Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อานิสงส์ของการให้ทาน ชาวพุทธควรอ่าน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

ความหมายของคำว่าอานิสงส์

     
อานิสงส์มีความหมาย 3 ประการ ได้แก่
      1. ชมเชย หมายความว่า ความดีต่างๆที่บุคคลได้กระทำไว้แล้ว จะได้รับผลของความดีตอบสนอง ส่วนผู้อื่นเมื่อเห็นบุคคลนั้นได้ความสุขความเจริญก็พากันยกย่องชมเชยว่าเป็นผู้มีบุญ
      2. เบียดเบียน หมายความว่า ผลของความดีต่างๆที่บุคคลได้กระทำไว้แล้ว จะเข้าไปทำหน้าที่เบียดเบียน ผลของความชั่วที่ได้เคยกระทำไว้แล้วให้ตกไปไม่มีโอกาสให้ผล และยังสามารถป้องกันผู้กระทำความดีนั้นไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว
      3. ไหลออกอยู่เป็นนิตย์ หมายความว่า ความดีต่างๆที่บุคคลได้กระทำไว้แล้ว ย่อมให้ผลที่ดีตอบสนองอยู่เป็นนิตย์ และจะนำไปสู่ผลอันสูงสุดที่เหล่ามนุษย์ เทวดาพรหมปรารถนาเป็นยิ่งนักคือ การบรรลุมรรคผล นิพพานนั่นเอง
    
การทำทาน


    
การทำทาน ได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น โดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้นจะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใดย่อมสุดแล้วแต่องค์ประกอบ 3 ประการต่อไปนี้แล้ว ทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ

องค์ประกอบ ข้อ1. "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์"
           
      
วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของบริสุทธิ์ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนได้แสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยทุจริต ลักทรัพย์ ยักยอกฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ

องค์ประกอบ ข้อ2. "เจตนาให้ทานต้องบริสุทธิ์"
 
       
การให้ทานนั้นโดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนี่ยวแน่นความหวงแหนหลงไหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส"และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตนอันเป็นบันไดก้าวแรก ในการเจริญเมตตาในพรหมวิหาร 4 ให้เกิดขึ้นถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่า เจตนาการในการทำทานบริสุทธิ์แต่ว่าเจตนาที่บริสุทธิ์นั้น ถ้าบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน 3 ระยะ
        (1)
ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนจะให้ทานก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทานเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน
        (2)
ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเองก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานให้ทานที่ตนกำลังทำให้ผู้อื่น
        (3)
ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้ยเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดีนานมาแล้วก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใดก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ
          
องค์ประกอบ ข้อ3. "เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์"

         
คำว่า"เนื้อนาบุญ"ในที่นี้ได้แก่บุคคลผู้รับการทำทานของผู้ทำทานนั้นเองนับเป็นองค์ประกอบข้อสำคัญที่สุด แม้ว่าองค์ประกอบในการทำทานข้อ1 และ 2 จะงานบริสุทธิ์ครบถ้วนดีแล้วกล่าวคือวัตถุที่ทำทานนั้นเป็นของแสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์เจตนาในการทำทานก็งามพร้อมบริสุทธิ์ทั้งสามระยะ แต่ตัวผู้รับการทำทานเป็นคนที่ไม่ดี ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญที่เลว ทานที่ทำไปนั้นก็ไม่ผลิดอกออกผล

         
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดีเจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื่อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ
         1.
ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมีมากถึง 100 ครั้งก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมเลยก็ตามทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีบุญวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี
         2.
ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มาถึง 100 ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
         3.
ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้มาถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
         4.
ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะให้มาถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
         5.
ถวายทานแก่สามเณรผู้ที่มีศีล 10 แม้จะให้มาถึง 100 ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่สมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฎิโมกข์สังวร 227 ข้อ
         6.
ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมาถึง 100 ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายแก่พระโสดาบันแม้ว่าจะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหันต์ผลแต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ใจความเท่านั้น)
         7.
ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง 100 ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามีแม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
         8.
ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามีแม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
        9.
ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
       10.
ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
       11.
ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม
       12.
ถวายทานแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานแม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม
       13.
การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายวิหารทาน แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม วิหารทาน ได้แก่ การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรมศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นประโยชน์สาธารณะที่คนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ หรือสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันแม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท๊งก์น้ำ ศาลาป้ายรถโดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน
       14.
การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง(100หลัง)ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจในมรรค ผล นิพพานให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรมรวมตลอดถึงการพิมพ์แจกหนังสือธรรมะ
       15.
การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ "โทสกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหาร 4 นั้นเป็นคุณธรรมที่องค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌาณและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร 4 ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาณ ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใดก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็นจึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
      
อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะให้ทานอื่นๆทั้งมวลผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า"ฝ่ายศีล"เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน

อานิสงส์ของการให้ทาน
 
    
ความเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นในคุณของพระรัตนตรัยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต และกระทำสักการบูชาอยู่เนืองๆไม่ทอดทิ้ง

      
อานิสงส์ที่ได้รับ คือ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท มีสติดี เมื่อละโลกนี้ไปแล้วจะเกิดในเทวโลก แวดล้อมด้วนเหล่าบริวารคอยบำรุงบำเรออยู่ตลอดกาล จะได้เสวยสมบติเป็นทิพย์ ครั้นเมื่อจุติจากเทวโลกแล้วมาปฏิสนธิในมนุษยโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครอบครองทวีปทั้ง 4 คือ ชมพูทวีป อุตตกุรุทวีป อมรโคยานทวีป และปุพพวิเทหทวีป มีรัตนะทั้ง 7 (สัญลักษณ์ของจักรพรรดิราช) คือ จักรแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และมณีแก้ว แม้ในอนาคตชาติก็จะได้เกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง และเป็นที่เคารพบูชาของมหาชน แม้เหล่าเทวดาก็ชื่นชมยินดียกย่องสรรเสริญ มีรูปกายงดงามสมส่วนเป็นสง่าน่าเกรงขาม มียศมากอำนาจมาก มีจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีความสะดุ้งหวั่นไหว และจะได้บรรลุคุณวิเศษทั้งปวง



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 กันยายน 2551 / 17:08
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 20 กันยายน 2551 / 17:50

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น