างจริงอย่างที่นายว่าก็แล้วกัน
คิสตบบ่าผมเบาๆ ก่อนที่เดินไปนั่งด้วยท่าทางสบายๆ บนโซฟา ด้วยความที่ผมต้องทำตัวเป็นเจ้าของห้องที่ดี จึงต้องเดินไปเอาน้ำให้กับแขกที่ไม่ได้รับเชิญในครัวอย่างช่วยไม่ได้ - -
ผมวางแก้วน้ำให้กับคิส ก่อนที่จะนั่งลงตรงโซฟา
“ตกลงมาทำอะไรที่นี่” ผมถามมันออกไป เผื่อว่าบางทีจะเจอคำตอบที่จริงใจของมันได้บ้าง
“ก็บอกแล้วไงว่าคิดถึง คิดถึงเพื่อนจะแย่อยู่แล้ว”
หึ คิดว่าผมจะเชื่อเหรอ
ไม่มีทาง!
ถึงแม้มันจะทำหน้าตาได้สมจริงมาก แต่ฟังจากน้ำเสียงยังไงก็รู้ว่ามันตั้งใจให้ผมรู้ว่าสิ่งที่มันเพิ่งตอบออกมาน่ะ โกหกทั้งเพ
ผมเองก็ได้แต่มองกลับอย่างเอือมระอา และหันกลับไปหยิบรีโมตมาเปิดทีวีดูแทน
เกร้ง
เสียงเหมือนของแข็งอะไรบางอย่างตกลงพื้น ผมหันไปดูก็เห็นคิสก้มลงไปเก็บที่ใต้โต๊ะซะแล้ว มันคงซุ่มซ่ามทำอะไรหล่นลงไป
“อ่ะ นี่บัตรของนาย…” คิสเหลือบตามองที่ผมเล็กน้อยและได้แต่ยิ้มออกมา โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันยิ้มอะไรของมัน “นี่มันของฉันนี่หว่า” พูดจบคิสก็เก็บบัตรที่ผมไม่รู้ว่าบัตรอะไรเข้ากระเป๋าของมัน
“บัตรอะไร”
“บัตรคอนโดของฉัน เมื่อกี้จะหยิบโทรศัพท์ที่กระเป๋ากางเกงแล้วมันคงหล่นพอดี”
“อ๋อ โอเค” ผมมองคิสด้วยความสงสัยอยู่สักพัก ไม่รู้ว่ามันจะเล่นอะไรอีก แต่ก็ปล่อยผ่านไปในที่สุด
“เออ ต้นไม้” มันเรียกผมขึ้นในขณะที่มันกลับมานั่งที่โซฟา
“อะไร”
“หน้าแกอ่ะ รู้ยังว่าเป็นอะไร” คิสถามผมด้วยท่าทางดูเป็นห่วง
แต่ทว่าผมกลับคิดว่ามัน…ต้องการลองเชิง
“ก็พอรู้มาบ้างล่ะ แต่มันน่าแปลกมาก” ผมแกล้งลองเชิงมันกลับ อยากรู้ว่ามันจะต่อบทสนทนาผมยังไง
“จริงดิ น่าแปลกยังไงวะ” คิสเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันต้องมาจากคนวงในเท่านั้น” ผมหันไปจ้องหน้าคิส
“ไม่หรอกมั้ง ทำไมนายคิดแบบนั้น บางทีนายอาจจะพลาดเองโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้”
“ฉันระวังตัวเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ใช่ ฉันพลาดเองที่อาจจะไว้ใจคนผิดไป”
เรื่องที่ทำให้หน้าผมเป็นแบบนี้ได้ แม้แต่แฟนคลับที่ตามผมมานานยังไม่เคยรู้เลย เพราะทางค่ายต้องการปิดกลัวพวกแอนตี้แฟนรู้เข้า แล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่คนในวงกับผู้จัดการส่วนตัวเท่านั้นที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในครั้งนี้
“แล้วแกสงสัยใคร”
“ไม่รู้เลยว่ะ” ผมหันไปจ้องหน้าคิส เป็นเชิงบอกว่า จริงๆ แล้วผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของผมคือมันเนี่ยแหละ
“งั้นฉันจะเป็นคนช่วยแกสืบเอง” คิสตบไหล่ผม
พวกเราสองคนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ก็ไม่มีใครยอมเผยธาตุแท้ออกมาเช่นกัน
ถ้าไอ้คิสจะยังเล่นเกมส์แบบนี้กับผม ผมก็พร้อมที่จะเป็นคนแก้เกมส์มันเอง
2 อาทิตย์ผ่านไป
ในวันแถลงข่าวที่ผ่านมา มันทำให้ผมเป็นห่วงโบราแทบบ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย วันนั้นคนเดียวที่ผมมองอยู่คือเธอคนเดียวเท่านั้น สายตาของผมจับจ้องไปที่เธอตลอดเวลา สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก เหมือนมีคนประกบเธออยู่ตลอดเวลา และพูดจากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูท่าว่าจะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
พอออกมาผมรีบกวาดสายตามองหาเธอให้ทั่ว และพบว่าโบรากำลังเดินออกจากประตูบริษัท ด้วยสัญชาติญาณ ผมจึงกะจะวิ่งตามไป แต่ทว่าดันมีการ์ดหลายคนรีบมาประชิดตัวผมเสียก่อน ผมคิดจะเรียกเธอ แต่สมองก็สั่งว่าอย่าเลยดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวโบราจะเดือดร้อนเอาได้
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องกลับมาอยู่ที่คอนโดเดิม แต่ครั้งนี้มีคนอยู่เฝ้าหน้าประตูและข้างล่างผลัดเวรกันไปตลอด 24 ชั่วโมง จะมีแค่คนภายในอย่างวันนี้ที่ผู้จัดการมาหาที่ห้องและแม่ของผมเท่านั้นที่จะเข้ามาหาผมในห้องได้ หรือถ้าจะออกไปข้างนอกคือต้องออกไปซ้อมหรือทำกิจกรรมของวงเท่านั้น
หรือไม่ก็ต้องไปพบท่านประธาน ปาร์ค เค อย่างวันนี้เป็นต้น
“ท่านประธาน รออยู่ข้างในแล้วครับ” เลขาหน้าห้องเปิดประตูให้กับผมและกลุ่มบอดี้การ์ดที่ติดตามผมมา
ผมเดินเข้าไปในห้องที่กว้างขวางและดูสะอาดตาอาจด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกตกแต่งด้วยสีขาวเกือบทั้งห้อง
“ท่านประธานครับ” เลขายุนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานของท่านประธานเรียกเขาขึ้น
ประธาน ปาร์ค เหลือบสายตาจากเอกสารมามองที่ผมสักครู่ก่อนที่จะผายมือเป็นการบอกให้ผมนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา
“สวัสดีต้นไม้ ไปหาหมอมาเป็นยังไงบ้าง” ท่านประธานถามผมด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยแต่แฝงไปด้วยอำนาจ
“หมอว่าดีขึ้นแล้วครับ อีกไม่นานก็คงกลับมาปกติ”
“รักษาตัวนายเอาไว้ให้ดี อย่าทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะ”
“ครับ”
“ได้ข่าวว่าช่วงนี้สนิทกับผู้หญิงที่ชื่อ แพ็ค โบรางั้นเหรอ” ท่านประธานถามออกมาและก็ก้มลงไปอ่านเอกสารต่อเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจในคำถามอะไรมากนัก
“….” ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป เพราะผมรู้ดีว่าท่านประธานก็คงสืบเรื่องนี้มาดีแล้ว
“รู้รึเปล่า ว่าเด็กคนนี้เป็นน้องของแพ็ค โบมี”
“ใครนะครับ”
แพ็ค โบมี…
คือใครกัน เป็นน้องสาวของผู้หญิงคนนี้แล้วเกี่ยวอะไรกับผม
“ลืมไปว่านายไม่รู้จักกับแพ็ค โบมี”
“ทำไมเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง” ประธานวางปากกาลงและปิดเอกสาร
“ท่านต้องการเรียกผมมาคุยเรื่องอะไรกันแน่”
“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายไม่ค่อยพอใจในตัวบริษัทเท่าไหร่ที่กักบริเวณนาย”
“…” จะว่ายังไงดีล่ะ จะตอบว่าไม่พอใจมันก็ไม่ใช่ แต่จะพอใจก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน แต่จริงๆ แล้วผมก็เข้าใจดีนะว่าทำไมบริษัทเลือกที่จะกักบริเวณผมแบบนี้ ทั้งหมดคงเพื่อผลประโยชน์ของวงกรูมทั้งนั้นแหละ
“แต่ขอให้นายรู้ไว้ว่าที่เราแยกนายออกมา ก็เพราะตัวนายทั้งนั้น”
“ผมทราบดีครับ”
“ทางเราต้องการแยกนายจากคนที่ทำให้หน้าของนายเป็นแบบนี้”
“ท่านทราบ?”
ท่านประธานพยักหน้า
“แล้วก็มั่นใจแล้วด้วยว่าเป็นฝีมือของใคร”
“ใครครับ”
“เอาเป็นว่า นายไม่ต้องห่วงหรอกนะสำหรับเรื่องนี้ ทางเราจะดูแลนายให้ดีที่สุดก็แล้วกัน” ทำไมเขาถึงเลือกที่จะไม่ตอบผม ในเมื่อในตอนแรกก็เรียกผมมาคุยเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ
“ทำไม….” ผมกะจะถามอะไรท่านประธานต่อ
“วันนี้ฉันหมดธุระกับนายแค่นี้ ออกไปได้”
เมื่อท่านประธานออกปากไล่เองกลับมือ ผมจึงจำใจต้องลุกออกจากเก้าอี้และเดินออกไปด้วยคำถามที่ค้างในใจ
วันรุ่งขึ้น
ตอนนี้ผมอยู่บนรถกับเพื่อนๆ ในวงทุกคนยกเว้น คิส ที่เราต้องไปรับมันที่สุสานอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะไปสถานที่ถ่ายทำเอ็มวี มันเป็นสตูดิโอที่ทาง PK Entertainment สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ
ส่วนใหญ่แล้วเวลาอยู่บนรถแบบนี้ ผมไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับใครเท่าไหร่ จึงเลือกที่จะเอาหูฟังขึ้นมาเสียบหูเอาไว้ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดเพลงอะไรและหลับตาพักผ่อนเอามากกว่า
ไม่นานมากนัก รถของพวกเราก็มาจอด ผมลืมตาขึ้นมาและพบว่าเราถึงที่สุสานแล้ว มันเป็นสถานที่ที่มีอยู่ประมาณสามสี่ตึกได้ บริเวณโดยรอบก็มีสวนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามและดูสะอาดตา
“เฮ้ย ใครออกมากลับคิสฮยองอ่ะ” น้องเล็กช่างสังเกตอย่าง แทชิน พูดขึ้น เรียกความสนใจให้พวกเราหันไปมองตรงที่เขาชี้กันหมด
ตรงบริเวณหน้าตึกสุสานมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินออกมาพร้อมกัน พวกเขาดูเหมือนกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ และใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมที่ไม่เคยสนใจกับอะไรนอกหน้าต่าง ต้องหันมาสนใจในทันที
นั่นมัน…
แพ็ค โบรากับคิสนิ
สองคนนี้ออกมาพร้อมกันได้ยังไง
[Bora’s Part]
ต้องบอกตามตรงเลยว่าฉันตกใจมากที่เห็นคิสมาวางดอกไม้ตรงหน้าตู้เก็บกระดูกของออนนี่ฉัน ไม่เคยคิดว่าก่อนเลยว่าพวกเขาจะรู้จักกันเพราะก่อนหน้าที่ออนนี่จะเสีย ไม่เคยได้ยินชื่อของคิสมาก่อนเลยแม้แต่น้อย
แล้วที่ฉันเจอเขาเหมือนรู้จักกับออนนี่แบบนี้ จะไม่ให้ฉันตกใจได้ยังไงกันล่ะ
“อ้าว ช็อกไปเลย” คิสพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“…” จะไม่ให้ฉันเงียบได้ยังไงกัน เจอแบบนี้ เป็นใคร ใครก็พูดไม่ออกทั้งนั้นแหละ
“ไม่ต้องตกใจ พอดีอปป้าเป็นเพื่อนกับออนนี่เราน่ะ”
เป็นเพื่อนกับออนนี่ฉันเหรอ ทำไมฉันถึงไม่เห็นเคยรู้เลยล่ะ หรือเขาจะเป็นอะไรกับออนนี่
“อ่า” ฉันยังคิดไม่ออกว่าจะตอบเขาไปว่าอะไรดี ทำตัวไม่ถูกด้วย
“อปป้ามาเยี่ยมเพื่อนพอดีเลยมาหาออนนี่เราด้วย” คิสยังแทนตัวเองว่าอปป้าต่อไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันก็ตกใจอยู่ตั้งนาน” ฉันยิ้มตอบกลับไปให้กับเขา
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“อ๋อ จริงสิ” เขาเปิดกระเป๋า เหมือนจะหาของอะไรสักอย่าง แต่ก็เหมือนหาไม่เจอ “พอดีว่าอปป้าเก็บรูปเราได้ ว่าจะคืนอยู่หลายหน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คืนเลย เอ๋ มันอยู่ไหนล่ะเนี่ย” คิสอปป้า (คงต้องเรียกแบบนี้แล้วแหละมั้ง) ยังคงหามันต่อไปในกระเป๋า
“รูป? รูปอะไรเหรอคะ” ฉันถามเขาไปอย่างสงสัย
“รูปเรากับโบมีไง” อปป้าเงยหน้ามาตอบฉันและหาต่อไปในกระเป๋า
“อ่า อปป้าไปเจอมันที่ไหนเหรอคะ?!” ฉันถามออกไปด้วยความตกใจปนตื่นเต้นดีใจที่มีคนเจอรูปของฉันที่ตามหาอยู่นาน
“ตรงแถวคังนัมน่ะ บังเอิญมากเลยเนอะ”
“นั่นสิคะ”
ฉันรออย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขายังหามันไม่เจออยู่ดี
“ว้า ดูท่าจะไม่ได้เอามา ไว้อปป้าไปหาให้ที่คอนโด เจอเมื่อไหร่จะติดต่อเราไปนะ” คิสอปป้ายอมแพ้ที่จะหามันแล้ว
“จะติดต่อฉันผ่านทางไหนเหรอคะ” ฉันรีบถามออกไปเพราะกลัวว่าเขาจะลืม
“อืมมม…ขอไอดีกาเกาไว้แล้วกัน”
คิสหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าและยื่นมันมาให้กบฉัน โดยที่หน้าจอแสดงหน้าที่ให้ใส่ไอดีเพื่อแอดเพื่อนอยู่พอดี
“เอ่อ…” ใจนึงฉันก็คิดนะว่าควรจะให้เขาไปรึเปล่า แอบกังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“ทำไมเหรอ”
ถ้าฉันขอปฏิเสธไปจะดูน่าเกลียดมั้ยนะ…แต่มันแค่ไอดีกาเกาเอง ใครๆ เขาก็ให้กัน คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
ฉันพิมพ์ไอดีในโทรศัพท์ที่ยื่นมาให้และส่งกลับคืนให้กับเขา
“แอดเรียบร้อยแล้ว หาเจอเมื่อไหร่จะรีบติดต่อไปทันทีเลย”
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันโค้งให้เขาหลายๆ ที
“ไม่เป็นไรๆ แล้วนี่เรากลับทางไหน”
“กลับทางนั้นค่ะ” ฉันชี้ไปที่ทางออกหมายเลข 1
“ทางเดียวกันเลย ไปด้วยกันสิ”
“ขอคุยกับออนนี่แป๊บนึงได้มั้ยคะ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา งั้นอปป้ารอข้างนอกนะ” เขาบอกก่อนจะเดินออกไป
ฉันเดินเข้าไปทำความเคารพก่อนที่จะพูดคุยอะไรเล็กๆ น้อยๆ กับออนนี่ และเดินออกมาหาคิสอปป้าที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตู
พอพวกเราเดินออกมาตรงประตูหนึ่ง ก็เห็นรถตู้สีดำติดฟิล์มทึบคันหนึ่งที่คาดว่าคงเป็นรถที่มารับเขาจอดรอเอาไว้อยู่
“ให้ไปส่งมั้ย” อปป้าถามฉันขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันกลับรถบัสได้” ฉันรีบตอบกลับไปทันที
“เอางั้นเหรอ”
“ค่ะ ฉันชอบกลับรถบัสค่ะ”
“เรานี่ตลกดีนะ ฮะฮะ”
“แฮะๆ” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลับไป
“โอเค งั้นไว้เจอกันนะ”
“ค่ะ” ฉันโค้งให้เขาอย่างมีมารยาท
คิสอปป้าโบกมือบ๊ายบายให้ฉันก่อนที่จะเดินขึ้นรถ พอเห็นว่ารถได้แล่นออกไปแล้ว ฉันจึงเดินไปที่ป้ายรถบัส ไม่นานเกินรอรถบัสก็มาถึงพอดี
วันนี้คงถึงบ้านไม่เย็นนักหรอก
วันนี้เหนื่อยชะมัด ต้องตื่นไปแต่งหน้าให้ลูกค้าแต่เช้า แถมตอนบ่ายยังมีคลาสเรียนภาษาไทยอีกด้วย ดีนะที่วันนี้ไม่มีเรียนที่มหาลัย ระหว่างทางกลับบ้านฉันก็เปิดไปที่หน้ากระดาษที่เราเขียนตอบกลับกันไปมา อ่านทีไรไม่น้ำตาซึมก็ยิ้มเหมือนคนบ้าไปเลยแหละ
ถึง’พี่ต้นไม้’
ช่วงนี้เรียนหนักไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไรมากมายค่ะ ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นดี ไม่มีปัญหา มีติดเพียงอย่างเดียวคือ ตัวฉันเองค่ะ ที่รู้สึกว่าตัวเองโลภมากจนเกินไป อยากจะเจอพี่มากกว่าผ่านหน้ากระดาษแบบนี้ แต่ฉันรู้และเข้าใจดีค่ะ ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
แต่…มันต้องมีสักวันใช่มั้ยคะ ที่เราจะได้เจอกัน
ปล. รอวันที่จะได้เจอกับพี่ต้นไม้เช่นกันค่ะ
ใบหญ้า
ฉันลงท้ายชื่อตัวเองว่าใบหญ้า เพราะอยากให้ชื่อเราเข้ากันได้ดี ‘ต้นไม้-ใบหญ้า’ น่ารักดีใช่มั้ยล่ะค่ะ
ถึงใบหญ้า (ก็ได้)
ถึงเราจะไม่ได้เจอกัน แต่อย่างน้อยก็มีสมุดเล่มนี้ให้เราติดต่อกันนะ ดีกว่าไม่มีอะไรเลย จริงมั้ย ที่เธอถามมา คำตอบคือ ใช่ ต้องมีสักวันที่เราจะได้เจอกัน ถึงแม้มันดูท่าจะยังเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันจะทำให้มันเป็นไปได้อย่างแน่นอน เชื่อฉันสิ
ปล. อย่าไว้ใจใครง่ายๆ
ต้นไม้
อย่าไว้ใจใครง่ายๆ….
พี่ต้นไม้กำลังจะบอกอะไรฉันกลายๆ รึเปล่า แต่เขากำลังหมายถึงใครกันล่ะ หรือว่าเขาจะหมายความว่า ช่วงนี้ที่เราไม่ได้เจอกันนานๆ ก็อย่าไปไว้ใจใครง่ายๆ
อืมมม… มันก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละมั้ง ลองถามเขากลับไปดูดีกว่า เผื่อว่าจะได้คำตอบที่เคลียร์กว่านี้
+กาเกา+
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อของคิสอปป้าปรากฏขึ้นที่หน้าจอ เหมือนกับว่าเขาจะส่งรูปอะไรมาให้ฉันดูสักอย่าง พอเปิดขึ้นมาดูก็เห็นว่ารูปที่คิสอปป้าส่งมาคือรูปของฉันกับออนนี่
ว้าว เขาคงหามันเจอแล้ว!
[หาเจอแล้ววว มาเอาเลยสิ] เขาพิมพ์มาหา
[เอ๋ ให้ไปวันนี้เลยเหรอคะ]
[มาวันนี้จะดีมาก เพราะหลังจากนี้ อปป้าจะไม่ว่างแล้ว]
[เอ่อ คือว่า] ฉันอยากจะบอกปฏิเสธเขาไป เพราะคงไม่ดูไม่ดีที่ฉันไปขึ้นคอนโดคนที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมาย
[มาวันนี้เถอะ ไม่งั้นคงอีกหลายเดือนเลยนะ]
ทำไงดี ไอ้อยากได้คืนก็อยากได้
อย่างที่บอก มันคือรูปคู่รูปเดียวของฉันกับออนนี่ ถ้าได้มันกลับคืนมายิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ทว่าจะให้ฉันขึ้นคอนโดไปสองต่อสองมันก็ยังไงอยู่นะ
[ซอฮุนก็อยู่ด้วยนะ]
อ้าว ซอฮุนก็อยู่กับเขางั้นเหรอ
ลองกาเกาไปหาซอฮุนก่อนดีกว่า
ฉันเลือกที่จะยังไม่เปิดอ่านของคิสอปป้า แต่แชทไปหาซอฮุนแทน
[ซอฮุน นายอยู่ที่คอนโดคิสอปป้าใช่มั้ย]
ไม่ตอบ…
คือไรคะเพื่อน เอาไงดี รูปก็อยากได้ กลัวก็กลัว
เอาวะ ไปก็ไป ตอนนี้ก็ตอนกลางวัน ซอฮุนเพื่อนตั้งแต่เด็กของฉันก็อยู่ที่นั่นด้วยนิ แล้วคนอย่างคิสอปป้าก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรด้วย ไปเอาวันนี้เลย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
คิดได้ดังนั้น แทนที่จะตรงดิ่งกลับบ้าน ก็เปลี่ยนเป็นไปที่คอนโดของเขาแทน
คิสอปป้าส่งแผนที่ของคอนโดเขาผ่านทางแอพพลิเคชั่น ดูแล้วก็ไปไม่ได้ยากอะไร ไม่ต่างจากคอนโดของพี่ต้นไม้ นั่งรถประมาณ 45 นาที ก็มาถึงที่คอนโดของเขาแล้ว
ฉันเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่และแลกบัตรเอาไว้ตรงชั้นล่าง ก่อนที่ฉันจะได้ขึ้นไป เหมือนทางรีเซปชั่นต้องโทรไปหาเจ้าของห้องให้คอนเฟริมก่อน ถึงจะปล่อยฉันไปได้
เมื่อมาถึงที่ห้องของคิสอปป้าแล้ว ฉันก็กดกริ๊งที่ริมทางขวาข้างประตู
ไม่นานคิสอปป้าก็เปิดประตูและผายมือให้ฉันเดินเข้าไป ฉันกวาดสายตามองหาซอฮุน แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนตัวเอง
แปลก…
“ซอฮุนล่ะคะ” ฉันตัดสินใจถามออกไป
“กลับไปแล้ว เห็นบ่นว่าเหนื่อยๆ” เขาตอบด้วยสีหน้าที่ยังยื้มแย้มเหมือนเดิม
“อ๋อ…”
ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้ว
ซอฮุนที่ฉันรู้จักไม่เคยพูดว่าเหนื่อย มันชักจะยังไงๆ อยู่แล้วสิ
“นั่งก่อนสิ รูปอยู่ในห้องนั้น เดี๋ยวหาอะไรให้เรากินแล้วเดี๋ยวจะไปหยิบมาให้นะ” เขาชี้ไปตรงห้องๆ หนึ่งที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคือห้องอะไรกันแน่
“ค่ะๆ” ฉันได้แต่พยักหน้า แต่ทำเป็นนั่งตามที่เขาบอกไปก่อน
เมื่อเห็นเขาหายลับไปในครัว ฉันก็รีบส่งข้อความไปหาซอฮุน เพื่อให้มันรีบกลับมาหาฉันโดยด่วน!
[ซอฮุนกลับมาที่ห้องคิสอปป้าเดี๋ยวนี้!]
ขอบคุณสวรรค์ เขาอ่านมันสักที
[หา? อะไรของเธอเนี่ย]
[ก็นายเพิ่งออกจากห้องคิสอปป้าไปไม่ใช่เหรอไง]
[เพี้ยนแล้วยัยบ๊อง ฉันจะไปที่ห้องของคิสฮยองทำอะไรล่ะ] เอาแล้วสิ ลางสังหรณ์ฉันไม่บอกว่า ฉันควรจะรีบออกจากห้องนี้โดยด่วนเลย
[นายไม่ได้นัดกับคิสฮยอง?]
[ไม่ได้นัด]
เอาแล้วไง
จะกลับตอนนี้เลย ก็ไม่ได้ ฉันอยากได้รูป
ฉันต้องรีบหารูปใบนั้นให้เจอก่อนที่เขาจะออกมาจากครัว ฉันดูแล้ว คงพอมีเวลาอยู่บ้าง ถ้าเกิดว่าฉันเห็นเขาออกมาเมื่อไหร่ จะรีบขอตัวกลับบ้านทันที
ฉันจึงรีบเข้าไปที่ห้องนั้น แล้วรีบหารูปของฉันตามลิ้นชักตั้งแต่ชั้นแรกยันชั้นสุดท้ายทันที เปิดมันเกือบจะทุกอันแล้ว ก็ยังไม่เจอรูปเลย งั้นก็คงเหลืออันสุดท้ายแล้วล่ะ
ลิ้นชักล้างสุดริมฝั่งขวา
เมื่อฉันกระชากเปิดมันออกมา ฉันก็เห็นรูปของฉันถูกวางทับซีดีอันหนึ่งเอาไว้อยู่ด้วยความกลัว จึงรีบหยิบรูปอันนั้นเก็บเข้าใส่กระเป๋าทันที
ตาของฉันก็ดันไปสะดุดเข้ากับซีดีแผ่นหนึ่งที่หลังปกเหมือนกันเป๊ะๆ กับที่ฉันเจอในห้องของออนี่ไม่มีผิด ปกหลังสีดำลายโบสถ์ ยังติดตาฉันไม่หาย ต่อมความอยากรู้อยากเห็นมันมักจะทำงานในเวลาที่ไม่ควรอยู่เสมอ และฉันก็แพ้ให้กับไอ้ต่อมนี้ทุกที
ฉันมองซ้ายที มองขวาที ก็ยังไม่เห็นว่ามีใครเดินมาจึงหยิบซีดีนั่นขึ้นมาดู ฉันถึงได้เห็นว่ามันมีลิสต์เพลงที่เหมือนอัลบั้มแรกของวงกรูมไม่มีผิด
เห็นดังนั้น ฉันจึงรีบพลิกขึ้นมาดูตรงหน้าปกทันที เป็นปกที่มีสมาชิกของวงกรูมยืนเรียงกันแต่ทว่า…คนที่ยืนในตำแหน่งที่ 4 ที่ควรจะเป็นพี่ต้นไม้ กลับมีใครอีกคนยืนอยู่ในต่ำแหน่งนั้นแทน
เจ…แฟนหนุ่มของออนนี่!
สิ่งที่ฉันเคยได้ยินมาทั้งหมด ก็เริ่มปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน
‘ตอนนั้นฉันเป็นเพียงเมมเบอร์ตัวเสริมที่เข้ามาแทนเมมเบอร์ที่สละสิทธิ์ไป ไม่มีใครยอมรับฉันสักคน พอคุยกับคนในวง ทุกคนก็เมินฉัน หรือไม่ก็ถามคำตอบคำ บรรยากาศในวงทุกอย่างอึมครึมไปหมด แถมตอนนั้นฉันก็ยังพูดภาษาเกาหลีได้ไม่ค่อยเก่ง จะสื่อสารกับใครก็ยากไปหมด บางทีมันก็ทำให้ท้อบ้างเป็นธรรมดา’
เมมเบอร์ตัวเสริมงั้นเหรอ…
หรือว่าพี่ต้นไม้จะเป็นเมมเบอร์ที่เข้ามาแทนเจอกันล่ะ
คนที่ยืนในตำแหน่งที่สี่ อาถรรพ์หมายเลขสี่….
‘เขาบอกว่าวงกรูมเจออาถรรพ์หมายเลขที่ 4 เข้าให้แล้วน่ะสิ’
‘อันนี้เป็นปริศนาที่ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเลขสี่ เลขแห่งความตาย…’
เลขแห่งความตาย…
เดี๋ยวนะ ตอนที่ฉันเจอคิสอปป้าที่เก็บกระดูก เขาบอกว่าเขาแวะมาเยี่ยมเพื่อนของเขาเลยมาหาออนนี่ของฉันด้วย
เจ คือเพื่อนของคิส…
มีใครที่ไหนจะมาเยี่ยมเพื่อนที่สถานที่เก็บกระดูก นอกซะจากเพื่อนคนนั้น…
ตายไปแล้ว
“ทำอะไรน่ะ!”
TALK WITH พิมพ์อักษร
ตอนที่แล้วลืมเขียนทอล์ค มาเขียนทอล์คตอนนี้รวดเดียวเลยแล้วกันค่ะ เดินทางมาถึงวีคสุดท้ายแล้ว ยอมรับตามตรงเลยว่าเครียดมาก ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่คอยปลอบ และคอยบอกให้ใจเย็นๆ ทำให้ดีที่สุดนะ เราอยากจะบอกกับทุกคนว่า เราดีใจที่มีพวกเธออยู่ข้างๆ เราไปตลอดโครงการ
ขอบคุณคณะกรรมการที่ไว้ใจให้พิมพ์ติดเข้ามาเป็น 1 ใน 20 คนของโครงการนักเขียนหน้าใสปี 9 ด้วยค่ะ อยากจะบอกว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมากและอยากให้มีต่อไปเรื่อยๆ เลยค่ะ
ขอบคุณพี่ลูกชุบที่คอยให้คำแนะนำพิมพ์ดีๆ มาโดยตลอด พิมพ์พยายามแก้ไขตามที่พี่บอกให้ได้ทุกจุดเลยนะคะ รักพี่นะและจะคอยติดตามผลงานของพี่ต่อไปค่ะ คนอื่นอาจจะชอบ Sin Story แต่พิมพ์ชอบ set Romeo กับ Triple Nine ของพี่นะคะ อิอิ
ขอบคุณคนอ่านที่มาคอมเมนต์ให้ทุกคนและทุกเสียงคะแนนโหวต ทุกคอมเมนต์ ทุกโหวต มีค่ามากกับพิมพ์จริงๆ ขอบคุณอีกครั้งนะนะ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณป๊า ม้า ที่ไม่เคยห้ามให้พิมพ์ทำตามความฝันเลย ขอบคุณป๊า ม้า เจ๊ ที่คอยเป็นกำลังใจและคอยถามไถ่เราเรื่องประกวดตลอดมา อยากบอกว่ารักทุกคนที่สุดในโลกเลย
ขอบคุณทุกคนจากใจจริงค่ะ และ หวังว่าเราจะได้เขียนเรื่องนี้ต่อนะ มีอีกหลายฉากเลยที่อยากจะเฉลยและเขียนมันออกมาให้ทุกคนได้อ่านกัน J
เพิ่งได้มีโอกาสมาตามปี 9 ตอนช่วงที่ทุกคนลงตอนที่ห้ากันแล้ว (จริงๆ ว่าจะไม่ล็อกอินเม้นแต่ระบบดันต้องล็อกอินถึงเม้นได้ 555) แต่จะบอกว่าตามอ่านทุกเรื่องมั้ย? ก็ไม่ค่ะ 5555 อ่านเรื่องที่ตัวเองสนใจเฉยๆ แหะๆ และอ่านเรื่องนี้เพราะคำโปรยที่ว่า ‘ช่างแต่งหน้าใต้ดิน’ เลยล่ะ คือแอบสงสัยว่ามันเป็นยังไง พออ่านไปหนึ่งตอนรู้สึกแบบ เฮ้ย! พล็อตน่าสนใจอ่ะ*O* ที่สำคัญคือทางนี้ก็เป็นติ่งเกาหลีวงที่มีสมาชิกคนไทยด้วย แอร้ยยย~ อยากทำอาชีพแบบโบราขึ้นมาทันที (ฮา)
ตั้งแต่อ่านมาจนถึงตอนสุดท้ายของวีคนี้ค่อยข้างชอบโทนเรื่อง น่ารักกรุบกริบให้อมยิ้มตามแถมยังมีปมเรื่องแง้มออกมาทีละหน่อยดึงให้อยากรู้อยากอ่านต่อในตอนต่อไป แต่ก็มีตอนที่รู้สึกว่าแรนดอมฉากแบบปุบปับเหมือนกัน (ตอนไร่สตรอว์เบอร์รี) แต่รวมๆ แล้วก็อ่านลื่นไหลมากค่ะ ชอบการผูกปมต่อปมที่ค่อยๆ เฉลยออกมาทีละนิดๆ (อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว555) แถมตอนสุดท้ายก็ทิ้งปมให้ค้างคาไปอีก อยากรู้ว่าคิสน่ะใช่คนร้ายหรือเปล่า มีแผนอะไรมั้ย แล้วเรื่องของคิส เจ แล้วก็โบมีนี่มันยังไง ที่สำคัญเหมือนต้นไม้จะไม่ค่อยถูกกับคิสด้วย ดูแบบระแวงๆ (เดาเอาจากบทสนนา555) สองคนนี้มีเรื่องอะไรกันนนน ฮืออออ อยากอ่านต่อ 5555
แต่เอาจริงๆ นะ แอบคิดว่าคิสไม่ใช่คนร้ายขนาดนั้นอ่ะ (เดาเอาจากคำบอกของแม่หมอ ฮา!) ที่ร้ายกาจจริงๆ คิดว่าเป็นประธานกับเลขาของค่าย เอ๊ะ หรือว่าไม่ใช่? ไม่รู้ล่ะ! แต่ #ทีมคิส 5555 คืออยากบอกว่า ส่วนตัวเนี่ยชอบคาร์แรคเตอร์ของนาง (ถึงจะออกมาไม่มากก็ตาม) แอบคิดว่าคิสคือตัวละครที่ติดกับปมหลักมาที่สุดแล้ว ดูลึบลับและไม่รู้ว่าจริงๆ เป็นคนยังไง ค่อยข้างน่าค้นหา (อวยสุด คิสนี่แหละเมนเรา ขอถวายตัวเป็นเจ้าสาวของคิสวงกรูมค่ะ! 555) แต่ก็ชอบคาร์แรกเตอร์ของโบรากับพี่ต้นไม้เหมือนกันน้าาา อย่างโบราเนี่ยอ่านก็แลดูเหมือนตัวเองสุดๆ 555555555555 พี่ต้นไม้ก็น่ารัก ดูอบอุ่นๆ (ชอบฉากตรวจสมุดการบ้านแล้วแก้ให้โบรามากจริงๆ มุ้งมิ้งสุด ฮือออ)
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ จะติดตามผลงานนับแต่นี้เป็นต้นไป สู้ๆ โชคดีค่า~~ >3<

พี่ว่าเราจัดระเบียบการบรรยายดีขึ้นนะ ไล่ลำดับความสำคัญถูก แล้วก็ใส่อารมณ์ไว้ถูกจุด ไม่ดูล้นๆ เหมือนช่วงแรก พลอตน่าสนใจนะ แต่พี่ว่าก็ยังมีเรื่องบังเอิญติดๆ กันเยอะไปหน่อย ถ้าลดความบังเอิญน้อยกว่านี้อาจจะทำให้เรื่องลื่นไหลมากกว่านี้ก็ได้ ซึ่งมันก็ต้องอยู่ที่การวางพลอตแต่แรกอ่ะนะ ถึงยังงั้นพี่ก็ชอบจุดของพี่สาวและคิสที่ทำให้มีเรื่องราว ถ้าเกิดเชื่อมได้เนียนกว่านี้จะดีมากอ่ะ
ถ้าเกิดไปงานประกาศรางวัลก็เจอกันน้า