สวัสดีครับ เรื่องลี้ลับในสถาบัน และ พี่ลาเต้ มาแล้วครับ ช่วงนี้เป็นธีมของการเล่าเรื่องผีในมหาวิทยาลัยเพื่อต้อนรับฤดูกาลแอดมิชชั่น ครั้งก่อน พี่ลาเต้ หยิบเอา "ตำนานผีสวนสุนันทา" มาเล่ายังแอบขนลุกไม่หาย (ใครยังไม่อ่าน คลิ๊กเลย) ส่วนวันนี้เป็นคิวของมหาวิทยาลัยรั้วติดกันอย่าง "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต" กันบ้าง จะมีมุมไหนที่ขึ้นชื่อเรื่องลี้ลับบ้าง ไปดูพร้อมกันเลยครับ ตึกแรกเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยมา จะเห็นทันทีนั้นคือ "อาคาร 1 ตึกคณะศิลปกรรม (เดิม) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ลักษณะของตึกเป็นอาคารไม้ตามแบบฉบับวังเก่า 2 ชั้น และเป็นที่กล่าวขวัญถึงไม่น้อย เพราะเล่ากันว่าอดีตเป็นหอสำหรับเล่นดนตรีไทยของชาววัง เล่าต่อกันว่ากลางค่ำกลางคืนใครเดินผ่านไปมามักจะได้ยินเสียงดนตรีไทยลอยมา ทั้งๆ ที่บนตึกมืด และไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว เดินถัดไปอีกนิดก็จะถึงตึกเรียนรวม อาคาร 11 ซึ่งนักศึกษาแทบทุกคนจะต้องมีโอกาสได้แวะเวียนไปเรียน ที่นั่นมีเรื่องเล่าจากศิษย์เก่าให้ฟังว่า ตึกนี้ขณะที่ก่อสร้างมีคนงานตกลงมาเสียชีวิต ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก ถึงขั้นต้องจ้างบริษัทก่อสร้างใหม่เข้ามาทำงานต่อ แต่เมื่อทำถึงชั้น 5 ต้องเปลี่ยนบริษัทกันใหม่อยู่หลายบริษัทจึงจะสร้างเสร็จ หากสังเกตดีๆ จะพบว่า ตั้งแต่บันไดชั้น 5 ขึ้นไป ความกว้างของขั้นบันไดจะแคบลงเรื่อยๆ และทางขึ้นจะชันมาก ซึ่งมีเพียงเจ้าหน้าที่เก่าแก่เท่านั้นที่รู้เหตุผล อีกมุมหนึ่งใจกลางมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นพระตำหนักเก่า ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งของสำนักโพลชื่อดัง "สวนดุสิตโพล" เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว สีเขียวอ่อน แต่หากสังเกตดีๆ ที่ด้านข้างของตึกทั้ง 4 ทิศ จะมีลูกกรงเหล็กอยู่ มีเรื่องเล่าลือต่อๆ กันมาว่า อาคารนี้เคยใช้เป็นคุกเก่าสำหรับขังนักโทษ และว่ากันว่าหากใครคิด หรือทำอะไรผิด มาเดินผ่านแถวนี้จะเห็นหรือได้ยินเสียงแปลกๆ ไม่เชื่อลองไปถามนักศึกษาคณะวิทยาศาสตรฯ ได้ส่วนใหญ่มักจะยินเสียงโซ่ตรวนจากตึกนี้เป็นประจำ อีกบริเวณที่นักศึกษาสวนดุสิตเจอเรื่องดีกันบ่อยๆ นั้นก็คือ บริเวณหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งแต่เดิมเป็นหอประชุม 1 ชั้นก่อนในปัจจุบันจะทุบ และสร้างใหม่เป็น "อาคารรักตะกนิษฐ" เคยมีนักศึกษาคณะมนุษยศาสตรฯ เล่าว่าสมัยที่ยังเป็นหอประชุมชั่นเดียว เคยเดินผ่านบริเวณหอประชุมนี้ตอนกลางคืน แล้วได้ยินเสียงคนเรียกมากจากด้านบน จึงเงยหน้ามองขึ้นไป ได้เห็นเป็น "ผู้หญิงชุดไทยตัวใหญ่ยืนชะโงกหัวลงมา" ทำเอานักศึกษารายนั้นต้องหยุดเรียนไปหลายวัน หากใครที่เคยเดินไปแถวคณะครุศาสตร์ สวนดุสิต ก็คงจะคุ้นตากับพระตำหนักเก่าหลังหนึ่ง ที่ปัจจุบันนี้ถูกใช้เป็นสำนักศิลปะและวัฒนธรรม ประวัติของอาคารหลังนี้ ถูกเล่ามาว่าเป็นตำหนักใหญ่อันดับต้นๆ ของวังแห่งนี้ ในอดีตเคยมีเรื่องเล่าว่า ชั้นบนสุดทางมหาวิทยาลัยปรับปรุงให้เป็นห้องประวัติศาสตร์ ซึ่งก็จะเต็มไปด้วยรูปเจ้าจอมพระองค์ต่างๆ ที่เคยประทับในวังแห่งนี้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นรูปขาวดำ ใครได้ขึ้นไปจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าชวนขนหัวลุก และก็มีนักศึกษาอยู่กลุ่มนึงเคยขึ้นไปตอนช่วงหัวค่ำ และหาทางลงไม่เจอ !! วนแล้ว วนอีก ก็ไม่มีทางลง จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ขึ้นไปเจอในสภาพต่างคนกอดคอกันร้องไห้ และตึกแห่งนี้ยังเป็นอีกตึกที่เปลี่ยนผู้รับเหมาปรับปรุงบ่อยมาก จะด้วยเหตุผลอะไรน่าจะเดากันไม่ยาก เรื่องสุดท้ายขอยกให้กับความสยองขวัญใน "สระมรกต" ซึ่งสระนี้เป็นคลองโบราณสายเล็กๆ ที่ไหลจากพระที่นั่งวิมานเมฆ ผ่าน มรภ.สวนดุสิต ผ่าน มรภ.สวนสุนันทา และไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาที่ท่าวาสุกรี โดยสระมรกตแห่งนี้นักศึกษาหลายคนเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนดึกๆ อย่าก้มลงไปมองเด็ดขาด โดยบริเวณสระมรกตที่จะมีสะพานข้าม มีคนเคยเห็นผู้ชายโบราณไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าหยักรั้งพายเรือลอดจากสระฝั่งซ้าย แล้วหายไปใต้สะพาน ?? เป็นยังไงบ้างครับ กับเรื่องลี้ลับของมหาวิทยาลัยวังเก่าอย่าง "สวนดุสิต" ใครมีประสบการณ์หลอนๆ ในสถานที่แห่งนี้มาแชร์กันนะคร้าบ ส่วนครั้งหน้า พี่ลาเต้ ยังไม่ไปไหนไกล จะไปพาสัมผัสเรื่องผีที่ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลคร้าบบ ขอบอกว่าหลอนสุดๆ ลาเต้ลิขิต : ส่งเรื่องลี้ลับในสถาบันของคุณมาได้ที่ latae@dek-d.com พี่ลาเต้ ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก เว็บไซต์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต |
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?



64 ความคิดเห็น
หลอนมาก ทุกสถานที่ต่างมีสิ่งที่เรามองไม่เห็นเเฝงตัวอยู่ ... T~T!
น่ากลัวจริงๆค่ะ TT.TT
เรื่่องเล่าเยอะมาก..
แต่ไม่เคยเจออะไรนะ เพราะกลับดึกสุดก็ทุ่มเดียวเองเกือบได้เรียนที่นี่แล้วเรา
ยิ่งกลัวๆผีอยุ่ ><
เพราะหนูเองก็คิดว่า ถ้าจิตเราคิดดี พูดดี ทำดี พระ้ท่านก็จะคุ้มครอง หนูจะออกจากโรงเรียนนีแล้ว อีกไม่กี่สัปดาห์โรงเรียนนี้ถ้าเรามองในแง่ดีก็คือโรงเรียนที่เป็นวังเก่า เราถือว่ามีบุญ ที่เกิดมาได้เรียนในวังเก่า หนูไม่ทราบหรอกนะคะ ว่าหนูเข้าใจถูกหรือเปล่า แต่หนูไม่ลบหลู่ และไม่ได้ ว่า วังเก่าแต่อย่างใด หนูเพียงแค่รัก และรู้สึกดีมาก ที่เกิดมาแล้วได่เรียนโรงเรียนดีๆ ถึงเขาจะเล่าบอกกันมาค่ะ
เพราะหนูเองก็คิดว่า ถ้าจิตเราคิดดี พูดดี ทำดี พระ้ท่านก็จะคุ้มครอง หนูจะออกจากโรงเรียนนีแล้ว อีกไม่กี่สัปดาห์โรงเรียนนี้ถ้าเรามองในแง่ดีก็คือโรงเรียนที่เป็นวังเก่า เราถือว่ามีบุญ ที่เกิดมาได้เรียนในวังเก่า หนูไม่ทราบหรอกนะคะ ว่าหนูเข้าใจถูกหรือเปล่า แต่หนูไม่ลบหลู่ และไม่ได้ ว่า วังเก่าแต่อย่างใด หนูเพียงแค่รัก และรู้สึกดีมาก ที่เกิดมาแล้วได่เรียนโรงเรียนดีๆ ถึงเขาจะเล่าบอกกันมาค่ะ