"คนอ่านงานวรรณกรรมส่วนใหญ่มักจำเรื่องที่อ่านได้ไม่แน่ชัด แต่จะจำตัวละครเป็นหลัก
ถ้านักเขียนไม่สามารถทำให้คนอ่านจำตัวละครได้ ก็ถือว่าล้มเหลว"
-วิภาส ศรีทอง, 1 มิ.ย. 2556
เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มิ.ย. 2556 เวลา 10.00 - 12.00 น. มีการบรรยายพิเศษในโครงการอบรม Bangkok Creative Writing Workshop II หรือ ค่ายงานเขียนสร้างสรรค์ กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2 ณ ห้องอบรม ชั้น 6 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โครงการนี้เป็นกิจกรรมที่หอศิลปวัฒนธรรมฯ จัดร่วมกับร้านหนังสือ bookmoby ซึ่งนอกจากจะเปิดรับสมัครผู้มีความฝันอยากเป็นนักเขียนมาเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมด้วยหลักสูตรพิเศษแล้ว ยังมีการจัดบรรยายในหัวข้อเกี่ยวกับการเขียนวรรณกรรมประเภทต่างๆ ซึ่งเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าฟังโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือสำรองที่นั่งล่วงหน้า
และการบรรยายครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ก็เป็นการบรรยายพิเศษครั้งที่ 4 ของโครงการนี้ มีวิทยากรรับเชิญคือ วิภาส ศรีทอง นักเขียนเจ้าของนวนิยายเรื่อง คนแคระ ที่เพิ่งได้รางวัลซีไรท์ประจำ พ.ศ. 2555 ไปอย่างสดๆ ร้อนๆ และมีปราบดา หยุ่น นักเขียนซีไรท์ ปี 2545 ควบตำแหน่งนายใหญ่แห่งร้านหนังสือ bookmoby ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ หัวข้ออย่างเป็นทางการของการบรรยายครั้งนี้คือ "เทคนิคการสร้างตัวละคร" ทว่าพอเอาเข้าจริง เนื้อหาของการบรรยายขยายไปไกลกว่าเรื่องตัวละครมากทีเดียว อีกทั้งยังมีการนำตัวอย่างวรรณกรรมทั้งไทยและเทศมาอธิบายประกอบแทบทุกประเด็น ทำให้ผู้ที่มารับฟังต่างอิ่มเอมกับความรู้ที่ได้รับไปตามๆ กัน
วิภาสเปิดการบรรยายด้วยประเด็นว่า "ไม่มี Myth (มายาคติ) หรือ กฎ-กติกา-มารยาทในการเขียน" นักเขียนไม่ควรพะวงกับข้อห้าม ข้อบังคับ หรือข้อควรปฏิบัติใดๆ ในการเขียน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องทำตามคำชี้แนะหรือแนวทางจากตำราว่าด้วยการเขียนหรือนักเขียนผู้มีประสบการณ์มากกว่า (ตรงนี้ราวกับวิภาสกำลังกระซิบบอกผู้ฟังว่า ไม่จำเป็นต้องเชื่อเขาเช่นกัน) แต่นักเขียนควรเปิดพื้นที่สำหรับความเป็นไปได้ทุกประการในงานเขียนของตน
การไม่จำกัดตัวเองภายใต้กรอบข้อบังคับ เป็นหลักคิดประการสำคัญที่สุดซึ่งวิภาสนำมาใช้ในงานเขียนของตน เขาไม่สนับสนุนการเขียนโดยกำหนดโครงเรื่อง (plot) ที่กำกับเหตุการณ์ในแต่ละฉาก บท หรือตอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่าจะแค่ "ปักธง" หรือกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องเอาไว้ล่วงหน้า แล้วจึงเขียนอย่างไรก็ได้เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินจากจุดเริ่มต้นไปถึงจุดจบโดยสวัสดิภาพ
ในทำนองเดียวกัน เขาไม่เห็นด้วยกับการกำหนดแนวคิด (concept) หรือแก่นเรื่อง (theme) ไว้ก่อนจะเขียนงาน เพราะเท่ากับการตีกรอบกำหนดทิศทางของเนื้อเรื่อง ซึ่งอาจลงเอยด้วยการสร้างเรื่องและตัวละครที่แห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา แต่เขาสนับสนุนให้นักเขียนเขียนเรื่องที่อยากจะเล่า จากนั้น จิตใต้สำนึกของผู้เขียนจะใส่แนวคิดหรือแก่นเรื่องเข้าไปโดยผู้เขียนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แล้วค่อยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักอ่านหรือนักวิจารณ์ในการมองหาแนวคิดหรือแก่นเรื่องเอง "อย่าไปคำนึงว่า 'จะบอกอะไร' สนแค่ว่า 'มีเรื่องอะไรจะเล่า' เพราะการที่เรา 'มีเรื่องอะไรจะเล่า' ก็เท่ากับเรา 'จะบอกอะไร' อยู่แล้ว"
ประเด็นต่อมาที่วิภาสเน้นความสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่อง "ตัวละคร" (ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นหัวข้อของการบรรยายครั้งนี้) ในความคิดเห็นของเขา ตัวละครคือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในงานเขียนประเภทบันเทิงคดี เรื่องราวในงานเขียนดำเนินไปได้เพราะการกระทำและการมีปฏิสัมพันธ์กันของตัวละคร และส่วนใหญ่ ผู้อ่านจะจำเนื้อเรื่องไม่ได้มากเท่าที่จำตัวละครในเรื่อง ดังนั้นการทำให้ตัวละครมีความโดดเด่น น่าจดจำ จึงเป็นภารกิจอย่างหนึ่งที่นักเขียนพึงกระทำ
แล้วต้องทำอย่างไร ตัวละครจึงจะโดดเด่นและน่าจดจำ ข้อเสนอของวิภาสคือ สร้างตัวละครที่ลึกและเสมือนจริง "ตัวละครลึก" (round character) มีความซับซ้อน คาดเดายาก และมีพัฒนาการทางความรู้สึกนึกคิด ส่วนที่ว่า "เสมือนจริง" นั้นหมายถึง มีพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย บางครั้งก็ทำอะไรที่(ดูเหมือน)ไม่มีเหตุผล เข้าใจยาก ซึ่งความไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นนี้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์อย่างเราๆ ทำให้ผู้อ่านเชื่อมโยงกับตัวละครได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ของตัวละครจะเป็นตัวผลักดันให้เรื่องราวในงานเขียนดำเนินไปอย่างไม่อาจคาดเดา ซึ่งทำให้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก (ทั้งนี้ ต้องอย่าลืมขับเคลื่อนเรื่องไปถึงจุดจบที่กำหนดเอาไว้ด้วย)
แม้จะให้ความสำคัญกับตัวละครที่มีความลึก แต่กระนั้น วิภาสก็ไม่ได้ละเลยตัวละครอีกประเภท นั่นคือ "ตัวละครแบน" (flat character) หรือตัวละครที่มีด้านเดียว คาดเดาง่าย ไม่มีพัฒนาการ โดยทั่วไป นักเขียนรุ่นใหม่มักได้รับคำแนะนำให้สร้างตัวละครลึกมากกว่าตัวละครแบน ซึ่งวิภาสไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะตัวละครลึกที่มีความซับซ้อนในตัว ย่อมสร้างความน่าสนใจให้เนื้อเรื่องได้มากกว่าตัวละครแบน ทว่าขณะเดียวกัน เขาก็ตั้งคำถามว่า "จำเป็นต้องแจกแจงความลึกให้กับทุกตัวละครหรือไม่" ตามด้วยเสนอแนะว่า บางครั้ง ตัวละครแบนก็อาจสร้างสีสันให้เรื่องได้ แม้ว่าตัวละครนั้นจะปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น พวกตัวร้ายระดับรองๆ ในภาพยนตร์บางเรื่อง ซึ่งบางตัวอาจจะโผล่เข้าฉากมาไม่กี่นาทีก็โดนพวกตัวเอกอัดจนหมอบ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการขมวดปมขัดแย้งของเรื่อง ทำให้เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้น
นอกจากเรื่องตัวละครแล้ว วิภาสยังพูดถึงเรื่องการบรรยายรายละเอียด พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นประกอบ เขากล่าวถึงแนวคิดของอี. เอ็ม. ฟอร์สเตอร์ (E. M. Forster) นักเขียนชาวอังกฤษ ซึ่งแบ่งประเภทของรายละเอียดในงานวรรณกรรมเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ รายละเอียดแบบ "on duty" หรือที่จำเป็นต่อการดำเนินเรื่อง และแบบ "off duty" ซึ่งไม่จำเป็นต่อการดำเนินเรื่อง วิภาสมองว่า รายละเอียดแบบ off duty นั้น แม้จะฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น แต่ก็ช่วยทำให้เรื่องรุ่มรวยและน่าสนใจขึ้น ดังนั้นจึงไม่ขอกำหนดว่า ควรจะตัดออกเท่าใดจึงจะถือว่าพอดี ทว่ายกให้เป็นหน้าที่ของประสบการณ์ของนักเขียน
อีกประเด็นที่วิภาสให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องสำนึก (consciousness) วิภาสให้นิยามของสำนึกไว้ว่าเป็น "จักรวาลความคิดของผู้เขียน ที่ผู้เขียนต้องดึงคนอ่านเข้ามาให้ได้" และ "ถ้านิยายคือบ้าน สำนึกคือหน้าต่างที่เปิดออกเพื่อให้ผู้อ่านมองเข้าไปเห็นภายในบ้านหลังนั้น" เขามองว่า หากจะทำให้งานเขียนน่าสนใจ ผู้เขียนไม่ควรเน้นบรรยายเฉพาะเรื่องภายนอกอย่างฉากหรือรูปลักษณ์ตัวละคร ทว่าควรให้ความสนใจเรื่องภายในอย่างสำนึกของตัวละครด้วย ซึ่งการแสดงสำนึกของตัวละครนั้นไม่จำเป็นต้องทำผ่านบทสนทนาเท่านั้น ทว่าสามารถแสดงผ่านสายตาและน้ำเสียงของตัวละคร (ซึ่งบางครั้งก็มีของผู้เขียนแฝงอยู่) ในบทบรรยาย กลวิธีอย่างหนึ่งซึ่งวิภาสนำมายกเป็นตัวอย่างคือ Free indirect style หรือการนำความรู้สึกนึกคิดของตัวละครมาบรรยายควบคู่ไปกับการบรรยายเหตุการณ์โดยไม่มีการแบ่งแยกรูปประโยค
"...เธอจดจำได้ว่าเธอทั้งขยะแขยง ตะขิดตะขวงและมีความสุขปานใด เธอรักเขากระมัง ไม่ ไม่ใช่อย่างเด็ดขาด แม้ว่าเธอจะลุ่มหลงเขาอย่างมืดบอดอย่างไร เธอก็สาบานได้ว่าเธอไม่ได้รักเขาอย่างเด็ดขาด"
สุดท้าย วิภาสได้ให้คำแนะนำแก่นักเขียนรุ่นใหม่และนักอยากเขียนว่า ให้ฝึกการเขียนบรรยายแบบเขียนบันทึกประจำวันหรือไดอารี เมื่อเจอเรื่องอะไรที่มากระทบอารมณ์ ก็ให้ "สูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วจดบันทึกมันลงไป" ให้หมั่นสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วคั้นเอาสาระสำคัญออกมาเขียน จากนั้นเมื่อเขียนงานจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็สนับสนุนให้ส่งผลงานนั้นให้สำนักพิมพ์พิจารณา มากกว่าจะเอาไปโพสต์ลงเว็บไซต์ บล็อก หรือเฟซบุ๊กเพื่ออวดคนอื่นหรือวัดกระแสตอบรับ เพราะต่อให้ได้กระแสตอบรับดี คนมาคอมเมนต์หรือกดไลค์เยอะ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นงานฟรี ในขณะที่การส่งเรื่องไปตีพิมพ์ อาจมีสิทธิ์ได้ค่าตอบแทน ซึ่งจะเป็นกำลังใจที่ดีในการผลักดันเจ้าของเรื่องให้อยากพัฒนาฝีมือและผลิตงานเขียนชิ้นใหม่ๆ
ในช่วงปลายของการบรรยาย พิธีกรเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามในเรื่องที่สงสัย ปรากฏว่ามีคำถามที่นอกเหนือจากหัวข้อการบรรยายในครั้งนี้ไม่น้อย หลายข้อเป็นเรื่องของวงการวรรณกรรมทั้งไทยและเทศ อาทิ มีผู้ฟังคนหนึ่งถามความคิดเห็นของวิภาสเกี่ยวกับวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (magical realism) วิภาสให้ความเห็นว่า วรรณกรรมสัจนิยมมหัศจรรย์ถูกนักเขียนชาวละตินอเมริกันอย่างกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel Garcia Marquez) บุกเบิกจนเกือบทะลุปรุโปร่ง แทบไม่เหลือรูปแบบไหนให้เล่นอีกแล้ว หากมีใครคิดจะเขียนก็อาจโดนมองว่า ผู้เขียน "หมดมุก" แล้ว จึงต้องหันมาพึ่งสัจนิยมมหัศจรรย์ จึงขอให้เก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย หรือไม่อย่างนั้นก็เขียนงานแนวแฟนตาซีเสียเลยดีกว่า
ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น ประกอบกับบรรยากาศเป็นกันเองระหว่างวิทยากร พิธีกร และผู้ฟัง ทำให้การบรรยายครั้งนี้ใช้เวลาเกินกว่ากำหนดการพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะผู้ฟัง (ซึ่งมาร่วมงานจนที่นั่งในห้องเกือบเต็ม และเอกสารที่คณะผู้จัดงานเตรียมไว้มีไม่พอแจก) ต่างได้รับทั้งความรู้และความบันเทิงติดตัวกลับบ้าน แถมบางคนยังได้ถ่ายรูปกับวิภาส ศรีทอง นักเขียนรางวัลซีไรท์คนล่าสุด พร้อมทั้งขอลายเซ็นมาเก็บเป็นที่ระลึก ผลตอบรับอันน่าพอใจในการบรรยายครั้งนี้ชวนให้อยากติดตามว่า การบรรยายครั้งต่อไปของค่ายงานเขียนสร้างสรรค์ฯ จะเป็นหัวข้ออะไร และมีใครเป็นวิทยากรรับเชิญ
ผู้ที่สนใจ สามารถติดตามรับชมวิดีโอการบรรยายพิเศษครั้งนี้ และข่าวสารกิจกรรมอื่นๆ ในค่ายงานเขียนสร้างสรรค์ กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2 ได้ทาง facebook.com/baccpage และ facebook.com/bookmoby
รายงานโดย สำนักข่าว Dek-D Writer
9 ความคิดเห็น
ชอบวิธีของคุณ วิภาสมากเลย เขาเป็นนักเขียนที่มีความกล้า และเป็นตัวของตัวเองมากๆ กล้าเขียนในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ (ชอบอ่านหนังสือจากนักเขียนเช่นนี้ ต้องไปหาผลงานของคุณวิภาสมาอ่านแล้ว^__^)
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ เช่นเคยค่ะ ^___^
https://www.youtube.com/watch?v=v2g9nVSZ-ww
บทความที่นิยมอ่านต่อ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?