5 คำถามสำคัญ ช่วยสร้างตัวละครสมจริงที่แท้ทรู
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน มีใครเคยอ่านนิยายแล้วรู้สึกอินไปกับตัวละคร รู้สึกว่าเขามีชีวิตชีวาและสมจริงมากๆ มั้ยคะ บางครั้งเราก็แอบสงสัยว่านักเขียนเขามีเทคนิคยังไงเหรอถึงทำให้เราติดหนึบไปกับตัวละครนี้มากๆ ด้วยความที่เราเป็นนักเขียน เราเองก็อยากให้นักอ่านอินไปกับตัวละครของเราบ้างอะไรบ้างใช่มั้ยล่ะคะ? ซึ่งในวันนี้พี่ก็มาพร้อมกับเทคนิคดีๆ ที่ช่วยให้เราเขียนตัวละครได้สมจริงมากขึ้นค่ะ
น้องๆ คะ เวลาตัวละครแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมา นั่นหมายความว่ามันต้องมี “สาเหตุ” หรือ “แรงจูงใจ” ที่ทำให้เขากระทำแบบนี้ ซึ่งแรงจูงใจนี่แหละค่ะที่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้ตัวละครของเราสมจริง ถ้าใครที่มีแรงจูงใจของตัวละครอยู่ในมือแล้ว อย่ารอช้าค่ะ รีบหยิบมันขึ้นมาแล้วมาตอบคำถาม 5 ข้อนี้ไปด้วยกันค่ะ รับรองว่าถ้าน้องๆ ตอบจนหมดครบ 5 ข้อ ตัวละครจะต้องสมจริงมากแน่ๆ ถ้าพร้อมแล้วเลื่อนลงมาเลยค่ะ
แรงจูงใจของตัวละครเกิดจากปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอก?
น้องๆ คะ อย่างที่พี่น้ำผึ้งบอกไปตอนต้น เวลาตัวละครแสดงพฤติกรรมหรือลงมือทำอะไรบางอย่าง มันจะต้องมีแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจอันเป็นเหตุให้เขาลงมือทำแบบนั้น ซึ่งส่วนมากแล้วปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดแรงจูงใจมีเพียงแค่ 2 อย่าง ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกค่ะ
แรงจูงใจภายในเป็นการกระตุ้นที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ ความรู้สึก ความนึกคิดของตัวละคร อาจจะมีช้อยส์หรือทางเลือกบางอย่างที่กระตุ้นให้เขาลงมือทำสิ่งนั้นๆ เช่น เป้าหมายในชีวิตส่วนตัว หรืออาจจะเพื่อเรียกร้องความสนใจ แน่นอนว่าเมื่อตัวละครทำสำเร็จตามแรงจูงใจ เขาจะรู้สึกพึงพอใจมากค่ะ
ส่วนแรงจูงใจภายนอกเป็นปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้ตัวละครลงมือกระทำการบางอย่างเช่น ตัวละครรอบข้างหรือสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวละครนั้นๆ นอกจากนี้ยังอาจหมายถึงบุคคลหรือสถานการณ์ที่มีอิทธิพลต่อตัวการตัดสินใจของละครค่ะ
บ่อยครั้งที่การรวมกันของแรงจูงใจทั้งสองประเภทนี้ทำให้นิยายของเรามีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าแรงจูงใจทั้งสองเกิดขึ้นในลักษณะที่ขัดแย้งกัน ฟังแล้วอาจมีคนงง พี่น้ำผึ้งขออนุญาตยกตัวอย่างประกอบด้านล่างนะคะ ^^
ศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ จากวรรณกรรมชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับตัวละครที่มีแรงจูงใจทั้งภายในและภายนอก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นบุคคลที่มีความขัดแย้งในตัวเอง กล่าวคือ การตัดสินใจและการกระทำส่วนใหญ่ของดัมเบิลดอร์มักมีสาเหตุมาจากการที่เขาต้องการเห็นศัตรูอย่างโวลเดอร์มอร์พ่ายแพ้ อาจจะเพราะว่าโวลเดอร์มอร์ก่อความวุ่นวายให้โลกหรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่นี่คือแรงกระตุ้นภายนอกของดัมเบิลดอร์อันนำไปสู่การใช้แฮร์รี่เป็นเครื่องมือเพื่อต่อสู้กับศัตรูของเขา แม้ว่าท้ายสุดแล้วแฮร์รี่ต้องเสียสละชีวิตตัวเองก็ตามที
แต่อย่างไรก็ตาม ดัมเบิลดอร์เองก็เจอกับความขัดแย้งอันเกิดจากแรงกระตุ้นบางอย่างจากภายในเช่นกันค่ะ มันคือความปรารถนาที่จะปกป้องแฮร์รี่ อยากเห็นเขามีชีวิตที่ดีและมีความสุข มันจึงเป็นแรงจูงใจให้ดัมเบิลดอร์รู้จักระมัดระวังและวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ รวมทั้งยังยืดเวลาในการดำเนินตามแผนออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ค่ะ อย่างที่ดัมเบิลดอร์ เคยกล่าวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ในภาคภาคีนกฟินิกซ์ว่า
“I cared more about your happiness than your knowing the truth, more for your peace of mind than my plan, more for your life than the lives that might be lost if the plan failed.”
แต่พี่น้ำผึ้งขอกระซิบก่อนว่า น้องๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ตัวละครของเรามีแรงจูงใจที่ซับซ้อนหรือขัดแย้งกันแบบดัมเบิลดอร์ก็ได้นะคะ แต่สิ่งสำคัญคือการที่เราต้องพิจารณาว่าอะไรคือแรงจูงใจภายใน ภายนอก หรือทั้งคู่ และตัวละครของเราได้รับผลกระทบอะไรบ้างถ้าเกิดว่าเขาทำตามแรงจูงใจนั้นค่ะ
แรงจูงใจน่าเชื่อถือหรือเปล่า?
กี่ครั้งแล้วคะกับการที่เราเจอกับตัวร้ายที่เกิดมาเพื่อเป็นตัวร้ายโดยแท้ทรู ชีวิตนี้น่าสงสารมาก ไม่มีอะไรดีเลยสักนิด ร้ายสุดขั้ว ชั่วสุดขีดมาก แล้วกี่ครั้งที่เราเจอพระเอกบอร์นทูบี ดีงามทุกอย่าง ไม่มีข้อติเตียนใดๆ ทั้งนั้น โธ่ พ่อคนเพอร์เฟคท์
ตัวละครที่พี่พูดถึงด้านบนนั้นเป็นตัวละครที่มีแนวโน้มว่าจะไม่มีมิติเอาเสียเลย รู้มั้ยคะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ง่ายๆ เลยก็คือแรงจูงใจมันไม่เรียลน่ะสิ แรงจูงใจไม่มีความสมจริงสักนิด!! ลองคิดภาพตามดูนะคะ เราเคยเจอคนที่มันดีงามไปซะทุกอย่างหรือเลวไปซะหมดมั้ย? บอกเลยว่าไม่! เพราะแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะงั้นถ้าเราอยากให้ตัวละครของเรามีชีวิตเหมือนคนโดยแท้ทรู แรงจูงใจของพวกเขาต้องน่าเชื่อถือ
น้องๆ เชื่อมั้ยคะว่าร้อยละ 90 แล้ว แรงจูงใจที่ไม่สมจริงมักเกิดขึ้นกับตัวร้ายในนิยาย จริงอยู่ที่เราสร้างพอร์ทโฟลิโอ่ให้ตัวร้ายซะยาวเยียด แต่สุดท้ายต้อนเขียนนิยายออกมา ตัวร้ายของเรากลับไม่น่าเชื่อถือซะงั้น นั่นเป็นเพราะว่าทุกครั้งที่เราเขียนนิยาย เราต้องมีเหตุผลรองรับการกระทำเสมอค่ะ อย่างที่มิเชล ฮอดกิน นักเขียนนิวยอร์กไทม์เบสท์เซลเลอร์กล่าวไว้ว่า “ตัวร้ายก็คือตัวเอกในเรื่องของเขา เวลาที่ใครทำอะไรก็ต้องมีเหตุผลทั้งนั้นแหละ”
ในทำนองเดียวกันกับตัวเอก ทุกๆ คนชอบที่จะอ่านเรื่องราวของฮีโร่ แต่ไม่มีใครรู้สึกอินไปกับตัวละครที่ไม่มีข้อบกพร่องในบุคลิกหรือแรงจูงใจของตัวเองค่ะ อย่าลืมนะคะว่าตัวละครของเราต้องไม่เป็นสีขาวหรือดำ แต่มันต้องเป็นสีเทา มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน คนดีเองก็อาจจะพลาดทำชั่วได้ถ้ามีแรงจูงใจแย่ๆ หรือเห็นแก่ตัว ส่วนคนเลวก็มักได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าดีหรือถูกต้องค่ะ
เราอยากเปิดเผยนิสัยอะไรของตัวละครให้นักอ่านรับรู้?
ที่ตั้งคำถามอย่างนี้ขึ้นมาเพราะว่ามันคือคีย์เวิร์ดสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้ตัวละครนั่นเองค่ะ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าเวลาตัวละครทำอะไรสักอย่าง มันบ่งบอกถึงอุปนิสัย ความคิด และทัศนคติของตัวละครนั้นๆ ได้ แน่นอนว่าก่อนที่เราจะสร้างตัวละครให้เกิดการกระทำ เราต้องหาเหตุผลมารองรับการกระทำของเขาก่อน ถ้ายังนึกเหตุผลไม่ออก ก็ลองค้นหานิสัยส่วนบุคคลของเขา ซึ่งแรงจูงใจนี่แหละที่สามารถบอกข้อมูลต่างๆ ให้กับเราได้ ไม่ว่านจะเป็น
- คุณค่า ความเชื่อ และคุณธรรมของเขา
- ความหวัง ความฝัน และความกลัวของเขา
- จุดอ่อนและจุดแข็งของเขา
- เหตุการณ์ในอดีตที่มีผลทำให้เขาเป็นเขาอย่างในทุกวันนี้
ดังนั้นก่อนที่น้องๆ จะสร้างแรงจูงใจ น้องจะต้องพึงบอกตัวเองเสมอว่ามันอาจทำให้นักอ่านรู้จักตัวละครของเราในอีกแง่มุมหนึ่งได้ โดยการตั้งคำถามว่า “อยากให้คนอ่านเห็นนิสัยอะไรของตัวละคร” สามารถช่วยให้เราเห็นภาพตัวละครที่สะท้อนบนหน้ากระดาษสู่สายตานักอ่านได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใช่ว่าน้องๆ จะใส่ทุกเหตุผลที่รองรับพฤติกรรมของเขาลงไปในงานเขียนของเรานะคะ เพราะมันไม่โอเคเลยค่ะ ตรงกันข้าม มันทำให้นิยายของเราคาดเดาได้ง่าย ซึ่งในบางครั้งเราก็ควรที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ อย่าให้นักอ่านรู้ซะเดี๋ยวนั้น เอาไว้พอถึงเวลาเหมาะสมค่อยเฉลยจะดีกว่าค่ะ

ดัมเบิลดอร์กับกรินเดลวัลด์ผู้เป็นแรงจูงใจสำคัญในวัยหนุ่มของดัมเบิลดอร์
แรงจูงใจเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อเวลาเปลี่ยนไป?
เมื่อเราอยากให้ตัวละครสมจริง เราต้องย้อนมาพิจารณาดูก่อนว่ามนุษย์มีคุณสมบัติอย่างไร ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ “ความเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ความคิด ทัศนคติ หรือแม้กระทั่งมุมมอง
น้องๆ คะ ในเมื่อมนุษย์อย่างเรายังเปลี่ยนไปทุกวัน ไฉนเลยตัวละครของเราจะเปลี่ยนไปบ้างไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่แรงจูงใจของตัวละครเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ต่างๆ ที่พบเจอยังช่วยเพิ่มความสมจริงให้แก่ตัวละครด้วยค่ะ
ลองย้อนกลับมาดูที่ตัวอย่างแรกของเรา จริงๆ แล้ว ท่านศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์เป็นตัวละครที่ซับซ้อนด้วยเพราะมีภูมิหลังที่น่าสนใจ แรงจูงใจของดัมเบิลดอร์เปลี่ยนไปตลอดช่วงชีวิตของเขา อย่างตอนที่ดัมเบิลดอร์ยังหนุ่ม เขามีความผูกพันกับกรินเดลวัลด์ พ่อมดที่ชั่วร้ายที่สุดในยุคนั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราเลยพอจะรู้ว่าแรงจูงใจสำคัญของดัมเบิลดอร์ในวัยหนุ่มคืออำนาจและพลังนั่นเอง แรงจูงใจนี้ทำให้เขาวางแผนสร้างโลกเวทมนตร์อันสงบสุขกับกรินเดลวัลด์
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราได้รู้จักกับดัมเบิลดอร์ (ซึ่งก็คือในวัยสูงอายุ) แรงจูงใจของเขากลับเปลี่ยนไป เขาต่อสู้กับโวลเดอร์ ผู้ที่เดินตามกรินเดอร์วัลด์ แน่นอนว่ามีแรงจูงใจมากมายที่ทำให้ดัมเบิลดอร์เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยข้อผิดพลาดในอดีต หรือความปรารถนาที่จะเห็นโลกพ่อมดแม่มด (รวมทั้งมักเกิ้ล) สงบสุขนั่นเองค่ะ
นับว่าดัมเบิลดอร์เป็นตัวอย่างของตัวละครที่มีแรงจูงใจที่เปลี่ยนไปในช่วงระยะเวลาต่างๆ ได้ดีมาก ซึ่งน้องๆ สามารถศึกษาและนำไปใช้ในการพัฒนาตัวละครของเราให้น่าสนใจและสมจริงขึ้นได้ค่ะ
แรงจูงใจเป็นของตัวละครจริงๆ หรือเป็นของเรา?
น้องๆ เชื่อมั้ยคะว่าในขณะที่เรากำลังเขียนนิยาย บางครั้งเราอาจเผลอใส่นิสัยหรือความต้องการของเราลงไปในตัวละครที่เราเขียนอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ เราเผลอใส่ตัวตนของเราไปนั่นเอง มันเลยเป็นเหตุให้ตัวละครของเราแกว่งและไม่ใช่ตัวตนเขาโดยแท้ทรู ดังนั้นน้องต้องเช็คให้ดีๆ เลยนะคะว่านั่นคือความต้องการของตัวละครจริงๆ และไม่ใช่ความต้องการของเรา
พออ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ พี่น้ำผึ้งเริ่มเห็นว่ามีน้องๆ บางคนรู้สึกว่ายาก แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะคะ เพราะพี่มีตัวช่วยง่ายๆ ให้น้องไม่เผลอใส่แรงจูงใจหรือความต้องการของเราลงไปในตัวละครค่ะ วิธีการก็คือเราต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ ให้ได้ ทุกครั้งที่เราเขียนนิยาย เราต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่า “เรากำลังเป็นตัวละครนั้นอยู่” เราจึงเข้าใจทุกอารมณ์ ความรู้สึกและความคิดของเขา แต่ถ้าใครกลัวหลุด กลัวเผลอก็อาจจะเขียนภูมิหลังตัวละคร ลักษณะนิสัย เหตุการณ์ในอดีตเอาไว้ในกระดาษก็ได้ค่ะ เพื่อที่เวลาสร้างแรงจูงใจจะได้หยิบมาดูได้ง่ายๆ ไม่มีหลุดหรือพลาด ลองดูนะคะน้องๆ จะได้ไม่มีใครตกม้าตายทีหลัง เคยเจอมั้ยคะ นิยายภาษาสวยมาก ดำเนินเรื่องดี แต่ตัวละครดันหลุดอยู่บ่อยๆ เฉยเลย แบบนี้ก็ไม่โอเนอะ

ดัมเบิลดอร์กำลังต่อสู้กับโวลเดอร์มอร์ผู้เป็นแรงจูงใจในวัยชราของเขา
เป็นอย่างไรบ้างคะกับ 5 คำถามที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ ยิ่งเรารู้จักตัวละครของเรามากเท่าไหร่ มันยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าตัวละครของเรามีแรงจูงใจในการกระทำหรือตัดสินใจใจที่น่าเชื่อถือ ดังนั้นน้องๆ จงรีบสำรวจแรงจูงใจของตัวละครอย่างละเอียดเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดให้ตัวละครสมจริงขึ้นนะคะ
พี่น้ำผึ้ง :)



6 ความคิดเห็น
แล้วถ้าตัวเอกในเรื่องความจำเสื่่อมละครับ?
เราควรเขียนให้ตัวเอกนิสัยยังไง
มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งมาก อาจดูไร้สาระแต่ช่วยบอกที ที่แท้ทรูคืออะไร แปลว่าอะไร ใครคิด มันมาจากอะไร งงสุดๆ เจอตลอดเลย
แท้ทรู = แท้ true(จริง)
เจอเพื่อนใช่บ่อยๆ ตอนแรกก็งงเหมือนกัน 5555555
การสวมตัวเองลงไปในตัวละครบางทีก็กลับมาได้ยาก โดยเฉพาะการที่แต่งนิยายหลายๆเรื่องพร้อมกัน อารมณ์เหมือนลูกดิ่งที่ถูกเขวี้ยงไปมา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง
บางครั้งเรากลับมาใช้ชีวิตประจำวันของเราแต่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังสวทบทบาท อารมณ์ที่ตัวละครตัวนั้นกำลังสวมอยู่ จึงเริ่มรู้สึกกลัวที่จะปล่อยให้อารมณ์ตอนแต่งครอบงำ โดยเฉพาะฉากดราม่า เพราะเราเศร้าไปกับตัวละครจริงๆแล้วก็หลายวันกว่าจะกลับมาเป็นปกติ เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์เข้าแล้ว คงต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
ผมนี่เป็นคนนึงละที่อินมากใส่อารมณ์ความรู้สึกเป็นตัวละครนั้นๆ ชอบให้นิสัยของเขาชักนำบทตัวเองมากกว่าจะคิดเองให้เสียอีก เซ็งตอนชอบไปหลุดแปลกๆ ในท่ีทำงานหรือต่อหน้าคนอื่น ยิ่งเวลาเขียนบทพระเอกหน้าด้านยิ้มได้เวลาจะตายเงี่ย ยิ้มให้หัวหน้าที่กำลังด่าเราซะงั้น(ฮา)สุดๆ สุดท้ายเป็นบทความท่ีดีมากครับ
ขอบคุณสำหรับบทความค่ะ อ่านแล้วหาปากกามาจดเลย
แต่ก็เคยมีเหตุการณ์ทำให้เรามีความรู้สึกเดียวกับตัวละครค่ะ สวมตัวเองให้เป็นตัวละครทุกตัว ฟังดูไม่น่าจะทำได้ แต่บอกว่ามันไม่ยากจริงๆ ค่ะ แค่เราต้องมีความรักในตัวละครที่เราสร้างมาทุกตัว แล้วเราจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกเขาได้ ตอนเขียนลื่นมาก สามารถเขียนได้ทุกวัน ใช้เวลาจบเรื่องได้เร็วกว่านิยายเรื่องไหนๆ ที่แต่งมา
การเป็นตัวละครไม่ยากจริงๆ ค่ะ เราแค่ต้องรักเขา แล้วทำตัวเหมือนแม่เฝ้าดูลูก ปล่อยให้เขาเป็นคนกำหนดปลายปากกาของเรา ถึงแม้จะมีผิดแผนไปบ้าง(พระเอกเปลี่ยนตัวเฉย เพราะแรงจูงใจดึงให้ต้องชอบอีกคนมากกว่า)แต่ปลายทางกลับออกมาดี และยินดีกับสิ่งที่ลูกๆ(ตัวละคร)เราเลือกค่ะ
นอกนั้นแล้ว การสังเกตคนก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก
เช่นเวลาเห็นข่าวหรือดูละครเรื่องไหนแล้วทำไมเขาทำแบบนั้นแบบนี้ ลองมาคิดวิเคราะห์สังเกตว่าอ้อ เพราะเขาเป็นแบบนี้เลยทำแบบนั้น พอเข้าใจก็จะเห็นเองว่าแต่ละคนมีการกระทำส่งผลยังไงต่อนิสัยและความคิด
โดยที่ตัวนักเขียนจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าสิ่งที่ตัวละครทำถูกหรือผิดโดยเด็ดขาด ปล่อยให้ตัวละครจัดการกันเอง มันจะไปในทิศทางที่เข้าใจมากกว่า และลงตัวอย่างมีเหตุผลกว่า
แอบแย้งนิดที่ว่าเอาตัวเองอินลงไป ถ้ามากไปจะกลายเป็นเปลี่ยนนิสัยตัวละครไปโดยปริยาย ให้แค่เข้าใจในตัวละครนั้นว่ามันมีเหตุและผลของมัน การอินเกินไปจะทำให้เราเอนเอียงเข้าข้างตัวละครใดตัวละครหนึ่ง ถ้าคนเขียนยังคุมไม่อยู่พอ