รีวิวเรียนภาษาที่ฮาร์บินของ 'มิ้นท์' กับประสบการณ์นั่งรถไฟ 17 ชม. ตามติ่งไอดอลจีน

        สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคนค่ะ มีน้องๆ คนไหนอยากไปเรียนซัมเมอร์ที่ประเทศจีนกันบ้างมั้ยคะ? หลายคนอาจกังวลเรื่องภาษาเพราะว่าไม่มีพื้นฐานภาษาจีนมาก่อนเลยไม่กล้าไปเรียน แต่ขอบอกเลยว่าไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะวันนี้ พี่ภัทร มีเรื่องราวของน้องคนนึงที่ได้แรงบันดาลใจเริ่มจากการเป็นติ่งวงบอยแบนด์ และผลักดันตัวเองไปเรียนซัมเมอร์ที่จีนทั้งๆ ที่แทบไม่มีพื้นฐานภาษามาก่อน ซึ่งบอกเลยว่าซัมเมอร์ครั้งนั้นมีแต่เรื่องพีคๆ จะมีอะไรสนุกๆ บ้าง มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ >< 
 

 
        “สวัสดีค่ะ ชื่อ วริฏา อรรคสาร ชื่อเล่นชื่อ ‘มิ้นท์’ ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะมนุษยศาสตร์ วิชาเอกวรรณกรรมสำหรับเด็ก วิชาโทภาษาจีน ช่วงปิดเทอมระหว่างขึ้นปี 3 เราไปเรียนจีนที่ Harbin Institute of Technology เมืองฮาร์บินมา 2 เดือนค่ะ” 

 

จุดเริ่มต้นมาจากวง TFBOYS


        “สำหรับการเลือกเรียนภาษาจีนของเรา มันเริ่มจากการที่เราชอบนักร้องจีน วง TFBOYS ค่ะ >< คือเราก็ติดตามและฟังเพลงเขามาเรื่อยๆ จนจุดนึงเราเริ่มสนใจในภาษาจีน อยากรู้ว่าเค้าพูดอะไรกัน พูดง่ายๆ คืออยากอินตามศิลปินที่เราชอบก็ได้ค่ะ 55555 แล้วอีกอย่างคือ ตอนนั้นมันไม่ค่อยมีคนแปลพวกรายการของจีนเท่าไหร่ แต่เราอยากรู้ว่าที่เขาพูดมันแปลว่าอะไร เราก็เลยเริ่มเรียนภาษาจีน โดยเริ่มเรียนตอนขึ้นปี 2 ที่มหาลัย และเราก็เลือกภาษาจีนเป็นวิชาโทอีกด้วย พอปิดเทอมช่วงขึ้นปี 3 เราก็เลยตัดสินใจไปเรียนจีนที่ฮาร์บิน 2 เดือน” 
 
         “จริงๆ ตอนแรกจะไปเรียนที่ไหนก็ได้แหละ พอเรารู้ว่าตอนปิดเทอมเราอยากไปเรียนจีน เราก็หาเอเจนซี่หลายๆ ที่ว่าเขาเปิดคอร์สซัมเมอร์ที่ไหนบ้าง จนไปเจอชื่อฮาร์บิน ซึ่งเราก็รู้สึกสนใจ เราเลยไปหาข้อมูลเพิ่มว่าเมืองนี้เป็นยังไง แล้วค่าใช้จ่ายมันก็ไม่แพงเท่าเมืองใหญ่ๆ อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เราก็เลยโอเค และเลือกไปเรียนที่ฮาร์บิน พอเลือกได้เราเลยติดต่อเอเจนซี่ที่หนึ่งค่ะ”
 
        “ราคาแต่ละอาทิตย์ก็จะไม่เหมือนกัน เราไป 8 สัปดาห์ พักห้องคู่แบบมีรูมเมท ที่พักจะเป็นหอในของมหาวิทยาลัย Harbin Institute of Technology ซึ่งเป็นหอสำหรับนักศึกษาอินเตอร์ ค่าใช้จ่ายประมาณ 49,000 บาท ไม่รวมค่ายิบย่อยอื่นๆ อย่าง ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าไฟ ค่าหนังสือ ค่ามัดจำ”
 



 

ไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อนก็เรียนได้!


        “ข้อดีของที่นี่คือ มันไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาจีนไปเลยก็ได้ เพราะก่อนไปเรียน เขาจะให้เราสอบวัดระดับ แล้วจัดคลาสให้ หรือถ้าไม่มีพื้นฐานมาเลยก็ไม่ต้องสอบก็ได้ เขาจะมีคลาสแบ่งเป็น 3 ระดับ คลาส A ก็คือคลาสเริ่มต้นตั้งแต่พินอินเลย คลาส B คือมีพื้นฐานแล้ว ซึ่งเราได้อยู่คลาส B ส่วนคลาส C คือระดับแอดวานซ์สำหรับคนที่ฟังพูดอ่านเขียนได้” 

 

การเรียนการสอน


        “การเรียนจะเริ่มคลาสตั้งแต่ 8.00-17.00 น. พักเที่ยงตอน 12.20 -13.30 น. วันนึงจะเรียนแค่ 2 วิชา เช้าตัวหนึ่งบ่ายตัวหนึ่ง คาบละ 4 - 5 ชั่วโมง แต่ว่าตอนเรียนมันจะมีเบรก 15 นาที เด็กก็จะออกไปพัก เป็นแบบนี้ทั้งมหาลัย”
 
        “วิชาที่ได้เรียนหลักๆ จะเป็นไวยยากรณ์กับสนทนา แล้วก็มีวิชาเลือกเป็นพู่กันจีน ไทเก๊ก แล้วก็กู่เจิ้งซึ่งเราก็ลงเรียนทุกอันเลย วิชาที่ชอบที่สุดคือกู่เจิ้ง แต่ว่าเจ็บมือ ฮ่าๆๆ พู่กันจีนก็สนุกแต่ก็จะเหม็นกลิ่นหมึกหน่อย”
 
        “อย่างวิชาที่เรียนไวยากรณ์ เขาจะให้อ่านบทสนทนา พอคาบ Speaking เขาก็จะให้เราจำบทสนทนาที่เรียน แล้วปิดทีละประโยคให้พูดเรียงคนไปว่า ประโยคนี้พูดว่าอะไร แล้วก็ให้ฝึกแต่งประโยค พอได้จำเราก็จะจำแกรมมาร์ได้ว่ามันเรียงแบบไหน” 

 


 

การเรียนต่างจากที่ไทยมั้ย? 


        “การเรียนการสอนที่ต่างจากไทยอย่างแรกก็แน่นอนว่าเขาสอนเป็นภาษาจีน แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเขาก็จะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้ ซึ่งมันก็แตกต่างจากไทยตรงที่ว่า พอเขาพูดสอนเราเป็นภาษาจีน เหมือนเป็นเจ้าของภาษามาสอนเราเองอะ เราก็จะซึมซับภาษาจีนได้ระหว่างที่เขาสอนเราด้วย ไม่ใช่แค่ในหนังสือ คือมันก็ยากแหละแต่เราก็รู้เรื่องนะ ถ้าเรียนไปเรื่อยๆ มันก็ชินว่าเขาพูดไรอะ ถ้าเราไม่เข้าใจเขาก็อธิบายให้เราฟังนะ เขาไม่ได้ดุขนาดนั้น”

 

เทคนิคการเรียนภาษาจีน


        “เรื่องเทคนิคการเรียนภาษา เราว่าแต่ละคนก็คงมีสไตล์ของตัวเองที่ต่างกัน แต่สำหรับเรา เราจะเน้นที่การคัดจีน คัดทุกวันก่อนไปเรียน ทุกคนอาจจะบ่นว่าไม่อยากคัดแต่การคัดมันช่วยให้เราจำได้จริงๆ นะ ยิ่งคัดบ่อยก็ยิ่งจำง่ายขึ้น และที่ทำให้เรามีกำลังใจคือ เวลาเราคัดเราจะรู้คำศัพท์เพิ่ม แล้วพอไปฟังเพลงที่มันมีคำที่เราคัด แล้วเราแปลออก เราก็จะดีใจ แบบ “เฮ้ย แปลได้แล้วอะ” จากที่เมื่อก่อน ฉัน เธอ เขียนยังไม่รู้จัก 1-10 จำไม่ได้ พอแปลเพลงได้แค่ท่อนเดียวเราก็ภูมิใจกับสิ่งที่เรียนมาแล้วอะ และนอกจากคัดจีน ดูการ์ตูนหรือดูซีรีส์ก็ช่วยได้นะ สำหรับใครที่ติ่งไอดอลจีนแบบเราก็แนะนำให้ฝึกภาษาจากรายการเซอร์ไววัลเลย 555 เราแนะนำรายการ The Coming One, Produce Camp 2019 แล้วก็รายการ  Idol Producer”

 

บรรยากาศในมหาลัย


        “ที่ข้างหน้ามอจะมีแมคโดนัลด์ ข้างๆ มอจะมีสวนสนุกกับห้าง Parkson เดินไปอีกนิดก็มีห้าง Careful ไว้ซื้อของถูกๆ ส่วนในมอเราก็กว้างมากแค่จากหอไปตึกเรียนก็เดิน 8 - 15 นาทีเลย ตอนแรกๆ ก็เหนื่อยแต่เดินไปทุกวันก็ชิน หรือถ้าใครไม่อยากเดินก็นั่งรถโดยสารก็ได้ อย่างบรรรยากาศในมอก็สวยมาก เรียกว่าร่มรื่นเลย แต่เราลืมถ่ายรูปมา 5555 ตอนเย็นก็จะมีคนไปวิ่งออกกำลังกายที่สนามของมออีก คนที่มาวิ่งก็มีทั้งเด็กในมหาลัยทั้งผู้ใหญ่ที่อยู่แถวๆ นั้นเลย”

 


 

โรงอาหารไม่รับเงินสด & การ์ดของมหาลัยจ่ายได้ทุกอย่าง


        ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาบทบาทแบบนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นก็คือเรื่องความสะดวกสบายค่ะ หลายๆ ประเทศเริ่มกลายเป็น Cashless Society หรือสังคมไร้เงินสด อย่างที่จีนคนส่วนใหญ่ก็ใช้จ่ายกันผ่านโทรศัพท์มือถือหรือผ่านบัตรแบบ Contactless ที่แค่แตะก็จ่ายเงินได้ เกือบ 100% เลยค่ะ ช่วงนี้พี่ก็แอบเห็นหลายธนาคารเริ่มนำระบบบัตรแบบนี้มาใช้ในไทยแล้วเหมือนกันนะคะ^^ 
 
        “ตอนซื้ออาหารที่โรงอาหาร มันจะมี 3 โรง จะมีโรงอาหารใหม่ โรงอาหารเก่า และโรงอาหารกลาง ซึ่งทุกที่จะไม่ใช้เงินสด ยกเว้นอันใหม่ที่ใช้แอปสแกนจ่ายจากโทรศัพท์ได้ เราก็ต้องปรับตัว ถ้าเราจะซื้ออาหารเราต้องมีการ์ดของมหาลัย ที่เราเติมเงินเข้าไปได้ ใช้ซื้อข้าวได้ ใช้ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตของมหาลัยได้ ซื้อได้ทุกอย่างถ้าเป็นของมหาลัย ใช้จ่ายค่ารถบัสของมหาลัยก็ได้”

 


 

เรื่องกินเรื่องใหญ่ 


        “ต้องบอกเลยว่าสำหรับเราเรื่องกินก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน และตอนไปที่ฮาร์บินก็มีเรื่องพีคๆ เกี่ยวกับการกินอยู่เหมือนกัน 5555 ตอนเราไปวีคแรกๆ มันก็ยังปกติดีนะ ในมอมันจะมีร้านอาหารเยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย มี KFC มีซูเปอร์มาร์เก็ต มีละแวกร้านค้าขายอาหารและชาไข่มุกอยู่ข้างๆ โรงอาหารเลย  แต่มันจะมีวันหยุดเทศกาลบ่ะจ่าง ซึ่งจะหยุดนานมากกกก พอหมดเทศกาลร้านทุกร้านมันปิด ตอนแรกเราก็คิดว่าเขาหยุดเทศกาลยาวแน่เลย แต่สรุปเขาปิดแบบปิดไปเลยอะ ปิดแบบไม่จ่ายภาษีอะ T-T เลยกลายเป็นว่าจากตอนแรกมีของกินเยอะมาก ทีนี้ไม่มีอะไรกินเลย ขนาดชาไข่มุกยังต้องไปซื้อกินนอกมออะ”

 


 
        “อีกเรื่องก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แต่เป็นปัญหาส่วนตัวของเราเองที่ไม่ชอบกินผัก  คือที่จีนถ้าเราจะสั่งอาหารแล้วบอกสั่งไม่เอาผัก เขาจะไม่ทำให้นะ เขาจะบอกว่า ‘ผัดไม่ได้ๆ ต้องใส่ผัก’ เพื่อนเราไปสั่งเมนูอื่นบอกไม่เอาผักเขาก็ไม่ทำให้เหมือนกัน เหมือนเขาอยากให้เรากินผักจะได้แข็งแรงอะ คือสั่งว่าไม่เอาผักไม่มีร้านไหนยอมทำให้เลยT^T อีกอย่างคืออาหารที่ฮาร์บินส่วนมากมักจะจืดกับเค็มใครที่มาฮาร์บินแล้วชอบรสจัดจ้านอาจต้องพกอะไรมานะ มาม่าคือของกันตายเลย”

 

แต่เมนูนี้อร่อยมากกก จำชื่อไม่ได้เเต่เป็นผัดพริกหวาน
 

เราชอบเมนูผัดพริกหวานมากคือกินบ่อยสุดๆ


 

เลือกฮาร์บินเพราะจะไม่ไปติ่ง แต่สุดท้ายก็ไปอยู่ดี!?


        “อย่างที่เราเล่าไปตอนแรกว่าจุดเริ่มต้นการเรียนภาษาจีนของเรามาจากการติ่ง TFBOYS แต่เราก็กลัวใจตัวเองว่าถ้าไปเรียนแล้ว จะเอาเวลาไปตามติ่งหรือเปล่านะ จากนั้นเราก็เลือกไปเรียนที่ฮาร์บินค่ะ เพราะมันไกลจากเมืองอื่น เราจะได้ไม่ต้องไปตามติ่งผู้ แล้วจะได้โฟกัสกับการเรียน แต่สุดท้ายแล้ว …. เราก็ไปอยู่ดี 5555555 แต่เราไปติ่งตอนเฉพาะวันหยุดนะคะ อย่างช่วงเทศกาลบ่ะจ่าง เราเลยนั่งรถไฟไปเที่ยวปักกิ่งกับเทียนจิน เราไปดูหน้าคอนเสิร์ตวง Nine Percent ซึ่งเป็นวงไอดอลชายจากรายการ Idol Producer คือเราอยากรู้ว่าคอนเสิร์ตที่จีนมันเหมือนที่ไทยหรือเปล่า จะอลังการเหมือนที่เราคิดไว้ไหม ซึ่งมันก็อลังการเหมือนที่คิดไว้จริงๆ ก็คือนั่งรถไฟไปปักกิ่ง 17 ชั่วโมงเพื่อไปดูหน้าคอนเสิร์ตเขาอย่างเดียว ไม่ได้เข้าไปดูด้วยนะ” 

 


 
        “ตอนไปหน้าคอนเราทำทุกอย่างที่อยากติ่ง เรารอส่งศิลปินออกจากสถานที่ แล้วเราก็ได้เจอเสี่ยวกุ่ยกับจัสติน สมาชิกของวง Nine Percent ที่นั่งอยู่ในรถ แต่ก่อนที่เราจะเจอน้องๆ เราตากฝนแบบยืนกางร่มรออะ คือโทรศัพท์สามารถพังได้อะตอนนั้น 5555”

 

นั่งรถไฟ 17 ชั่วโมงไปปักกิ่งเพื่อไปติ่ง พร้อมฝึกภาษาไปในตัว 


        “เราทุ่มเทนั่งรถไฟจากฮาร์บินไปปักกิ่ง 16-17 ชั่วโมง นี่คือขาไปขาเดียวนะ คือเกือบวันนึงเลยอะ ซึ่งการนั่งรถไฟนานๆ ก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่านะคะ เพราะเราได้ฝึกภาษาด้วย (ถ้าใครอยากฝึกภาษาให้คล่องอะ เราแนะนำให้ไปนั่งรถไฟนะ 5555) เพราะว่าคนในขบวนจะชวนเราคุย ยิ่งเราเป็นเด็กต่างชาติอะเขาก็จะยิ่งถามเยอะ ยิ่งชวนคุย พอเราตอบไม่ได้เราก็จะพยายามตอบ แล้วคนจีนเขาเป็นมิตรมาก คือภายในไม่กี่นาทีเขาคุยกับเราสนิทมากเหมือนรู้จักกันมาเป็น 10 ปีอะ 

        และพอตอนขากลับเราก็นั่งกลับอีก 16-17 ชั่วโมง (เหนื่อยมากกก) แต่มันพีคตรงที่ว่าเก้าอี้ที่เรานั่งอยู่มันนั่งหันหลังชนกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นจีน เราก็นั่งอ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อยแต่เรารู้สึกเหมือนมีคนมองเรา พอเราหันหลังไปมองก็มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นชะโงกหน้ามามองจากข้างหลังเราอะ 55555 เขาสนใจมากว่าเราอ่านอะไร? อ่านวรรณกรรมเรื่องอะไร? เป็นภาษาไทยหรอ? แล้วหลังจากนั้นทุกคนในขบวนก็แตกตื่นว่าเราเป็นคนไทย มาขอหนังสือเราไปอ่าน บอกว่าเราเก่งจังที่อ่านภาษาไทยได้ (ก็เป็นคนไทยมั้ยอะ 5555) แล้วคนในขบวนก็มาชวนเราคุยอีก ภาษาไทยยากมั้ย? เราไปไหนมา? คือชวนคุยเยอะมากจริงๆ”

 


 

จองโรงแรมแต่โดนเท 2 รอบ จนเกือบต้องนอนที่สถานีรถไฟ! 


        “ที่พีคคือตอนแรกเราจะไปดูหน้าคอนเสิร์ตที่เทียนจินแล้วกลับมาเที่ยวที่ปักกิ่งต่อ เรากะจะเอาของไปไว้ที่โรงแรมที่ปักกิ่งก่อน แต่พอเข้าไปปุ๊บเขาก็บอกว่า โรงแรมนี้ไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เขารับแค่นักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น  เราตอนนั้นก็เคว้งเลยอะ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงจะต้องไปนั่งรถไฟไปเทียนจินแล้ว เราก็โอเค งั้นไปหาโรงแรมที่เทียนจินก็ได้ เราก็หาโรงแรมจากในแอป หาโรงแรมได้เรียบร้อย เราคุยกับเจ้าของใน We Chat เสร็จไม่รู้นึกอะไร เราดันเข้าใจว่าเจ้าของจองห้องให้แล้ว เราเลยกดยกเลิกการจองจากในแอปจองโรงแรม พอไปถึงเจ้าของก็เลยบอกว่าคุณกดยกเลิกไปแล้ว คนก็เลยมาจองห้องไปแล้วนะ นาทีนั้นเรานี่แบบ “อ้าว! แล้วนอนไหนล่ะ” เลยบอกกับเพื่อนว่าถ้ามันหาที่นอนไม่ได้จริงๆ เราไปนอนสถานีรถไฟไหม? ฟังดูเหมือนน่ากลัว แต่ต้องบอกก่อนว่าสถานีรถไฟบ้านเขามันปลอดภัยนะ (ฮา)  ทีนี้เราดันไปเจอว่าข้างๆ สถานีมันมีห้องให้เช่าเป็นเหมือนแชร์เฮาส์ แล้วราคามันถูกมาก จากที่ต้องจ่ายค่าโรงแรมคืนละ 2,000 บาท มันเหลือคืนละแค่ 250 บาท แต่ก็แลกมากับความหลอน ความน่ากลัวแทน ณ ตอนนั้นเราไม่กลัวอะไรแล้วอะ นอกจากกลัวผี น้ำยังไม่กล้าอาบเลย”
 


 

คนจีนน่ารัก เฟรนด์ลี่มากกก 


        “จริงๆ แล้วคนที่นู่นเขาดีนะ อย่าติดภาพทัวร์จีนที่มาบ้านเรา คนจีนเขาเป็นมิตร เขาไม่ได้น่ากลัว เขาไม่ได้โผงผางหรือสกปรก เขาก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหละ ที่เราเจอมาเขาเฟรนด์ลี่มากๆ สุดๆ เขาช่วยเหลือเราทุกอย่างเลยนะถ้าเรามีอะไรจะปรึกษา จะถามเขา เราถามอะไรเขาก็ยินดีตอบ หรือถ้าเราพูดอะไรผิด ใช้คำไหนผิดเขาก็จะช่วยแก้ให้ แก้แบบที่เต็มใจนะไม่ใช่แบบติว่าเราผิด ใจดีมากทั้งคนแก่ เด็ก วัยรุ่นอะ ยิ่งเราเป็นเด็กต่างชาติเขาก็จะยิ่งอยากคุยกับเรา เพราะเขาก็สนใจว่าเด็กต่างชาติเป็นยังไง เราก็ได้คุยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันไป”

 

คนชอบถามว่าไปเรียนแค่ 2 เดือนได้อะไรด้วยเหรอ?


        “ก่อนเราไปเรียนที่จีน เราใช้เวลานานมากกว่าจะจำตัวจีนในหนึ่งบทได้ คือใช้เวลาเป็นอาทิตย์ พอไปเรียนที่จีนแล้วกลับมาแค่วันเดียวเราก็จำได้ทั้งหมดแล้วนะ ทวนอีกสัก 2 วันก็จำได้ คือที่จีนเราต้องเรียน 1 วันต่อ 1 บท ซึ่งพอเรียนแบบนั้น เราจะไม่มีเวลาไปคัดศัพท์ที่ปกติเราจะต้องจำ 1 บทต่อ 1 อาทิตย์เหมือนตอนอยู่ไทย ตอนแรกเราก็กังวลว่า “จะจำได้เหรอ มันจำไม่ได้อะ!” จนมีครั้งหนึ่งที่เราเกิดคำถามว่า “มาแค่เรียน 2 เดือนมันได้อะไรวะ?” แต่มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราคิดว่าเราได้อะไรกลับไปนะ คือตอนที่เราไปซื้อของแล้วพนักงานก็ถามเราเป็นภาษาจีนว่าจะเอาอะไร บลาๆๆ แล้วเราก็พูดตอบกลับไปได้อัตโนมัติ โดยที่ในหัวไม่ต้องคิดอะ เราเลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันก็ได้นี่หว่า เราพูดตอบได้แล้วนะ เริ่มพูดได้แล้วนะ แล้วพอเราไปเทส HSK แล้วเราก็ได้ระดับ 3 ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้อะ” 

 

ถ้ามีโอกาสก็ไปเรียนเถอะ อย่าลังเล!


        “เอาจริงๆ เราก็เพิ่งเรียนภาษาจีนได้ไม่นาน ตอนที่ไปเรายังเรียนภาษาจีนได้ไม่ถึง 1 ปีเลย แต่เราก็เลือกไปเรียนที่จีน ผู้ใหญ่อาจจะมองว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันแต่เรามองว่าการที่เราเรียนอยู่ในประเทศเขา สภาพแวดล้อมเขา มันทำให้เราปรับตัวแล้วก็กระตุ้นเรามากขึ้นเพราะถ้าเราไม่พูด เราจะสั่งข้าวยังไง ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง เราก็ตามคนอื่นเขาไม่ทัน เราไม่อยากอายคนอื่นอะ เราคิดว่าถ้าเราไม่ขยันแล้วตอบไม่ได้มันน่าอายกว่า คนที่ขยันแล้วทำไม่ได้อะ ดังนั้นเราก็เลยพัฒนาตัวเองให้ตอบได้ ถ้าใครที่มีกำลังพอ ครอบครัวพร้อมซัพพอร์ตก็ไปเลย ไม่ต้องคิดว่าไปแป๊บเดียวมันได้อะไรเหรอ มันได้หมดแหละถ้าเราไป อย่างน้อยๆ มันก็ได้ประสบการณ์

 
        เป็นยังไงบ้างคะ อ่านบทสัมภาษณ์ของพี่มิ้นมิ้น แล้ว อยากตามพี่มิ้นท์ไปเรียนซัมเมอร์ที่จีนจังเลยค่ะ >< เรียกว่า 2 เดือนเจอเรื่องพีคๆ เยอะมากก ถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองเลยล่ะ ถ้าน้องๆ คนไหนมีโอกาสและอยากไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศบ้างก็ไปเลยนะ ได้ฝึกภาษาแถมได้ประสบการณ์ด้วย ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นกำลังใจให้คนที่อยากไปเรียนต่างประเทศแต่ยังไม่มั่นใจเรื่องภาษานะคะ ถ้าเราตั้งใจรับรองว่ายังไงก็พัฒนาแน่ๆ ค่ะ:)
 
พี่ภัทร

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น