วิจารณ์หนังสือ : ฮังเกอร์เกม เกมล่าชีวิต
หนังสือวัยรุ่นที่เนื้อหาไม่ธรรมดา ใครไม่เคยอ่าน แนะนำแรงๆ ให้ลอง
ภาพยนตร์ ฮังเกอร์เกม ม็อคกิ้งเจย์ พาร์ท 2 กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 นี้แล้ว ได้เวลาพี่ตินเปิดกรุ งัดเอาหนังสือฮังเกอร์เกมขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ครั้งนี้ เราก็เลยอยากมาแบ่งปันความรู้สึกและสิ่งดีๆ ที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ให้ชาวไรเตอร์ฟังไปด้วยกัน เผื่อใครประทับใครตอนไหนหรือรู้สึกอย่างไร จะได้มาแชร์กัน ^ ^ไม่ว่าจะเคยอ่านหนังสือหรือไม่เคยอ่าน คิดว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้ น่าจะเคยได้ยินชื่อ “ฮังเกอร์เกม” มาบ้าง ไม่มากก็น้อย ถามว่าขายดีแค่ไหน ก็วัดเอาจากสถิติเมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2014 ที่ผ่านมา แค่สหรัฐฯ ประเทศเดียว ก็ขายฮังเกอร์เกมรวมไปแล้ว 60 ล้านเล่มแล้ว นี่ไม่นับรวมอีก 51 ประเทศที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลนะ คิดว่ารวมๆ แล้ว ยอด ณ ตอนนี้ น่าจะทะลุ 100 ล้านเล่มไปเรียบร้อยแล้ว
เรื่องย่อๆ ที่ใครๆ ก็รู้ดีคือ แคตนิส เอฟเวอร์ดีน เด็กสาววัย 16 จากเขต 12 อาสาเข้าร่วมฮังเกอร์เกมแทน พริม น้องสาว โชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ พีต้า เมลลาร์ก เด็กหนุ่มที่แอบรักเธอมาตลอด กลายเป็นผู้โชคร้ายฝ่ายชาย ทั้งคู่ต้องเข้าร่วมฮังเกอร์เกม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแบทเทิ่ลรอยัล หนังญี่ปุ่นที่ดังมากๆ นั่นคือ คัดเลือกผู้เล่นมา 24 คน จาก 12 เขต (ชาย 1 หญิง 1) แล้วให้มาฆ่ากันเอง โดยผู้ชนะจะได้สิทธิพิเศษมากมายจากแคปิตอล เขตปกครองพิเศษที่มีแต่คนรวยอาศัยอยู่ ระหว่างที่เล่นเกมนั้นเอง แคตนิสได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้ชมโดยไม่รู้ตัว ด้วยตัวตนของเธอ สิ่งที่เธอเป็น ความปวดร้าว ขมขื่น แต่กลับทรหด ไม่ยอมแพ้ และพยายามฝืนต่อสู้ในแบบของตัวเอง ทุกการกระทำของเธอ เกิดไปจับใจผู้ชมที่ทั้ง 12 เขต ที่ถูกกดขี่จากแคปิตอลมาเนิ่นนาน และสุดท้าย มันก็จุดชนวนบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น สิ่งนั้นคือ การต่อสู้เพื่ออิสระ
การเมืองในฮังเกอร์เกม
แม้ว่าความตั้งใจในครั้งแรก แคตนิส จะทำไปเพราะต้องการช่วยน้องสาว แต่ผลกลับกลายเป็นว่า... การกระทำของเธอได้จุดชนวนในใจของผู้ถูกกดขี่ เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้าน การไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ เล่าต่อคร่าวๆ ฮังเกอร์เกม พูดถึงโลกอนาคต ที่ใช้คำเรียกสั้นๆ ว่า พาเน็ม แบ่งการปกครองออกเป็น 12 เขต โดยมี แคปิตอล เป็นผู้ปกครองหลัก และฮังเกอร์เกม เป็นเกมที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อความบันเทิง - - ก็เหมือนที่พูดไปข้างต้น ทางแคปิตอลจะจับสลาก เลือกผู้เล่นจากทั้ง 12 เขต เขตละ 2 คน ชายหญิง เพื่อให้มาต่อสู้กันเองผ่านรายการที่ใช้ชื่อว่า ฮังเกอร์เกม หลังจากฆ่ากันจนเหลือแค่หนึ่งคน ก็จะได้ผู้ชนะ ซึ่งจะได้รับการดูแลอย่างดี ได้อาหารดีๆ ได้อยู่บ้านหรูหรา ในหมู่บ้านของผู้พิชิต ทว่าเอาเข้าจริง ชีวิตของผู้ชนะก็ใช่ว่าจะดี หลังจากฆ่าคนจำนวนมาก แน่หละก็ต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับฝันร้าย และยังตกเป็นเครื่องมือของแคปิตอล ต้องปรากฎตัวผ่านกล้องบ่อยๆ ไปโชว์ตัว สร้างความบันเทิงให้กับบรรดาชนชั้นสูงทั้งหลาย
จะเห็นว่าสิ่งที่ผู้เขียนอยากสื่อ คือเรื่องของการใช้อำนาจในทางที่ผิด ความไม่เท่าเทียมในสังคม การบังคับใจผู้ที่อยู่ในความปกครองมากจนเกินไป จนสุดท้ายนำมาซึ่งการต่อต้าน นักวิจารณ์หลายคนเปรียบเทียบ พาเน็ม กับ โรมัน และ ฮังเกอร์เกม ก็ไม่แตกต่างจาก เกมกลาดิเอเตอร์ ที่จับทาสมาต่อสู้ให้ชนชั้นสูงได้บันเทิงกันนั่นเอง คอลลินส์ นักเขียน ใส่ความรุนแรงและเจ็บปวดลงในหนังสือของเธอ ทั้งๆ รู้อยู่แก่ใจว่าหนังสือเล่มนี้จัดอยู่ในกลุ่ม YA หรือ Young Adult (ถ้ายังไม่รู้จักวรรณกรรม YA อ่านได้ที่บทความนี้เลยจ้ะ คลิก) ราวกับว่าเธอต้องการส่งสารถึงวัยรุ่น เยาวชนยุคใหม่ ให้เข้าใจว่า ทุกคนควรดูแลรักษาสิทธิของตัวเอง และทำทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้โลกนี้ กลายเป็นเผด็จการ เกิดการกดขี่ ทำร้ายกันและกัน ตลอดจนเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้นอย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือของเธอ
ถ้าใครเคยดูหนังหรืออ่านหนังสือ น่าจะพอรู้ว่า ฮังเกอร์เกม พูดถึงการต่อสู้กับเผด็จการเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม ในเรื่องไม่มีการพูดถึงประชาธิปไตยตรงๆ คอลลินส์ เลือกวิธีการเขียนแบบเรียบง่าย พูดถึงการใช้ชีวิตของประชาชนในพาเน็ม แค่นั้นเอง เราก็รับรู้ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา มีประโยคหนึ่งที่พลูตาร์ชพูด นั่นคือ “เราจะเปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ ให้ทุกเขต รวมแคปิตอลด้วย เลือกตัวแทนมา เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนเขตของตน” นี่น่าจะเป็นสารที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
ไม่ว่าคอลลินส์จะคิดอะไรอยู่ ณ ตอนเขียน เราก็ได้รับสารชัดเจนมากว่า เธอไม่อยากให้เกิดสงคราม และไม่สนับสนุนความรุนแรงใดๆ ตัวละครของเธอไม่มีใครชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะฝั่งแคปิตอล เขตต่างๆ ผู้แพ้ หรือแม้แต่ผู้ชนะเกม ที่ใครๆ เรียกว่าผู้พิชิต ทุกคนต่างเจ็บปวดทั้งสิ้น และทั้งหมดนี้ เกิดจากสงคราม คอลลินส์ชี้ปัญหาให้เห็นว่า ถ้าเมื่อใดที่ประชาชนไม่ไว้ใจผู้ปกครองของตน เมื่อนั้น เท่ากับว่าระบบการปกครองมีปัญหา และแม้ว่าคนเขียนจะไม่ได้สรุปชัดๆ ก็จริง แต่เราเห็นได้ว่าเธอไม่ได้เลือกเข้าข้างฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นแคปิตอลหรือฝ่ายกบฏ ตรงกันข้าม เธอพูดถึงความเป็นมนุษย์ และการตกเป็นทาสของระบบมากกว่า
ลักษณะการเขียนของคอลลินส์ เธอเลือกใช้ POV (อ่านเรื่อง POV ได้ที่นี่เลย คลิก) แบบบุคคลที่สาม มองเข้าไปในสถานการณ์ แล้วเล่าเรื่อง เล่าความรู้สึกของตัวละคร ฮังเกอร์เกม ไม่ได้นำเสนอทางออกหรือวิธีการปกครอง แต่พูดถึงเรื่องของจิตใจมนุษย์ ความรักและมีน้ำใจต่อกัน การพยายามอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยไม่ทำร้ายผู้อื่น และแม้จะโดนทำร้าย ก็ไม่โต้ตอบด้วยความรุนแรงแบบเดียวกัน บางที การที่คอลลินส์ไม่ได้เฉลยทางแก้ไขเกี่ยวกับการปกครองในเรื่อง อาจเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีการปกครองใดที่จะยุติธรรมที่สุด หรือดีที่สุด และคำว่า “การปกครองที่สมบูรณ์แบบ” ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะทิ้งท้ายตอนจบของเรื่องเอาไว้ค้างคาแบบนั้น สารที่เธอสื่อ เน้นไปที่ความดีงามของจิตใจมนุษย์มากกว่าการหาทางออกที่ใช่ ขอแค่เรามีความหวัง ขอแค่มีน้ำใจต่อกันแม้ในยามทุกข์ยาก แค่นั้น โลกก็จะสงบสุข และทุกอย่างก็คงไม่เลวร้ายจนเกินไป เพราะการเมืองเป็นเรื่องของคน ถ้าเราอยากได้การเมืองที่ดี เราก็ต้องเริ่มจากคนที่ดีก่อน จริงหรือไม่...?
สารถึงสังคม
ชื่อฮังเกอร์เกม เล่นกับคำว่า “Hunger” ที่หมายถึงหิวกระหาย คำนี้ไม่ได้หมายความแค่เฉพาะแต่ อิสระทางการเมือง เท่านั้น แต่ยังหมายถึง “ความหิว” จริงๆ เพราะประชาชนในแต่ละเขต ลำบาก อดอยาก ข้นแค้น มีอาหารไม่พอกิน ในหนังไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้มากนัก แต่ถ้าอ่านหนังสือ เราจะเห็นเลยว่า แคตนิส “หิว” อยู่ตลอดเวลา และเมื่อเห็นอาหารที่แคปิตอลจัดมาให้ เธอก็ถึงกับสวาปามรัวๆ ครั้งหนึ่ง เธอเคยอดอยากจนต้องไปคุ้ยขยะด้วยซ้ำ และสุดท้าย พีต้า คือคนที่แกล้งทำขนมปังไหม้ แล้วโยนมันออกมาให้เธอ... (ฉากนี้ซึ้ง ชอบมาก) ไม่งั้นเธออาจจะตายไปแล้วก็ได้

ชื่อฮังเกอร์เกม เล่นกับคำว่า “Hunger” ที่หมายถึงหิวกระหาย คำนี้ไม่ได้หมายความแค่เฉพาะแต่ อิสระทางการเมือง เท่านั้น แต่ยังหมายถึง “ความหิว” จริงๆ เพราะประชาชนในแต่ละเขต ลำบาก อดอยาก ข้นแค้น มีอาหารไม่พอกิน ในหนังไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้มากนัก แต่ถ้าอ่านหนังสือ เราจะเห็นเลยว่า แคตนิส “หิว” อยู่ตลอดเวลา และเมื่อเห็นอาหารที่แคปิตอลจัดมาให้ เธอก็ถึงกับสวาปามรัวๆ ครั้งหนึ่ง เธอเคยอดอยากจนต้องไปคุ้ยขยะด้วยซ้ำ และสุดท้าย พีต้า คือคนที่แกล้งทำขนมปังไหม้ แล้วโยนมันออกมาให้เธอ... (ฉากนี้ซึ้ง ชอบมาก) ไม่งั้นเธออาจจะตายไปแล้วก็ได้
ความลำบากแบบนั้นคืออะไร...? ใช่ฮังเกอร์เกมกำลังส่งสารบอกเราใช่หรือไม่ว่า... สังคมทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก คนยากจน ไม่มีอาหารกิน แล้วเรื่องระหว่างชนชั้นล่ะ...? เราก็รู้กันว่า คนรวยและคนจนนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน ฉากหนึ่งในหนังสือที่พี่ตินอ่านแล้วสะเทือนใจคือ ฉากที่คนรวยกินอาหารในงานปาร์ตี้จนอิ่ม แล้วกินยาให้อ้วก เพื่อจะได้กินของดีๆ เข้าไปอีก แคตนิสบังเอิญเจอช็อตนี้เข้าไปพอดี เธอถึงกับจุก เพราะที่บ้านของเธอ ไม่มีอาหารจะกิน... แต่คนที่นี่ อาเจียนอาหารทิ้ง เพื่อจะได้กินเข้าไปอีก... คำถามสำคัญ! แล้วอาหารพวกนั้นมาจากไหนล่ะ...? ก็มาจากแรงงานของพวกเธอไง จากประชาชนในเขตต่างๆ ที่ต้องทำงานหนักเพื่อรับใช้แคปิตอล ซึ่งมีประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่แคร์ในความลำบากของคนอื่นๆ เลย ฉากนี้ อ่านแล้วก็ชวนให้นึกถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 กับวลีเด็ดที่ใครๆ ก็พูดถึงของพระนางมังรี อังตัวแน็ตต์ เมื่อพระนางถูกถามว่า “จะทำอย่างไร ถ้าประชาชนไม่มีข้าวกิน” และคำตอบของพระนางคือ “ก็ให้พวกเขากินขนมปังสิ” คำตอบนี้แสดงถึงความไม่ใส่ใจ ไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้คนในสังคม ทั้งๆ คนเหล่านั้น อยู่ในความปกครองของพระนาง... และนั่นแหละ เป็นชนวนที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ บางที หนังสืออาจจะอยากบอกเราว่า... อย่ากดขี่ข่มเหงใครจนเกินไป เพราะไม่เป็นผลดีต่อใครเลย...
คำถามคือ เราจะทำอะไรได้บ้าง นักวิจารณ์ต่างชาติมองว่า วรรณกรรมเรื่องนี้ ทำให้สังคมตื่นตัว และทุกคนควรเลิกคิดถึงแต่ประเทศของตัวเอง แต่ให้มองมนุษย์ทุกคนเป็น “โลกใบหนึ่ง” ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อสร้างสังคมที่เอื้อเฟื้อและมีน้ำใจต่อกัน แน่หละ การจะทำให้ได้แบบนั้น เป็นเรื่องยากและอาจใกล้เคียงความฝัน แต่ถ้าไม่มีคนเริ่ม... มันก็คงเป็นไปไม่ได้ตลอดไป หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกให้เราไปลองใช้ชีวิตลำบาก อดอยากอย่างสมาชิกในเขตต่างๆ แต่มันน่าจะส่งสารถึงเราว่า... ทุกคนบนโลกควรช่วยเหลือกันและกัน และดูแลกันและกันให้มากกว่านี้
เฟมินิสต์ - - ผู้หญิงสำคัญ
สิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือ งานของคอลลินส์ มีกลิ่นอายของเฟมินิสต์สูงมาก แคตนิสเอง ต้องก้าวเป็นผู้นำครอบครัวตั้งแต่อายุได้แค่ 11 แทนที่พ่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เหมืองถล่ม และเมื่อก้าวเข้าสู่ฮังเกอร์เกม ตำแหน่งของเธอคือผู้นำกลุ่ม ไม่รวมลักษณะนิสัยกล้าหาญของเธอ ที่อาสาช่วยน้องสาว หรือคอยดูแลเด็กน้อยรู ระหว่างการแข่งฮังเกอร์เกมครั้งแรก พฤติกรรมของเธอ แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของเพศหญิงที่ไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอกเลย แม้แต่นิสัยของแคตนิสเองก็ค่อนข้างไปทางเย็นชา ฆ่าสัตว์ได้อย่างธรรมดา เพราะต้องการเลี้ยงชีพ หลายสิ่งหลายอย่างที่เธอทำ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงในหนังสือเรื่องอื่นๆ ทำ และท้ายที่สุด เธอถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการกบฏโดยไม่รู้ตัว
นอกจากตัวแคตนิสเอง เราห้ามพลาด อัลม่า คอยน์ ผู้นำของฝ่ายกบฏ เธอแกร่ง แข็ง และเหี้ยม ในหนังสือ แสดงความโหดร้ายของเธอในหลายฉาก ความบ้าอำนาจ ความต้องการที่จะเอาชนะ ซึ่งผู้หญิงในยุคสมัยก่อนไม่มี บางที ฮังเกอร์เกมอาจต้องการส่งสารถึงเราว่า... ผู้หญิงยุคใหม่ แข็งแกร่ง เข้มแข็ง เป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังสามารถทำในสิ่งที่ผู้ชายทำได้ และเผลอๆ อาจทำได้ดีกว่าด้วย...
ประเด็นเรื่องการใช้สื่อและการปลุกใจ
ถ้าหากยังนึกไม่ออกว่าเรากำลังพูดถึงอะไร ลองนึกภาพแคตนิสแต่งหน้าสวย แต่งตัวสวยในชุดสุดเก๋ พร้อมคำพูดประกอบ “เธอจะเป็นกบฎที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์” เพราะอะไร แคตนิสต้องสวย เพราะอะไรต้องออกสื่อ เพราะอะไรต้องพูดคำปลุกใจ (ที่เธอพูดแบบเก้ๆ กังๆ ในตอนแรก เพราะไม่เข้าใจเรื่องการจัดฉาก) บางที หนังสืออาจสื่อให้เราเห็นถึงพลังอำนาจของสื่อในปัจจุบันก็เป็นได้ แม้ว่าเราไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า... สื่อมีอิทธิพลต่อสังคมมากจริงๆ และบางครั้ง เราเชื่อสื่อมากกว่าที่รู้ตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น แคปิตอลฉายวนภาพของเขต 13 ที่พังทลายไปแล้วในตอนแรก แต่แท้จริงแล้ว มันคือภาพซ้ำๆ ที่พวกเขาถ่ายไว้นานมากแล้ว ในความเป็นจริง เขต 13 ฟื้นตัวแล้ว และกำลังตั้งกองทัพกบฎ ถามว่า... แคปิตอลก็หลอกลวงเขตอื่นๆ อีก 12 เขตต่อไป เพื่ออะไร...? จะเป็นไปได้ไหมว่า... แคปิตอลกำลังใช้อำนาจของสื่อเพื่อจูงใจให้ประชาชนของพวกเขาเชื่อ และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่ให้อยู่เฉยๆ ทำตัวธรรมดา ใช้ชีวิตไปวันๆ ก็พอแล้ว - - แล้วถามต่อนะว่าประชาชนของพวกเขาเชื่อไหม...? คำตอบที่ได้ นั่นแหละคือคำตอบว่า เพราะอะไร สื่อถึงมีอิทธิพลต่อเรานัก คนเรามักถูกหลอกลวงจากภาพที่เห็น หลายครั้ง เราเชื่อโดยไม่วิเคราะห์หรือคิดอะไรมากไปกว่านั้น ก็แล้วจะเป็นไปได้ไหมว่าทุกวันนี้ เรากำลังถูกบางสิ่งบางอย่างหลอกลวงอยู่ อาจมีความลับอีกมากมายที่เราไม่รู้ และถูกปิดบังอยู่ก็เป็นได้ อ่านหนังสือเรื่องนี้จบ ทำให้เราหวนกลับมาคิดว่า... เวลาได้ยินหรือได้ฟังอะไรมา เราควรเชื่อทันทีหรือไม่ และสื่อนั้น เชื่อถือได้แค่ไหน นี่ไม่รวมเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกของสื่ออีกด้วยนะ ถ้าเราพูดความจริงออกสื่อ เราอาจโดนทำร้าย...?
ภายในเรื่อง ยังพูดถึงเรื่องผู้ปกครองและการเลือกใช้สื่อ... คงเพราะสื่อมีอิทธิพลต่อประชาชน ผู้ปกครองเล็งเห็นถึงข้อนี้ จึงต้องใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ และการใช้สื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก็จะต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยการแต่งหน้าแต่งตัว ทำให้ตัวเองดูดี เพราะเหตุนี้เอง แคตนิสถึงถูกจับแต่งหน้าแต่งตัว ทั้งๆ มันไม่ใช่ตัวตนของเธอ และไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบ จะว่าไปแล้ว ตัวแคตนิสเอง ก็กลายเป็นผลผลิตของสื่อ เพราะผู้ที่ดูเธอจากทางจอทีวี ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคืออะไรกันแน่ มิหนำซ้ำ ในการแข่งขันฮังเกอร์เกม เธอยังต้องโกหกออกสื่อเพื่อเอาตัวรอด ดังที่ เฮย์มิส ผู้พิชิตจากเขต 12 ที่คอยดูแลเธอสอนไว้ว่า... เวลาออกสื่อ ให้ทำตัวน่าสงสาร เป็นผู้หญิงที่ตกอยู่ในความรัก เพื่อให้คนในแคปิตอลเห็นอกเห็นใจ และเลือกที่จะซื้อสปอนเซ่อร์มาช่วยเหลือเธอในการแข่ง บางที ฮังเกอร์เกมอาจสอนเราเรื่องการเอาตัวรอดอย่างแท้จริงก็ได้ โกหกให้เนียนและทำทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอด... หรือเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากคนอื่นๆ ในโลกที่โหดร้ายนี้
ความรักที่แท้จริงคือ... แม้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะพูดเรื่องการเมืองและสังคมอย่างหนัก ทว่าสุดท้ายแล้ว มันก็จบลงที่เรื่องของความรัก! ถ้าอ่านจนจบเล่ม เราจะได้เห็นว่าสิ่งที่แคตนิสต้องการ ไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่ความวุ่นวาย การได้เป็นสัญลักษณ์การกบฎ การได้ปกครองคนอื่น หรืออยู่เหนือใครๆ สิ่งที่เธอต้องการก็คือ การได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เรียบง่าย และมีความรัก... กับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความรักให้เธออย่างแท้จริง พี่ตินชอบมุมมองความรักของแคตนิสมาก เธอเลือกรักคนที่จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น คนที่มีจิตใจงดงาม ละเอียดอ่อน และรู้จักคิดถึงคนอื่นๆ ก่อนตัวเอง คนที่แม้จะเผชิญความเจ็บปวดมามากมาย ก็ไม่แตกสลาย ไม่ก้าวร้าวรุนแรงหรือทำร้ายคนอื่น แต่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความหวัง และไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เหตุผลที่ทำได้แบบนั้น ก็เพราะหัวใจของคนคนนั้นมีความรัก เราขอไม่เฉลยแล้วกันว่าเป็นเกลหรือพีต้า แต่คิดว่าคนที่อ่านจนจบเรื่องคงรู้คำตอบอยู่แล้วหละว่าใคร ผู้ชายคนนั้น พี่ตินชอบเขามากจริงๆ ถ้าพี่ตินเป็นแคตนิส ก็คงเลือกเขาเหมือนกันนะ ^ ^
ก่อนจากกันไป ก็ขอสรุปตอนจบไว้ตรงนี้เลยว่า... พี่ตินชอบฮังเกอร์เกมมาก และคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีมีประโยชน์มากที่สุดเล่มหนึ่ง ถ้าหากมีเวลา น่าจะลองไปหามาอ่าน คิดว่าน่าจะให้แนวคิดดีๆ กับคนอ่านไม่มากก็น้อย
ฮังเกอร์เกม เวอร์ชั่นภาษาไทย เป็นลิขสิทธิ์ของ สนพ. โพสต์บุ๊กส์ มีขายทั้งแบบปกอ่อน ปกแข็ง และแบบบ็อกเซ็ต (พี่ตินซื้อมาครบแล้วทุกแบบ มีอยู่ 4 ชุด บอกแล้วว่าคลั่งมาก) สนใจไปอุดหนุนกันได้นะ คิดว่าหาไม่น่ายาก มีจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปจ้ะ ^ ^
อตินเอง
เครดิตภาพจากภาพยนตร์ฮังเกอร์เกม





ตอนเเรกเราก้อไม่ค่อยชอบเรื่องนี้หรอกเเต่พอ ได้เห็นมุมมอง ทัศนะคติ ที่มีอยู่ในหนังเรื่องนี้เเล้ว รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ ลึกซึ้ง และระเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ เราทุกคนต่างก็ต้องการ เสรีภาพ
8 ความคิดเห็น
เป็นหนังสือที่ดีมากๆเลยค่ะ ต้องหาซื้อมาเก็บไว้ในอ้อมอก และขอบคุณพี่ตินนะคะที่มาสรุปให้พวกเราชาวเด็กดีได้เห็นมุมมองและความลึกซึ้งของเรื่องนี้
อ่านแล้วเหมือนเจอมุมมองที่ไม่ค่อยจะได้เห็นเยอะเลย ><
ชอบมุมมองของพี่ตินมากอ่ะ คือตอนเราอ่านเรามองคนละมุมกับพี่เลยอ่ะ5555
4 ชุดนี่มีอะไรบ้างหรอคะะ อยากได้มากๆๆๆ อยากได้แบบครบทุกอย่างเลยอ่ะค่ะะะ งือออออออออออ