Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

10 ที่สุดของปริศนา เครื่องบินหายสาบสูญ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

1


เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลนส์ ได้หายไปจากจอเรดาร์ของศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศไปเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เครื่องบินลำดังกล่าวกำลังอยู่ที่เพดานบินสูง 35,000 ฟุต ก่อนที่ระบบการสื่อสารทั้งหมดจะถูกตัดขาด โดยที่ไม่มีการส่งสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินใด ๆ ทั้งสิ้น

ในขณะที่การค้นหายังคงดำเนินต่อไป เรื่องราวและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบิน MH370 ก็มีแต่จะยิ่งกลายเป็นปริศนามากขึ้น ๆ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วงการการบินต้องเผชิญกับวิกฤติปริศนาเกินคาดเดา บางครั้งปริศนาในอดีตเหล่านั้นก็สามารถถูกคลี่คลายลงได้ แต่อีกหลาย ๆ กรณีก็ยังคงทิ้งคำถามที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้จนถึงปัจจุบัน

2
อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต คือนักบินยุคบุกเบิกชาวอเมริกัน ในปี 1932 เธอเป็นหญิงสาวคนแรกที่สามารถบินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค 5 ปีหลังจากนั้น เธอก็ได้เริ่มต้นภารกิจบินรอบโลก ในขณะที่เธอบินไปแล้วเป็นระยะทาง 35,000 กม. จากทั้งหมด 46,000 กม. เครื่องบินของ อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต ก็หายสาบสูญไปขณะเข้าใกล้เกาะฮาวแลนด์ มหาสมุทรแปซิฟิค แม้จะมีการค้นหาครั้งใหญ่ ใช้งบประมาณไปกว่าหลายล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่มีใครค้นพบร่องรอยใด ๆ จากเครื่องบินของเธอเลย จนในที่สุด อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต ก็ถูกประกาศว่าเสียชีวิตลงตามกฎหมายในปี 1939 เรื่องราวการหายไปของเธอยังคงเป็นที่พูดถึงกันอยู่แม้กระทั่งในทุกวันนี้
3

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา คือพื้นที่สามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นจากจุด 3 จุดในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ, เปอร์โตริโก และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งหลาย ๆ คนอ้างว่าเป็นบริเวณที่ทั้งเรือและเครื่องบินจำนวนมากได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย รวมทั้งเรื่องของฝูงบิรที่ 19 ประกอบไปด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ รวม 5 ลำที่ทำการบินฝึกฝนเหนือน่านฟ้าในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาและหายสาบสูญไป จนในเวลาต่อมาได้รับการสรุปว่ามีสาเหตุมาจากระบบนำทางบกพร่อง และเชื้อเพลิงหมด นอกจากนั้น ในช่วงปี 1940s เครื่องบินของสายการบินบริติชเซาธ์อเมริกันแอร์เวย์ส รวม 2 ลำ ก็ได้หายสาบสูญไปในพื้นที่นี้ด้วยเหมือนกัน โดยลำหนึ่งเชื้อเพลิงหมด และอีกลำหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค แม้ในปัจจุบันนี้จะไม่มีเหตุสาบสูญใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแล้ว แต่ก็ยังมีการพูดถึงอยู่บ่อยครั้งทำให้ชื่อเสียงความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงได้รับการสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
4

ศิลปินแนวบิ๊กแบนด์ชื่อดังชาวอเมริกัน เกล็น มิลเลอร์ บินจากประเทศอังกฤษมุ่งหน้าไปยังกรุงปารีส ในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับกองทัพสหรัฐฯ ที่กำลังประจำการอยู่ในฝรั่งเศส แต่เครื่องบินของเขาก็เกิดหายสาบสูญไปจากสภาพอากาศที่เลวร้ายเหนือช่องแคบอังกฤษ ไม่มีการค้นพบร่องรอยใด ๆ ของซากเครื่องบิน, ลูกเรือ หรือผู้โดยสารเลย

มีการกล่าวถึงสาเหตุของการสูญหายเอาไว้ 3 ทฤษฎีด้วยกัน หนึ่งคือเครื่องบินของเขาบังเอิญไปถูกระเบิดจากฝ่ายอังกฤษ เพราะในระหว่างนั้น เครื่องบินทิ้งระเบิด Lancaster ต้องกำจัดระเบิดทิ้งภายหลังจากภารกิจโจมตีกองทัพเยอรมนีล้มเหลว ทฤษฎีที่สองมาจากทหารประจำเครื่องบินรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ซึ่งออกหนังสือเมื่อปี 2006 ระบุว่า ปืนใหญ่จากเครื่องบินของเขานั่นเองที่ยิงถูกเครื่องบินของ เกล็น มิลเลอร์ จนตก ทฤษฎีที่สามมาจากนักข่าวชาวเยอรมัน ผู้ออกมากล่าวอ้างเมื่อปี 1997 ว่าเขาได้ค้นพบหลักฐานชี้ว่า อันที่จริงแล้ว เกล็น มิลเลอร์ เดินทางมาถึงกรุงปารีสอย่างปลอดภัย แต่หนึ่งวันให้หลังเข้าก็เกิดหัวใจวายขึ้นมาในระหว่างที่กำลังมีสัมพันธ์กับหญิงขายบริการชาวฝรั่งเศส และกองทัพสหรัฐฯ นั่นเองที่เป็นฝ่ายพยายามปกปิดข้อเท็จจริงนี้

5

สตาร์ดัสต์ คือเครื่องบิน ของสายการบินบริติชเซาธ์อเมริกันแอร์เวย์ส ออกเดินทางจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ไปยังกรุงซานเตียโก ประเทศชิลี ในปี 1947 แต่ประสบอุบัติเหตุตกในเทือกเขาแอนดีส ชะตากรรมของเครื่องบินและลูกเรือกลายเป็นปริศนามานานกว่า 50 ปี ความพยายามในการค้นหาก็ล้มเหลว จนกระทั่งปลายปี 1990s ก็มีการค้นพบซากชิ้นส่วนของเครื่องบินที่สูญหายโผล่ออกมาจากชั้นน้ำแข็ง แม้จะมีการคาดเดาไปไกลว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมหรือแม้แต่การถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป แต่การสืบสวนในปี 2000 ก็ชี้ว่าสภาพอากาสคือปัจจัยที่ทำให้เครื่องสตาร์ดัสต์ประสบอุบัติเหตุ คาดกันว่าลูกเรือเกิดสับสนในเรื่องตำแหน่งของเครื่องบิน และคิดไปว่าพวกเขาไปบินผ่านแนวยอดเขามาแล้วจึงทำการลดระดับเพดานบินลง ภูเขาเบื้องล่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก จนทำให้เครื่องบินชนเข้ากับภูเขา Tupungat ส่งผลให้ลูกเรือทั้งหมดเสียชีวิต และถูกฝังอยู่ใต้น้ำแข็งและหิมะ

6

เครื่องบินเจ้าของฉายา 'Clipper Romance of the Skies' แบบในภาพ ตั้งเป้าหมายจะทำการบินรอบโลกในปี 1957 มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกจากซานฟรานซิสโก ก่อนจะมาถึงจุดหมายปลายทางที่ฟิลาเดลเฟีย โดยมีการหยุดพักบ้างเป็นช่วง ๆ การเดินทางช่วงแรกตั้งเป้าให้ไปหยุดพักที่โฮโนลูลู ฮาวาย แต่เที่ยวบินดังกล่าวก็ไม่เคยไปถึงที่หมาย ภายหลังจากการค้นหาเป็นวงกว้างนานนับสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นการค้นหาเครื่องบินครั้งใหญ่ที่สุดไม่นับช่วงสงคราม นับตั้งแต่การค้นหาเครื่องบินของ อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต จนในที่สุดก็ค้นพบซากชิ้นส่วนของเครื่องบินลอยอยู่กลางมหาสมุทร พร้อมกับพบร่างของผู้เสียชีวิต 15 ราย ในเวลาต่อมา การชันสูตรพบว่า ร่างของผู้เสียชีวิตมีปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์สูงผิดปกติ แต่ก็ไม่อาจระบุถึงสาเหตุของเครื่องบินตกได้อย่างชัดเจน บางทฤษฎีเสนอว่าเป็นการหลอกลวงเพื่อหวังเงินประกัน บ้างระบุว่าเกิดจากความไม่พอใจกันของเหล่าลูกเรือ หรืออาจเกิดขึ้นเพราะเครื่องยนต์ผิดปกติก็ได้ด้วยเช่นกัน
7

เรื่องราวนี้ฟังดูเหมือนกับเรื่องในหนังมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง ๆ ได้ แต่กรณีของ ดีบี คูปเปอร์ ก็ยังคงเป็นคดีการปล้นจี้เครื่องบินเพียงคดีเดียวในประวัติศาสตร์การบินของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายลงมานานกว่า 40 ปีแล้ว เมื่อปี 1971 ชายคนหนึ่งใช้ชื่อว่า แดน คูปเปอร์ ได้ทำการซื้อตั๋วเที่ยวบินจากพอร์ทแลนด์ โอเรกอน ไปยัง ซีแอทเทิล วอชิงตัน ระหว่างเดินทาง เขาได้ส่งข้อความไปให้กับลูกเรือโดยอ้างว่าเขามีระเบิดอยู่บนเครื่อง และยื่นข้อเสนอให้สายการบินเตรียมเงินจำนวน 200,000 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมกับร่มชูชีพ 4 ชุด และรถบรรจุเชื้อเพลิงรอเอาไว้ที่ซีแอทเทิล ซึ่งสายการบินก็ยอมทำตามแต่โดยดี ภายหลังจากลงจอด, ปล่อยผู้โดยสาร และได้รับการเติมเชื้อเพลิงเรียบร้อยแล้ว (ดังภาพ) คูปเปอร์กับลูกเรือก็ขึ้นบินอีกครั้ง ในระหว่างที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองรีโน เนวาดา ประตูหลังของเครื่องก็เปิดออกและคูปเปอร์ก็กระโดดร่มออกมา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีก กระทั่งปี 1980 ได้มีการค้นพบห่อเงินบรรจุธนบัตร 20 เหรียญสหรัฐฯ 100 ใบ รวม 2 ห่อ กับก่อที่ 3 ที่มีธนบัตรชนิดเดียวกันอยู่ 90 ใบ ในรัฐวอชิงตัน ทำให้ FBI คาดการณ์ไปว่านายคูปเปอร์ไม่น่ารอดชีวิตจากการโดดร่ม แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธนบัตรที่หายไป 10 ใบ และคดีนี้ก็ยังคงไม่คลี่คลายลงแม้กระทั่งในทุกวันนี้
8

ในปี 1996 เที่ยวบินที่ 800 ของสายการบินทรานส์เวิร์ลด์แอร์ไลน์ส เกิดเหตุระเบิดและตกลงสู่มหาสมุทรแอนแลนติค ใกล้กับรัฐนิวยอร์ก ส่งผลให้ลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิตรวม 230 ราย  การระเบิดของเครื่องบิน Boeing 747-100 เกิดขึ้นภายหลังจากที่ขึ้นบินได้เพียง 12 นาทีเท่านั้น มีการคาดการณ์เบื้องต้นว่าสาเหตุเกิดจากการโจมตีจากกลุ่มก่อการร้าย FBI ได้ยื่นมือเข้าสืบสวน และประกาศในเวลาอีก 16 เดือนต่อมาว่าไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย จึงได้ยุติการสืบสวนลง คณะกรรมการความปลอดภัยในการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ จึงได้สานต่อการสืบสวนเหตุหายนะทางการบินที่ใช้เวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ จนได้ข้อสรุปว่า สาเหตุของการระเบิดอาจจะเกิดจากการระเบิดของไอเชื้อเพลิงไวไฟภายในถังเชื้อเพลิงซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเพราะประกายไฟจากกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อข้อสรุปอย่างเป็นทางการดังที่กล่าวมา และอ้างถึงทฤษฎีอื่นว่าเหตุระเบิดนั้นอาจเกิดมาจากการยิงจรวดขีปนาวุธของผู้ก่อการร้าย หรือแม้แต่กองทัพเรือสหรัฐฯ เอง ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลก็พยายามปกปิดข้อเท็จจริง
9

สตีฟ ฟอสเซ็ตต์ เป็นทั้งนักธุรกิจ, นักบิน, นักเดินเรือ, นักสร้างสถิติ ฯลฯ เขาเป็นคนแรกที่สร้างสถิติบินเดี่ยวต่อเนื่องรอบโลกด้วยบอลลูน และยังครองสถิติบินเดี่ยวด้วยอากาศยานปีกตรึงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานที่สุด ในปี 2007 สตีฟ ฟอสเซ็ตต์ ได้ทำการบินเหนือทะเลทรายเนวาดา แต่กลับสาบสูญ การค้นหานานนับเดือนต้องล้มเหลว แม้จะมีการระดมทุนค้นหาเองต่อ แต่ก็ยังคงไม่ค้นพบร่องรอยใด ๆ ของเครื่องบินที่หายไป พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008 สตีฟ ฟอสเซ็ตต์ ก็ถูกประกาศว่าเสียชีวิตลงตามกฎหมายแล้ว จนกระทั่งต่อมาในเดือนกันยายน 2008 นักปีนเขาได้ค้นพบบัตรนักบินของ สตีฟ ฟอสเซ็ตต์ และในไม่กี่วันต่อมาก็มีการค้นพบจุดที่เครื่องบินตก ห่างไปจากจุดที่เครื่องบินบินขึ้นประมาณ 100 กม. แม้จะไม่มีการค้นพบร่างที่หลงเหลืออยู่ ที่จากการตรวจสอบโครงกระดูกที่ถูกค้นพบในเดือนพฤศจิกายนต่อมาก็พบว่ามี DNA ตรงกับของ สตีฟ ฟอสเซ็ตต์ จริง ส่วนสาเหตุของการตกก็คาดกันว่าเกิดจากกระแสลมกดที่มากจนเกินไป บวกกับความกดอากาศ และภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขา
10

แรกเริ่มนั้น การหายไปของเที่ยวบิน MH370 ทำให้หลายคนย้อนไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เที่ยวบินของสายการบินแอร์ฟรานซ์ได้หายสาบสูญไปหลังขึ้นบินออกจากกรุงริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล มุ่งหน้าสู่กรุงปารีส เครื่องบิน Airbus A330-203 ประสบอุบัติเหตุตกลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติค ภายหลังจากที่ขึ้นบินได้นาน 3 ชม. 45 นาที ต้องใช้เวลานานกว่า 5 วันจึงจะค้นพบซากของเครื่องบินลำดังกล่าว ส่วนกล่องดำบันทึกข้อมูลการบินถูกกู้ขึ้นมาจากพื้นมหาสมุทรภายหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุไปแล้วถึง 2 ปี จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า สาเหตุของการตกนั้นเกิดจากการจับตัวเป็นน้ำแข็งบนพื้นผิวเครื่องบิน ส่งผลให้ระบบการบินอัตโนมัติไม่ทำงาน ประกอบกับการที่กัปตันไม่อยู่ทำหน้าที่ ด้านนักบินผู้ช่วยก็ตัดสินใจผิดผลาด เป็นเหตุให้เครื่องบินสูญเสียความเร็วจนไม่สามารถบินอยู่ได้ และตกลงกระทบกับผิวมหาสมุทรอย่างแรง ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 228 คนเสียชีวิต
แถม 1 รูปก่อนบ๊ายบายจ้า
การหายสาบสูญไปของเที่ยวบิน MH370 สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ยังคงเป็นปริศนา ที่หลาย ๆ คนทั่วโลกได้แต่เฝ้าจับตามอง แม้จะมีการระดมความร่วมมือจากนานาชาติ  ทั้งอากาศยาน, เรือ, ดาวเทียม ฯลฯ ก็ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานหรือร่องรอยใด ๆ ที่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นของเที่ยวบิน MH370 รายงานการค้นพบซากเครื่องบินที่ขัดแย้งกันจากหลากหลายฝ่าย, ความเป็นไปได้ในการหันเครื่องกลับของนักบิน ยิ่งมีแต่จะไปเพิ่มปมปริศนาให้การสูญหายครั้งนี้ยิ่งลึกลับมากยิ่งขึ้น ทฤษฎีว่ายด้วยการจี้เครื่องบินหรือการก่อการร้ายก็ถูกลดความเป็นไปได้ลงแล้วเนื่องจากไม่มีการค้นพบสัญญาณฉุกเฉินใด ๆ จากเครื่องบิน อีกทั้งบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้สวมรอยใช้หนังสือเดินทางที่สูญหายก็ไม่น่ามีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับการก่อการร้ายเลย ล่าสุด ทางการสหรัฐฯ ได้ระบุว่าเครื่องบินเที่ยวบิน MH370 ยังคงส่งสัญญาณติดต่อกับดาวเทียมอยู่เป็นเวลานานกว่า 4 ชม. ภายหลังจากที่หายไปจากจอเรดาร์ จึงคาดว่าภายในระยะเวลา 4 ชม. นั้นเครื่องบินอาจจะยังทำการบินอยู่ได้



ที่มาข้อมูล http://news.th.msn.com/10-ที่สุดของปริศนา-เครื่องบินหายสาบสูญ

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

Inspirit//Kra'amm 15 มี.ค. 57 เวลา 20:02 น. 2
เคยคิดป่ะ ?
ว่า . . . เครื่องบินที่หายไป จะทะลุมิติ ไปยังอีกมิตินึง
ตอนค้นหาเลยหาไม่เจอ แม้แต่ซาก 5555555.

0