Natsume

[JLS09] Telephobia สะดุดรักเมื่อพักสาย

เพราะอุบัติเหตุวันนั้นที่ทำให้เขาและเธอได้เจอกัน ทำให้ทุกวันมีเหตุผลให้พยายามเพื่ออีกฝ่าย และในการเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย เขาอยากให้เธอระลึกเอาไว้ว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: 7. สายเรียกเข้าที่เจ็ด : ปัญหาของเธอก็คือปัญหาของฉัน

7. สายเรียกเข้าที่เจ็ด : ปัญหาของเธอก็คือปัญหาของฉัน



ห้องทำงานของหมอปราชญ์เป็นระเบียบอย่างที่คิด ก่อนหน้านี้ผมก็พอจะเดาได้ว่าเขาต้องเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ และเข้มงวดอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคุมต้นหนาวไม่อยู่ในบางครั้ง

เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน หลังจากเขาล็อคห้องทำงานเรียบร้อย ชายหนุ่มบอกว่าเคยมีกรณีที่มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องจึงต้องทำอย่างนี้ แต่ที่ผมสงสัยมากกว่าก็คือ...

“คุณจะคุยอะไรกับผม”

“เรื่องสาเหตุที่ฝนเป็นแบบนี้แล้วก็ก่อนอื่น...ผมอยากถามอะไรคุณหน่อย” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองตรงมาเหมือนพยายามจะค้นหา ผมยิ่งไม่เข้าใจ

เขาจะสนใจผมทำไม…

หรือเพราะว่าผมเป็นคู่แข่งม้ามืด แต่ตัวเขาเองก็เป็นคู่หมั้นไม่ใช่หรือ

“อะไรครับ?”

“คุณ...ชอบปลายฝนใช่มั้ยครับ” จู่ ๆ ก็ยิงลูกตรงโดยไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้า ผมแอบสะดุ้ง

เขารู้… แต่ก็ไม่แปลก เพราะผมแสดงออกโจ่งแจ้งซะขนาดนั้น

“ถ้าผมตอบว่าใช่… แล้วมีอะไรเหรอครับ” ยอมรับว่ากึ่งนึงคือแอบพาล ผมก็ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ขนาดที่พอมีใครมาบอกว่า ‘เลิกยุ่งกับเธอซะ’ แล้วจะเลิกง่าย ๆ หรอก

“คุณชอบฝน...เพราะอะไรเหรอะครับ” คำถามนิ่มๆ ที่ทำให้ผมต้องย้อนคิดไปถึงจุดเริ่มต้น…

มันไม่ใช่วันที่เราเจอกันครั้งแรก…

และไม่ใช่เพราะว่ารูปที่ผมเห็นจากมือถือต้นหนาว...




ตอนนั้น ผมอยู่ปีสอง...มีงานของนักเขียนคนหนึ่งที่ชอบมาก ชอบเป็นบ้าเป็นหลังถึงขนาดตามซื้อนิตยสารทุกเล่มที่มีงานของเธอ จนได้รู้ว่าเธอไม่ได้ลงงานประจำ จะมีแค่บางเล่มเท่านั้นที่ลง

นามปากกาของนักเขียนคนนั้นก็คือ ‘ปลายกันยา’

ผมนับถือในทัศนคติและการใช้ชีวิตของเธอที่เล่าผ่านตัวอักษรมาก ผู้หญิงตัวคนเดียวที่มีโรคประจำตัว แต่ยังพยายามใช้ชีวิตเต็มที่และมองโลกในแบบที่ทุกคนไม่มอง

การมองโลกในแง่ร้าย ไม่ได้หมายความว่ามันจะแย่เสมอไปค่ะ

อาจจะฟังดูเข้าใจยาก สำหรับคนที่มีพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่นและปลอดภัย แต่การมองโลกในแง่ร้าย สามารถช่วยเซฟจิตใจตัวเราเองจากเหุตการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้

ถ้าสิ่งที่เราคิด คือเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เราก็จะระแวดระวังพยายามทุกทางไม่ให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น และเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เลวร้ายเหมือนที่คิดไว้ ก็จะโล่งใจยิ่งกว่าการพยายามมองโลกในแง่ดีเสียอีก

‘เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เลวร้ายขนาดที่เราคิด’

ผมได้แต่สงสัย ว่าเธอเผชิญชีวิตมายังไงจนถึงทุกวันนี้

ในโลกที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็น จนแทบจะกลายเป็นปัจจัยที่หกไปแล้วนี้ ทำให้เราสูญเสียความสัมพันธ์ในรูปแบบหนึ่งไปค่ะ เคยสงสัยมั้ยคะว่าเมื่อก่อน ทำไมผู้คนถึงมีความสุขมากเมื่อได้พบหน้ากัน...

เพราะช่วงเวลาที่ได้สนทนากันต่อหน้า คือช่วงเวลาที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

เทคโนโลยีได้มอบความสะดวกสบายให้โดยแลกกับความทรงจำที่ล้ำค่าเหล่านี้…

สำนวนการเล่าของเธอ แฝงความเป็นเด็ก แต่ก็เต็มไปด้วยรูปแบบการพูดของผู้ใหญ่

ผมตามหาเสมอมาว่าเธอเป็นใคร เพราะงานเขียนของเธอมีหลากหลายสาขา โผล่ทั้งในนิตยสารวิทยาศาสตร์ พืชพรรณ วรรณกรรม แม้กระทั่งดาราศาสตร์หรือชีวจิต ก็ยังเคยอ่านเจอ

จนกระทั่ง…

‘แกยังไม่เลิกบ้าซื้อนิตยสารหารูปนักเขียนอีกเหรอวะ’ คิมถามผมขึ้นในช่วงที่กำลังจะจบปริญญาตรี

‘จนกว่าฉันจะเจอตัวจริงของนามปากกาปลายกันยานั่นแหละ หายากเป็นบ้า งานอีเว้นท์ก็ไม่ไป ขนาดออกนิยายของตัวเองแล้วก็ยังไม่มางานจับมือแฟนคลับเลย’ ผมตามงานเธอมาเป็นเวลาสองปี โดยที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา มีเพียงตัวหนังสือของเธอเท่านั้นที่ช่วยเหลือผมหลายครั้งหลายครา

ไม่ว่าจะตอนที่ทำโปรเจคจบก็ดี เลือกที่ฝึกงานก็ดี ตอนจะเลือกเรียนต่อโทก็ดี ทัศนคติของเธอเปิดมุมมองให้ผมได้คิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างให้ดีขึ้น ก่อนที่จะเลือกเดินตามที่ตัวเองต้องการ

‘แล้วเรื่องพี่สาวต้นหนาว เอาไง?’ ความจริงผมเริ่มยอมแพ้แล้วล่ะ ลินซี่เพิ่งมาขอคบเมื่อวันก่อน ผมบอกปัดหล่อนว่าขอเวลาคิด แล้วไปต่อรองกับต้นหนาว ...ถ้ามันยอมให้ผมเจอพี่สาว เรื่องลินซี่ผมจะช่วยมันเอง

แต่ต้นหนาวปฏิเสธข้อเสนออย่างไร้เยื่อไย

‘ยังไม่รู้เลยว่ะ’

‘เอ้า! แล้วจะปล่อยไว้งี้อะนะ’ ผมกำลังนั่งเปิดนิตยสารดูที่ใต้คณะ รอบนี้ซื้อมาสี่เล่มตอนไปงานหนังสือ เห็นเขียนพาดไว้ด้วยว่าสัมภาษณ์นักเขียนชื่อดังปลายกันยา หวังว่าจะมีรูปอย่างน้อยสักรูปก็ยังดี

‘ไอ้ยู...เจ้ากรรมนายเวรแกมาโน่นแล้ว’ ยังไม่ทันจบประโยคดี สาวสวยผมบลอนด์ก็โถมตัวเข้าใส่

‘ยูขา!!’

‘ลินซ์ ผมยังไม่ว่างคุยกับคุณ’ ผมเลือกใช้คำสุภาพเพื่อสื่อให้เธอรู้สึกตัวว่าผมไม่ได้ชอบการสกินชิพ* กันแบบนี้ ตรงกันข้ามออกจะอึดอัดด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่าเจ้าหล่อนคือคนที่รุ่นน้องแอบชอบ

(*สกินชิพ คือการแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายแบบสนิทสนม)

เธอพูดอะไรต่อผมก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ ตอนนั้นสมาธิไปรวมอยู่กับหน้าหนังสือเมื่อเปิดเจอคอลัมน์ที่สัมภาษณ์นักเขียนนามปากกาปลายกันยาพอดี

บทสัมภาษณ์คุณปลายกันยา นักเขียนจากดินสู่ดาว เจ้าของรางวัลเรื่องสั้นสะท้อนสังคม Younger Writer ของปีนี้… สาวสวยที่เผชิญกับฝันร้ายในจิตใจ และพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ...

ภาพถ่ายของนักเขียนในดวงใจที่ผมเห็น ทับซ้อนกับรูปที่ไอ้คิมเคยให้ดูในมือถือของต้นหนาว

ปลายกันยา… ปลายฝน!

พวกเธอคือคน ๆ เดียวกัน!!

ท่ามกลางความตกตะลึงนั่นเองที่เกิดเรื่อง...

‘ยูคะ...ตกลงว่าเราคบกันแล้วใช่มั้ยคะ?’ ลินซี่ถามผม ซึ่งไม่ได้สนใจฟัง เพราะโฟกัสอยู่ที่ใบหน้าของนักเขียนที่ชื่นชอบรวมถึงเป็นแรงผลักดันมาตลอด และตอบกลับแบบขอไปที

‘เออ...รู้แล้ว’

‘เฮ้ย!! ไอ้ยู’ เสียงตบโต๊ะของไอ้คิมดังพอที่จะทำให้ผมได้สติ และเมื่อหันมาก็พบว่า…

ต้นหนาวยืนอยู่ตรงนั้น

‘เฮอะ… สุดท้ายนายก็แค่โกหก’ รอยยิ้มเย็นและน้ำเสียงแดกดันของมันพุ่งตรงเข้าแสกหน้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็เลิกเรียกผมว่า รุ่นพี่ และความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เปลี่ยนไปจนไม่สามารถเป็นเหมือนเดิมได้อีก

ผมคบกับลินซี่ได้แค่เดือนกว่า ๆ ก็เป็นฝ่ายขอเลิกเอง ยังไงซะตอนคบกันมันก็แบบขอไปทีอยู่แล้วจะเลิกกันด้วยเหตุผลแปลก ๆ คงไม่เป็นไร

ซะที่ไหน…

ต้นหนาวยังระแวงไม่เลิกเหมือนรู้ว่าผมมีแผนการในใจยังไงยังงั้น พอรู้ว่าผมโสดก็ไปขอคบลินซี่ทันทีแล้วพามาให้เห็นหน้าบ่อย ๆ เหมือนตั้งใจจะใช้ลินซี่มากันผม

ซึ่งสาวเจ้าก็ให้ความร่วมมือดีเสียด้วย

บอกตามตรงว่า การที่ลินซี่มาขอคบกับผม ไม่ใช่เพราะความรักหรือความชอบอะไรหรอก สาวมั่นใจไฟแรงสูงอย่างนั้นน่ะหรอ จะวิ่งตามผู้ชาย ไม่มีทางซะล่ะ เธอก็แค่ ‘เลือก’ คู่ควงที่เป็นหน้าเป็นตาให้เธอได้เท่านั้น ซึ่งถัดจากผมไปเป็นต้นหนาว ก็ไม่ได้ดูแย่อะไร ซ้ำยังเสริมความฮอตให้เธอได้อีกต่างหากว่ามีคนใหม่ทันทีที่โสด ก็สวยเลือกได้มีหลายคอลเลคชั่น…

แต่เพราะข่าวที่ออกไปว่าผมเป็นคนขอเลิกก่อนคงทำให้เธอเสียหน้าไม่น้อย นี่ถึงได้มาตามรังควาญเอาคืนกันสินะ...

ผมก็เลยไม่ว่างไปตามหาปลายฝนซักที มีแค่รูปที่ตัดมาจากนิตยสารเก็บอยู่ในกระเป๋าตังค์เท่านั้นที่คอยเตือนใจผมว่า ‘ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ผมตามหามาตลอด’ ไม่ว่าจะจากเรื่องที่สนใจเพราะต้นหนาวหวง หรือเรื่องที่เธอเป็นนักเขียนในดวงใจของผมก็ดี

ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกันโดยไม่มีเหตุผล…

ซึ่งผมขอคิดเอาเองว่ามันคือพรหมลิขิต…




“ทำไมถึงถามอย่างนั้นหรือครับ” ผมจ้องหน้าอีกฝ่าย หมอปราชญ์ยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหัว

“เด็กคนนั้นเป็นคนที่เข้าถึงยากครับ เธอคิดอะไรอยู่บางทีผมก็เดาไม่ออก” มาอีหรอบนี้คือจะกันท่ากันใช่มั้ย… ประมาณว่า ‘ขนาดผมอยู่กับเธอมานานยังไม่เข้าใจเลย คุณจะไหวเรอะ’

“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจก็คือ เธอไม่ได้กลัวอะไรอย่างไร้เหตุผล” เขาวางซองเอกสารลงบนโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาจนรู้สึกได้ บรรยากาศรอบ ๆ เปลี่ยนไป ผมเลยหยุดตั้งป้อมความเป็นอริ

ต้องมีอะไรที่สำคัญแน่ ๆ …

“สิ่งที่ผมจะให้คุณดูต่อไปนี้ ความจริงเป็นการผิดจรรยาบรรณที่ร้ายแรงของคนเป็นแพทย์ เพราะเราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลการรักษาได้หากว่าคนไข้ไม่ยินยอม แต่ผมจะขอใช้สิทธิ์ในการเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเพื่อบอกเล่าเรื่องนี้กับคุณ” แล็ปท็อปที่วางอยู่บนโต๊ะถูกเลื่อนมาตรงหน้า เขาใส่แผ่นซีดีลงไปและเปิดให้ผมดู

“นี่เป็นกล้องวงจรปิดที่บ้านฝน… ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับแม่ผม ปลายฝนกับต้นหนาวเจออะไรมาเยอะมาก ต่อให้ผมอยากเล่าก็คงเล่าให้คุณฟังได้ไม่หมด” พูดแบบนี้แสดงว่าไม่คิดจะเล่าตั้งแต่แรก

“รวมถึงเรื่องที่ฝนเคยโดนลักพาตัวด้วยน่ะหรือครับ” ผมลองถาม และก็จริงดังคาด ชายหนุ่มทำตาโต

“ต้นหนาวเล่าให้คุณฟังเหรอครับ”

“ครับ…”

“...ถ้าคุณสนิทถึงขั้นตาต้นเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมก็ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว” .ใบหน้าของเขาคล้ายโล่งอก

ทำไม…

ผมได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ เมื่อคุณหมอเริ่มอธิบายอีกครั้ง

“ในภาวะเครียดสมองคนเราจะพยายามปรับตัวเพื่อป้องกันตนเอง เป็นกลไกทางจิตใจครับ หลายคนแสดงออกว่าลืมเรื่องราวนั้นไป ไม่รู้จัก จำไม่ได้ แต่ในกรณีของปลายฝน เธอเปลี่ยนมันเป็นอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น” ภาพบนหน้าจอแสดงให้เห็นว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาตามทางเดิน มุมกล้องถ่ายจากที่สูงและคุณภาพไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ผมก็พอจะดูออกว่านั่นคือปลายฝน

“อ๊ะ!” เพียงครู่เดียว สาวน้อยในวิดีโอก็ลงไปนั่งกอดเข่า คู้ตัวลง ยกสองมือขึ้นไว้ข้างศีรษะคล้ายเอามือปิดหู แล้วถอยกรูดไปตามทางเดิน

“เกิดอะไรขึ้นครับ!”

“เสียงโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติน่ะครับ… แต่ตอนนั้นเธอก็ยังไม่ได้กลัวโทรศัพท์รุนแรงหรอก” วิดีโอเล่นต่อไป ปลายฝนในวัยมัธยมสะดุ้งเฮือกเป็นพัก ๆ ชั่วขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้น เธอหันหน้าไปทางประตูบ้านตลอดเวลา

“หมายความว่ายังไงกัน” แค่ภาพไม่อาจเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ถ้าเป็นตามที่คนตรงหน้าว่า เธอยังไม่ได้กลัวเสียงโทรศัพท์ แต่ท่าทางหวาดกลัวนั่นคืออะไร…

“ปลายฝนไม่ยอมให้กลไกทางจิตใจทำงาน เพราะเธอระลึกถึงแต่สิ่งที่สำคัญกว่าครับ” หมอปราชญ์อธิบาย ภาพในคลิปหยุดเล่นเพียงเท่านั้น เมื่อมีผู้ชายใส่แว่นวิ่งเข้ามา

“ผมรู้ตัวช้า… และกว่าจะได้เห็นวิดีโอนี้เรื่องราวมันก็บานปลายมากแล้ว ผมยอมรับผิดและคิดว่าคงชดเชยให้เด็กพวกนั้นไม่ได้ทั้งชีวิต แต่ก็อยากให้พวกแกมีความสุขครับ” คราวนี้เขาเลื่อนไปที่ไฟล์เสียง แต่ก่อนจะเปิดมัน คนใส่แว่นหันกลับมาถามผมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ถ้าคุณได้ฟังเสียงนี้ จะถอยกลับไม่ได้แล้วนะครับ… คิดว่ามันเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับคุณที่มีเรื่องอื่นต้องดูแลหรือเปล่า…” เขาเว้นช่วง

“ขอโทษครับ แต่ผมลองสืบเรื่องของคุณแล้วพบว่า คุณมีน้องสาวหูหนวกอีกคนที่จะต้องดูแล” ทำการบ้านมาดี… บางทีอาจจะได้ข้อมูลแบบละเอียดยิบเลยด้วยซ้ำ ผมรู้ วงการแพทย์กว้างขวางและช่วยเหลือกันไม่ขาด คนรู้จักที่เป็นหมอของผมก็มี ไอ้คิมเพื่อนผมก็เป็นหมอ(หมา) อยู่ในวงการเหมือนกัน

“ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าเด็กคนนั้นอาจจะช่วยปลายฝนได้” เหมือนที่เธอดีขึ้นจากการเล่นกับญาญ่า ข้อนี้ผมสังเกตเห็นเอง ฝนยิ้มและหัวเราะบ่อย ในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน

“...นั่นสินะครับ”

“เสียงบางช่วงอาจจะไม่ชัด ขอโทษด้วยนะครับ พอดีมันเป็นเครื่องอัดรุ่นเก่าสมัยนั้นที่ผมแอบซ่อนเอาไว้เอง ส่วนกล้องวงจรคุณแม่เป็นคนติด” เสียงช่วงแรกฟังแล้วแทบแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไร ทั้งคลื่นแทรก เสียงเสียดสีของใบไม้ จนกระทั่งความเงียบมาเยือนอยู่พักหนึ่ง

~กริ๊ง ๆ ~กริ๊ง ๆ ~

“อีกแล้วเหรอ…” นั่นเสียงปลายฝน ตามมาด้วยเสียงตุ๊บคล้ายเธอหย่อนตัวลงนั่ง

“ขอร้องล่ะ...อย่าเพิ่งกลับบ้านตอนนี้นะต้นหนาว…” ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อย มองหน้าจิตแพทย์ประจำตัวเจ้าของเสียงในคลิป อีกฝ่ายส่ายหน้าตอบกลับมา

-กรุณาฝากข้อความหลังเสียงสัญญาณค่ะ- ติ๊ด----

[ปลายฝน...หนูอยู่รึเปล่าลูก ป้าจะไปหา จะเอาของที่หนูชอบไปฝากเยอะแยะเลยยังไงล่ะจ๊ะ ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหนบอกป้ามาเถอะลูก…ติ๊ด---]

ยังปกติ เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมา มันก็ดังอีก

~กริ๊ง ๆ ~กริ๊ง ๆ ~

-กรุณาฝากข้อความหลังเสียงสัญญาณค่ะ- ติ๊ด----

[ปลายฝน ป้าฤทัยจะไม่ตีหนูกับน้องแล้วนะลูก ป้าจะดูแลหนูให้ดี ๆ เหมือนกับลูกป้าเลย เรื่องที่ดินกับทรัพย์สินในธนาคารเอาไว้ก่อนก็ได้จ้ะ...แต่บอกที่อยู่ป้ามาหน่อยเถอะนะ ติ๊ด---]

เมื่อโทรศัพท์ดังหลายครั้งเข้า น้ำเสียงที่ใช้ก็เริ่มเปลี่ยนไป

~กริ๊ง ๆ ~กริ๊ง ๆ ~

[นังเด็กไม่รักดี! ฉันทั้งเลี้ยงทั้งดูแลแกเสียเงินไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทำไมจะต้องไปฟ้องทนายแล้วให้น้าแกเอาตัวไปด้วยห๊ะ! ฉันน่ะ เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อพวกแกนะยะ! ติ๊ด---]

[นังปลายฝน!! อ๋อ เลือดชั่วแม่แกมันแรงสินะ แย่งน้องชายฉันไปยังไม่พอ คิดจะฮุบสมบัติที่น้องฉันหาได้เอาไว้อีก นังเด็กเปรต แกกับน้องชายมันก็แค่มารหัวขนอาศัยท้องปิศาจแม่แกมาเกิดเท่านั้นแหละ นัง-- ติ๊ด---]

“ไม่เอาแล้ว...พอได้แล้ว…” เสียงเล็ก ๆ สั่น ยิ่งบีบคั้นหัวใจคนฟังมากกว่าเดิม ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่สิบห้าปี… เด็กอายุสิบห้าสมควรจะต้องมารองรับอารมณ์ที่ไร้เหตุผลนี่น่ะเหรอ?

“จะ...โมงแล้ว...หยุดสักที…” เสียงพึมพำของเธอขาดหาย ผมเอื้อมมือไปกดหยุดแล้วถามทันที

“หมายความว่ายังไงครับ”

“ต้นหนาวจะกลับบ้านตอนห้าโมงเย็นครับ โทรศัพท์พวกนี้จะมีเข้ามาในช่วงเวลาตั้งแต่บ่ายสองโมงถึงสามหรือสี่โมงเย็นทุกวัน บางวันก็แป๊ปเดียว บางวันก็นานหลายชั่วโมง หลัก ๆ จะเริ่มต้นด้วยประโยคขอร้องและจบลงด้วยคำด่าหรือข่มขู่ทุกครั้งครับ” หมายความว่า… ปลายฝนต้องเจอแบบนี้ทุกวัน…

โดยที่บอกใครไม่ได้เลย…

“ฝนไล่ลบบันทึกการสนทนารวมทั้งเสียงฝากข้อความทุกวัน พูดไปก็เหมือนแก้ตัว แต่ที่ผมรู้ตัวช้าก็เพราะไม่มีอะไรให้สืบต่อเลย จนกระทั่งเธอช็อคเข้าโรงพยาบาลไปนั่นแหละ พวกเราถึงตัดสินใจติดกล้องวงจรปิดและเครื่องอัดเสียงแล้วก็ได้ข้อมูลพวกนี้มา” จะเรียกว่าเธอใจเด็ด หรือว่าโง่เขลากันดี แบกรับปัญหาไว้บนบ่าเล็ก ๆ ของตัวเองโดยที่ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร

หรือว่าไม่กล้าขอ…

คนเป็นหมอกดเล่นไฟล์เสียงต่อแม้จะทำหน้าเจ็บปวด เขาคงฟังมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองรอบ ในขณะที่ผมเพิ่งฟังรอบแรกยังทรมานหัวใจขนาดนี้…

[ฝน...ป้าขอร้องนะลูก กลับมาอยู่กับป้าเถอะ ป้าจะดูแลหนูอย่างดี แค่หนูคนเดียวก็ได้ ส่วนต้นหนาวอาอรเขาจะรับเลี้ยงให้เอง นะลูกนะ ติ๊ด---]

“ไม่นะ...ไม่เอา...ต้น…”

[นังฝน! นี่แกจะไม่ตอบฉันใช่มั้ยนังเด็กผี อย่าให้รู้นะว่าแกอยู่ที่ไหน แม่จะตามไปฉีกอกให้ดู! นัง-- ติ๊ด---] ความยาวของคลิปเสียงประมาณสามสิบห้านาที รอบนี้คุณหมอบอกว่าไม่ยาวมาก แต่ยังมีอีกหลายคลิปที่นานร่วมชั่วโมง ผมไม่แปลกใจเลยที่ปลายฝนเจอแบบนี้ทุกวันจนประสาทเสีย

“ผมคิดว่าสาเหตุที่ฝนกลัวโทรศัพท์ นอกจากเสียงพวกนี้แล้ว ยังมีเรื่องข่าวการตายของพ่อกับแม่ ข่าวเรื่องญาติ ๆ พยายามฟ้องศาลแย่งตัวเธอกับน้อง เพราะงั้นทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง ฝนจะฝังใจไปแล้วว่าต้องมีเรื่องร้าย ๆ พ่นออกมาจากเทคโนโลยีชิ้นนี้” มีสิ่งหนึ่งที่ผมสงสัย...แต่ไม่กล้าถาม ไม่สิ

ถ้าถาม… มันจะเป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวมากเกินไป

แต่ถ้าไม่ถาม… ก็จะไขข้อข้องใจไม่ได้

“หมอครับ… ทำไมป้าคนที่โทรมานี่ ถึงอยากได้ตัวปลายฝนนักหรือครับ ครอบครัวของฝนรวยขนาดที่ทิ้งสมบัติไว้เป็นจำนวนมากจนต้องแย่งกันเลยหรือครับ”

“เรื่องนั้น…” อีกฝ่ายเว้นช่วง ปล่อยให้ความเงียบประเมินสถานการณ์ ผมอดทนรอด้วยใจที่เต้นระทึก

เขาอาจจะไม่บอกก็ได้… ยังไงเราก็เป็นคนนอก

“พ่อกับแม่ของแฝดคู่นั้น ไม่ได้รับการยินยอมให้แต่งงานกันครับ พวกเขาหนีตามกันมา แต่พ่อของพวกแฝดก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนตั้งตัวกลายเป็นเศรษฐีขนาดย่อมได้ในเวลาไม่นาน ทรัพย์สมบัติส่วนมากตอนนี้เป็นพวกที่ดินผืนงาม ๆ ที่สร้างเป็นคอนโด ตลาดที่มีผู้เช่า ชื่อผู้รับผลประโยชน์เป็นเด็กสองคนไม่มีชื่อของญาติพี่น้องเลยครับ พอพวกนั้นรู้ก็ไม่พอใจที่ไม่ได้ส่วนแบ่งทั้ง ๆ ที่เป็นญาติกันล่ะมั้งครับ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะบ้านเราไม่มีธรรมเนียมไปแย่งชิงทรัพย์สมบัติของคนตาย” คำพูดและน้ำเสียงของเขาแอบแดกดันเบา ๆ ต่อญาติฝั่งพ่อของปลายฝน ท่าทางก็คงเกลียดเข้าไส้เลยด้วยซ้ำ

เพราะแบบนี้เอง ปลายฝนถึงหางานทำอยู่กับบ้านได้ และต้นหนาวก็สามารถเรียนหกปีได้โดยไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ครอบครัวนี้เตรียมการไว้ให้ลูกทั้งสองคนแต่แรกแล้ว…

แม้จะไม่คาดคิดว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้อยู่ดูความสำเร็จของเด็กพวกนี้ก็ตาม




ผมเดินกลับมาที่ห้องพักฟื้นของปลายฝนเพียงคนเดียว เพราะหมอปราชญ์ต้องไปเข้าเวรต่อ ก่อนหน้านั้นคุณแม่ก็โทรเข้ามาหาแล้วถามเรื่องปลายฝน ผมจึงขอให้แม่พาญาญ่ามาส่งที่โรงพยาบาล

“ฮ้า!” น้องสาวตัวน้อยโผเข้าหาทันทีที่เจอหน้า เธอเริ่มออกเสียงได้บ้างแล้ว หลังจากฝึกกับนักพัฒนาการพร้อมกับการใช้เครื่องช่วยฟัง และพรุ่งนี้ก็จะเข้ารับการผ่าตัด

“เขาเป็นยังไงบ้างยู” แม่ถาม ที่บ้านผมรู้เรื่องปลายฝนกันเกือบทุกคน รู้ด้วยว่าผมจีบเธออยู่แถมเพราะฝนช่วยแก้ปัญหาให้ตอนนี้ที่บ้านญาญ่าเลยไม่เหงาแล้ว

เธอบอกผมว่าให้สังเกตแม่บ้านกับพี่เลี้ยงของน้องดี ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ต้นเหตุอาการซึมของเด็กน้อยโบว์กระต่ายของทุกคนมาจากสองคนนี้เอง ตอนนี้ แม่เลิกทำโอทีแล้วกลับมาดูแลน้องให้ เลยไม่ต้องจ้างใครมาเป็นพี่เลี้ยงอีก ส่วนแม่บ้านก็รับญาติของพ่อที่อยากเรียนต่อในกรุงเทพฯ มาช่วยทำ  

“ไม่ค่อยดีครับ… เขาสื่อสารกับคนอื่นด้วยวิธีเดิมไม่ได้ ตอนนี้ก็เลยมีแค่ผมที่คุยกับเขารู้เรื่องเร็วที่สุด”

“โธ่...หนูปลายฝน” เราแยกกันตรงลิฟต์ เพราะแม่ต้องไปทำงานต่อ ส่วนผมพาน้องขึ้นไปรวมกับเพื่อน ๆ ข้างบนที่ห้องรับแขก ในขณะที่ปลายฝนอยู่ลึกเข้าไปในส่วนห้องพักคนไข้

ยะโฮ- อาหมวยตรงเข้ากอดน้องสาวผมทันที เด็กน้อยส่งเสียงอ้อแอ้แต่ก็ยังต้องใช้ภาษามือคุยด้วย

“น้องนายพูดได้แล้วเหรอ” ต้นหนาวเบิกตาขึ้นเล็กน้อยพลางถาม ผมเลยยิ้ม

“สนใจด้วย?”

“มะ...ไม่ได้สนใจซักหน่อย” ต่อให้ไม่ชอบผมยังไงรุ่นน้องคนนี้ก็ยังขี้ห่วงคนอื่นอยู่วันยังค่ำ

“แค่ฝึกออกเสียงกับนักฝึกพูดมาน่ะ”

“อ้อ…”

“ยูได...ญาญ่าเอาอะไรมาด้วยแน่ะ” เพื่อนสาวชูบางสิ่งบางอย่างให้ผมดู หลังจากอธิบายสถานการณ์ง่าย ๆ ให้เด็กอายุเจ็ดขวบฟัง

“น้องบอกว่าอยากคุยกับฝนได้ด้วยเสียงของตัวเอง ถ้าผ่าตัดแล้ว”

เพราะงั้น พี่ชายต้องทำให้พี่สาวพูดให้ได้นะคะ- คำขอร้องของน้องสาวฟังดูเหมือนยาก แต่ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นไปได้… ด้วยสิ่งที่เธอนำมาด้วย

เรามาช่วยกันนะ-

อื้อ- ใบหน้าเล็ก ๆ ผงกลง ส่งผลให้ผู้ใหญ่สามคนตรงนั้นตัดสินใจทิ้งความขุ่นข้องทุกอย่างแล้วปรึกษากันอย่างจริงจัง เพื่อทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง

“จะได้ผลมั้ยนะ”

“ก็ต้องลองแหละ ยังไงตอนนี้มันก็เป็นทางเดียวที่มี แถมน้องญาญ่าอยู่ด้วยน่าจะง่ายขึ้น”

“อืม… เวลาอยู่กับยัยนี่เขายิ้มบ่อย”

“จริงเหรอ!” ต้นหนาวโพล่งออกมา สีหน้าแสดงออกชัดถึงความไม่เชื่อ ผมกับอาหมวยมองหน้ากันแล้วจึงต่างคนต่างหยิบสมาร์ทโฟนออกมา

“ดูซะ” เรากดรูปที่ถ่ายเก็บกันไว้เยอะมากให้คนติดพี่ดู ทั้งรูปที่ปลายฝนอุ้มน้อง เล่นกับน้อง เล่านิทานให้น้องฟัง แม้กระทั่งรูปที่เผลอหันมายิ้มให้ ผมก็ถ่ายเก็บไว้หมดไม่พลาดสักช็อต มันทำตาโตแล้วแอบบ่นพึมพำ

“ไปเล่นกันตอนไหน ทำไมไม่บอก…”

“ก็เพราะบอกแล้วแกจะด่าไงล่ะ เลยไม่พูด”

“ยัย…”

“เงียบปากไปย่ะ… นี่กำลังจริงจัง”

“อึ่ก…” ตอนแรกเราเถียงกันเล็กน้อยว่าจะให้ใครเป็นคนพูด เพราะเสียงที่ฝนได้ยินต้องมีพลังพอที่จะทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ จนอยากส่งเสียงตอบกลับมา ในขณะเดียวกันต้องรู้สึกว่าปลอดภัยในการคุยด้วย ซึ่งผมกับต้นหนาวเสนอตัวทั้งคู่ในเหตุผลที่ต่างกัน

“ฝนเคยได้ยินเสียงฉันน้อยมาก ต้องแปลกใจอยู่แล้ว เราได้คุยกันยังไม่เกินสามครั้งเลย”

“ฉันที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ฝนต้องรู้สึกปลอยภัยมากกว่าใครก็ไม่รู้อยู่แล้วดิ”

“ใครไม่รู้อะไรวะ… ฉันก็เพื่อนพี่สาวแกนะ”

“แหวะ...แกมโนเอาเองต่างหาก”

“สองคนช่วยหยุดทะเลาะกันสักห้านาทีได้มั้ยห๊ะ!” นักข่าวสาวตบโต๊ะปัง พากันสะดุ้งเป็นแถบ ๆ

สุดท้าย… ข้อสรุปจึงออกมาดังนี้

“ให้ต้นหนาวลองก่อน ถ้าไม่ได้ผลก็เป็นยูได...โอเค้?” ถ้าจัดตามลำดับความสำคัญก็คงใช่ ผมเลยต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้

ลุยเลยค่ะคุณน้อง- เพื่อนหมวยรุนหลังน้องสาวผมให้เดินเข้าไปในห้องพักคนไข้ ส่วนพวกเราก็ไปแอบมุงอยู่ที่ขอบประตู เห็นน้องส่งภาษามือกับปลายฝน ก่อนจะส่งแก้วใบหนึ่งให้

ใช่แล้ว… สิ่งที่ญาญ่าเอามาก็คือ โทรศัพท์ที่ทำจากแก้วกระดาษ

มันเป็นโทรศัพท์เหมือนกัน พวกผมเลยต้องวัดดวงว่าฝนจะยอมใช้มันมั้ย

หนูทำเองนะคะพี่สาว-

เก่งมากเลยจ้ะ- เธอยังคงพูดคุยตามปกติ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจใช้เจ้าอุปกรณ์นั่นเลย

หนูอยากให้พี่สาวคุยกับใครบางคนค่ะ ถอด ‘นั่น’ ได้มั้ยคะ?- น้องชี้ไปที่หูฟัง ปลายฝนทำหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมขยับเปิดหนึ่งข้าง เพื่อเอาหูมาแนบแก้ว

“เอาเลยต้น…” อาหมวยตีไหล่ให้สัญญาณ เมื่อเด็กน้อยต้นทางส่งภาษามือมาว่า โอเค

“พี่ฝน ผมต้นหนาวนะ… พี่ครับคือว่า…” ยังไม่ทันจะเอ่ยต่อ ญาญ่าก็ยกมือขึ้นมาเป็นรูปกากบาท เป็นอันว่าคุณน้องชายบังเกิดเกล้า

ไม่ผ่าน...

“ทำไมฝนถึงไม่อยากคุยกับฉันล่ะ!” มันโวยวายอย่างหนัก เพราะมั่นใจในตัวเองสุดชีวิต

ผมเดาสาเหตุได้สองอย่าง

หนึ่ง… คือถ้าเธอคุยกับต้นหนาว เจ้าบ้านี่ชอบทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่

สอง… เธอคงไม่มั่นใจว่าจะเก็บอาการได้ ถ้าต้นหนาวพูดอะไรที่สะกิดใจเธอเรื่องโทรศัพท์

“ตานายละยูได… ถ้ายังไม่ได้ผลอีกเราก็ต้องถอยไปตั้งหลักใหม่แล้วล่ะ…”

“อืม” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเธอจะพูดด้วย ถ้าผมพูดประโยคหนึ่งออกไป แต่ก่อนอื่น…

บอกพี่สาวให้หน่อยได้มั้ยคะ- ผมเรียกสาวน้อยสื่อกลางของเราออกมาคุย เด็กหญิงพยักหน้ากับข้อความของผมแล้วยิ้มกว้าง

พี่สาวต้องดีใจแน่ๆ เลยค่ะ-

ต้องบอกให้ได้นะ-

อื้อ เชื่อหนูได้เลย-




ผมแง้มประตูให้กว้างขึ้นอีกหน่อยเพื่อมองใบหน้าของคนที่นั่งอยู่บนเตียงให้ชัด

ปลายฝนยิ้มเมื่อสาวน้อยโบว์กระต่ายเดินเข้าไปหาอีกครั้ง

พี่สาวคุยกับใครอีกคนได้มั้ยคะ?-

ตอนนี้พี่ยังไม่อยากคุยกับใครด้วยเสียงค่ะ-

พี่ชาย...ให้หนูเอาข่าวมาบอกพี่สาวค่ะ- เมื่อขอดี ๆ ไม่ได้ผล ผมเลยเตรียมแผนสำรองเอาไว้ให้น้องใช้ เพราะครั้งนี้จะล้มเหลวไม่ได้อีก

ข่าว...อะไรหรือจ๊ะ-

หนูกำลังจะพูดได้แล้วนะคะ-

จริงหรอจ๊ะ!?- ได้ผล! ผมเห็นเธอตวัดมือขึ้นลงแล้วกุมมือตัวเองแนบอก

ดีใจด้วยนะจ๊ะ- ญาญ่าสั่นศีรษะแล้วคะยั้นคะยอให้หญิงสาวผมดำยาวในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลนำแก้วกระดาษขึ้นแนบหูอีกครั้ง

พี่สาวลองฟังอีกครั้งเถอะ-

ทำไมเหรอ-

พี่สาวต้องเชื่อหนูนะ มีคนอยากคุยกับพี่สาวมากจริงๆ- เธอมองหน้าน้องสาวผมเหมือนไม่แน่ใจ ก่อนจะหันมาทางนี้เหมือนรู้ว่ามีคนดูอยู่ ผมรีบหลบหลังประตู กระแทกเข้ากับต้นหนาวที่หลบอยู่เหมือนกัน

“โอ๊ย…”

“โทษที”

“แกจะหลบทำไมฮะ”

“ไม่รู้สิ” ผมคิดเอาเองว่าตอนนี้ไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่ ถ้าฝนเห็นหน้า เธอคงไม่ยอมพูดด้วย เหมือนคุณแฝดน้องเมื่อกี้ เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ… เธอมีสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ เลยคุยทั้ง ๆ ที่เห็นหน้าไม่ได้

‘เสียง’ จึงเป็นทางเดียวที่จะส่งทุกอย่างให้เธอรู้ได้เร็วที่สุด ถ้าเธอยอมฟังมัน

เมื่อแง้มประตูออกอีกครั้ง ก็เห็นมือเล็กส่งสัญญาณ โอเค มาทางนี้

ผมจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยประโยคที่วัดดวงล้วน ๆ ว่าเธอจะยอมฟังหรือไม่

“...OOOO...” หลังเอ่ยประโยคนั้น ในใจก็เต้นรัวยิ่งกว่าเสียงกลอง ระทึกยิ่งกว่าสองคนที่นั่งลุ้นตัวโก่งเป็นเพื่อนกันอยู่ข้างหลัง เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามหน้าผาก

เธอจะจำได้มั้ย… เธอจะสัมผัสถึงสิ่งที่ตั้งใจส่งให้ได้มั้ย...

เนิ่นนานจนเกือบจะยอมถอดใจ… จนกระทั่ง…

“...ยูได...เหรอคะ?...”  แรงสะเทือนจากเสียงที่สั่นดังตอบกลับมาตามสายเชือกนั้นกังวานใส ผมจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เธอจำได้… และยอมเปิดใจให้ผม ตามที่เธอเคยบอกจริง ๆ

ในสมุดเลคเชอร์ที่ผมทิ้งไว้เมื่อครั้งนั้น








...ฉันหวังเป็นอย่างยิ่ง...ที่จะได้รู้จัก และยอมรับการเปิดใจจากใครสักคนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ใกล้เหมือนคุณ...

                                                                                                       ปลายกันยา

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อะแฮ่ม! สวัสดีเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับทุกคนที่ตามอ่านทุกอาทิตย์ และคนที่อ่านทีเดียวเจ็ดตอนรวดเช่นเคยค่ะ

      Natsume เองงงงง ไหนๆ วีคนี้ก็เป็นวีคสุดท้ายแล้ว เราเลยทุ่มเทกายใจทั้งหมดไปเพื่อ...



รูปนี้... ปลายฝนสุดสวยยยยยยยยยยยยยยยยย 
(//วิ่งหลบรองเท้าต้นหนาว)

ขอโทษจริงๆค่ะ มันยัดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ 555555 คือแต่เดิมนิยายเรื่องนี้ถูกวางไว้ประมาณ 14-15 ตอนจบ... นี่เพิ่งเดือนมาครึ่งเรื่องเอง พยายามลงให้ไม่ค้างสุดๆแล้วค่ะ (ยังไม่อยากโดนนักอ่านฆ่าตาย...)

        อนึ่ง. Eater Eggs ในเรื่องนี้ที่เคยกล่าวไปในตอนต้นมีอยู่ประมาณสองสามอย่างที่เฉลยได้เลยค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเราเอง 5555 (ถามบ้างมั้ยว่าใครอยากรู้...)
           1. ชื่อมหาวิทยาลัย Kings ตัว K เป็นอักษรย่อของมหาวิทยาลัยที่เราเคยเรียนค่ะ
           2. หลายๆคนอาจจะเห็นในหน้าแนะนำตัวนักเขียนของเพจนักเขียนหน้าใส เราชื่อเล่นชื่อ ญา ค่ะ และเราก็ใส่ตัวเองลงไปในนิยายเรื่องนี้ด้วย ... ทุกคนคงเห็นแล้ว... (สาวน้อยโบว์กระต่ายของเราาาาา)
           3. ทำไมต้องเป็นกระต่าย?... กระต่าย ในความเชื่อของจีนเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่จะนำความสุขมาให้ค่ะ และถ้าเป็นความเชื่อของทางญี่ปุ่น กระต่ายเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าแห่งความรักค่ะ... แล้วกระต่ายน้อยของเรามีไว้ทำไมน้า~
           ส่วน Eater Eggs ที่เหลือ... ยังไม่ออกค่ะ 5555555 

         สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนจริงๆที่อยู่กับเรามาตลอด7สัปดาห์ อาจจะมีหลุดๆ เอ๋อๆ เบลอๆ ไปบ้าง ยอมรับจากใจค่ะว่าตอนนี้อยากกลับไปแก้ข้างหน้ามากเลย 555555 นิยายเรื่องนี้จะแต่งต่อจนจบนะคะ แต่หลังจากนั้นจะเป็นยังไง เราก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน
         ปล. ส่วนยูไดสุดหล่อ จริงๆก็ปริศนาเยอะกว่านี้ แต่ใส่ไม่ทันแล้ว ขอโทษนะที่หลายๆฉากคิดไว้แต่ยัดลงไปไม่ได้จริงๆ มันเลยอาจจะดูขาดๆ เกินๆ อย่างที่กรรมการว่าค่ะ 5555555

          จบแล้ววววว See you again next novel!!!!!!!!!!! 


 L.O.V.E.
NATSUME 
❤️



ความเห็นที่ปักหมุด
  1. #2 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 19:31:23
    อืมมมม พี่ชอบที่ใส่รายละเอียดเรื่องครอบครัวเข้ามานะ แต่การลำดับเรื่องยังไม่ปะติดปะต่อ ทางที่ดีพี่ว่าลองร่างพลอตละเอียดๆ และไล่ลำดับเองเลยว่าเราจะนำเสนออะไรก่อน อะไรหลัง มันทำให้น้ำหนักของเรื่องไม่เทไปเทมาและไล่อารมณ์ของคนอ่านไปได้พร้อมกับเรื่องอ่ะ พัฒนาการเราดีนะ ตั้งแต่ตอนแรกมาถึงตอนนี้เราอ่านเองก็น่าจะรู้ใช่ป่ะ การบรรยายดีขึ้นมาก รวมๆ แล้วพี่ว่าเรื่องนี้พลอตมันดราม่าไปสำหรับ JLS ไม่ใช่แค่พลอตนะ แต่การบรรยายและตัวละครด้วย ถ้าลองปรับไปทำแนวโตเลยก็ได้นะ ลองคิดเป็นตัวเลือกดู จริงๆ JLS มันไม่จำเป็นต้องแบ๊วเสมอไป แต่ด้วยการเดินเรื่องแบบนี้พี่ว่ามันเอนไปทางแนวโตๆ มากกว่า สิ่งที่พี่ติดใจคือการลำดับเรื่องเนี่ยล่ะ เหมือนเราเสียเวลากับอะไรที่ไม่ต้องเวิ่นก็ได้ เช่นจริงๆ เรื่องความซิสค่อนไม่จำเป็นต้องลากยาวขนาดนั้นก็ได้ ความสม่ำเสมอของตัวละครก็ไม่ค่อยมี หมายถึงตัวละครบางตัวอยู่ดีๆ ก็โผล่มา ไม่มีที่มาที่ไป จุดนี้อาจจะต้องไปปรับในระยะยาวอีกที รวมๆ แล้วพี่ชอบตีมนะคะ แต่พี่ว่าเรายังนำเสนอได้ไม่สุด เหมือนจริงๆ ด้วยพลอตแบบนี้มันสามารถสร้างให้ดราม่า สนุก เข้มข้นได้เลย แต่การลำดับเรื่องของเรายังอ่อนอยู่ อันนี้ต้องไปคุยกับตัวเองใหม่อีกรอบ ร่างพลอตละเอียดๆ แล้วก็ไล่ความสำคัญ ที่สำคัญลองอ่านหนังสือเยอะๆ จะได้มีตัวเลือกของคำ แล้วก็บทสนทนาจะได้ธรรมชาติมากขึ้น เท่าที่อ่านมาพี่ว่าบทสนทนายังไม่ธรรมชาติ เหมือนคนคุยกันในละครมากกว่าอ่ะ มีหลายจุดที่อ่านแล้วติดๆ แต่ก็นั่นล่ะ โดยรวมพี่ยังยืนยันว่าพัฒนาการของเราดีมากจากอาทิตย์แรก เป็นกำลังใจให้นะคะ


    #2

2 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 Banilla Honie, Karin (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 16:44:53
    ฮรอยยยยยยยยยยญาหยี๋
    สงสารสองพี่น้องปลายฝนต้นหนาวสุด
    ชีวิตรันทดยิ่งกว่าสวรรค์เบี่ยง ฮือออออออออ
    ขอให้พลังสถิตแแก่ยูไดเพื่อให้ปกป้องปลายฝนตลอดไปเถิดดดดดดดดดด

    ในที่สุดวีคสุดท้ายก็มาถึงจนได้เนอะ เป็นการแข่งขันที่ทรหด อดทนจริงๆ ค่ะญาญ่า

    อัพต่อที่ไหนยังไงบอกด้วยนะคะ จะตามไปสแปมนกม่วง
    ฮรี้


    #1
  2. #2 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 19:31:23
    อืมมมม พี่ชอบที่ใส่รายละเอียดเรื่องครอบครัวเข้ามานะ แต่การลำดับเรื่องยังไม่ปะติดปะต่อ ทางที่ดีพี่ว่าลองร่างพลอตละเอียดๆ และไล่ลำดับเองเลยว่าเราจะนำเสนออะไรก่อน อะไรหลัง มันทำให้น้ำหนักของเรื่องไม่เทไปเทมาและไล่อารมณ์ของคนอ่านไปได้พร้อมกับเรื่องอ่ะ พัฒนาการเราดีนะ ตั้งแต่ตอนแรกมาถึงตอนนี้เราอ่านเองก็น่าจะรู้ใช่ป่ะ การบรรยายดีขึ้นมาก รวมๆ แล้วพี่ว่าเรื่องนี้พลอตมันดราม่าไปสำหรับ JLS ไม่ใช่แค่พลอตนะ แต่การบรรยายและตัวละครด้วย ถ้าลองปรับไปทำแนวโตเลยก็ได้นะ ลองคิดเป็นตัวเลือกดู จริงๆ JLS มันไม่จำเป็นต้องแบ๊วเสมอไป แต่ด้วยการเดินเรื่องแบบนี้พี่ว่ามันเอนไปทางแนวโตๆ มากกว่า สิ่งที่พี่ติดใจคือการลำดับเรื่องเนี่ยล่ะ เหมือนเราเสียเวลากับอะไรที่ไม่ต้องเวิ่นก็ได้ เช่นจริงๆ เรื่องความซิสค่อนไม่จำเป็นต้องลากยาวขนาดนั้นก็ได้ ความสม่ำเสมอของตัวละครก็ไม่ค่อยมี หมายถึงตัวละครบางตัวอยู่ดีๆ ก็โผล่มา ไม่มีที่มาที่ไป จุดนี้อาจจะต้องไปปรับในระยะยาวอีกที รวมๆ แล้วพี่ชอบตีมนะคะ แต่พี่ว่าเรายังนำเสนอได้ไม่สุด เหมือนจริงๆ ด้วยพลอตแบบนี้มันสามารถสร้างให้ดราม่า สนุก เข้มข้นได้เลย แต่การลำดับเรื่องของเรายังอ่อนอยู่ อันนี้ต้องไปคุยกับตัวเองใหม่อีกรอบ ร่างพลอตละเอียดๆ แล้วก็ไล่ความสำคัญ ที่สำคัญลองอ่านหนังสือเยอะๆ จะได้มีตัวเลือกของคำ แล้วก็บทสนทนาจะได้ธรรมชาติมากขึ้น เท่าที่อ่านมาพี่ว่าบทสนทนายังไม่ธรรมชาติ เหมือนคนคุยกันในละครมากกว่าอ่ะ มีหลายจุดที่อ่านแล้วติดๆ แต่ก็นั่นล่ะ โดยรวมพี่ยังยืนยันว่าพัฒนาการของเราดีมากจากอาทิตย์แรก เป็นกำลังใจให้นะคะ


    #2
  • 1

แสดงความคิดเห็น