ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย (คณะวิทยาศาสตร์)

 
คณะวิทยาศาสตร์ Issue 003 week3, May 2009
 
คณะวิทยาศาสตร์ 
ตอนที่ 3/4 : จากรุ่นพี่ถึงรุ่นน้อง : ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย
 
เสียงจากศิษย์เก่าคณะวิทยาศาสตร์ 


     สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com คราวที่แล้วพี่ยีนได้พาพี่ๆ คณะวิทยาศาสตร์มาให้เจาะลึกชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยกันแล้วนะครับ งานนี้ขอพาทุกคนกระโดดออกมานอกรั้วกันหน่อย ตามพี่ยีนไปสัมภาษณ์พี่ๆ บัณฑิตจากคณะวิทยาศาสตร์กันดีกว่าว่า ชีวิตการทำงานหลังเรียนจบจากคณะวิทยาศาสตร์ของแต่ละคนเป็นอย่างไร จะดุเด็ดเผ็ดมันส์แค่ไหน ไปติดตามกันเลยดีกว่าครับ... 

 

รุ่นพี่วิทยาศาสตร์คนที่ 1 :
พี่ปริตร กรรมการบริหาร บจก. เอลีทเทค โอคุณซัน และรองกรรมการบริหาร บจก. ดีเอ็นเอ เมมโมรี่ (ประเทศไทย)
 
 
พี่ยีน: ช่วยแนะนำตัวให้น้องๆ รู้จักหน่อยครับ! 
พี่ปริตร: ชื่อปริตร ปริตรมงคล ครับ ศิษย์เก่าคณะวิทยาศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยครับ 
 
พี่ยีน: ทำไมถึงเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยครับ?
พี่ปริตร: เพราะมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้มงวดเรื่องของหลักสูตรมาก โดยเฉพาะคณะวิทยาศาสตร์ครับ 

พี่ยีน: พี่ปริตรจบสาขาวิชาอะไร จากคณะวิทยาศาสตร์ครับ?
พี่ปริตร:  สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ครับ

 

 


พี่ยีน: สมัยที่พี่ปริตรยังเรียนอยู่ คณะนี้ถือว่าเรียนยากมากไหมครับ?

พี่ปริตร:  จำได้ในสมัยที่เรียนอยู่ ข้อสอบทุกวิชาจะเป็นแบบคำถามเปิด นักศึกษาจะต้องทำข้อสอบโดยการเขียนอธิบาย หรือแสดงวิธีทำด้วยตนเอง จะต้องเข้าใจ หรือจำได้จริงๆ จึงจะสอบผ่าน ไม่ใช่ข้อสอบแบบมีตัวเลือก abc ให้เดา ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจากมหาวิทยาลัยเอกชนอื่นๆ ครับ
0
พี่ยีน: พี่ปริตรมีความประทับใจในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในด้านใดบ้างครับ?
พี่ปริตร:  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีบรรยากาศการเรียนการสอนแบบอบอุ่นเป็นกันเองอย่างบอกไม่ถูกครับ อาจารย์และนักศึกษาจะมีความเป็นกันเองมาก และยังรักสามัคคีกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่กันคนละคณะก็ตามครับ

พี่ยีน:
ปัจจุบันพี่ปริตรทำงานอะไรครับ?
พี่ปริตร:  ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร บริษัท เอลีทเทค โอคุณซัน จำกัด ผู้จัดจำหน่ายหูฟังไร้สายแบรนด์ บลูเทรค และรองกรรมการบริหาร บจก. ดีเอ็นเอ เมมโมรี่ (ประเทศไทย) ผู้จัดจำหน่ายเมมโมรี่ การ์ด แบรนด์ ดีเอ็นเอ ครับ...
 
พี่ยีน: มีอะไรอยากฝากกับน้องๆ ที่กำลังจะสอบแอดมิชชั่นบ้างไหมครับ?
พี่ปริตร:  อยากให้น้องๆ ทุกคนตั้งใจเรียน และใส่ใจกับการศึกษาให้มาก การเรียนนั้นไม่ยากอย่างที่คิด แต่ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียร และใช้เวลาให้มากขึ้น จากประสบการณ์ส่วนตัวคิดว่า หากเราไม่ใช่คนเก่ง แต่เราขยันให้มากขึ้น หรือตั้งใจให้มากขึ้น ทำให้มากขึ้น เราจะจำได้ดีขึ้น เกิดประสบการณ์และความชำนาญขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
      สำหรับตัวพี่ ตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยนั้นใช้วุฒิการศึกษาม. 6 แบบเทียบเท่า จึงไม่ได้เรียนหลายวิชาในมัธยมปลาย ทำให้เมื่อเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 1 มีปัญหามาก แต่ด้วยความพยายาม ความตั้งใจ และศึกษามากกว่าคนอื่นๆ เป็น 2 เท่า ทำอย่างนี้อยู่ 1 ปีก็สำเร็จ สอบได้คะแนนดี และตามทันเพื่อนๆ ครับ
รุ่นพี่วิทยาศาสตร์คนที่ 2 : พี่อ้อ นศ.ปริญญาโท ปิโตรเคมีและวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ จุฬาฯ
 

พี่ยีน: ช่วยแนะนำตัวให้น้องๆ รู้จักหน่อยครับ?

พี่อ้อ: พี่ชื่อพี่อ้อนะคะ จบมัธยมจากโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จ.นครพนม เรียนจบปริญญาตรีจากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ
 

พี่ยีน: ทำไมถึงเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ครับ?

พี่อ้อ:อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่ตอนที่เรียนมัธยมก็เลือกเรียนสายวิทย์มาตลอด ตอนที่เลือกคณะก็เลยเลือกคณะวิทยาศาสตร์นี่แหละค่ะ
 

พี่ยีน: พี่อ้อจบสาขาวิชาอะไรในคณะวิทยาศาสตร์ครับ?

พี่อ้อ:  คณะวิทยาศาสตร์ที่จุฬาฯ นั้น มีภาควิชาให้เลือกเรียนถึง 14 ภาควิชา (เยอะมากๆ) ซึ่งน้องๆ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.sc.chula.ac.th/ ค่ะ 
       ตอนที่เรียนนั้น พี่เลือกเรียนที่ภาควิชาเคมีค่ะ เพราะคิดว่าวิชาเคมีนั้นเป็นวิชาพื้นฐาน ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างดีแล้ว เราก็จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานด้านอื่นๆ ได้ค่ะ
      
นอกจากนี้ การเรียนในภาควิชานี้ยังทำให้เราได้มีโอกาสทำงานวิจัยเพื่อทดลองและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมต่อไปได้ (ดูนางงามนิดหนึ่งนะคะ)

 

พี่ยีน: สมัยที่เรียนอยู่ ได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างครับ?

พี่อ้อ:  กิจกรรมในตอนที่เรียนนั้นก็มีอยู่มากมายค่ะ ทั้งกิจกรรมภายในภาควิชาและกิจกรรมของมหาวิทยาลัย เช่น กิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัย คณะ และภาควิชา, งานฟุตบอลประเพณี, งานจุฬาฯ วิชาการ, งานกีฬา bonding game ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันกีฬาของภาควิชาเคมี 12 มหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งแต่ละงานก็ทำให้เราได้เรียนรู้ในเรื่องที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

 


 
 
 
 

พี่ยีน: พี่อ้อประทับใจคณะวิทยาศาสตร์ในด้านใดบ้างครับ?

พี่อ้อ: สิ่งที่ได้รับจากการเรียนคณะวิทยาศาสตร์นั้น นอกจากจะเป็นเรื่องของความรู้ที่ได้มาอย่างเต็มพิกัดจากคณาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถแล้ว เรายังได้พัฒนาตนเองในหลายๆ เรื่องจากงานที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงจากงานวิจัยที่เราได้มีโอกาสทำโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เรื่องของความรับผิดชอบ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และเรื่องของการปรับตัวในการทำงานร่วมกับผู้อื่นค่ะ
 

พี่ยีน: เพื่อนๆ ที่จบมาพร้อมกัน ไปทำงานอะไรกันบ้างครับ?

พี่อ้อ:  ส่วนใหญ่เพื่อนๆ ที่จบมาก็ไปทำงานได้หลากหลายมากค่ะ มีตั้งแต่ไปเป็นนักวิจัยในแผนกวิจัยและพัฒนา (Research and Development) รวมถึงแผนกควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ในบริษัทหรือตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
   
นอกจากนี้ บางคนยังเป็นผู้ช่วยนักวิจัยในสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัย เป็นพนักงานขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์หรือสารเคมี ทั้งยังมีงานที่ฉีกแนวออกไปอีก เช่น เป็นวิศวกรควบคุมการผลิตสินค้า และพนักงานในแผนกการตลาด (marketing) ค่ะ และยังมีเพื่อนบางคนที่ได้นำเอาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาไปประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น เปิดธุรกิจขายสารเคมีค่ะ

 
พี่ยีน: ได้ยินมาว่าพี่อ้อเลือกที่จะเรียนต่อปริญญาโท หลังเรียนจบปริญญาตรีเลยใช่ไหมครับ?

พี่อ้อ:  ใช่ค่ะ หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีในสาขาวิชาเคมีแล้ว ก็ได้เรียนต่อในระดับปริญญาโทที่คณะเดิม แต่เปลี่ยนไปเรียนในสาขาวิชาปิโตรเคมีและวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว และกำลังจะเรียนต่อระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาปิโตรเคมีต่อไปค่ะ
     
ที่เลือกเรียนต่อในสาขาวิชานี้นั้น ก็เป็นเพราะอยากจะทราบว่าปิโตรเคมีนั้นคืออะไร แล้วนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากนี้ยังอยากทราบว่า เราจะสามารถนำความรู้ในด้านเคมีที่ได้เรียนมา ไปประยุกต์ใช้ในสาขาวิชานี้ได้อย่างไร ซึ่งหลังจากเรียนจบก็คาดว่าอาจจะไปเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาหรือเป็นนักวิจัยในสถาบันวิจัยต่อไปค่ะ

 
พี่ยีน: ก่อนเรียนจบกับหลังเรียนจบ สิ่งที่คาดหวังไว้ในชีวิตแตกต่างกันบ้างไหมครับ?
 พี่อ้อ:  สิ่งที่คาดหวังตอนก่อนเรียนจบและหลังเรียนจบนั้นยังไม่มีความแตกต่างมากนักค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ได้ออกไปทำงาน เลยยังไม่ได้เจออะไรใหม่ๆ ที่ทำให้มีความคิดที่เปลี่ยนไปค่ะ
 
 พี่ยีน: บัณฑิตที่จบจากคณะวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาโทหรือเอกต่อไปไหมครับ?
 พี่อ้อ: สำหรับเรื่องการศึกษาต่อนั้น พี่คิดว่าถ้าเราเรียนในด้านวิทยาศาสตร์มา แล้วเราชอบและคิดว่าคงจะทำงานในแวดวงนี้ต่อไป การศึกษาต่อให้มีความชำนาญเฉพาะทางในระดับที่สูงขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งค่ะ
      
นอกจากนี้การเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะปัจจุบันการทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์นั้นมีความความจำเป็นที่จะต้องทำการเผยแพร่ความรู้ที่เราค้นคว้าได้จากงานวิจัยของเราออกสู่สาธารณชน ซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องทำการเผยแพร่ความรู้ออกสู่ระดับประเทศเท่านั้น แต่เรายังต้องทำการเผยแพร่ผลงานออกไปสู่ระดับนานาชาติอีกด้วยค่ะ
 
พี่ยีน: มีอะไรอยากฝากน้องๆ ที่กำลังจะสอบแอดมิชชั่นบ้างไหมครับ?

พี่อ้อ:  เนื่องจากในปัจจุบันพี่ก็ยังคงเรียนอยู่ ดังนั้นพี่คงจะแนะนำชีวิตหลังจากจบการศึกษาได้ไม่ดีนัก แต่พี่มีสิ่งที่อยากบอกน้องๆ ที่กำลังจะเลือกเรียนในคณะต่างๆ ก็คือ อยากให้น้องลองคิดถึงอนาคตของน้องเองว่า น้องอยากเห็นตัวเองเป็นอย่างไรในอนาคต อยากทำงานที่ไหน กับใคร รูปแบบไหน ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วพยายามก้าวเข้าไปหามันให้ได้

     
น้องอาจจะเคยได้ยินที่คนพูดกันว่า "ถ้าเราเลือกเรียนอะไร เราก็จะได้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นตลอดไป" สิ่งที่เขาพูดนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ พี่ยืนยันได้ค่ะน้อง สุดท้ายพี่ก็ขออวยพรให้น้องทุกคนได้เรียนในคณะที่ตัวเองรักและอยากเรียนกันทุกคนนะคะ 

 
 

 

 
รุ่นพี่วิทยาศาสตร์คนที่ 3 : พี่จั๊ว Programmer Officer, Asian Institute of Technology (AIT) 
 
พี่ยีน: แนะนำตัวให้น้องๆ รู้จักหน่อยครับ?
พี่จั๊ว: สวัสดีครับ ชื่อ โชคชัย  ภัทรมาลัยครับ จบปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ตอนนี้ทำงานเป็น Program Officer อยู่ที่ Asian Institute of Technology (AIT) ครับ 
 
พี่ยีน: ทำไมถึงเลือกเรียนคณะนี้ครับ?
พี่จั๊ว: ใจจริงตอนประมาณม.4 - ม.5 เคยคิดอยากจะเป็นหมอ เพราะชอบวิชาชีววิทยาครับ แต่ดูคะแนนเอนท์ตัวเองแล้ว ดูห่างไกลจากหมอนัก เป็นหมอคนไม่ได้ เป็นหมอคอมพ์ก็ได้ ฮ่าๆๆ
     อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยากเรียนด้านนี้ เพราะเคยเป็น staff computer ตอน ม.ต้น ครับ ก็เคยเขียนโปรแกรมด้วยภาษา pascal มาบ้าง ไม่ถึงกับจริงจังกับมันนัก แต่พอเห็นว่ามีคนมาเล่นโปรแกรมที่เราเขียนแล้วเขาชอบ (ตอนนั้นเขียนพวกถามคำถามแล้วสรุปลักษณะนิสัย โดยเอาต้นแบบมาจากนิตยสาร) เขาเล่นแล้วสนุก ตัวเราเองก็พลอยสนุกไปด้วย
     แรงบันดาลใจสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่เล่นพวก chat เยอะครับ แล้วเคยโดนแฮค โดนบอทสแปม message ใส่จนเน็ตหลุด ตอนนั้นเจ็บใจมาก ไปไล่ search หาวิธีแฮคกลับบ้าง (โดนไวรัสไปหลายตัวเหมือนกัน) สุดท้ายก็ได้เป็นโปรแกรมที่เอาไว้เจาะเครื่องคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้ใช้ความรู้อะไรเลย หลอกถาม IP เขามาแล้วก็ใส่ลงไป แล้วก็กดปุ่ม มันต่างกับที่เคยเห็นในหนังเยอะเลย รู้สึกเจ็บใจ อยากเข้าใจมันว่ามันทำงานยังไงครับ แต่พอได้มาเรียนคอมพ์แล้วเข้าใจมันจริงๆ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ไร้สาระไป เพราะได้รู้ว่า จริงๆ แล้วมันไม่มีการเจาะกำแพงเข้าไปหรอกครับ มันมีแต่ประตูที่ไม่ได้ล็อคอยู่เต็มไปหมด เข้าประตูแรกไม่ได้ ก็ลองประตูอื่น คนส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยระวังเรื่องป้องกันกันเอง 
 

 

 

 

 
พี่ยีน: ส่วนใหญ่เพื่อนๆ ที่จบมาด้วยกัน ทำอะไรกันต่อไปบ้างครับ?  
พี่จั๊ว:บางคนก็เปลี่ยนสายไปเลยก็มีครับ อย่างบางคนเพิ่งจะรู้ตัวว่าชอบงานศิลปะ ก็ย้ายไปเรียนต่อเมืองนอกในสถาบันที่สอนเฉพาะทางด้านศิลปะ
     เพื่อนๆ หลายคนที่ไม่ชอบเขียนโปรแกรมก็หนีไปทำงาน pre-sale (เป็นตำแหน่งที่อยู่ระหว่าง sale กับช่างเทคนิค ไปทำงานด้านการขายหรือไปทำงานบริหารก็มี) 
     หลายคนที่ได้ศึกษางานด้าน business เพิ่มเยอะๆ แล้วโดดขึ้นไปทำงานด้านบริหารก็มีครับ หรือบางคนก็เปิดกิจการของตัวเองเลย ส่วนเพื่อนที่ยังติดอยู่กับการเขียนโปรแกรม ก็ทำงานใน software house บ้าง ทำในหน่วยงาน IT ของบริษัทใหญ่ๆ บ้าง บางคนก็ทำหน้าที่พัฒนาโปรแกรม บางคนก็ไปทำงานด้านการเขียนโปรแกรมมาทดสอบโปรแกรมอื่นๆ ก็มี   
 
 
 
 
 
 
พี่ยีน: ตอนเรียนได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างครับ?

 พี่จั๊ว: กิจกรรมเหรอครับ? ที่คณะวิทยาศาสตร์ของธรรมศาสตร์จะแบ่งเด็กในคณะเป็นกลุ่มๆ โดยคละสาขากัน ผมอยู่กลุ่ม Delta ส่วนใหญ่ก็จะทำกิจกรรมของกลุ่มครับ เพราะกิจกรรมในสาขามีเพื่อนๆ คนอื่นช่วยกันทำแล้ว กิจกรรมของกลุ่มที่ทำก็จะมีตั้งแต่ซ้อมร้องเพลง จัดซุ้มช่วงงานเทศกาลต่างๆ และจัดงานพวกรับเพื่อนใหม่กับบายเนียร์ (ส่งรุ่นพี่ที่จะจบการศึกษา) นึกถึงแล้วยังสนุกอยู่เลยครับ


พี่ยีน:
คิดว่าคณะนี้ให้อะไรกับพี่จั๊วบ้างครับ?
 พี่จั๊ว: สาขาวิทยาศาตร์คอมพิวเตอร์ ที่ มธ. ค่อนข้างเน้นการปั้นเด็กให้ตรงกับความต้องการของตลาดครับ ช่วงนี้งานด้านไหนเยอะ ก็จะมีวิชาเสริมความถนัดด้านนั้นๆ เข้ามา แล้วหลักสูตรก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความต้องการของตลาด
     สำหรับคนที่เลือกสาย software engineer แบบผม ทางคณะปูพื้นฐานด้านนี้ให้ดีมากครับ ทำให้ตอนเรียน ป.โท สบายขึ้นเยอะ และในตอนเรียนปริญญาตรี การเรียนด้าน software engineering จัดเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ทีเดียว มีแค่ไม่กี่คณะที่เปิดสอน พอเราทำเป็นในขณะที่คนอื่นทำกันยังไม่เป็น และสิ่งที่เราทำเป็นนั้นเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการตัว ก็จะทำให้ค่าตัวเราสูงขึ้นครับ
     การเรียนสาขานี้นั้น นอกจากได้งานสบายแล้ว ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกชอบมันครับ การได้ทำสิ่งที่ชอบ ทำให้มีไฟจะศึกษาต่อเอง มีไฟจะขวนขวาย มีไฟจะแก้ปัญหา พอมีไฟมากมายก่ายกอง อยากไม่อยากก็ต้องเก่งเข้าสักวันแหละครับ เพราะว่าเราอ่านเยอะ ทำเยอะ แล้วเราก็ไม่เปลี่ยนสายการทำงานไปทำอย่างอื่น ทำให้ประสบการณ์เราสูงขึ้นๆ ครับ

 
 
พี่ยีน: พี่จั๊วจบมาแล้วทำงานเลยหรือเปล่าครับ?
 พี่จั๊ว: ช่วงจบมาผมอยู่บ้านตั้งครึ่งปีก่อนทำงานจริงครับ ให้เวลาพักผ่อนกับตัวเองบ้าง เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัยมันหนักมาก นั่งเล่นเกมอยู่บ้านเหมือนปิดเทอมตอนเด็กๆ อย่างนั้นเลยครับ
     นอกจากนี้ได้เข้าพวก technical webboard อย่างเช่น http://www.narisa.com/ แล้วไปเห็นว่าพี่ๆ ที่ทำงานแล้วเขาเก่งกันจัง ทำให้รู้สึกว่าไอ้สี่ปีที่เรียนมามันช่างน้อยนิดเหลือเกิน เขาเขียนโปรแกรมกันเก่งกว่าเราแบบทาบกันไม่ติดฝุ่นเลยครับ
    แต่ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละครับ ตอนสมัยเรียนอยู่ เราเสียเวลาประมาณวันละ 5-8 ชั่วโมงกับการเรียนหนังสือ ได้เขียนโปรแกรมแค่ตอนทำการบ้าน เฉลี่ยแล้วจะถึงวันละหนึ่งชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พวกคนทำงานเขาเขียนกันตั้งแต่แปดโมงเช้ายันห้าโมงเย็น บางคนยาวไปถึงเที่ยงคืนก็มี ชั่วโมงบินมันต่างกันเยอะครับ
    ด้วยความเจ็บใจในความรู้น้อยของตัวเอง เลยนั่งอ่านพวก textbook อยู่บ้าน ศึกษา framework ต่างๆ และพวก design patterns ที่ดังๆ ทำความเข้าใจว่าทำไมเขาออกแบบกันแบบนี้ เขียนกันแบบนั้น ช่วงครึ่งปีที่อยู่บ้านก็ทำอย่างนี้อยู่ทุกวันแหละครับ เขียนโปรแกรมบ้าง อ่านหนังสือบ้าง เข้า Narisa ไปตอบกระทู้ที่ตอบได้บ้าง แล้วที่เหลือก็นั่งเล่นเกมครับ ทั้งเกมเครื่อง PS และเกม online ได้ผลนะครับ ครึ่งปีผ่านไป เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเชียว ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
    หลังเริ่มทำงานได้สักพัก ก็เรียนต่อจนจบปริญญาโทด้าน Software Engineer ที่ AIT แล้วก็ทำงานต่อที่นี่เลยครับ
 
 พี่ยีน: ก่อนเรียนจบกับหลังเรียนจบ สิ่งที่คาดหวังไว้ต่างกันบ้างไหมครับ?

 พี่จั๊ว:ก่อนจบกับหลังจบต้องแบ่งว่าเป็นตอน ป.ตรี หรือตอน ป.โท นะครับ ถ้าตอน ป.ตรี นั้น ไม่มีอะไรต่างมากนัก แต่ถ้าตอน ป.โท ล่ะก็ ต่างเยอะเลยครับ
    
ตอนป.ตรี เนื่องจากเขียนโปรแกรมเป็นตั้งแต่ก่อนเข้าไปเรียนแล้ว ทำให้พอจะเห็นภาพว่า จบมาแล้วงานที่ทำจะเป็นอย่างไร ยิ่งเรียนด้าน software engineer ที่เน้นการเขียนโปรแกรมแล้ว ก็ยิ่งเหมือนที่คิดไว้ใหญ่เลย ทำให้ไม่รู้สึกว่ามันผิดไปจากที่คาดเท่าไหร่ครับ
    
ส่วนตอน ป.โท เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ตั้งแต่วันแรกที่ปฐมนิเทศ president พูดกับพวกเราว่า เราจะยัดความสามารถที่มากขนาดจะเปลี่ยนโลกได้ไว้ในตัวพวกคุณ นั่นเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ของคุณคือเริ่มคิดเสียแต่วันนี้ ว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างไร? ถ้าคุณมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ ทำไมจะไม่ทำให้มันดีขึ้นล่ะ?
    
วันที่ผมเรียนจบ president ก็มาพูดในงานรับปริญญาว่า จากสิ่งแวดล้อมที่มีผู้คนมากมายหลายชาติปะปนกันที่เราเตรียมไว้ให้ จากความรู้ความสามารถที่อาจารย์ในคณะปูพื้นฐานให้คุณ พวกคุณน่าจะมีความสามารถในการจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้แล้ว ผมเชื่อว่าไม่ว่าพวกคุณจะไปอยู่ไหน ทำตำแหน่งอะไรในโลก คุณจะทำมันได้ดี ออกไปอาละวาดซะ และจำไว้ว่าใน AIT คุณเรียนหนังสือในห้องเรียน ข้างนอกนั้น โลกคือห้องเรียนของคุณ
   
ยิ่งเรียนระดับสูงขึ้น เราก็ยิ่งมีความรู้เฉพาะทางมากขึ้น เมื่อก่อนเราเรียนหลายวิชาครอบคลุมไปหมด พอขึ้น ม.ปลาย ก็เริ่มเน้นสายวิทย์ (ศึกษาธรรมชาติ) และสายศิลป์ (ศึกษาสิ่งที่มนุษยสร้างขึ้น) พอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เริ่มเลือกสาขาที่เราชอบแบบกว้างๆ (อย่างผมก็เลือกเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์) แล้วพอเรียนโท เราก็ยิ่งเจาะลึกลงไปอีก (เช่นของผมก็เป็นการเขียนโปรแกรมใหญ่ๆ ทำงานเป็นทีม แล้วทำให้มันเร็ว กระชับ ตรงตามความต้องการ และมีคุณภาพสูง)ยิ่งเจาะลึกลงไปสาขาต่างๆ ขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีรายละเอียดมากขึ้น เราเริ่มจะมีความเชี่ยวชาญที่เฉพาะทางมากขึ้น สรุปแล้ว ยิ่งแคบลง แต่ยิ่งลึกขึ้น ยิ่งแหลม ยิ่งเฉียบคมขึ้น
    
เวลาหนึ่งปีที่ใช้ในการทำวิทยานิพนธ์ ขัดเกลาให้ผมฝึกที่จะคิด ที่จะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ทุกๆ สัปดาห์ที่ต้องไป present ความคืบหน้าให้อาจารย์ฟังในเวลาที่จำกัดมากๆ ทำให้ความสามารถในการสื่อสารสูงขึ้นเยอะมาก รู้จักเอารูปภาพหรือตารางมาอธิบายสิ่งที่เคยต้องพูดเป็นชั่วโมงให้คนอื่นเข้าใจได้ในไม่กี่นาที สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้จากการเรียนโท และผมว่ามันคาดหวังกันยากด้วย เพราะปกติก็ไม่ค่อยจะได้เห็นว่าคนเรียนกับคนไม่เรียนต่างกันอย่างไร เพราะความคิดมันมองเห็นกันไม่ได้ เห็นแค่ได้ทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น และได้เงินเดือนเยอะขึ้นเท่านั้น
   
ถ้าเป็นตอนนี้ ก็จะคิดอยู่ตลอดว่า โลกนี้ยังขาดอะไรอยู่? มีอะไรบ้างที่เรายังจะทำได้? จะสร้างสรรค์อะไรดีให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด?

 
พี่ยีน: งานที่ทำในปัจจุบันเป็นอย่างไรครับ?
พี่จั๊ว: อย่างที่บอกไว้ว่าเป็น program officer ที่ AIT ตอนนี้สาขากำลังจะเปิดสาขาใหม่ครับ เป็น Professional Master's in Software Engineering (PMSE) คร่าวๆ คือเราจะเปิดรับคนเขียนโปรแกรมเก๋าๆ ที่มีประสบการณ์การทำงานหลายๆ ปี มาเติมทฤษฎีด้าน software engineering เข้าไป
     ปกติมืออาชีพเหล่านี้จะมีความรู้ด้านนี้อยู่แล้ว ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ แต่การเพิ่มทฤษฎีซึ่งได้มาจากการลองผิดลองถูกของผู้คนทั่วโลก จนสรุปมาเป็นหลักการต่างๆ เข้าไปให้กับมืออาชีพเหล่านี้ เชื่อว่าจะทำให้เขามีความรู้ที่กว้างขึ้นและมีพื้นฐานที่แน่นขึ้น ส่งผลให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิมมากครับ
     ที่มาด้านนี้ เพราะเชื่อว่าถ้าหลักสูตรนี้เกิดขึ้นมา น่าจะทำให้วงการ software ไทยพัฒนาไปข้างหน้าจนสู้กับต่างชาติได้ครับ
ส่วนรายละเอียดของงานก็ทำมันหมดทุกอย่างแหละครับ ตั้งแต่ทำเว็บไซต์ ออกแบบโบร์ชัวร์ ทำแผนการตลาด ทำแผนการลงทุน หาคนมาช่วยสอน หาคนมาเรียน ตระเตรียมหลักสูตร ติดต่อผู้คนมากมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ก็เตรียมเนื้อหาที่จะต้องสอนด้วยครับ เพราะสอนวิชาหนึ่งชื่อ Component-Based Application Development Frameworks (CBADF) เป็นการเอาพวก design patterns ใน frameworks ต่างๆ มาแกะให้ดู 
 
พี่ยีน: การเรียนต่อในระดับปริญญาโทหรือเอก หลังจบปริญญาตรีจากสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งจำเป็นมากน้อยแค่ไหนครับ?
พี่จั๊ว:สำหรับคำถามว่าเรียนต่อจำเป็นไหมสำหรับปัจจุบัน มันตอบยากครับ คนที่เรียนแล้วไม่ได้อะไรก็มี ที่เรียนแล้วได้ก็มี ขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนเป็นไหม เรียนแล้วเอาไปใช้ไหม คำถามนี้อย่าถามผมเลย ผมแนะนำให้ถามใจตัวเองดูครับ ว่ามันจำเป็นไหมสำหรับเรา
 
พี่ยีน: อยากฝากอะไรเพิ่มเติมกับน้องๆ ที่กำลังจะสอบแอดมิชชั่นบ้างไหมครับ?
พี่จั๊ว: อยากจะบอกว่าเรียนอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นสิ่งที่เราชอบและอยากทำ ลองถามตัวเองว่า เรารู้หรือยังว่าสิ่งที่เราอยากจะเรียนนี้ จบไปแล้วต้องทำงานอะไร? แล้วเราชอบมันขนาดที่จะทำมันได้ทั้งชีวิตไหม?
     น่าเสียดายที่กลไกการตลาดทำให้งานแต่ละงานนั้นให้ค่าตอบแทนไม่เท่ากัน บางครั้งสิ่งที่เรารักที่จะทำ ถ้ามันเลี้ยงชีพไม่ได้ เราก็อาจจะฝืนทำมันต่อไปไม่ได้
     แต่อยากให้จำไว้สองอย่างครับ สำหรับคนที่ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้น ขอแค่เก่งเป็นพอ แล้วทุกๆ อย่างจะตามมา ต่อให้สิ่งที่เราเก่งนั้นจะเป็นการขายปาท่องโก๋ก็เถอะ ถ้าปาท่องโก๋ที่เราทำมันอร่อยขนาดดาราฮอลลีวู้ดต้องบินมากินให้ได้ เราก็หาเงินหลักล้านได้เหมือนกัน อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ อย่าหยุดที่จะฝึกฝน หมั่นลับฝีมือให้เก่งเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วเราก็จะอยู่ได้
     อีกเรื่องที่อยากฝาก็คือ โลกนี้มันกว้าง งานที่หาที่ทำในเมืองไทยไม่ได้ อาจจะเป็นที่ต้องการมากๆ ในประเทศบรูไนก็ได้ ลองคิดดูว่าโลกนี้จะมีองค์กรสักกี่องค์กร ในจำนวนนั้นจะไม่มีที่ว่างสำหรับเราเลยหรือ?
สุดท้ายนี้ ผมขอเอาใจช่วยทุกๆ คน ให้ได้เจอสิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะอยู่กับมัน ขอให้ไม่ลืมที่จะไล่ตามความฝัน ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า และมีความหมายต่อใจตัวเอง เก็บเกี่ยวมิตรภาพและความทรงจำดีๆ มีชีวิตที่หันหลังกลับมามองแล้วภูมิใจครับ
     หากอยากรู้จักผมเพิ่มเติม แวะเข้าไปที่ website ของผมได้ที่ http://www.cs.ait.ac.th/~chokchai นะครับ
 

 

 
 
   
 
    
     เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเส้นทางการทำงานของพี่ๆ บัณฑิตจากคณะวิทยาศาสตร์ เรื่องราวของแต่ละคนคงเป็นเครื่องการันตีได้แล้วใช่ไหมครับว่า อนาคตของคนที่จบคณะนี้ ไม่มีทางรุ่งริ่งอย่างแน่นอน และสำหรับใครที่ยังไม่ข้อสงสัยเกี่ยวกับคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งเข้าทำนอง "อยากรู้..แต่ไม่อยากถาม" ก็เชิญไปติดตามคำถามของเพื่อนๆ และคำตอบจากพี่ๆ คณะวิทยาศาสตร์ กับ "ที่ตรงนี้มีคำตอบ" ในคราวหน้ากันนะครับ สำหรับตอนนี้ พี่ยีนต้องลาไปตามล่าพี่ๆ มาตอบคำถามให้น้องๆ กันก่อน ไว้เจอกันนะครับ...  
 
 

Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

22 ความคิดเห็น

จุล 26 พ.ค. 52 14:15 น. 1
อยากรู้เก่ยวกับสาขาจุลชีววิทยาอ่ะค่ะพี่ พี่พอจามีข้อมูลมั้ยคะว่าจบไปทำงานอะไรได้มั่ง สายงากว้างมั้ย หางานยากมั้ยอะไรอย่างงี้อ่ะค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Puzzle_Pearlz Member 13 ก.ย. 52 20:31 น. 16
"คนที่เรียนแล้วไม่ได้อะไรก็มี ที่เรียนแล้วได้ก็มี ขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนเป็นไหม เรียนแล้วเอาไปใช้ไหม"

โดนมากๆ  แต่ไม่เกี่ยวกะ ป.โทนะ

ป.ตรีนี่แหละ หึๆ -*-
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด