Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[เล่าเรือง10ปีของเรา] จากเด็กที่ใครๆก็บอกว่าเธอมันใจแตก ติดเกมส์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะ วันนี้ไม่มีอะไรมาก

ตามที่ได้สัญญาไว้เมื่อวาน ว่าจะแชร์เรื่องของเราให้ฟัง

ยาวหน่อยนะคะ เรื่องมันผ่านมา 10 ปีแล้วค่ะ
เผื่อจะเป็นการสร้างกำลังใจให้คนที่กำลังท้อแท้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและรับสิ่งที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้

อยากจะแชร์เรื่องราวบางส่วนของตัวเองในรอบ 10 ปีให้ฟังค่ะ

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว พ.ศ.2547 ในปีนั้นเรากำลังเรียน ม.1 โรงเรียนชื่อดังระดับจังหวัดแห่งหนึ่ง (ถ้าดูในโปรไฟล์ก็รู้ค่ะ)

เราเป็นนักเรียนคนเดียวของรุ่น ป.6 ที่ได้เข้าโรงเรียนนี้ ความรู้สึกไม่ต่างจากคนไกลบ้าน ต้องออกมาเรียนแต่เช้ามืด

เดินทางไปเรียน 12 กิโลเมตรทุกวัน

ในปีแรก เต็มไปด้วยความสนุกและตื่นเต้น เพราะได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย จนวันนึงเราต้องเลิกทำในปีนั้น เพื่อมาทุ่มเทให้กับการเรียน

แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของปากทางสู่หายนะในชีวิตนักเรียนมัธยมต้นของฉัน 

"เลิกเรียนไม่ต้องซ้อม เลิกเรียนไม่ต้องเรียนพิเศษ เดินทางถึงบ้านให้ได้ก่อนหกโมงเย็นก็พอ"

นี่เป็นสิ่งที่ฉันคิดอยู่เสมอในเวลานั้น

ด้วยสิ่งแวดล้อม และสังคมที่ฉันเข้าไปคลุกคลี ...ไม่ใช่พวกเรียนดีอะไรมากมาย ออกแนวติดเกมส์เสียมากกว่า

ฉันจึงพลอยติดเกมส์ไปด้วย

ฉันทุ่มเทกับเกมส์ออนไลน์ ในตอนเช้า ตั้งแต่ 6.00-7.30 และ 16.30-18.30 และอีกรอบตอนดึก 23.00-03.00

วนLoopแบบนี้จนจบ ม.3 ด้วย GPAX 2.14

ชีวิตที่ไม่ต้องคิดถึงอนาคต ชีวิตที่ไม่มีความคาดหวัง

แค่ 3 นาที ในการเป็นที่ 1 ของเกมส์นั้นก็พอ ค่า Exp.และ DEN ที่ได้

จะเติม Cash ซื้อ Item ชั่วคราวหรือถาวรดี? เวลานอนที่ดีที่สุดคือในห้องเรียน

มีแค่นั้นจริงๆนะ

หนักๆเข้ามีการเชิญผู้ปกครอง ฉันไม่รู้หรอก ว่าครูบอกอะไรผู้ปกครองบ้าง

แต่เรื่องบางเรื่องที่ผู้ใหญ่คาดการณ์ หรือมโนไปเอง ส่งผลเสียต่อตัวเด็กเต็มๆ

แทนที่จะมีการพูดคุยกันแบบเปิดใจ กลับกลายเป็นการสร้างกำแพงที่หนาขึ้นระหว่างตัวเด็กกับผู้ปกครอง

หลังจบชั้นมัธยมต้น ฉันได้โคต้าที่โรงเรียนเดิม แต่ฉันเลือกที่จะไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง

ที่ๆสอนให้ฉันได้เรียนรู้ว่า

"ชีวิตในโลกของความเป็นจริงนั้นไม่เคยง่าย ยามไม่มีพ่อแม่Support"

ฉันได้รับบทเรียนราคากลางๆ แต่ให้ความเข้าใจกับนิยามของ "ชีวิต" ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดในเวลานั้น

บ่อยครั้งที่เพื่อนๆ บอกฉันแบบนี้เสมอ หลายคนบอกว่าฉันใช้ชีวิตได้ไม่เต็มศักยภาพ

แน่นอน ไปเรียนไกลบ้าน ฉันต้องอยู่หอ หอของวิทยาลัย

จริงๆไม่อยากเรียกว่าหอเลย มันเป็นบ้านมากกว่า

บ้านของเรามีสองชั้น เป็นบ้านก่ออิฐถือปูนชั้นบนเป็นไม้ ชั่นบนมีรุ่นพี่ชาวม้งอาศัยอยู่ 7 คน

ชั้นล่างเรานอนกัน 5 คน มีเราและเพื่อนอีกสองคนและรุ่นพี่ ปวช ปี 4 (2 คน)

ยอมรับว่าเป็นช่วงชีวิตที่เรามี"คุณภาพชีวิต" ต่ำที่สุดในชีวิต 22 ปี จนถึงวันนี้

ครอบครัวเราไม่ได้ทำอาชีพเกษตรกร แต่เราเรียนเกษตรกรรม แน่นอนว่าต้องมีวิชาปฏิบัติ

เพื่อนส่วนใหญ่มีธุรกิจเกษตรกรรมในบ้านเกิดของเขา ดังนั้น ส่วนใหญ่ในวิชาปฏิบัติ เพื่อนๆสามารถทำได้ดี

แต่ในขณะเดียวกัน เราทำไม่ได้ แต่ในวิชาสามัญเราทำได้ค่อนข้างดี

เวลาล่วงเลยไป 1 ภาคการศึกษา คะแนนออก มันไม่ไหวจริงๆนะ GPA 1.9X ได้คะแนนดีแค่วิชาสามัญซึ่งเป็นส่วนน้อย

เราตัดสินใจลาออก แต่ทางวิทยาลัยเสนอทางเลือกให้โอนหน่วยกิตไปเรียนที่ชลบุรี ซึ่งเราได้ปรึกษากับทางบ้านแล้วว่าจะไม่เดินทางนี้ต่อ

แม้ต้องเสียเวลารออีก 1 เทอม ก็ยอม เราเก็บของออกจากวิทยาลัยแล้วเดินทางกลับบ้านทันทีในบ่ายวันนั้น

ในปี 2550 เป็นปีที่เราไม่ได้รับวุฒิการศึกษาอะไรทั้งสิ้น ตัดขาดการติดต่อกับวิทยาลัยไปโดยปริยาย

เป็นนักศึกษาที่ไม่จบการศึกษาในสาขาพืชศาสตร์ มีเพียงวุฒิ ม.3 และอายุเพียง 15 ปี

เราทำอะไรไม่ได้ นอกไปจาก อยู่บ้านเฉยๆ และเรียนกวดวิชาในช่วงเสาร์อาทิตย์เท่านั้น

บ่อยๆที่ได้ยินคนนินทาว่า"ไม่เอาถ่าน ใจแตก เรียนไม่จบ"

ไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าตัวเราเอง ว่ามั้ย

หลังจากนั้นเราก็สมัครเข้าเรียนต่อในระดับ ม.ปลายโรงเรียนใกล้บ้าน ใกล้นิคมอุตสาหกรรม

โรงเรียนที่ชุมชนแถวนั้น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แน่ใจแล้วหรอว่าจะไปเรียน เด็กมันเกเรนะเธอจ๋า

แล้วเราก็ได้เข้าไปเรียนที่นั่น ทำให้เรารู้อีกว่า

"คนนอกมันจะไปรู้ดีกว่าคนในได้ยังไงหึ?"

ยอมรับว่าช่วงชีวิต ม.ต้นเป็นคนไม่ค่อยเอาสังคมโรงเรียนเน้นเล่นเกมส์มากกว่า

ตอนนั้นเพื่อนที่เล่นเกมส์ก็มีแต่ผู้ชาย เลยอาจชักนำให้คนบางกลุ่มคิดว่าติดผู้ชาย

ด้วยโรงเรียนห่างไกลจากร้านเกมส์ เป็นปัจจัยนึงที่เลิกเล่นเกมส์

และบังเอิญ มีเพื่อนห้องเดียวกัน บ้านอยู่ใกล้ๆกันด้วย

เลยทำให้เรามีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมห้อง

ก็ได้เพื่อนคนนี้ช่วยเราให้ผ่านช่วงปรับตัวไปได้ด้วยดี

เราเริ่มมีตัวตน เริ่มทำกิจกรรม หนักขึ้นๆ จนจบ ม.6 ด้วย GPAX2.64 แผนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์

ชีวิตที่เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบแต่เปล่านะ พยายามอยู่เหมือนกัน

จนที่สุด ก็ได้มาเรียนที่ มหาวิทยาลัยรัฐบาลติดอันดับต้นๆ

กล้าพูดเลยว่าชีวิตของเรา สิ่งที่เราพบเจอแล้วได้รับมา

ส่วนนึงมาจากการที่เราเปลี่ยนทัศนคติไม่ว่าจะเรื่องเพื่อน เรื่องครู เรื่องการเรียนการศึกษา

เรากล้าที่จะเปิดปากพูดคุยกับครูอาจารย์มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีค่ะ (ติดนิสัยเรื่อยมาจนทุกวันนี้)

ไม่ต้องกลัวที่จะเข้าไปคุย เพราะคนเป็นครู ย่อมมีเจตนาดีต่อลูกศิษย์ของตัวเองค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

Natthika Ruangthap 31 ก.ค. 57 เวลา 02:27 น. 1

หลายๆเรื่องที่ไม่ดี เราตัดออกค่ะ กลุ่มคนที่จะนำพาความเสื่อมถอยต่อชีวิต เราไม่ตัดออก แต่เราลดระดับความสัมพันธ์ค่ะ

เรายอมเป็นคนใจร้าย ปฏิเสธคนที่มาชอบเรา ไม่ใช่เพราะตัวเขาแต่เรารู้สึกว่าเรายังดีไม่พอ 

เรามุ่งมั่นที่จะเรียน แสวงหาโอกาสที่ดีในอนาคตให้ตัวเองเพราะในตอนนี้ทำได้แค่นั้นแหละที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข

วันนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ชั้นปีที่ 4 ได้รับสิ่งดีๆมากมายจากการทำความดี คิดดี เจตนาดี

ชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็นกราฟขาขึ้นในช่วง 4 ปี ในมหาวิทยาลัย

ในขณะที่ช่วง ม.ต้น กราฟชีวิตติดลบ เพราะชีวิตตอนนั้นเราเฟลมากจริงๆ

เราไม่เชื่อเรื่องดวง แต่เราเชื่อในการกระทำ เจตนา ความคิด

คนทำงานดี ด้วยใจสัตย์ซื่อ ย่อมได้รับสิ่งดีๆอยู่เสมอ

ถ้าทำดี ไม่ได้ดี ให้คิดถึงกราฟ Product Life Cycle

ที่ในช่วง Introduction มีผลกำไรติดลบแล้วตอนหลังขึ้นสู่ด้านบน

ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่ให้ความรู้ ให้โอกาสดีๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรมสัมนา หรือเป็นโอกาสในการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนระดับภูมิภาคอาเซียน

ขอบคุณนิสิตร่วมคณะทุกคนที่ให้โอกาสเราได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนนิสิต ปีนี้เป็นปีที่ 2 ของเราค่ะ

ขอบคุณเพื่อนๆที่โรงเรียนทุกคนที่สร้างประสบการณ์อันทรงคุณค่าในการเป็นนักเรียนมัธยมปลายของเรา

ขอบคุณคนบางคนที่เคยผ่านเข้ามาและผ่านไป ผู้เข้ามาแวะเวียนทำให้เราพบสัจธรรมหลายๆข้อและเรียนรู้ว่า การพยายามยืนให้ได้ด้วยตัวเอง มันดีและน่าภูมิใจขนาดไหน

ขอบคุณผู้ใหญ่หลายๆท่านที่ให้โอกาสทางด้านการงาน ไม่ว่าจะเป็นงานสอนพิเศษ หรือการฝึกงานก็ดี

เหนือสิ่งอื่นใด ขอขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ สำหรับโอกาสที่ได้เกิดมาพจญภัยสารพัดบนโลกใบใหญ่ใบนี้ 

คนเป็นพ่อเป็นแม่ ให้โอกาสเราได้นับ 1 ใหม่เสมอ หากแต่ว่าเราจะเริ่มใหม่หรือไม่ อีกเรื่องนึง

0
asds 31 ก.ค. 57 เวลา 03:53 น. 2

การที่ได้เห็นเด็กที่กำลังเติบโตไปในทางที่ดี

เปรียบเสมือนกับ

การที่ได้เห็นดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน

คำพูดเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าพิจารณาดีๆอย่างถี่ถ้วนและนำมาพูดเป็นประโยคสั้นๆ ก็จะสื่อความหมายออกมาได้นับพัน

ดังที่กวนอู กล่าวเอาไว้ว่า

"ยกเหล้าจอกกับสหายรู้ใจ ยกเป็นพ้นจอกก็ไม่เมา"



ดอกไม้บานเกี่ยวไรกับกินเหล้าวะ ตลกจัง

ฮะนู๋มั่วนิ่มไปทั่ว อย่าโกรธนู๋เน้อ นู๋เอาฮา

0