ไม่เข้าคือพลาด 8 คำเตือนที่นักเขียนต้องระวัง
สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคน กลับมาพบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ มีน้องๆ หลายคนในที่นี้เป็นนักเขียน และก็มีอีกไม่น้อยที่เป็นนักอยากเขียน ถ้าให้พูดถึงเรื่องเบสิคๆ เกี่ยวกับการเขียนนิยายคงหนีไม่พ้นเรื่องการวางพล็อต สร้างตัวละคร การเล่าเรื่องใช่มั้ยคะ แต่มันยังมีอีกเรื่องที่น้องๆ ควรรู้ไว้ นั่นคือ “ข้อควรระวังในการเป็นนักเขียน” ค่ะ ฟังดูน่ากลัวใช่มั้ยล่ะ? แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ขอแค่น้องๆ ปฏิบัติตามสิ่งที่พี่เขียนไว้ก็พอ เพราะข้อผิดพลาดที่พี่นำมาฝากน้องๆ นั้น ต้องแอบกระซิบก่อนว่าเป็นสิ่งที่นักเขียนหลายคนเคยพลาดมาก่อน และถ้าเราไม่อยากพลาดแล้วล่ะก็... ต้องรีบอ่านค่ะ! รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้งนะคะ!
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตามมาดูเลยดีกว่าค่ะ ^_^
พี่เห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าน้องๆ หลายคน (ฮา) พร้อมกับตั้งคำถามว่า “ทำไมนี่ถึงเป็นข้อผิดพลาดละ?” พี่จะบอกให้นะ นั่นเป็นเพราะเวลาที่เราคิดว่าเราเก่ง เราฉลาด เราเขียนดีแล้ว มันทำให้เราไม่คิดจะพัฒนาตัวเองต่อไงล่ะคะ
จินตนาการดูว่าเรากำลังแข่งกับนักเขียนอีกเป็นร้อยเป็นพัน แล้วคนพวกนั้นก็มีความคิดสร้างสรรค์ไม่ต่างจากเราซะด้วยสิ เราจะทำยังไงดีละถึงจะทำให้เราโดดเด่น? คำตอบก็คือต้องพัฒนาตัวเอง อย่าหยุดนิ่ง อย่าหยุดฝึกฝนค่ะ
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้น้องแตกต่างจากนักเขียนคนอื่นไม่ใช่ความฉลาด แต่เป็นจริยธรรมในการสร้างสรรค์งานเขียนของน้องต่างหาก นั่นหมายความว่าเมื่อเราเริ่มต้นเขียนนิยายสักเรื่อง เราต้องตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากอ่านจบ เราจำเป็นต้องพัฒนาจรรยาบรรณในการเขียนของเรา เขียนแต่เรื่องสร้างสรรค์ หมั่นพัฒนาฝีมือเยอะๆ แล้วน้องๆ จะพบว่าตัวเองเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จค่ะ
นักเขียนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงการเขียนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่กระทบต่ออารมณ์ของตัวเอง เช่น หลีกเลี่ยงการเขียนฉากถูกทิ้งเพราะเคยถูกทิ้งมาก่อน หรือหลีกเลี่ยงการเขียนฉากฆาตกรรมเพราะหวาดกลัว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพวกเขากลัวที่จะต้องรับมือกับอารมณ์ตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็มีหลายคนที่ไม่สามารถรับมือได้ พวกเขาเลยตัดสินใจเท ไม่เขียนซะเลย
น้องๆ คะ นั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงมากเลยนะ จริงๆ แล้วเราควรเขียนมันออกมาค่ะ ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่เคยเจอ ปลดปล่อยอารมณ์ตนเองออกมา ใส่อารมณ์ทั้งหมดลงไปในเรื่องราวของเรา แล้วเราจะไม่เสียใจที่ได้เขียนมันออกมาเลย
อย่าลืมว่าจุดประสงค์ของนวนิยายคือทำให้นักอ่านอินไปกับงานของเรา ถ้าคิดว่าวัตถุประสงค์ของนวนิยายคืออย่างอื่น เช่นการให้ความรู้หรือเพื่อแสดงคุณธรรมแล้วล่ะก็ เรากำลังคิดผิดค่ะ จริงอยู่ที่สองอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก นวนิยายคือเรื่องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู็สึก ความนึกคิด ถ้าเราเขียนอะไรบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกอินไปกับมันได้ เศร้าก็ร้องไห้ เขินก็ยิ้มอยู่คนเดียว เราก็จะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จค่ะ
และวิธีเดียวที่จะทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมไปกับเราก็คือปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดของเราลงบนหน้ากระดาษนั่นเอง
หลายคนเริ่มผงะตอนอ่านถึงข้อนี้ แต่พูดจริงๆ นะ หัดอ่านนิยายที่ไม่ได้เรื่องซะบ้าง โดยเฉพาะนิยายที่เขียนโดยนักเขียนชื่อดัง ซึ่งมันเป็นกรณีศึกษาอย่างดี ทำไมน่ะเหรอ? เพราะมันช่วยให้เราเห็นข้อผิดพลาดนั้นๆ และเลี่ยงที่จะเขียนออกมา
ทุกครั้งที่อ่านอย่าลืมจดข้อผิดพลาดเอาไว้ จากนั้นเตือนตัวเองว่าเราจะเลี่ยงการเขียนแบบนั้น ใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจว่างานเขียนของเราจะไม่พังแบบนั้นเด็ดขาด ซึ่งน้องๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านมันเยอะๆ หรอกนะคะ อ่านแค่พอประมาณให้รู้แนวทางว่ามันไม่ดียังไงค่ะ
เข้าใจว่านักเขียนส่วนใหญ่เป็นสายโลกส่วนตัวสูง รักการอยู่คนเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องผิดนะคะ แต่เราควรออกไปพบปะสังสรรค์บ้าง พาตัวเองไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่เป็นนักเขียนให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะเวลาที่คนชอบอะไรเหมือนกันมารวมตัวกัน มันจะมีพลังบางอย่างที่ทรงพลังมาก ซึ่งมันจะคอยขับเคลื่อนเราให้เขียนนิยายต่อไปได้ค่ะ
ที่สำคัญคือพยายามไปอยู่กับนักเขียนเก่งๆ พูดคุยกับเขาให้เยอะๆ จากนั้นลองลิสต์ 5 สิ่งที่ทำให้เขาเขียนนิยายเก่ง ยิ่งน้องรู้จักนักเขียนมากเท่าใด น้องจะยิ่งเข้าใจวงการงานเขียนมากขึ้น น้องก็จะได้ซึมซับความเก่งจากเขามากขึ้น ลองเข้าร่วมกลุ่มนักเขียนเพื่อพูดคุย ถกเถียง แบ่งปันประสบการณ์ ถ้านึกไม่ออกว่าจะหาจากไหน ก็คุยกับนักเขียนใน Dek-D นี่แหละค่ะ รับรองว่าน้องๆ จะต้องเก่งขึ้นแน่นอน

(ขอบคุณรูปภาพจาก : pinterest.com)
น้องๆ คะ ถึงนี่จะไม่ใช่รายการเดอะเฟซ แต่บนเส้นทางนักเขียนที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน (แน่นอนว่ามีหลายคนเองก็ต้องการเป็นนักเขียนเช่นกัน) การจะทำให้นิยายของเราโดดเด่นและดีงามได้นั้น น้องๆ ควรจะมีเมนเทอร์หรือที่ปรึกษาด้านงานเขียนส่วนตัวไว้ด้วยค่ะ มันจะดีกว่าไหมถ้ามีคนช่วยวิจารณ์งานเขียนของน้อง คอยชี้แนะและให้คำแนะนำที่ดีเพื่อที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้โดยไม่หลงทาง เชื่อเถอะว่าการเขียนนิยายแล้วเอาไปให้ใครสักคนช่วยวิจารณ์ให้นี่ดีที่สุดแล้ว เพื่อที่เราจะได้แก้ไขให้ถูกจุดไงล่ะคะ
เชื่อหรือไม่ ความอดทนเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่นักเขียนพึงมีค่ะ หลายคนเวลาอัพนิยายลงเด็กดีได้ไม่กี่ตอนก็ใจร้อนเหลือเกิน ตั้งคำถามซะมากมาย ทำไมไม่มีคนอ่าน ทำไมไม่ติดท๊อป ทำไมไม่มีคนแอด fav เลย และอื่นๆ อีกสารพัดมากมายเกินกว่าจะพูดถึงได้ แต่น้องๆ รู้มั้ยคะว่ากว่านิยายจะติดท๊อปหรือมีคนอ่านมากมายแบบที่เราเห็นอยู่นี้ได้ เขาต้องใช้ความอดทนขนาดหนัก และไม่ย่อท้อต่อสิ่งที่ทำ ดังนั้นน้องๆ ต้องอดทน หมั่นอัพนิยายสม่ำเสมอค่ะ ^^
น้องรู้จักแผนการเพื่อเป็นนักเขียนที่เลวร้ายที่สุดในโลกหรือเปล่าคะ?
"ฉันจะลองเป็นนักเขียนหนึ่งปี ถ้าปีนี้ฉันไม่ได้ตีพิมพ์ ฉันจะเท!"
ถ้าใครที่เป็นแบบนี้ระวังไว้เลยว่าจะได้เทจริงๆ เพราะความจริงแล้วการเป็นนักเขียนไม่ได้ใช้เวลาแค่ 1 ปีนะคะ แต่มันใช้เวลามากกว่านั้นอีกค่ะ!! บางคนต้องใช้เวลานับสิบปีในการเขียนทุกวันจนตัวเองเขียนเก่งและโด่งดัง เอาล่ะแล้วถ้าเราไม่ได้เขียนทุกวันล่ะ? เราก็ต้องเริ่มจากการเขียนทุกวันตั้งแต่วันนี้เลยน่ะสิ!
สำหรับพี่ พี่ว่าการเขียนมันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ฝึกฝนเมื่อเต่านี่แหละค่ะ ทำช้าๆ เขียนบ่อยๆ อย่าเร่งรีบ แล้วเดี๋ยวเราจะเก่งขึ้นเอง อย่าลืมมีแผนงานเขียนในช่วงเวลาห้าปีและเตรียมแผนงานเขียนในอีกสิบปีข้างหน้าไว้ ตั้งเป้าหมายในอนาคตไปให้ไกลเช่น ฉันจะเขียนนิยาย 100 เล่มภายใน 10 ปี และอย่าลืมตั้งเป้าหมายประจำวันเพื่อให้แน่ใจได้ว่าเราจะไปถึงเป้าหมายในอนาคตได้ เช่น เมื่อตั้งเป้าแล้วว่าจะเขียน 100 เล่มภายใน 10 ปี ในแต่ละวันเราจะต้องเขียนนิยายอย่างน้อยกี่หน้า เป็นต้นค่ะ
ข้อนี้ฟังดูยาก แต่จริงๆ แล้วน้องควรจะหัดเขียนให้หลากหลายแนวค่ะ เช่น คนที่เขียนงานวรรณกรรมก็ลองหันมาจับแนว YA ดู บางคนเขียน YA ก็ลองหันมาเขียนบทภาพยนตร์ ถ้าเขียนบทภาพยนตร์แล้วก็ลองเปลี่ยนมาเขียนบทละคร หรือถ้าใครที่เขียนแนวรักโรแมนติก ลองหันมาเขียนไซไฟดูสิ
เราเรียกวิธีการนี้ว่า “Cross-training” ซึ่งการเปลี่ยนแนวเขียนจะช่วยเสริมสร้างทักษะการเขียนมากขึ้น หลังจากที่ลองเปลี่ยนแนวรับรองว่าได้สกิลเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ น้องจะได้บทสนทนาที่ไหลลื่นถ้าเริ่มเขียนบทภาพยนตร์หรือบทละครเวที ส่วนนักเขียนแนวโรแมนติกก็จะได้ใช้จินตนาการสุดเวอร์วังมากขึ้นเมื่อลองเขียนนิยายแฟนตาซีค่ะ
ข้อดีอีกอย่างของการทำแบบนี้ก็คือ น้องๆ ได้ปลดล็อคความสามารถของตัวเองค่ะ บางคนเป็นนักเขียนแนวรักหวานแหววอยู่ดีๆ พอไปเขียนแนวสยองขวัญกลับพบว่าตัวเองทำได้ดีกว่า ก็เลยเบนสายไปเขียนแนวสยองขวัญซะเลย นั่นถือว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เลยล่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่นำมาฝากในวันนี้ พี่มีคำแนะนำให้ง่ายๆ ค่ะ น้องๆ หลังจากน้องๆ อ่านจบ อย่าลืมเลือกข้อที่ตรงกับน้องหรือเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นมาสัก 3-4 ข้อ จากนั้นเขียนลงบนกระดาษแล้วแปะลงบนโต๊ะเขียนนิยาย ทั้งนี้ก็เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าทำแบบนี้ จะได้ไม่พังไงล่ะ เชื่อเถอะว่าถ้าทำแบบนี้รับรองว่าเราจะต้องเป็นนักเขียนที่ดีได้แน่นอนค่ะ
.jpg)


21 ความคิดเห็น
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ค่ะ
เราไม่ใช่พวกกระต่ายกับเต่านะ แต่เราแค่ดองงานนานเกินไปต่างหาก QwQ
จับมือ
ได้แนวทางไว้ปฏิบัติเยอะเลยค่ะ ขอบคุณคำแนะนำดีๆค่า ^^
งิ้มมมมมม ไฟท์ติ้งงงงงงงงง
ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความรู้ดีๆ ʕ灬→ᴥ←灬ʔ
ขอบคุณครับผม^.^ ^.^
ขอบคุณค่ะพี่น้ำผึ้ง หนูจะพัฒนาตัวเองให้ได้ค่ะ!!!
ขอบคุณสำหรับคำเตือนขอรับ
ให้ความรู้มาเยอะเลยค่ะ ^_^
กลัวเรื่องการใช้คำหยาบมากค่ะ เป็นคนนึงที่แต่งนิยายแล้วอยากใช้คำหยาบ มันดูเป็นธรรมชาติดี แต่ก็ไม่สามารถเขียนออกมาได้เพราะกลัวโดนแบน แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือฝีมือยังไม่ดีพอ
อ่า บทความดีมากค่ะพี่น้ำผึ้ง
บทความนี้เป็นประโยชน์มากอ่ะบางข้อนี่เราเป็นเลยนะ
ขอบคุณมากๆเลยค่า บางข้อนี่ตรงเราเลย สงสัยต้องปรับเปลี่ยนแล้วเรา
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆนะคะพี่ผึ้ง เป็นประโยชน์สำหรับนักเขียนฝึกหัดอย่างหนูมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่าาา ตรงเอาแต่อยู่คนเดียวนี่...สงสัยเราต้องเริ่มปรับตัวซะล่ะ!
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะครับ
จะพยายามค่ะ
ขอบคุณนะค่ะบทความของพี่มีประโยชน์มาก
ได้พิจารณาตัวเองเยอะเลยค่ะ