นักเขียนจงรู้ไว้ ‘ความคิดมีชีวิต’ และนี่คือ 3 วิธีรับมือกับมัน
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน การจะเป็นนักเขียนได้ สิ่งแรกที่พึงมีเลยก็คือ “ความคิดสร้างสรรค์” และวิธีจัดการกับความคิดที่ชอบผุดขึ้นมา เชื่อว่านักเขียนหลายคนก็คงเป็นเหมือนกัน ไอเดียดีๆ ชอบมาตอนที่เรากำลังยุ่งวุ่นวาย มาตอนก่อนนอนบ้างอะไรบ้าง จะนอนก็อยากนอน แต่ถ้านอนก็กลัวตื่นขึ้นมาแล้วลืมว่าเมื่อคืนคิดอะไร ไม่รู้จะทำไงดี ที่พีคสุดคือชอบมาก่อนสอบ อยากเขียนก็ไม่กล้าเขียน กลัวสอบตก (ฮา) โมเมนต์ที่อยากเขียนแต่เขียนไม่ได้นี่มันน่าหงุดหงิดใจมากเลยเนอะ
ถ้าใครที่เคยเป็นอย่างนี้ วันนี้พี่นำวิธีจัดการกับความคิดสร้างสรรค์มาฝากค่ะ ขอยกเครดิตให้นักเขียนคนดัง “อลิซาเบธ กิลเบิร์ต” เจ้าของผลงานนิยายติด Best Seller ของนิวยอร์กไทม์ ขายดีแล้วขายดีอีกอย่าง “Eat, Pray, Love” ค่ะ กระซิบก่อนว่าฮาวทูของเธอนั้นมหัศจรรย์มาก จะเป็นยังไงนั้น ตามมาดูเลยจ้า
อลิซาเบธ กิลเบิร์ต
(via: Bradon Sneed)
อลิซาเบธ กิลเบิร์ต ใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับความคิดสร้างสรรค์ เธอเจอมาหมดแล้วทั้งพยายามเค้นพล็อตเท่าไหร่ก็ไม่ออก หรือจะเป็นแบบไม่ต้องเค้นก็มาเอง แต่น่าเศร้าที่มาผิดเวลา อะไรประมาณนี้ ตลอดช่วงเวลาที่เธออยู่กับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เธอได้ลองผิดลองถูกจนสามารถพัฒนาแนวทางร่วมงานกับเจ้าความคิดสร้างสรรค์แบบไม่มีปัญหา
เพราะความคิดมีชีวิต
สำหรับอลิซาเบธ กิลเบิร์ต ความคิดสร้างสรรค์เหมือนกับเวทมนตร์นั่นแหละค่ะ มันมีมนต์ขลังและไร้ขีดจำกัด ทุกครั้งที่เธอพูดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ = เวทมนตร์” เธอหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ ความคิดสร้างสรรค์ก็เหมือนฮอกวอตส์ มันเหนือธรรมชาติ ลึกลับ อธิบายยาก คาดเดาไม่ได้ แต่มัน...ดีเยี่ยมที่สุด เพราะถ้าไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เราก็จะไม่สามารถสรรค์สร้างงานเขียนมหัศจรรย์ออกมาได้
เธอเชื่อว่าโลกของเราไม่ได้ประกอบไปด้วยแค่สัตว์ พืช แบคทีเรีย หรือไวรัส แต่มันยังรวมไปถึงความคิด เธอเชื่อว่าความคิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีพลังบางอย่างแฝงอยู่ แม้ความคิดจะเป็นสิ่งที่แยกออกจากเราอย่างสมบูรณ์ แต่มันก็สามารถตอบโต้เราได้เช่นกัน
กิลเบิร์ตบอกว่าความคิดถูกขับเคลื่อนด้วยแรงกระตุ้นเพียงอย่างเดียว นั่นคือ มันต้องการปรากฏออกมาเป็นรูปเป็นร่างที่เด่นชัด ซึ่งหมายความว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถทำให้ “ความคิด” กลายเป็นเรื่องจริงได้ ดังนั้นความคิดต่างๆ จึงวนเวียนรอบตัวเรา มันคอยตามหามนุษย์ที่เหมาะสมและเต็มใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของมันให้ผู้คนรับรู้
เมื่อความคิดพบคนที่มันคู่ควร คนที่อาจสามารถนำเรื่องราวของมันไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ (ซึ่งก็คือนักเขียนอย่างพวกเรานี่แหละค่ะ) มันก็พร้อมที่จะผุดวาบเข้ามาในหัวของเรา พยายามเรียกร้องความสนใจจากเรา ซึ่งส่วนใหญ่พวกเราก็ไม่ทันสังเกตเห็นหรอก เป็นไปได้ว่าเรามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความฝัน ความวิตกกังวล ความกลัว หรือแม้แต่หน้าที่ที่เรากำลังทำอยู่จนทำให้เราไม่เอะใจกับสัญญาณของมัน
น้องๆ รู้มั้ยคะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากเรายังคงเมินเฉยต่อไอเดียเหล่านั้น? จะบอกให้ก็ได้นะว่ามันจะวิ่งไปหาคนอื่นไงล่ะ! คำถามถัดมาก็คือ แล้วเราจะทำยังไงถ้าอยู่ๆ ไอเดียก็แวบเข้ามาในหัว บอกเลยว่า ณ จุดนี้ เรามีทางเลือกแค่สองอย่างเท่านั้น นั่นคือปฏิเสธหรือไม่ก็ยอมรับมันซะ!
จะเกิดอะไรขึ้นหากเราบอกว่า “ไม่”
คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ...ไม่ ไม่ก็คือไม่ไงล่ะ จากนั้นไอเดียก็เสร็จเรา มันจะหนีหายจากเราไปไหนที่สุด แล้วก็...ยินดีด้วยค่ะ! เราไม่ต้องกังวลกับการเขียนนิยายแล้ว (เพราะเราไม่เขียน)
เพื่อให้ชัดเจนกว่านี้ การปฏิเสธไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เสมอไป จริงอยู่ที่บางครั้งเราอาจปฏิเสธคำเชิญของ “ความคิด” ที่ต้องการให้เราลงมือสร้างสรรค์ผลงาน จะด้วยความขี้เกียจ ความไม่สบายใจ ไม่ว่าง หรืออะไรก็ตามแต่ แต่อยากให้รู้ว่ามันไม่เป็นไร มันโอเคมากที่เราจะบอกว่า “อืม...ไว้เดี๋ยวค่อยเขียนนะ มันไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมในการเขียนนิยาย” เพราะในบางครั้งไอเดียก็แค่บังเอิญผ่านมาเคาะประตูผิดบ้านก็แค่นั้น เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวมันก็มาใหม่
อลิซาเบธ กิลเบิร์ตเล่าให้ฟังว่าเธอเคยประสบกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน หลายครั้งที่ไอเดียพุ่งเข้ามาหาเธอในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เธอก็จะปฏิเสธมันอย่างสุภาพเช่น “ฉันดีใจที่คุณแวะมาหาฉัน แต่ฉันคงไม่เหมาะกับงานนี้หรอก ขอฉันเสนอชื่อใครบางคนได้มั้ย ทำไมคุณไม่ลองแวะไปหา บาบาร่า คิงโซเวอร์ล่ะ?” (บาบาร่าเองก็เป็นนักเขียนเช่นกัน เคยมีหลายครั้งที่เธอเขียนนิยายได้เพราะอยู่ๆ ไอเดียก็แวบเข้ามา – อาจเป็นเพราะคำเชิญจากอลิซาเบธก็ได้!)
ดังนั้นไม่ต้องรู้สึกผิดที่ปฏิเสธมัน เมื่อเราปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลกับการเขียนนิยาย คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ปฏิเสธมันกันทั้งนั้น ดีซะอีก เราเป็นคนหมู่มาก (ฮา) แต่อย่าลืมว่าวันหนึ่งเราก็อาจจะตอบตกลงก็ได้...
จะเกิดอะไรขึ้นหากเราตอบว่า “ตกลง”
ถ้าเรายอมรับไอเดียนั้น มันก็ถึงเวลาที่เราจะต้องแสดงความสามารถอันไร้ขีดจำกัดของเราแล้วค่ะ ตอนนี้งานของเราก็จะกลายเป็นเรื่องทั้งง่ายและยากในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเราได้ทำพันธะสัญญากับไอเดียนั้นแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของเราก็คือต้องพยายามเขียนนิยายที่เกิดจากไอเดียนี้ให้ตลอดรอดฝั่งจนสำเร็จ
อลิซาเบธ กิลเบิร์ตกล่าวว่า “เราสามารถกำหนดเงื่อนไขสำหรับสัญญาของเราและไอเดียนี้ได้ตามต้องการ ในอารยธรรมตะวันตกร่วมสมัย สัญญาที่ทำกับความคิดสร้างสรรค์ดูเหมือนจะเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง มันเป็นสัญญาที่ระบุไว้แล้วว่าเราจะต้อง ‘ทำลายตัวเองและคนรอบข้าง’ เพื่อให้เราได้แรงบันดาลใจมาเขียนนิยาย และความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจะเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าเรามีความคิดสร้างสรรค์มากแค่ไหน”
ฟังแล้วอาจจะงง ถ้าอย่างนั้นพี่น้ำผึ้งขอขยายความให้ฟังง่ายๆ ดังนี้ค่ะ การเขียนนิยายเป็นอะไรที่เราต้องใช้ความทุ่มเทกับมันมหาศาล ในบางครั้งเราก็ต้องยอมแลกอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้เราเขียนนิยายต่อไปจนจบได้ ไม่ว่าจะเป็นอดหลับอดนอน งดข้าว ไม่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ไม่ออกไปเที่ยว วันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานเขียนของเรา กว่าจะรู้ตัวอีกทีเราก็อาจจะผอมลงหรืออ้วนขึ้นหลายกิโล เพื่อนของเราที่สัญญาว่าจะโสดตลอดชีวิตเป็นเพื่อนกันอาจมีแฟนในช่วงเวลาที่เราเข้าถ้ำปั่นนิยาย กิ๊กของเราอาจงอนแล้วงอนอีกที่เราไม่มีเวลาให้ รู้ตัวอีกทีก็เทเราไปคบคนอื่นแล้ว หนักกว่าก็คงจะเป็นประมาณว่าป่วยเข้าโรงพยาบาล สิวขึ้น ขอบตาดำ อารมณ์เสีย อารมณ์ดาวน์ กลายเป็นเจ้าแม่ดราม่า ขี้เหวี่ยงขี้วีน โอ้โห มาเพียบ สาเหตุหลักก็เกิดจากการอดหลับอดนอนล้วนๆ อย่าคิดว่ามันเป็นไม่ได้นะคะ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอเมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับการตั้งหน้าตั้งตาเขียนนิยาย
ดังนั้นถ้าเราเลือกที่จะทำสัญญาข้อนี้กับเจ้าไอเดีย ก็ต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่าเราอาจจะต้องแลกกับอะไรหลายๆ อย่าง (ซึ่งมักจะพ่วงมาด้วยข้อเสียมากมาย) หลายคนอาจบอกว่าไม่เป็นไร เราแลกได้ เรายอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขียนนิยายจบ แต่แน่ใจจริงๆ นะว่าเราจะไหว แน่ใจจริงๆ นะว่าเราจะเสี่ยง แน่ใจนะว่าวิธีนี้มันเวิร์ค? จริงอยู่ที่วิธีนี้มันฟังดูดีมาก ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเขียนนิยาย มันเวิร์คค่ะ แน่นอนว่ามันเวิร์ค...จนกว่ามันจะฆ่าเรานี่แหละ!
เราสามารถทำแบบนี้ได้ถ้าเราต้องการทำจริงๆ แต่พี่ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องแลกกับการอดหลับอดนอน สิวขึ้น แถมเสียมิตรภาพดีๆ ตลอดไป พี่คิดว่ามันไม่คุ้มค่ากับความสำเร็จของพี่สักเท่าไหร่ แล้วก็นั่นแหละ อลิซาเบธ กิลเบิร์ตคิดเหมือนกันกับพี่ เธอเลยเสนออีกวิธีหนึ่งมาให้ มันคือการบาลานซ์ทุกอย่างให้ลงตัว ให้เรามีความสุขไปกับการใช้ความคิด ลงมือเขียน และการใช้ชีวิตในโลกไปพร้อมๆ กัน
อีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ
นี่เป็นสิ่งที่อลิซาเบธ กิลเบิร์ตเชื่อว่ามันเป็นวิธีที่นักเขียนและศิลปินที่ยิ่งใหญ่ในโลกใช้ เราต้องเริ่มต้นจากกการยอมรับไอเดียของเราด้วยความเคารพและความอยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ไม่ต้องดราม่าหรือกลัวว่าไม่มีเวลาเขียน จากนั้นเราก็ต้องขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้วยการทำความเข้าใจว่า “สิ่งที่ไม่ดีต่อเราอาจไม่ดีต่องานของเราด้วย”
คำถามถัดมาคือ แล้วอะไรล่ะที่ไม่ดีกับเรา? ลองคิดดูง่ายๆ ก็คือสิ่งที่ส่งผลกระทบด้านลบกับสุขภาพกายและใจของเรา เพื่อป้องกันมัน เราอาจจะเริ่มต้นจากการนอนให้เร็วขึ้นเพื่อที่ตื่นเช้ามาสมองจะได้เฟรชและรู้สึกกระตือรือร้น เริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อที่จะได้มีสุขภาพกายที่ดี งดกิจกรรมดราม่าเพื่อป้องกันหายนะที่จะเกิดขึ้นกับอารมณ์ของเรา
นอกจากนี้เราก็ควรกล้าที่จะพอใจกับงานเขียนที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์หรืองานเขียนอาจไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่นัก เราก็ควรคิดเสมอว่าอย่างน้อยก็คุ้มค่าที่ได้ทำมัน หรือถ้าหากเราเจอคำตำหนิในแง่ลบ มันโอเคมากที่เราจะแสร้งทำเป็นเมินเฉยกับมัน ที่สำคัญคือเราควรเปิดใจ ขอให้รู้ไว้ว่าทุกคนที่เดินทางบนถนนนักเขียนไม่ใช่ศัตรูของเรา พวกเขาคือเพื่อนร่วมความฝัน เราสามารถสนับสนุนคนอื่นๆ ที่พยายามสร้างสรรค์งานของพวกเขาได้ ให้กำลังใจ ซัพพอร์ทกันไป
อีกหนึ่งสิ่งคือให้ระลึกไว้เสมอว่าความสัมพันธ์ของเรากับความคิดสร้างสรรค์นั้น ไม่มีใครเหนือกว่าใคร กล่าวคือความคิดไม่ใช่เจ้านายของเราและเราก็ไม่ใช่ทาสของมัน ตรงกันข้าม ความสัมพันธ์มันลึกซึ้งมากกว่านั้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องจับมือเดินไปด้วยกัน งานถึงจะออกมาสำเร็จและมีคุณค่า
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว อย่าลืมว่าเรากับความคิดสร้างสรรค์อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพราะงั้นสิ่งที่ต้องทำเมื่อความคิดโผล่มาก็แค่ “จดไอเดียไว้” เราไม่จำเป็นต้องลงมือเขียนนิยายเดี๋ยวนั้น เราสามารถหาจังหวะหรือโอกาสในการแต่งเติมมันได้ภายหลัง และเมื่อสิ้นสุดวัน เราสามารถขอบคุณความคิดสร้างสรรค์ที่ได้ให้พรแก่เราด้วยการทำให้เรามองเห็นคุณค่า สิ่งที่น่าหลงใหลและน่าสนใจ เชื่อเถอะว่าถ้าทำแบบนี้ การใช้ชีวิตบนเส้นทางนักเขียนก็จะสุขใจมากขึ้น ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งวิธีที่อลิซาเบธแนะให้เราจัดการกับความคิดสร้างสรรค์ของเราค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะน้องๆ กับวิธีจัดการกับความคิดสร้างสรรค์ของอลิซาเบธ กิลเบิร์ต มันช่างเป็นอะไรที่น่าทึ่งและเต็มไปด้วยพลังบวกมากๆ เลยนะคะว่ามั้ย ลองหยิบไปใช้ดูได้ไม่ว่ากันค่ะ ใครจะปฏิเสธ ไม่เขียนนิยายก็ได้ ไม่ผิดเลย หรือใครอยากจะบ้าระห่ำเขียนไปทั้งวันก็ไม่ผิดเช่นกัน แต่ถ้าใครอยากบาลานซ์ชีวิตให้มันลงตัวก็ลองวิธีสุดท้ายดูค่ะ
อย่างไรก็ตามก่อนจากกันในวันนี้ มีสิ่งหนึ่งที่พี่ขอเสริมเพิ่มเติมนิดหน่อย นั่นคือ “ไม่ว่างานเขียนของเราจะเป็นยังไง ผลตอบรับดีน้อยแค่ไหน ขอให้รู้ไว้ว่า...คุณค่าของงานเราวัดกันที่ความทุ่มเท ไม่ใช่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น” เพราะงั้นสู้ต่อไปนะคะนักเขียนทุกคน เชื่อเถอะว่ารางวัลแห่งความสำเร็จนั้นคุ้มค่าแน่นอน พี่น้ำผึ้งขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ





8 ความคิดเห็น
ชอบคำสุดท้ายอ่ะ ไม่ได้วัดที่ความสำเร็จหรือล้มเหลวแต่วัดที่ทุ่มเทกับงานที่เราลงมือทำ รู้สึกมีแรงกำลังใจแต่งต่อมากๆเลย อ่านแล้วยิ้มเลยค่ะ^^
ขอบคุณมากค่ะพี่น้ำผึ้ง
ดีใจที่ชอบ สู้ๆ นะคะ ทำได้อยู่แล้ววว
งั้น...หรอ? อ่านแล้วดีใจนะที่มีคนคิดแบบนี้
ความสำเร็จขึ้นกับความทุ่มเทชอบคำนี้เช่นกันค่า ขอบคุณสำหรับบทความดีๆตลอดนะคะพี่น้ำผึ้ง
เป็นแฟนที่ติดตามบทความพี่ตลอดค่ะ อิอิ
ขอบคุณนะคะน้อง Atthanisa เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ
ชอบ รู้สึกได้รับกำลังใจ
ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆเหล่นี้มาให้อ่านนะคะ ^^
ยินดีมากเลยค่า สู้ๆ นะคะ
ชอบมีความคิดโผล่มาตอนใกล้สอบตลอดเลย พอปัดมันทิ้งได้ต้องใจอ่านหนังสือพอจะเข้านอนความคิดก็มาอีกจนแทบนอนไม่หลับ (ไม่รู้เพราะความคิดมาหรือกังวลกับการสอบกันแน่)
เป็นเหมือนกันเลยค่ะ สุดท้ายก็ยอมปล่อยมันผ่านไปเพราะง่วงเกิน
ชอบความคิดค่ะ จะพยายามพัฒนาต่อไปนะคะ!!
“ไม่ว่างานเขียนของเราจะเป็นยังไง ผลตอบรับดีน้อยแค่ไหน ขอให้รู้ไว้ว่า...คุณค่าของงานเราวัดกันที่ความทุ่มเท ไม่ใช่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น”
อ่านแล้วมีกำลังใจจัง ><
ขอบคุณมากเลยค่ะ
ชอบประโยคที่บอกว่าคุณค่าของงานเราวัดกันที่ความทุ่มเท ไม่ใช่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น :)