จากใจ... 5 นักเขียนถึงนัก (อยาก) เขียน
: อยากเป็นนักเขียน ควรมาฟังกันดู
เส้นทางสายนักเขียนไม่ใช่เรื่องง่าย เทคนิค ประสบการณ์ และความรู้มากมาย อัดแน่นในบทความนี้
สวัสดีชาวไรเตอร์ค่ะ ได้ยินบ่อยมากว่า... อยากเป็นนักเขียน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ใช่แล้ว เพราะสิ่งที่ยากที่สุด ก็คือ “การเริ่มต้น” นั่นเอง เออร์เนสต์ เฮมมิ่งเวย์ นักเขียนชื่อดัง เคยประกาศเอาไว้ว่า... สิ่งที่เขาหลอนมากที่สุดก็คือ การนั่งจ้องหน้ากระดาษเปล่าๆ ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน การเป็นนักเขียน อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครๆ คิดก็ได้
วันนี้ เราแอบรวบรวมเคล็ดลับของนักเขียนดังๆ เพื่อมามอบไว้เป็นกำลังใจให้นัก (อยาก) เขียนหน้าใหม่ทุกคน จะได้รู้ว่า การเป็นนักเขียนเนี่ย เขาเริ่มกันอย่างไร และนักเขียนที่ดี มีเคล็ดลับอะไรบ้าง
สตีเฟ่น คิง
นักเขียนชื่อดังที่มีคำคมยอดฮิตคือ “ถ้าอยากเป็นนักเขียน ต้องอ่านให้มากและเขียนให้มาก” ปัจจุบัน คิงเขียนหนังสือมามากกว่า 50 เล่ม และเป็นนักเขียนที่ได้ชื่อว่า “อ่าน” เยอะที่สุดคนหนึ่ง คิงเพิ่มเติมไว้ว่า... นัก (อยาก) เขียนที่ไหนบอกว่า ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ จะไม่มีวันพัฒนาตัวเองได้ เขายังเชื่อด้วยว่า ถ้าไม่อ่าน ก็ไม่มีทางเป็นนักเขียนที่ดีได้ คิงสนับสนุนให้นัก (อยาก) เขียน และนักเขียนทุกคนอ่านหนังสือ ขณะเดียวกัน เขาเพิ่มเติมด้วยว่า ทุกคนควรจะหาสไตล์ของตัวเองให้ค้นพบ
คิงเริ่มเข้าวงการเขียนได้ ก็เพราะความเป็นนักอ่าน เขาบอกว่า... โมเมนต์ที่รู้ตัวว่าอยากเป็นนักเขียนคือ เมื่ออ่านหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วคิดในใจว่า... “ถ้าฉันเขียน มันต้องออกมาดีกว่านี้แน่ ถ้าคนเขียนคนนี้ได้ตีพิมพ์ ฉันก็ต้องได้เหมือนกัน” คิงยังเสนอเพิ่มเติมว่า... ทุกครั้งที่เขียนงานจบ ให้อ่านทวนหลายๆ รอบ และคอยตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก ถ้าตัดออกแล้วยังอ่านรู้เรื่อง ก็ตัดไปเรื่อยๆ นั่นแหละ และอีกข้อหนึ่งที่นักเขียนคนนี้แนะนำก็คือ คุณต้องกล้าที่จะ “ฆ่า” ตัวละคร ต่อให้รักมากแค่ไหน ก็ต้องกล้าที่จะไปให้สุด ร้ายที่สุด แรงที่สุด โหดที่สุด จัดไปได้เลย อย่าเขียนตัวละครกลางๆ เพราะคนอ่านจะไม่อิน
เทคนิคโดยสรุป
- อยากเขียนต้องอ่าน
- หาสไตล์ของตัวเองให้พบ
- ถ้าอ่านงานใครแล้วรู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่า ก็เขียนงานตัวเองเลย
- ถ้าตัดประโยคไหนออกแล้วยังอ่านรู้เรื่อง ตัดทิ้งซะ
- กล้าที่จะเล่นกับตัวละคร เขียนให้สุด
เคิร์ท วอนน์กัต
นักเขียนชาวอเมริกัน ผู้เก่งกาจเรื่องงานวิทยาศาสตร์ ให้คำแนะนำถึงนักเขียนรุ่นใหม่ว่า “ควรหาหัวข้อที่ชอบจริงๆ เรื่องที่เราใส่ใจและสนใจ จากนั้นก็นำมาเขียน โดยปรับให้เป็นสไตล์ของเราเอง”
วอนน์กัต เคยให้คำแนะนำเรื่องการเขียนเรื่องสั้นไว้ดังนี้
- อย่าเขียนตัวละครที่ไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่อง เขียนมาแล้วเสียเปล่า
- เขียนตัวละครที่นักอ่านรักหรือชอบ
- ทุกตัวละครควรจะอยากได้หรือต้องการบางอย่าง
- ทุกประโยคที่เขียนควรต่อสื่ออะไรบางอย่าง เช่น บอกลักษณะนิสัยตัวละคร หรือให้คนอ่านคาดเดาการกระทำต่อๆ ไป
- ถ้าเป็นไปได้ เขียนตอนจบก่อน
- หาข้อเสียหรือจุดบกพร่องของตัวละครให้พบ ต่อให้เก่งหรือเจ๋งแค่ไหน ก็ควรจะมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่ เพื่อให้คนอ่านเข้าอกเข้าใจพวกเขาได้
- เราต้องชอบงานที่เขียนก่อน อย่าไปคิดว่าจะเขียนเพื่อเอาใจใคร เอาใจตัวเองนี่แหละดีที่สุดแล้ว
- ให้ข้อมูลนักอ่านด้วย อย่าปล่อยให้เขางงหรือเดาเอาเอง ไม่ใช่ว่าอ่านจนจบแล้วยังงงๆ ว่า... อ้าว นี่จบแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย
จอห์น กริชซั่ม
อดีตทนายที่กลายมาเป็นนักเขียนชื่อดัง ผลงานของเขามีจุดเด่นคือ... เขียนถึงเรื่องกฎหมาย (ตามอาชีพเลยทีเดียว) ผสมผสานกับแนวทริลเลอร์ งานจึงระทึกขวัญน่าติดตาม คำแนะนำของเขาคือ การจะเป็นนักเขียนได้ ควรหาสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญสักอย่างหนึ่ง เช่น ตัวเขาเอง ก็เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย จึงสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่น่าเชื่อถือได้ นอกจากเรื่องงานแล้ว กริชซั่มเชื่อว่า ประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละคนสัมผัส จะช่วยให้เขียนเรื่องได้อย่างลุ่มลึก น่าอ่าน เราควรจะตกหลุมรัก อกหัก เจ็บปวด สอบตก หรืออะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ถ้าเราได้เจอเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ตัวเราจะกลายเป็นนักเขียนที่มีเนื้อหา และสามารถเขียนงานที่คนอ่าน “อิน” ตามได้
สำหรับตัวกริชซั่มในช่วงแรกๆ เขาเขียนหนังสือเป็นงานอดิเรก และใช้เวลาเขียนวันละ 1 หน้าเป็นประจำทุกวัน กริชซั่มฝากถึงนัก (อยาก) เขียนหรือนักเขียนมือใหม่ว่า... ควรเขียนให้ได้ทุกวัน เขียนให้เป็นนิสัย อย่าเขียนๆ หยุดๆ เป็นอันขาด
เทคนิคโดยสรุป
- นำประสบการณ์ชีวิตมาเขียน จะได้งานที่น่าอ่าน
- หาสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ และนำมาเขียนหนังสือ คนจะเชื่อถือมากขึ้น
- เขียนเป็นประจำทุกวัน อย่าเขียนๆ หยุดๆ
แอนน์ ลามอตต์
นักเขียนผู้ซึ่งเคยได้รับคำปฏิเสธจากบรรณาธิการด้วยคำว่า “ปัญหาสำคัญของคุณคือ การคิดว่าทุกเรื่องที่เขียนน่าสนใจไปหมด” อย่างไรก็ตาม ลามอตต์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอยังพยายามต่อไป และในที่สุดหนังสือของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์ ชื่อหนังสือเล่มนั้นคือ Birds by Birds ลามอตต์พูดถึงการเขียนว่า
“สิ่งสำคัญคือต้องจับใจคนอ่านได้ตั้งแต่ย่อหน้าแรก แค่ย่อหน้าแรก ก็ต้องใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไป เอาให้เข้มให้ข้นไว้ก่อน แล้วค่อยๆ จางลง ปรับให้เข้าที่เข้าทาง ใส่อารมณ์และความรู้สึกเข้าไปให้เต็มที่ คนอ่านจะได้ซึมซับสิ่งที่เราต้องการสื่อได้”
เทคนิคโดยสรุป
- งานเขียนที่ดีส่วนใหญ่ ไม่ได้จบลงด้วยการเขียนครั้งเดียวแล้วได้ตีพิมพ์ ความพยายามครั้งแรก ยากเสมอ
- อาชีพนักเขียนมีสิ่งสำคัญคือ การมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณเขียนด้วยความเชื่ออย่างจริงใจ คนอ่านจะสัมผัสได้ และเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อ
- เป้าหมายของนักเขียนคือ เพิ่มมุมมองใหม่ๆ ให้กับคนอ่าน ทำให้พวกเขาเข้ามาในโลกของเรา และเข้าใจตัวตนของเรา ไม่ว่าเราจะเขียนอะไรลงไป ขอให้คนอ่านเห็นภาพ และเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอ
เออร์เนสต์ เฮมมิ่งเวย์
นักเขียนรางวัลโนเบลผู้โด่งดัง คนที่เชื่อว่า... ในแต่ละวัน นักเขียนควรหยุดเขียนในฉากสำคัญๆ ที่รู้แล้วว่า... จะเขียนต่ออย่างไร เพราะเราจะได้ไม่เสี่ยงกับการเขียนไม่ออกในวันรุ่งขึ้น และนี่คือบทสัมภาษณ์ครั้งสำคัญของเฮมมิ่งเวย์
ผู้สัมภาษณ์ : คุณรีไรท์งานเยอะแค่ไหน
เฮมมิ่งเวย์ : แล้วแต่เรื่อง อย่างฉากจบของเรื่อง ‘Farewell to Arms’ แค่หนึ่งหน้า ผมต้องแก้ไขถึง 39 ครั้ง”
ผู้สัมภาษณ์ : ปัญหาคือ...
เฮมมิ่งเวย์ : การหาคำที่ใช่
ผู้สัมภาษณ์ : คุณเขียนงานจบก่อน หรือตั้งชื่อเรื่องก่อน หรือว่าคิดไประหว่างเขียน
เฮมมิ่งเวย์ : ผมตั้งชื่อเรื่องเมื่อเขียนจบ ส่วนใหญ่จะตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 100 ชื่อ จากนั้นค่อยตัดออกทีละชื่อ บางครั้งที่คิดมา ก็ไม่ได้ใช้เลย
เทคนิคโดยสรุป
- ควรหยุดเขียนเมื่อถึงฉากสำคัญ แล้วค่อยยกยอดไปเขียนต่อในวันรุ่งขึ้น
- หาคำที่ใช่ให้พบ
- การตั้งชื่อเรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย ควรตั้งไว้หลายๆ ชื่อ แล้วเลือกที่เหมาะสมที่สุด
อตินเอง
ขอบคุณบทความจาก
7 ความคิดเห็น
เป๊ะจริงๆกับสองท่านแรกที่ว่า
- อย่าเขียนเกินความจำเป็น
- ตัวละครไหนไม่ใช้อย่ายัดลงมา
- อ่านซ้ำแล้วตัด ส่วนไม่จำเป็นออกเรื่อยๆเท่าที่ตัดได้
ตอนที่จะรีไร้ท์ก็เคยได้รับคำแนะนำจากนักเขียนตีพิมพ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้เช่นนี้เหมือนกัน เหตุผลน่าจะเพื่อให้เรื่องกระชับ เดินไว ไม่สะดุด
ล่าสุดมีโอกาสลองหาไลท์โนเวลมานั่งอ่าน ก็เลยเข้าใจมากขึ้นว่า บางทีบทบรรยายบางส่วนก็ข้ามๆไปบ้างก็ได้นะ (แต่ต้องอ่านรู้เรื่องและไม่ก้าวกระโดดเกินไปนะ) พอเอามาลองปรับกับนิยายล่าสุดที่กำลังแก้แล้ว เห็นได้ชัดเลยจริงๆว่าเปลี่ยนไปเยอะ
ทั้งที่คิดว่ากระชับแล้ว แต่พออ่านซ้ำแล้วมันก็ยังมีจุดที่ให้หั่นออกได้โดยไม่เสียเนื้อเรื่องอยู่จริงๆนั่นล่ะ
บางทีการคิดมากเกินไป หรือเอื้อผู้อ่านเกินเหตุก็ทำให้นิยายยาวเกินจำเป็นได้เหมือนกันครับ
ยกยอดไปเขียนในวันรุ่งขึ้น?
ตอนแรกอ่านแล้วตะหงิดๆ แต่พอคิดดูดีๆ ถ้าเราเขียนฉากสำคัญไปจนหมด (และมักเป็นฉากที่อยากเขียน
) พรุ่งนี้มักเกิดอาการ ท้อ เหนื่อย และ 'เบื่อ' 555555
การยกไปเขียนพรุ่งนี้จะทำให้เรามีกำลังใจ ตั้งใจ อยากเขียนมากขึ้น
จะลองดูค่ะ
(แต่ใจจริงใครๆก็อยากเขียนเลยนี่ 555555)
อยากได้ของเจเคด้วยT^T