

เมื่อเอ่ยชื่อของ พี่โอ๋ "ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ น้องๆ อาจจะรู้สึกคุ้นหูกันบ้าง แต่ถ้าหาก บอกว่า พี่โอ๋ คือผู้กำกับแถวหน้าของเมืองไทย ที่สร้างหนังคุณภาพเยี่ยมอย่างเรื่อง "ชัตเตอร์" "แฝด" "สี่แพร่ง ตอน เที่ยวบิน 224" และ "ห้าแพร่ง ตอน รถมือสอง" น้องๆ คงเห็นภาพแห่งความหลอน ความน่ากลัวจากหนังเหล่านี้กันออกเลยใช่ไหมคะ (พี่แนนกลัวทุกเรื่องเลย)
พี่โอ๋ เป็นคนหนึ่งค่ะน้องๆ ที่ต้องเลือกระหว่างเรียนในคณะที่จบออกไปอาชีพ การงานมั่นคง กับการเรียนที่รักแต่ยังไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า แต่ในที่สุดพี่โอ๋ก็เลือก ที่จะกลับมาเรียนและทำในสิ่งที่รัก จนประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ แต่กว่าจะถึง วันนี้ได้ พี่โอ๋มีวิธีคิด มีแรงบันดาลใจอะไร และมีความมุ่งมั่นในความฝันขนาดไหน พี่แนนขอไปจับเข่าคุยค้นหาคำตอบเหล่านี้กันค่ะ

Q : ก่อนจะได้มาเป็นผู้กำกับ ถามถึงช่วงชีวิตวัยเด็กของพี่โอ๋ดีกว่า ว่าเป็นยังไงบ้าง?- A : ชีวิตวัยเด็กพี่ไม่ต่างจากเด็กทั่วไปเท่าไหร่ครับ เรียนบ้าง เล่นบ้าง เพราะการเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เด็กส่วนใหญ่ก็จะเก่งและขยัน ว่างก็ติวหนังสือ พี่ไม่ ชอบแต่ก็ต้องทำ หลายครั้งเข้าก็เบื่อ เลยชอบหนีเรียนไปดูหนังหรือไม่ก็ซื้อแผ่นมาดูที่บ้าน (ดูหนังได้แต่อย่าหนีเรียนนะครับ)
- ดูทั้งหนังไทยและเทศ เอาเป็นว่าหนังฝรั่งเรื่องไหนที่ได้ออสการ์ไม่มีเรื่องไหนที่พี่ไม่เคยดู ดูรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง เรื่องไหนไม่รู้เรื่องก็ดูซ้ำๆ หรือไม่เข้าใจอีก ก็ไปหาหนังสือเกี่ยวกับการทำหนังมาดู ดูซ้ำๆ แล้วก็คิดตามไปด้วยว่าทำไมผู้กำกับถึงสร้างหนังเป็นแบบนี้ ทำไมเดินเรื่องแบบนี้ ทำไมใช้มุมกล้องอย่างนี้ เรียกว่า การได้ดูหนังเป็นงานอดิเรกนี่หล่ะ ยิ่งดูมากขึ้น พี่เริ่มรู้ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราชอบและคือเส้นทางเดินต่อไปที่เราจะทำให้ได้

- Q : มีแววว่าชอบทางนี้ตั้งแต่เด็กเลย แปลว่าเส้นทางพี่โอ๋ไปสายหนังชัวร์แน่ๆ
- A : ถึงพี่จะชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ แต่เอาจริงตอนเอนทรานส์พี่สอบเข้าเรียนต่อด้าน Interior ครับ เพราะตอนนั้นพี่คิดว่า การทำหนังมันยังยึดเอาเป็นอาชีพ ไม่ได้ เพราะสมัยนั้นวงการหนังยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนตอนนี้ แต่เรียนได้อยู่ปีเดียวก็ลาออก
พี่เรียนไปพักนึงก็รู้ตัวว่าไม่ชอบครับ เรียนได้นะ แต่ใจมันไม่รัก เลยกลับมาทบทวนตัวเองว่า เราชอบอะไร คำตอบที่พบคือ เราชอบดูหนัง อยากทำหนัง เลยคุยกับครอบครัว ในที่สุดเลยตัดสินใจเข้าเรียนสาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
- Q : โอ้ โชคดีที่กลับมาทัน แล้วพอมาเรียนคณะนี้ได้ทำหนังอย่างที่อยากทำไหมคะ
- A : ตอนเรียนพี่ก็ได้ทำหนังสั้นหลายเรื่องนะครับ เริ่มจากการประกวด หนังสั้นหัวข้อเล็กๆ เป็นงานชุมชน เงินรางวัลประมาณ 5,000 บาท ตอนรับรางวัลดีใจมาก ฮึกเหิมว่าเราทำได้ จนตอนทำปริญญานิพนธ์ ก่อนจบตั้งใจมากว่าจะต้องทำหนังสั้นชิ้นนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจบ ออกไปแล้วจะมีโอกาสได้ทำหนังอีกหรือเปล่า
ปรากฏว่าหนังสั้นเรื่อง "หลวงตา" กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ในชีวิต เพราะแทนที่เราจะเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ต้องออกไปหางานทำ แต่มันทำให้เราได้โอกาสหลายๆ อย่างในชีวิต หนังสั้นเรื่องนี้ไม่เพียง ได้รับรางวัลจจากมูลนิธิหนังไทย แต่ยังส่งไปฉายเทศกาลหนังสั้นต่างๆ กว่า 20-30 ประเทศ ตอนนั้นพี่มั่นใจเลยว่า หนังเรื่องนี้เป็นใบเบิกทาง ให้ไปทำงานหรือสมัครงานได้ง่ายขึ้นแน่นอน

- Q : แล้วหลังจากเรียนจบ พี่โอ๋ ได้กำกับหนังเลยทันทีหรือเปล่าคะ?
- A : ตอนเรียนจบ พี่ไปทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับโฆษณาที่ บริษัท ฟีโนมีน่า ก่อนครับ ตอนนั้นก็เป็นเหมือนกับการสะสมประสบการณ์และทุนการทำหนัง ทำไป สักพัก พี่ก็ได้มีโอกาสกำกับหนังเรื่อง "ชัตเตอร์" ครับ
ก่อนทำหนังเรื่องนี้ มันเป็นแรงบันดาลใจที่พี่อยากทำหนังมาตั้งแต่สมัยเรียน พอดูหนังที่คนอื่นทำ ก็อยากทำบ้าง หลายครั้งเอาเงินในบัญชีไปทำหนังสั้น จนหมด ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ทำอาจไม่ได้อะไรเลย แต่การที่ได้ทำมันเป็นเรื่องของความฝัน เพราะสิ่งที่ได้กลับมามากกว่านั้น มันคือประสบการณ์ ได้ลองผิด ลองถูก สิ่งสำคัญคือ ได้ลองทำ
- Q : แรงบันดาลใจในการทำหนังแต่ละเรื่องของพี่โอ๋ มาจากอะไรคะ?
- A :หนังแต่ละเรื่องมันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและโอกาสครับ อย่าง "ชัตเตอร์" โจทย์ที่ได้มาคือ หนังอะไรก็ได้ ซึ่งตอนนั้นแนวหนังผีสยองขวัญอยู่ในกระแสพอดี ส่วนเรื่อง "แฝด" ก็เก็บเรื่องราวรอบตัว อ่านอะไรแปลกใหม่ก็มาจดบันทึก เมื่อถึงเวลาก็หยิบมาต่อยอดเขียนบท สร้างหนังต่อไป
- Q : เวลาเจออุปสรรค หรือท้อ พี่โอ๋ให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้างคะ
- A : คิดซะว่าเป็นเรื่องปกติครับ ชีวิตคนเราไม่มีหรอกที่จะราบรื่นได้ตลอดไป เวลาเรา ตั้งใจไว้เต็มร้อยมันไม่เคยได้ร้อยเสมอไป บางทีสิ่งที่ฝันหรือหวังไว้ในใจอาจไม่เป็น อย่างที่เราคิด เราจึงต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้มันใกล้เคียงกับความฝันเรามากที่สุด สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ดีเองครับ
- Q : ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่โอ๋คิดว่าพี่ได้อะไร หรือเสียอะไรไปบ้างไหมคะ?
- A : สิ่งที่เสียไปคงไม่มี เพราะไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว (ฮ่าๆ) ที่ผ่านมาก็ทำหนังเรื่อยๆ พี่คิดว่าพี่โชคดีกว่าหลายคนที่ได้ใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ พี่อาจจะไม่ใช่ คนรวยมาก ขณะที่คนอื่นทำนู่นทำนี่ ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยไปแล้ว แต่อาชีพ คนทำหนังอย่างพี่ก็แค่นั่งดูลม ดูฟ้า อยู่กับจินตนาการ แต่พี่ว่าก็มีความสุขดีนะ เพราะ นอกจากจะเลี้ยงดูตัวเองได้ระดับนึงแล้ว ยังทำให้เรามีความสุขกับการดำรงชีวิตทุกๆ วันทำให้ดีที่สุด ทำให้มันใกล้เคียงกับความฝันเรามากที่สุด สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ดีเองครับ สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ดีเองครับ
- อย่างน้อยพี่ก็ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ต้องมานั่งตอกบัตรเข้าออฟฟิศหรือว่า ทำงานทุกวันอย่างคนทำงานทั่วไปอีกหลายคน โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ วินาที นี้ผมมั่นใจว่า ผมรักในสิ่งที่ทำอยู่และมีความสุขที่ได้ทำ


- Q :นอกจากเป็นผู้กำกับแล้ว ตอนนี้พี่โอ๋ยังมีอีกบทบาทหนึ่งคือ เป็นอาจารย์ด้วย?
- A :ตอนนี้ พี่ได้เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชากำกับภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตครับ พี่ว่า การที่พี่ได้มีโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์ ถือว่าได้มีโอกาสทบทวนและพัฒนาตัวเองไปด้วย รู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นพลัง ความตั้งใจ ความฝันของเด็กรุ่นใหม่ เพราะทุกวันนี้วงการหนังเปิดกว้างมากขึ้น เทคโนโลยีหรือเครื่องมือต่างๆ สามารถทำหนังได้ง่ายขึ้น แค่มีบทภาพยนตร์ที่ดี มีวิสัยทัศน์ของคนทำหนัง ที่รู้ว่าหนังเรื่องไหนดี เรื่องไหนไม่ดี อะไรขายได้หรือ ไม่ได้ จะทำเนื้อหาแนวไหนดึงดูดคนดู แค่นี้ก็ทำหนังได้แล้ว
ที่สำคัญคือ ใบเบิกทาง อยากทำก็ลงมือไม่ต้องรอ แม้จะเป็นแค่หนังสั้นก็ลองทำ หากมีเวทีประกวดก็ลองส่ง สุดท้ายสิ่งเหล่านี้คือชื่อและผลงานที่การันตี และเป็นใบเบิกทางที่ดีในการก้าวสู่เส้นทางบนแผ่นฟิล์มของเรา
- Q : สุดท้ายนี้ อยากให้พี่โอ๋ฝากอะไรถึงน้องๆ ชาว Dek-D.com ที่มีความฝันอยากจะสร้างหนัง หรืออยากเป็นอย่างพี่ค่ะ
- A : สำหรับน้องๆ ที่อยากเข้าสู่วงการ "คนทำหนัง" ถ้าเรายิ่งรู้จักตัวเองมากแค่ไหน เราก็จะหาตัวเองเจอเร็วขึ้นเท่านั้น หากรักที่จะเดินเข้าสู่สายนี้ ต้องยอมรับ ก่อนว่าอาจไม่ใช่อาชีพที่มั่นคง มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างหนัก เพราะทุกครั้งที่หนังเรื่องเก่าที่คุณสร้างจบลง นั่นคือการเริ่มนับ หนึ่งใหม่จากศูนย์ในการทำหนังครั้งต่อไป ที่สำคัญคือ "ใจรัก" ที่มีต่ออาชีพและความ "ศรัทธา" ในความฝันของตัวเอง เพราะชีวิตคนเรา ไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จ ไปทุกอย่าง ลองคิด จินตนาการ และลงมือทำ "ความสำเร็จ" ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ
อย่างที่พี่โอ๋ได้บอกไว้ค่ะว่า การทำอะไรด้วยใจรัก จะประสบความสำเร็จเสมอ และเราเองก็จะมีความสุขในการทำสิ่งนั้นด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าน้องๆ รู้ตัวแล้วว่า รัก หรือชอบในสิ่งไหน อย่าลืมมุ่งมั่น พยายาม ทำให้สำเร็จนะคะ ส่วนใครที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่
ก็ขอให้ค้นพบตัวเองไวๆ พี่แนนเป็นกำลังใจให้ค่ะ
เพราะฉะนั้น ถ้าน้องๆ รู้ตัวแล้วว่า รัก หรือชอบในสิ่งไหน อย่าลืมมุ่งมั่น พยายาม ทำให้สำเร็จนะคะ ส่วนใครที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่
ก็ขอให้ค้นพบตัวเองไวๆ พี่แนนเป็นกำลังใจให้ค่ะ

8 ความคิดเห็น
สักวันจะตามพี่ไป
สักวันจะตามพี่ไป
อั๊ยย่ะ เด็กซิ่วรุ่นแรกๆของเมืองไทยเลยนะนี่ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆครับที่ตอบโจทย์ว่าเราจะเลือกทำตามฝันหรือเพื่อความมั่นคงและมั่งคั่ง
อ่านเรื่องของพี่โอ๋ แล้วคิดถึงเพื่อนของเราหลายคนที่อยู่ปี4ซึ่งกำลังจะจบ มันถูกกดดันด้วยคำถามต่างๆมากมาย เช่น ได้งานหรือยัง จบแล้วจะทำอะไร และพอมันไปสมัครงาน ก็ถูกถามว่าจบอะไร แล้วเขาก็บอกว่าที่คุณสมัครมามันไม่ตรงกับที่คุณเรียน มันรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง แล้วก็ระบายออกมาว่า รู้งี้เลือกเรียนในสิ่งที่อยากเรียน แต่แรกดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ เสียดายที่หลัง ที่เรียนอยู่ทุกวันนี้ ก็เรียนไปงั้นๆ ไม่ได้มีความสุข
เราว่าพี่โอ๋ เป็นคนที่รู้ตัวเองเร็ว คือเป็นคน ที่รู้ว่าตัวเองชอบ รัก หรือต้องการอะไร ซึ่งก็เป็นส่ิ่งที่ดี จะได้ไม่เสียเวลามาค้นหาตัวเองมากนัก แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือถนัดอะไร ค่อยๆหาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบมากนัก
ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้า ไม่รู้ ไม่ได้เรียนมา ก็ไปเรียนรู้เอาใหม่ยังได้ ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิดหรอก สู้กันต่อไป ชีวิต
สุดยอดเลยอ่ะพี่โอ๋
หนูก็เหมือนกันคะ เรียนนิติ เรียนไปสักพักนึงปี2จะขึ้นปี3 จะซิ่วคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบอ่ะ เรียนได้ แต่ใจมันไม่ได้รักด้านนี้ ก็เลยกลับมาถามกับตัวเองว่าจริงๆตัวเราชอบและอยากเรียนอะไร หนูก็คิดจนหนูรู้ว่าหนูอยากเรียนนิเทศ หนูก็ปรึกษาคุณพ่อและคุณแม่ว่าหนูอยากเรียนนิเทศ หนูรู้สึกโชคดีมากๆเลยที่พ่อกับแม่เข้าใจหนูและให้กำลังใจหนูมาตลอดไม่งั้นหนูก็คงไม่ได้ไปเรียนในคณะที่ชอบและอยากเรียน
ถึงจะเสียเวลาเรียนไปแล้ว2ปีในคณะเก่านั้น แต่แม่หนูบอกว่าแม่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่ลูกชอบและอยากให้ลูกมีความสุขกับการเรียนในสิ่งนั้นแค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นเขาจะมองลูกยังไงถึงจะไม่ได้จบทันเพื่อนแต่ลูกก็ได้เรียนคณะที่ลูกชอบ :D ขอบคุณทุกๆบทความในwebเด็กดีน๊าค๊า บางกระทู้ที่ได้อ่านแล้วหนูก็มีแรงบันดาลใจและกำลังใจในการที่จะเริ่มต้นใหม่กับการเรียนในคณะที่ชอบและอยากที่จะเรียน ขอบคุณคะ