สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ..... มาแล้วๆๆๆ เจอกับ พี่เป้ และคณะในฝันกันอีกเช่นเคย สำหรับสัปดาห์นี้เรายังอยู่กันที่ "คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ^^ อย่างที่สัญญาเอาไว้ค่ะว่าสัปดาห์นี้ พี่เป้ จะกลับมาพร้อมกับรุ่นพี่คนเก่งทีปัจจุบันทำงานเป็นนักการทูตของกระทรวงต่างประเทศ .... อาชีพในฝันที่จัดได้ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจมากๆ ดังนั้น ใครอยากเป็นนักการทูต ต้องอ่าน !!
ก่อนอื่นอยากให้แนะนะตัวเองกับน้องๆ หน่อยค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่ตาลนะคะ อรวิจิตร์ ชูเพชร พี่เรียนจบจากคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations: IR) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2552 ค่ะ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งนักการทูตปฏิบัติการ กองวัฒนธรรมสัมพันธ์ กรมสารนิเทศค่ะ
อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เลือกเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเหรอคะ
ที่จริงแล้ว ตั้งแต่เด็กก็ฝันเป็นหลายอย่างนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอ คุณครู ซึ่งเป็นอาชีพใฝ่ฝันของเด็กๆ ทุกคน แต่พอโตขึ้น ก็เริ่มทราบว่าชอบเรียนทางด้านภาษาและสังคมศาสตร์และก็ค่อนข้างมีความถนัดในวิชาด้านนี้ ซึ่งตอนเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาก็เลือกเรียนในสายศิลป์-ภาษาฝรั่งเศสค่ะ
ในการเลือกคณะ ตอนนั้นพี่ก็มีความมุ่งมั่นว่าจะเลือกคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะเราเป็นคนชอบติดตามข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์บ้านเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ รวมถึงสังคมวิทยา แล้วก็ยังมีความสนใจในด้านภาษาต่างประเทศ ซึ่งภาควิชา IR ถือว่าเป็นการผสมผสานทั้งสังคมศาสตร์และภาษาศาสตร์อย่างลงตัวค่ะ
อยากให้ลองเล่าย้อนกลับไปตอนเรียนหน่อยค่ะ เป็นยังไงบ้างกับการเรียน IR ที่จุฬาฯ ^^
ความประทับใจตอนเรียนมีมากมายเลยค่ะ เรียกว่าได้ว่าเป็น 4 ปี ที่น่าจดจำในชีวิตทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ ซึ่งในภาควิชาก็ค่อนข้างมีจำนวนน้อย คือประมาณ 60 คน ทำให้จะรู้จักกันหมดและช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะในเรื่องเรียน ซึ่งจะมีเพื่อนที่คอยทำหน้าที่บริการสังคม คือจดเลคเชอร์อย่างสวยงาม ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณกับเพื่อนๆ อย่างสูงค่ะ 555
ส่วนอาจารย์ของคณะฯ ก็ถือว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและทุ่มเทเพื่อให้นิสิตได้ความรู้และนำความรู้เหล่านี้ไปต่อยอดได้ ทำให้คณะรัฐศาสตร์ถือเป็นคณะในลำดับต้นๆ ที่มีการทำรายงานหลายชิ้นมากกกกก.....5555 ซึ่งในช่วงเวลาปิดเทอมที่เพื่อนๆ คณะอื่นๆ ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เราก็ต้องอยู่ในห้องสมุด ทำรายงาน แต่สิ่งเหล่านี้ล่ะค่ะ ที่จะทำให้เราได้ฝึกและพัฒนาตนเอง แถมยังสร้างความอดทนให้เราต่อไปเมื่อเราเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ
แล้วหลังเรียนจบแล้ว เป็นมายังไงถึงได้สอบเข้ามาเป็นนักการทูตที่กระทรวงต่างประเทศเหรอคะ มีขั้นตอนการสอบยังไงเหรอคะ
การเข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าได้ 2 ทางนะคะ ทางแรกคือ การเป็นนักเรียนทุนกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะสอบตั้งแต่ ม.4 หรือ ม.6 เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี-โท หรือเอกด้วย และกลับมาทำงานในกระทรวงฯ ค่ะ ส่วนทางที่ 2 คือ การสอบเข้าโดยใช้วุฒิปริญญา ซึ่งพี่ตาลก็สอบเข้ามาด้วยวิธีนี้ค่ะ โดยใช้วุฒิรัฐศาสตรบัณฑิต อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศก็ยังเปิดโอกาสให้น้องๆ ที่จบจากคณะวิชาอื่นๆ ในด้านสังคมศาสตร์เข้าสอบเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ เป็นต้นค่ะ
ลักษณะของการสอบก็จะมีทั้งสอบข้อเขียน (ภาค ก และ ข) และสอบสัมภาษณ์ (ภาค ค) ซึ่งผู้ที่จะเข้าสอบสัมภาษณ์ได้จะต้องสอบผ่านข้อเขียนทั้ง 2 ภาคก่อนค่ะ
โดยข้อสอบข้อเขียนภาค ก จะมีลักษณะเป็นปรนัย (เลือกชอยส์) คือ
-วิชาความรู้รอบตัวทางสังคมทั้งหมด เช่น สถานการณ์บ้านเมือง นโยบายต่างประเทศ ประวัติศาสตร์
-วิชาความรู้ทางภาษาอังกฤษ
ส่วนภาค ข จะมีลักษณะเป็นอัตนัย (เขียนตอบ) 2 วิชาเช่นกันค่ะ คือ
-วิชาภาษาอังกฤษ แบ่งเป็นการเขียนเรียงความ การสรุปความ การแปลทั้งไทยเป็นอังกฤษ และอังกฤษเป็นไทย
-วิชาความรู้ทั่วไปทางรัฐศาสตร์ ก็จะเป็นการเขียนตอบในเรื่องนโยบายต่างประเทศ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศค่ะ
เมื่อสอบข้อเขียนผ่านก็จะเป็นกระบวนการสอบสัมภาษณ์ค่ะ ซึ่งเรียกได้ว่า ผู้เข้าสอบทุกคนมีความกดดันมากทีเดียวเลยค่ะ เพราะเป็นการสอบแบบเข้าค่าย 3 วัน 2 คืนที่พัทยา ซึ่งภายในค่ายก็จะมีการทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกัน ได้แก่ การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) และกิจกรรมเดี่ยว ได้แก่ การพูดต่อหน้าสาธรณชนเป็นภาษาอังกฤษ (Public Speaking) โดยเราจะไม่ทราบหัวข้อมาก่อนและจะต้องเตรียมก่อนขึ้นพูดประมาณ 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์เดี่ยว (Interview) โดยคณะกรรมการผู้ทรวงคุณวุฒิทั้งในกระทรวงฯ หน่วยงานรัฐและเอกชนอื่น ๆ ค่ะ เรียกได้ว่าการจะสอบเข้ามาต้องผ่านหลายกระบวนการและใช้เวลาพอสมควรทีเดียวเลยค่ะ
โห ฟังดูยากมากๆ เลย แล้วอย่างนี้ก่อนสอบต้องเตรียมตัวอะไรยังไงบ้างเหรอคะ
การเตรียมตัวก่อนสอบถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามข่าวสาร อ่านหนังสือ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้วไม่เฉพาะก่อนสอบ โดยเฉพาะในประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนสังคมวัฒนธรรม เรียกได้ว่า จะต้องมีความรอบรู้ให้ครอบคลุมทุกๆ ด้านให้ได้มากที่สุดค่ะ
แล้วตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ทำในกระทรวงต่างประเทศตอนนี้คืออะไร มีหน้าที่อะไรบ้าง
งานในกระทรวงฯ ที่แต่ละคนได้รับมอบหมายก็อาจจะมีเนื้องานที่แตกต่างกันไปตามกรม/กองที่ตนสังกัดค่ะ อย่างพี่ตาล อยู่กองวัฒนธรรมสัมพันธ์ ก็รับผิดชอบงานทางด้านวัฒนธรรมทั้งหมด โดยเน้นการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยออกสู่สากล ซึ่งจะช่วยประสานงานและอำนวยความสะดวกให้สถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลใหญ่ฯ ของไทยทั่วโลกในการดำเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ ค่ะ
ปัจจุบัน การทูตเชิงวัฒนธรรม ถือว่ามีบทบาทมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งทางในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ค่ะ อย่างเช่นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมาก็มีการอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวายยังประเทศเพื่อนบ้านที่นับถือศาสนาพุทธจำนวน 11 ประเทศค่ะ ซึ่งพี่ตาลก็ได้มีโอกาสไปมา 2 ที่ คือ ที่รัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย และกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่าค่ะ
ได้ยินว่าพอเข้ามาแรกๆ จะต้องบินไปฝึกงานที่ต่างประเทศด้วย จริงรึเปล่าคะ
เมื่อสอบเข้าได้ ข้าราชการแรกเข้ากระทรวงฯ ทุกคน จะต้องผ่านหลักสูตรนักการทูตแรกเข้าเป็นเวลา 6 เดือนค่ะ ซึ่งประกอบไปด้วยการเรียนในห้องเรียน การฝึกงานตามกรม/กองต่างๆ เช่น กรมการกงสุล กรมพิธีการทูต กรมสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ และต้องบินไปฝึกงานเป็นเวลา 1 เดือนในสถานเอกอัครราชทูตฯ หรือสถานกงสุลใหญ่ฯ ในต่างประเทศค่ะ ซึ่งพี่ตาลไปฝึกงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
การไปฝึกปฏิบัติงานจริงที่สถานเอกอัครราชทูตฯ นั้น ทำให้ได้ประสบการณ์มากมายค่ะ เพราะทำให้เราเห็นภาพการทำงานของนักการทูตจริงๆ ซึ่งเรียกได้ว่าต้องทำงานในหลายมิติมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านกงสุล เกี่ยวกับการคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือด้านพิธีการทูตค่ะ ทำให้นักการทูตจะต้องมีลักษณะที่สำคัญคือ ทักษะการปรับตัวเข้ากับสภาวะต่างๆ การเรียนรู้อย่างรวดเร็วและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรอบคอบ เพราะจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ในหลายๆ ด้านค่ะ
นอกจากนี้การไปฝึกงานที่อินโดนีเซียนั้น ทำให้ได้มีโอกาสพบปะบุคคลระดับสูงที่บริหารบ้านเมือง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย คณะกรรมาธิการของสภาฯ ต่างๆ นักธุรกิจไทยที่นั่น รวมถึงบุคคลในทุกระดับ ซึ่งการพบปะกับบุคคลมากหน้าหลายตาและทุกระดับถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเป็นนักการทูต ซึ่งจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้นอีกด้วยค่ะ
เค้าว่ากันว่า ในบรรดานักการทูตมีแต่คนเก่งมากๆๆ หัวกะทิระดับขั้นเทพจริงมั้ยคะ
ด้วยกระบวนการคัดเลือกบุคลากรที่เข้มข้น ทำให้กระทรวงการต่างประเทศอาจได้ชื่อว่าเป็นอีกที่หนึ่งที่มีคนเก่งอยู่มากมายทีเดียว แต่การที่เราได้อยู่ท่ามกลางคนเก่งๆ มากมาย พี่ตาลคิดว่าเป็นผลดีกับตัวเรามากเลยค่ะ เพราะทำให้เราได้ซึมซับกระบวนการคิด เรียนรู้จากบุคคลเหล่านี้ และนำมาพัฒนาตัวเราค่ะ
สุดท้ายอยากให้ฝากถึงน้องๆ ที่อยากเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอยากเป็นนักการทูตหน่อยค่ะ
สำหรับน้องๆ ที่อยากเป็นนักการทูตนะคะ พี่ตาลก็ขอฝากน้องๆ ว่า ถ้ามีความตั้งใจจริง พี่ตาลเชื่อว่าน้องๆ ทุกคนสามารถทำได้อย่างแน่นอนค่ะ ทั้งนี้จะต้องเกิดจากความมุ่งมั่นและมีการฝึกฝนและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะการสร้างความรอบรู้ให้ตนเอง เปิดหูเปิดตาให้เป็นคนโลกกว้าง และการมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งและครอบคลุมในทุกๆ ด้าน รับรองว่าการเป็นนักการทูตไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ
โอ้โห คนอะไรทั้งสวยทั้งเก่ง ขอชมจากใจเลย สุดยอดมากๆๆๆ ยังไง พี่เป้ ก็ต้องขอขอบคุณพี่ตาลด้วยนะคะ ที่อุตส่าห์เสียเวลามาพูดคุยกับน้องๆ แถมเล่าเรื่องราวชีวิตของนักการทูตกันอย่างละเอียดยิบ ว่าแต่แถวนี้มีใครอยากเป็นนักการทูตบ้างมั้ยนะ ขอเสียงหน่อยเร้วๆๆๆ
สำหรับคณะในฝันเดือนหน้า ใครเป็นคนรักเทคโนโลยีและรักการใช้ชีวิตกับคอมพิวเตอร์เตรียมตัวให้ดี เพราะคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จะมาเจอกับน้องๆ ทุกคน !
|
246 ความคิดเห็น
เรียนก็ไม่เก่ง TT
อยากเปนทูตตั้งนานแย้วววว
จาได้เปนมั้ยเนี่ยย ยากจัง -_-"
พี่ตาลเทพจิงๆๆ
แต่ไม่เก่งภาษาอักฤษ ถ้าจะใช้ภาษาที่สามอันอื่นเช่น จีน อย่างนี้จะโอเคมั๊ยคะ??
ก็ประมาณอย่างน้อยต้อง 3 ภาษาค่ะ รวมจีนด้วยนะคะ
ผมสงสัยว่า
สถานเอกอัคราชทูต กับสถานกงสุล ต่างกันยังไงอ่ะครับ
เเล้วก็ยกตัวอย่างการทำงานด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
กงสุล (consul) เป็นตำแหน่งของบุคคลซึ่งรัฐบาลของ ประเทศหนึ่งแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนประจำอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของอีกประเทศหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือคนชาติของประเทศผู้แต่งตั้งกงสุลที่ไปอยู่ในเมือง ต่างประเทศนั้น ๆ และเพื่อดูแลผลประโยชน์ทั่วไปของประเทศผู้แต่งตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพาณิชย์ กงสุลมี 2 ประเภท คือ
1. กงสุลโดยอาชีพ ได้แก่ ผู้ที่เป็นข้าราชการของประเทศผู้แต่งตั้ง
2. กงสุลกิตติมศักดิ์ ได้แก่ ผู้ได้รับแต่งตั้งซึ่งมิใช่ข้าราชการและไม่ได้รับเงินเดือน ซึ่งอาจเป็นคนชาติของประเทศผู้แต่งตั้งหรือคนชาติอื่นก็ได้
กงสุลที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสถานกงสุลมี 4 ระดับ คือ กงสุลใหญ่ กงสุล รองกงสุลและตัวแทนฝ่ายกงสุล
มีสถานกงสุลใหญ่เป็นที่ทำการค่ะ
ส่วนสถานเอกอัครราชทูต Embassy คือ ที่ทำการหรือที่ทำงานของผู้แทนทางการทูต ซึ่งจะมีหัวหน้าสำนักงานในระดับเอกอัครราชทูตหรืออุปทูตตำแหน่งต่างๆ ที่ประจำอยู่ คำว่าสถานเอกอัครราชทูตนี้ คนไทยทั่วไปเรียกกันสั้นๆจนติดปากว่า สถานทูต ซึ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าเป็นดินแดนของประเทศนั้น ที่ดินและอาคารสถานทูตทั้งหมดถือว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทย และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินไทย
สถานเอกอัครราชทูตแห่งหนึ่งๆ จะมีนักการทูตและเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง โดยมีชื่อเรียกต่างๆกัน ดังนี้
เอกอัครราชทูต Ambassador
มี ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary หรือที่คนทั่วไปเรียก ท่านทูต หมายถึงเอกอัครราชทูตที่รัฐผู้ส่ง แต่งตั้งไปยังรัฐผู้รับ
ในบางกรณีที่เอกอัครราชทูตมิได้มีถิ่นพำนักอยู่ในรัฐผู้รับจะมีชื่อเรียกว่า Non-resident Ambassador
นอกจากเอกอัครราชทูตแล้วยังมีนักการทูตระดับอื่นๆ อีก
ตามปกติแล้วในสถานเอกอัครราชทูตหนึ่งจะมีเจ้าหน้าที่การทูตอยู่ประมาณ 7-14 คนขึ้นไป อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของทูตได้แก่
อัครราชทูต
อัครราชทูตที่ปรึกษา
ที่ปรึกษา
เลขานุการเอก
เลขานุการโท
เลขานุการตรี
ผู้ช่วยเลขานุการ
ดังนั้น ความแตกต่างสั้นๆ ของสถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลฯ ก็คือว่า ทูตเป็นตัวแทนของรัฐค่ะ ส่วนกงสุลเป็นตัวแทนที่รัฐบาลส่งไปเพื่อดูแลผลประโยชน์ของคนชาติค่ะ
จะสังเกตได้ว่า สถานเอกอัครราชทูตฯ จะตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศนั้นๆ ส่วนสถานกงสุลใหญ่ฯ จะอยู่ที่เมืองสำคัญของประเทศต่างๆ แต่ไม่ใช่เมืองหลวงค่ะ
งั้นหนูขอเป็นแค่อัครทูตที่ปรึกษาก็พอค่ะ ^_^ ไม่อยากได้อะไรเยอะ ไม่ต้องบินบ่อยๆ แต่ก็ไม่อยากให้ภาษาขึ้นสนิมค่ะ 555
การสอบเข้ากระทรวงการต่างประเทศ ยังมีอีกสนามนึงสำหรับผู้ที่มีความสามารถพิเศษทางภาษาอื่นที่สำคัญ เช่น ภาษาจีน หรือภาษาอาหรับ นะค่ะ ดังนั้น ถ้ามีความตั้งใจ ก็ฟิตภาษาเหล่านี้ได้นะค่ะ อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ทิ้งภาษาอังกฤษนะคะ
เอิ่ม.. เป็นนักการฑูตไม่ได้
"ขอเป็นภรรยาท่านฑูตแทนละกันนะค๊า"
เพิ่งเรียนกฎหมายเบื้องต้นไป
เอกสิทธิ์ของท่านฑูต ครอบครัว ผู้ติดตาม มีมากมายเหลือเกิน
อิจฉาค๊าาาาาา ฮ่าๆๆๆๆ