ดนตรีนั้นคือชีวิต..น้องๆ Dek-D.com หลายคนมีจังหวะหัวใจเป็นเสียงเพลงกันใช่ไหมคะ ดนตรีไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยในการพัฒนาจิตใจ ไปพร้อมกับทักษะต่างๆ ของเราได้อย่างมากมาย แบบที่ไม่ใช่ฟังเพลงแล้วรู้สึกเพราะ ก็จบไป แต่ยังมีอะไรมากมายกว่านั้น!!

   วันนี้สัมภาษณ์ติวเตอร์ดัง พี่แนนตื่นเต้นมากค่ะ เพราะมีโอกาสดีได้ร่วมพูดคุยกับ 3 พี่น้องไอดอล
ดนตรีคลาสสิคของเด็กไทย นั่นก็คือ พี่เป้
 พี่ป่าน และ พี่ปุย แห่ง VieTrio นั่นเอง!!!

    ซึ่งวันนี้ พี่ๆ ทั้ง 3 คนยังมีอีกบทบาทหนึ่ง นอกเหนือจากนักดนตรี นั่นก็คือ เป็นคุณครูสอนดนตรีน้องๆ ณ โรงเรียนดนตรีวีมุส (VieMus) ที่สอนทั้ง Violin Viola Cello Piano Vocal และ Music Theory ด้วย
 
    ขอบอกว่าการพูดคุยครั้งนี้ พี่ๆ ทั้ง 3 คนยังให้ ข้อคิดดีๆ สำหรับน้องๆ มากมายค่ะ โดยเฉพาะการค้นหาตัวเอง มีความมุ่งมั่น แล้วไปให้ถึงเป้าหมาย รวมทั้งใครที่อยากประสบความสำเร็จ อยากเล่นดนตรี เก่งเหมือนพี่เค้า ต้องทำยังไง แล้วดนตรี จะมีส่วนช่วยเรื่องการเรียนเราได้ ยังไงบ้าง ไปฟังกันเลยค่ะ
พี่แนน : สวัสดีค่ะ พี่ๆ ทั้ง 3 คน ขอเริ่มถามกันเลยค่ะ ว่าเป็นนักดนตรีกันอยู่ดีๆ แล้วทำไมถึง มามีโรงเรียนดนตรีวีมุส (VieMus) ได้คะ?

พี่ป่าน : คุณพ่ออยากมีโรงเรียนตั้งนานแล้วค่ะ แต่ก็ไม่มีโอกาส ไม่มีสถานที่ วันนึงท่านก็มา เจอที่นี่ ก็จองเลย เราก็ไม่ทันตั้งตัวจริงๆ ก็มีแพลนอยู่ แต่ก็ไม่คิดจะเร็ว

พี่ปุย : คอนเซปต์โรงเรียนเรา ไม่อยากให้เหมือนกับ โรงเรียนทั่วไป ที่ผู้ปกครองมาส่งน้องเรียนแล้วก็กลับบ้าน มันรู้สึกห่างเหินค่ะ บางทีผู้ปกครองไม่รู้ว่าน้องมาเรียนอะไร เลยรู้สึกว่า มันเหมือนไม่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเค้า ก็เลยคิดคอนเซปต์ว่า  Music is life.  ดนตรีคือชีวิต เราเลยทำที่นี่ให้เป็นเหมือนส่วนหนึ่ง เป็นบ้านที่ผู้ปกครองมานั่งได้ มีกิจกรรมร่วมกัน มีการจัดคอนเสริ์ตที่มีการเล่นเป็นวงร่วมกันทำให้เด็กรู้จักกันเป็นเพื่อนกัน
     มันจะไม่ใช่เป็นเรื่องของการเล่นดนตรี หรือพัฒนาทักษะเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างกัน เรื่องของความรักในดนตรี
    ซึ่งเมื่อไหร่ที่เค้าเกิดความรักและเห็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันสนุกไปด้วยกัน เค้าจะมีแรงบันดาลใจเพิ่ม
มากขึ้น เลยอยากให้มันเป็นสังคมแบบนี้อ่ะค่ะ


    แล้วก็ไม่ให้เป็นแบบการค้าเกินไป แบบรับ 20 คน ห้องนึงต้องเรียนกลุ่มอะไรแบบนี้ ก็รับเป็นตัวต่อตัว ยกเว้น
นักเรียนที่เป็นพี่น้องกัน อาจจะให้เรียนพร้อมกัน แต่ที่นี่จะให้เรียนตัวต่อตัว พอเรียนเสร็จก็จะเจอผู้ปกครอง เค้า 
ก็จะได้รู้ว่าเรียนอะไร มีพัฒนาการยังไง แล้วโรงเรียนเรา คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะอยู่ที่โรงเรียนตลอด จะไม่เป็นแบบ
พนักงานหน้าเคาเตอร์ ที่ผู้ปกครองมาจ่ายเงินแล้วกลับบ้าน แต่สามารถพูดคุยปรึกษากันได้

พี่แนน : แล้วน้องๆ ที่มาเรียน มีวัยไหนกัน บ้างคะ (เรียนจบมานานอย่างพี่แนนจะเรียน ได้ไหมเนี่ย?)
พี่ปุย :
โอ้โฮ 55 คนที่มาเรียนที่นี่ มีตั้งแต่แบบเด็ก อายุ 2 ขวบจนถึงอายุ 50 เลยค่ะ เป็นผู้บริหาร มาเรียนก็มี แต่ที่จะเยอะที่สุดจะอยู่ ในช่วงประถม กับมัธยมต้น คือเป็นช่วงที่ผู้ปกครองอยากให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อยากให้มีกิจกรรมติดตัวไปในอนาคต อีกกลุ่มที่กำลังจะเยอะคือ ระดับสามขวบ จะเน้นเรื่องพัฒนาการ ทักษะการฟังเสียงดนตรี

พี่แนน :
แล้วสอนดนตรีคลาสสิค สอนยังไงคะ เริ่มจากคนที่ไม่เป็นเลย จะต้องเริ่มยังไงคะ?
พี่ปุย :
 จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มเด็กเล็ก ตั้งแต่สามขวบ และอีกกลุ่มคือ เด็กที่โตหน่อย ตั้งแต่ ป.1 ไปถึงมัธยมปลาย อย่างวัยเด็กเล็กก็จะมีการสอนอีกแบบหนึ่ง  จะสอนตามตำราไม่ได้ เพราะเด็กแต่ละคน จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง  เด็กสมัยนี้ จะรู้ว่าชั้นอยากได้อะไรตั้งแต่เด็ก เด็กบางคนอยากทำแบบนี้ก็ทำเลย บางคนก็เชื่อฟัง เราก็ต้องมีวิธีการพิเศษ คือ สอนยังไงที่ไม่เหมือนบังคับให้เค้าเล่น คือทำให้ดนตรีเป็นเหมือนของเล่นของเค้า ทำยังไงให้เล่นแล้วได้ความรู้กลับไปด้วย

    ความรู้ของปุย คือ การที่เค้าจำได้แล้วเกิดทักษะ กลับบ้านไปแล้วอยากทำอีก หรือมีวิธีถือ
ไวโอลินยังไงไม่ให้เมื่อย ก็ต้องมีวิธีหลอกล่อ เช่น บางคนอาจจะชอบสติกเกอร์มาก ก็อาจจะบอกว่า ถ้านับถึง 20 ได้จะให้สติกเกอร์อันนึงแบบนี้ แล้วก็ฝึกไปเรื่อยๆ

    สำหรับเด็กโตเราก็จะมีหลักสูตรของอังกฤษ ซึ่งหลักสูตรนี้จะดีตรงที่ว่า จะฝึกให้เราอ่านโน๊ตตั้งแต่เริ่มเล่น วิธีการสอนก็จะเป็นสเต็ป ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้เป็นขั้นตอนมากขึ้น ซึ่งทางโรงเรียนเราจะมีหลักสูตรเสริมเยอะมาก เพราะบางคนเรียนไปจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน เราก็ต้องหาแบบฝึกหัดที่เหมาะกันการแก้ปัญหานั้น ซึ่งปัญหานั้นเราที่เป็นครูจะรู้ปัญหาของเด็ก


พี่แนน :
เอ..ว่าแต่ เป็นคุณครูแบบนี้ จะดุไหมคะ?
พี่ป่าน : ก็อาจจะต้องมีดุนิดหน่อยค่ะ เพราะอย่าง ตอนเราไปเรียนดนตรีที่ต่างประเทศ ถ้าไม่ดุก็จะไม่กระตุ้น แต่อาจจะต่างกัน เพราะถ้าสอนเด็ก เราดุมากเด็กอาจจะกลัว แต่พอสอนไปได้สักพัก เราก็ต้องเข้มงวด ถ้าใจดีเกินเค้าก็ไม่ได้ประโยชน์ ก็ต้องหาจุดที่ ลงตัวที่ทำให้เค้ารักเองด้วย แล้วเราจะทำยังไง ให้เค้าพร้อมด้วยตัวเอง

พี่แนน : แล้วจากการเป็นนักดนตรี เป็นนักแสดงมาเป็นครู ต่างกันเยอะไหมคะ ?
พี่ป่าน :
แตกต่างค่ะ อย่างเป็นนักแสดง เราก็เป็นอีกตัวหนึ่ง แต่เป็นครู เด็กจะเห็นเรา ตั้งแต่เริ่มต้น จนได้มาเรียน เพราะฉะนั้นการเป็นแบบอย่างที่ดี เริ่มตั้งแต่เค้าก้าวเข้ามาในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัว การแต่งหน้าทำผม การพูดจา เค้าก็จะเห็นเรา เพราะฉะนั้นการเป็นครู จะละเอียดอ่อนกว่า ต้องใจเย็น

พี่แนน : อยากให้แนะนำน้องๆ ที่มีใจรักดนตรี อยากเรียนดนตรีด้วย แต่ก็อยากเรียนให้ดีด้วย เราจะแบ่งยังไงให้ได้ดีทั้งคู่คะ?
พี่ปุย : การเรียนเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ อยากให้เป็น เรืองหลัก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล เป็นเรื่องการของแบ่งเวลาและให้ความสำคัญของเราเอง ไม่ใช่การ ให้ความสำคัญของผู้ปกครอง ไม่ว่าผู้ปกครองจะส่งไปเรียนอะไร ที่ไหน มันเกี่ยวกับเราว่าเราอยากจะทุ่มเท กับสิ่งที่เราเรียนแค่ไหน อย่างปุยเอง ตอนเรียน ม.ปลายก็ไปแคมป์ดนตรีต่างประเทศบ่อยๆ ไปทีก็นานๆ แล้วก็เริ่มเรียนหนักขึ้น เป็นคนอื่นก็อาจจหยุดเรียน แต่เรารู้สึกว่านี่คือ สิ่งทีเรารักที่จะทำ

    ซึ่งตอนนั้นก็รู้แหละว่าเราไม่ได้อยากเรียนดนตรี แต่อยากเรียนรัฐศาสตร์ ซึ่งตอนนั้นคะแนนก็สูง เรียนก็ต้องดี ดนตรีก็ต้องทำ เลยค้นพ้นว่า จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของการแบ่งเวลา

     อย่างเรื่องการแบ่งเวลา ปุยจะแบ่งไว้เลยว่า ในหนึ่งคืนทำยังไงให้เราได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือให้ได้เยอะที่สุด ก็คือจำได้ เอาไปใช้ได้ อย่างกลับไปบ้านอ่านหนังสือ 3 ชม. นี้ชั้นต้องอ่านอะไร แล้วได้อะไรบ้าง อย่างแรกก็ต้องมีเป้าหมายก่อน ซึ่งก็คือเรียนดี ถ้ามีจุดใหญ่ตรงนี้แล้ว มันก็มีจะมีแอคชั่นตามมา พอมีแอคชั่น ก็จะมีเป้าหมายย่อยๆ ตามมา เช่น วันนี้เราต้องได้บทนี้ ต้องได้วิชาอะไรบ้าง แล้วได้อย่างที่ว่าคือ ต้องได้แบบจริงๆ เต็มๆ คือถ้าเพื่อนบอกให้ติว ต้องพูดให้ฟังได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือ แบบรู้ว่าหนังสือเล่มนี้มีเรื่องอะไร บทนี้มีอะไรบ้าง จำสารบัญได้ เปิดมาเล่าได้เลยว่า บทนี้พูดถึงอะไร ต้องเล่าได้เลย

     การซ้อมดนตรีก็เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่ได้จะเรียนดนตรีเป็นวิชาหลัก ก็ซ้อมวันละ 1-1.30 ชม. หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ครึ่งชม.ก็ได้ ขอให้ได้จับ แต่ปรึกษาครูที่สอนสักนิดว่า การซ้อมที่ดีคืออะไร เหมือนการอ่านหนังสือ ก็คือต้องจำให้แม่น ส่วนการเล่นดนตรีก็คือ เล่นกี่ทีก็ไม่ผิด ถ้าเราเล่นวันนี้ผิด พรุ่งนี้ผิด แปลว่าที่เราซ้อมไปเมื่อวานไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้นอย่างแรกก็คือต้องมีเป้าหมายก่อน ต่อมาก็ต้องเซทตัวเองว่าเราอยากจะเป็นคนแบบไหน อยากเป็นคนเก่งด้านไหนเป็นพิเศษ
พี่แนน : ปัญหาของน้องๆ ที่ไม่ยังไม่มีรู้จักตัวเอง หรือหาเป้าหมายไม่ได้ เกิดจากอะไรคะ?
พี่เป้ :
พูดถึงเรื่องเป้าหมาย พี่คิดว่าเด็กหลายคนกลัวที่จะตัดสินใจ คือคุยกับน้องที่เรียน ม.6 หรอใกล้จะจบมหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทำอะไร ความกลัวคืออะไร ก็คือการที่พ่อแม่บอกว่า ลูกเรียนนิติศาสตร์มา เรียนวิศวะมา จบไปก็ต้องทำอย่างนั้นสิ ซึ่งพ่อแม่ก็เป็นบุคคลสำคัญ ในการเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกที่จะทำให้ลูกเลือก แต่เลือกในสิ่งที่พ่อแม่เลือก หรือสิ่งที่ลูกเลือกกันแน่? อย่างคุณเป็นลูกเจ้าของธุรกิจพันล้าน คุณก็ต้องมีหน้าที่ดูแลธุรกิจต่อ ไม่ว่าคุณไปติสท์แตก ปีนเขา แต่กลับมาคุณก็ต้องมาดูแลตรงนี้ต่อ ตรงนี้คือหน้าที่รับผิดชอบที่มีมาแต่เกิด

    แต่ปัญหาก็คือ ลูกไม่อยากทำ แต่ลูกก็ไม่กล้าคิด พ่อแม่ก็สั่ง อีกปัญหาคือ เรียนนู่นนี่มา แต่ไม่รู้ว่าชั้นอยากทำอะไร อยากทำอย่างที่ชั้นเรียนหรือเปล่า อะไรคือสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ มันเป็นเรื่องของเวลา สุดท้ายแล้วเมื่อคุณตัดสินใจจะทำในสิ่งที่ชั้นชอบ บางคนอาจจะทำเลย บางคนก็รอเวลา หรือรอปล่อยวาง แต่สุดท้ายก็มาทำสิ่งที่ชอบ
พี่แนน : ตอนนี้เห็นน้องๆ เรียนกวดวิชากัน เยอะมาก พี่ๆ มองว่ายังไงบ้างคะ?
พี่ปุย :
การเรียนพิเศษ ก็ถือเป็นการเรียนเสริมอย่างหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าในชีวิตเรายังมีกิจกรรมให้ทำอีกเยอะ อย่าไปละเลยมัน เผื่อวันหนึ่งเราพบตัวเองได้เร็ว มันจะยิ่งทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้เร็ว

พี่เป้ :
เพราะสุดท้าย เวลาที่คุณใช้ในโรงเรียน มันสั้นกว่าเวลาที่คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้น คุณต้องไม่กลัวที่จะเลือกไม่กลัวที่จะลองผิดก็ไม่เป็นไร

พี่ปุย :
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเอง ว่าจะขวนขวายแค่ไหน  ทุกคนถูกให้มาเท่ากัน แต่อยู่ที่คุณว่าจะ กระเสือกกระสนแค่ไหน มากว่าคุณเกิดมากับ อะไรเท่าไหร่

พี่เป้ :
มีน้องคิดแบบนี้เยอะนะครับ น้อยใจว่า ก็เรามีแค่นี้ ไม่ได้เรียนโรงเรียนไฮโซ เป็นแค่เด็กโรงเรียนต่างจังหวัด ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ตรงนี้เป็นทัศนคติที่ผิด มันไม่เกี่ยวว่าน้องจะ พูดภาษาอังกฤษได้ตอน 6 ขวบ หรือตอน 20 ทำเร็วไม่ได้หมายถึงว่าจะเก่ง คนเรามีช่วงเวลาที่ต่างกัน
     อย่างพี่ๆ เคยคิด เฮ้ย ซัมเมอร์เพื่อนไป ฮ่องกง เราไม่ได้ไป แต่พอถึงเวลา ก็ได้ไปตลอด ช่วงที่เพื่อนเรียน ทำงาน พี่ได้ไปเที่ยว ไปทำงาน ได้เงินด้วย โอกาสมันมาไม่พร้อมกันครับ ดังนั้น อย่าน้อยใจ อย่าคิดว่าเรามาจากที่นี่ ก็ได้เท่านี้ ต้องคิดว่าชั้นมาจากตรงนี้ แต่ชั้นยังทำอะไรได้อีก

พี่ปุย :
ทุกอย่างทำได้ อยากให้น้องๆ อย่าท้อว่า ชั้นได้เท่านี้ ชั้นไม่เก่งภาษา ลองถามคนเก่ง ภาษาไหมว่าเค้าทำอะไรบ้าง อย่างน้องทำเท่านี้ แต่เค้าอาจจะพยายามมากกว่าน้อง 30 เท่า อยากให้น้องหาให้ได้ว่าเราชอบอะไร รวมถึงอยากให้คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนตั้งแต่เด็กๆ เลย พ่อแม่หลายคนบอกว่าลูกไม่เอาอะไรเลย ไม่มีสมาธิเลย ซึ่งจริงๆ แล้วเค้าอาจจะยังไม่เจอสิ่งที่เค้าชอบก็ได้ ผู้ปกครองอย่าเพิ่งปิดโอกาส
พี่แนน : น้องๆ หลายคนอยากรู้ว่า เรียนดนตรี แล้วจะมาพัฒนาเรื่องการเรียนได้ยังไงบ้างคะ?
พี่เป้ :
น้องหลายคนที่เรียนที่นี่ ผู้ปกครองบอกเลยว่า ลูกพัฒนามาก อาจารย์ยังบอกเลยว่า ไปเรียนพิเศษที่ไหนมา

พี่ปุย :
อย่างเล่นดนตรี อย่างแรกเลยต้องมีสมาธิ ต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำปุ๊บแล้วเบื่อ ซึ่งเด็กๆส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ซึ่งการเล่นดนตรีเป็นการฝึกให้เค้าอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น โดยที่เป็นเพราะว่าเค้าชอบเค้าสนุกกับมัน อันที่สองคือเรื่องเสียง อย่างมีเสียงเค้า ก็จะจินตนาการ เช่น เสียงนี้โน๊ตต่ำ ตัวนี้สูง มันต้องกดนิ้วตรงไหน มันจะนำไปสู่การเชื่อมโยงต่างๆ พวกการวาดเส้น การวาดรูป การบวกเลข พวกนี้มันจะเชื่อมกันหมด อันที่สาม คือการสร้างประโยค อย่างเด็กที่มา เรียนกับพี่ปุย ก็จะพูดได้ มากขึ้น การเขียนประโยค เขียนได้ยาวขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดได้เด็กที่กำลัง มีพัฒนาการ

พี่แนน : สำหรับน้องๆ ที่อยากจะเก่งแบบพี่ๆ
3 คน น้องๆ ต้องทำเริ่มอะไรก่อนคะ?

3 คน : ต้องเก่งกว่า!!
พี่เป้ :
ต้องเก่งกว่า ต้องพัฒนาเรื่อยๆ
พี่ปุย : ต้องหาให้ได้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือถ้าลองก็ลองให้เต็มที่ทุกอย่าง เต็มที่ก็คือ ต้องซ้อม ต้องให้ความสำคัญ และรู้จักการ แบ่งเวลา และต้องรู้จักขวนขวาย บางทีเราอาจจะรู้สึกว่า เรียนดนตรีมันมีด้วยหรอ มีที่ไหน แคมป์ดนตรีมันมีที่ไหน แล้วมีเรียน ดร. ทางดนตรี ด้วยหรอ เรียนเกี่ยวกับอะไร บางทีเราก็ต้องลอง สำรวจอะไรพวกนี้ดู เราเด็กยุคใหม่ เราสร้างทาง ตัวเองได้ อย่าไปกลัว ^_^
   คุยกับ 3 นักดนตรีครั้งนี้ พี่แนนได้อะไรมากกว่าเรื่องดนตรีเป็นร้อยเท่าค่ะ นั่นก็คือ เรื่องของการค้นหาตัวเอง การมีความมุ่งมั่น หาเป้าหมายของตัวเองให้ได้ แล้วต้องพยายามทำมันให้สำเร็จ ซึ่งเป็นข้อคิดที่เหมาะ สำหรับน้องๆ มากค่ะ โดยเฉพาะน้องๆ ที่อาจจะกำลังค้นหาความชอบ หรือกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง อย่ากลัว และอย่าท้อไปก่อนลงมือ อย่างที่พี่เป้ พี่ป่าน และพี่ปุย VieTrio แนะนำมา สู้ๆ ค่ะ!!!
พี่แนน
พี่แนน - Columnist พี่ใหญ่ฝ่ายกิจกรรมด้านการศึกษา และฝ่ายดูแลสุขภาพจิตของน้องๆ ในทีมให้เป็นปกติ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

14 ความคิดเห็น

เหมันต์มนตรา Member 4 พ.ค. 55 22:06 น. 1
ชอบเพลง miracle ของพี่ๆวงนี้มากๆเลยค่ะ ><
จะพยายามเล่นดนตรีให้เก่งแบบพวกพี่ให้ได้เลยย !
0
กำลังโหลด
StephLy~CheerNy Member 5 พ.ค. 55 00:27 น. 2
เห็นพี่เค๊าเวลาเล่นดนตรี บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด! เห็นพวกพี่เค๊าเป็นนักเรียนทุนในหลวงด้วยใช่ป่าววว เก่งแท้ ^^
1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
NEKky Member 6 พ.ค. 55 14:46 น. 6
พี่เป้ กับ พี่ป่านหรือไม่ก้พี่ปุยนี่ละ(จำไม่ค่อยได้) 2ใน 3
ได้ทุนจาก สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ค่ะ

ตอนที่สมเด็จพระพี่นางเสด็จสู่สวรรคาลัย พวกพี่เค้าก็ได้มีโอกาสเล่นเพลง แสงหนึ่งคือรุ้งงาม ถวายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยค่ะ  

สุดยอดมากๆค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
minny scalet Member 6 ต.ค. 55 22:17 น. 15
โรงเรียนสอนดนตรีเราดังขนาดนี้เลยหรอเนี่ย....?

แต่พี่ๆทั่งสามเขาเก่งจริงๆค่ะบอกได้สามพยางค์ว่า  เทพมากมาก ตอนนี้ที่บ้านวงนี้ออกอัลบั้มอะไรมาเล่นตามเก็บทุกอัลบั้ม ก็นะ..มันเพราะจริงๆนี่น่า!
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด