ชวนดู 7 เรื่องเล่าลี้ลับแห่งท้องทะเลที่ยังไขปริศนาไม่ได้สักที!

ชวนดู 7 เรื่องเล่าลี้ลับแห่งท้องทะเล
ที่ยังไขปริศนาไม่ได้สักที!


 

แม้นางเงือกอาจไม่มีอยู่จริง แต่มหาสมุทรและท้องทะเลก็ยังเต็มไปด้วยความลึกลับ

แหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สวยงามเหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดและปรากฏการณ์ที่ทำให้เราสับสน ความลึกของมหาสมุทรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14,000 ฟุตซึ่งทำให้มีพื้นที่ว่างมากมายสำหรับความลึกลับ ตำนานและทุกสิ่งที่อยู่ใต้น้ำ เราไม่รู้หรอกว่าใต้ท้องทะเลที่มองไม่เห็นนั้นมีอะไรบ้าง 

95% ของมหาสมุทรนั้นยังไม่ได้รับการสำรวจ มันยังมีสิ่งที่เราไม่รู้จักและมองไม่เห็นด้วยตามนุษย์” เฟร็ด กอเรลหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของแผนกการสำรวจและวิจัยมหาสมุทรของ NOAA กล่าวกับทางเว็บไซต์ Mashable “ทุกครั้งที่เราออกเดินทาง เราจะเห็นสิ่งใหม่หรือสิ่งที่เชื่อว่าเป็นสิ่งใหม่

นั่นเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าใต้ท้องทะเลยังคงมีสิ่งลึกลับมากมายที่รอให้เราค้นหา สำหรับส่องโลกหนังสือในวันนี้ หนีไม่พ้นเรื่องราวสุดลึกลับเกี่ยวกับท้องทะเลที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไขปริศนาหาคำตอบไม่ได้! โดย  7 เรื่องเล่าที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากเป็นสิ่งที่บางคนเชื่อว่าคืออาถรรพ์ บ้างก็ว่าเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร...วิทยาศาสตร์ก็ยังไขคำตอบไม่ได้ชัดเจนซะทีเดียว 

บอกเลยว่าหลังอ่านจบน้องๆ อาจจะได้ไอเดียไปเขียนนิยายแน่นอน โดยเฉพาะนิยายแนวลึกลับหรือแฟนตาซี ว่าแต่ทั้ง 7 เรื่องจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาเลยจ้า ^ ^ 

 


(via: abogados.vuntu.com)
 

อนุสาวรีย์โยนากูนิ

นับตั้งแต่การค้นพบโครงสร้างหินขนาดใหญ่คล้ายบันไดอย่าง “อนุสาวรีย์โยนากูนิ” ในปี 1987 อนุสาวรีย์โยนากูนิขนาดใหญ่ที่อยู่นอกชายฝั่งญี่ปุ่นได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดีและนักวิชาการ ผู้สนับสนุนหลายคนอ้างว่าโครงสร้างนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่อาจได้รับการแก้ไขด้วยฝีมือมนุษย์เช่นเดียวกับแซคไซวามาน กำแพงหินในเปรู หากพิสูจน์ได้จริง โครงสร้างนี้น่าจะได้รับการแก้ไขในช่วงยุคน้ำแข็งสุดท้าย หรือประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล 

นอกจากนี้ยังมีคนที่เชื่อว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น แต่เป็นฝีมือของมนุษย์โบราณ เพราะมีทั้งหินที่แกะสลักเป็นรูปสัตว์โบราณคล้ายสฟิงซ์ รวมทั้งหินที่สลักเป็นรูปกษัตริย์ของจีนหรือโอกินาว่า คนจึงเชื่อว่านี่เคยเป็นเมืองโบราณเฉกเช่นแอตแลนติส อารยธรรมโบราณที่จมอยู่ใต้น้ำตามคำบอกเล่าของเพลโต และซากเมืองโยนากูนินี้น่าจะมีอายุราว 5 พันปีได้ 

ในทางกลับกัน มีคนที่เชื่อว่าโครงสร้างทั้งหมดเป็นธรรมชาติ ภาพวาดและการแกะสลักที่สังเกตได้นั้นไม่มีอะไรไปมากกว่ารอยขีดข่วนตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามแม้ว่าโยนากูนิมีลักษณะการก่อตัวของหินทรายเช่นเดียวกับหลายแห่งทั่วโลก หากแต่ความเข้มข้นของการก่อตัวต่างหากเป็นสิ่งที่คนสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่าสรุปแล้วโยนากูนิเกิดขึ้นมาอย่างไร เป็นฝีมือของมนุษย์ ธรรมชาติ หรือมนุษย์โบราณกันแน่!

 


(via: pixabay.com)
 

ความลึกลับของทะเลดำ

หลายคนอาจเคยได้ยิน “ทะเลดำ” จากตำนานเรือโนอาห์ ทะเลแห่งนี้เป็นขุมสมบัติของความแปลกและความลึกลับไม่ต่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ว่ากันว่าทะเลดำเป็นศูนย์กลางของการพบเห็นสัตว์ประหลาด ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ และการหายตัวที่น่าฉงนสงสัย 

ในปี 2000 โรเบิร์ต บัลลาร์ดค้นพบหลักฐานที่ยืนยันว่า “มีผู้คนเสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ของทะเลดำ” ซึ่งการค้นพบนี้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์น้ำท่วมในพระคัมภีร์ตามที่อธิบายไว้ในหนังสือปฐมกาล (Genesis) และกระตุ้นให้เกิดการโต้เถียงกันมากมาย ย้อนกลับไปช่วงยุคกลาง ชาวเติร์กและชาวรัสเซียบันทึกว่าเห็นคลื่นน้ำวนในทะเลดำที่กลืนเรือและเกาะต่างๆ ดูเหมือนว่าวังวนเหล่านี้จะปรากฏในน่านน้ำสงบโดยไม่มีการเตือนใดๆ สิ่งนี้ทำให้ชาวประมงหลีกเลี่ยงและพวกเขาคิดว่ามันเป็นทะเลอาถรรพ์

นอกจากนี้เครื่องบินทิ้งระเบิดของโซเวียตจำนวน 5 ลำเองก็หายไปในทะเลดำในเดือนธันวาคม 1945 และเราไม่เคยเห็นมันอีกเลย ต่อมาในปี 1990 เครื่องบินกรีกก็หายไปเช่นกัน สิ่งนี้ก่อให้เกิดทฤษฎีที่ว่า “อาจมีความผิดปกติของสนามแม่เหล็กที่ทำให้เกิดไฟฟ้าขัดข้อง” ว่ากันว่าในปี 1991 แท่นขุดเจาะน้ำมันของรัสเซียหลุดและลอยไปสู่ทะเลดำ จากการสืบสวนพบว่าไม่ได้มีแค่แท่นขุดเจาะน้ำมันเท่านั้นที่หายไป แต่คนจำนวน 80 คนก็หายไปด้วยเช่นกัน มีข้าวของที่ถูกทิ้งร้างและอาหารที่กินเหลือครึ่งเป็นหลักฐานเดียวที่บ่งบอกว่าพวกเขาเคยอยู่ที่แท่นขุดเจาะนี้

 


(via: Newsweek)
 

ซากเรืออับปางลึกลับในศตวรรษที่ 19

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2019 เรือสำรวจใต้ทะเลลึก NOAA Okeanos Explorer ของ NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ในอ่าวเม็กซิโก พวกเขาได้ค้นพบสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นซากเรือเก่าแก่อายุ 200 ปี

เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดพบว่า เรือนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ที่มีเปลือกทองแดงและน่าจะมีความยาวประมาณ 124 ฟุตก่อนที่มันจะจมลง ณ จุดนี้มีคำถามมากกว่าคำตอบเกิดขึ้น นักโบราณคดียังไม่ทราบว่าเรือมาจากไหน มันมีอายุเท่าไร เกิดอะไรขึ้นกับลูกเรือ หรือแม้กระทั่งมันเป็นเรือประเภทใด

เบาะแสเดียวที่เจอในช่วงที่ค้นพบเรือลำนี้คือ “หมายเลข 2109” บนหางเสือ มีหล็กและทองแดงกระจัดกระจายอยู่บริเวณใกล้เคียง ท่อนไม้เผาที่อยู่รอบๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเรืออาจถูกไฟไหม้ก่อนที่จะจมลง แฟรงค์ แคนเทลาส จาก NOAA แสดงความหวังว่าจะพยายามสำรวจรอบๆ ซากเรือเพื่อค้นหาและไขปริศนาความลึกลับนี้

 


(via: Pegasus Research Consortium)

 

อุทซึโระ บูเนะ หญิงสาวลึกลับจากท้องทะเล

อุทซึโระ บูเนะ เรื่องราวสุดลึกลับจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีการเล่าขานมานาน แถมยังมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในหน่วยงานของญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวประหลาดที่มาพร้อมกับเรือซึ่งเทียบท่าญี่ปุ่น ตามมาด้วยความฉงนสงสัยของคนญี่ปุ่นว่า “เธอคือใคร?” 

ย้อนกลับไปในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1803 กลุ่มชาวประมงพบกับเรือรูปทรงประหลาดลำนึงลอยอยู่ มันมีลักษณะทรงกลมคล้ายหม้อ ด้านล่างทำจากเหล็กดูทนทานแข็งแรง ด้านบนทำจากกระจกใสจนมองเห็นข้างในชัดเจน พวกเขาลากเรือลำนั้นมาเทียบท่า ก่อนพบว่ามีผู้โดยสารคนเดียวที่นั่งอยู่ ผู้หญิงหน้าตาสะสวย อายุราวๆ 18 – 20 ปี สูงประมาณ 151 cm. ผิวของเธอสีชมพูอ่อน คิ้วและผมเป็นสีแดงแซมขาวยาวจนถึงกลางหลัง ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เธอพยายามสื่อสารกับพวกเขาผ่านตัวอักษรที่แปลกประหลาด และไม่เข้าใจภาษาที่ชาวประมงพยายามสื่อสารด้วย ในมือของเธอมีกล่องปริศนา เธอกอดมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนตั้งชื่อหญิงสาวคนนั้นว่า อุทซึโระ บูเนะ หรือเรือฮอลโลว์ เวลานั้นชาวประมงคิดว่าผู้หญิงอาจเป็นเจ้าหญิงจากแดนไกล และสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นคือหัวคนรักของเธอที่ตายไป เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเธอคนนี้ จึงตัดสินใจปล่อยเรือกลับสู่ทะเลอีกครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยเห็นเรือประหลาดที่มีหน้าต่างกระจกและแถบโลหะเช่นนั้นอีกเลย 

ในที่สุดก็มีคนตั้งทฤษฎีว่า “ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นมนุษย์ต่างดาว” แต่ก็มีคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วยและเชื่อว่าผู้หญิงหัวแดงเป็นสายลับจากรัสเซีย ในยุคปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าเรืออาจถูกปกคลุมด้วยโดมเพื่อให้มันมีสภาพพร้อมออกทะล ดังนั้นเรือจึงมีรูปร่างที่โค้งมน ถึงอย่างนั้น ยังไม่มีคำอธิบายหรือทฤษฎีเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น กล่องปริศนาและความหมายของสิ่งที่เขียนบนผนังเรือ

 


(via: wikipedia)
 

ซากเรือและคำสาปปริศนา

ข้ามฟากไปยังประเทศอังกฤษสักหน่อย เรือ HMS Wasp สร้างขึ้นในปี 1880 เพื่อการประมงและการตรวจสอบประภาคาร และยังเป็นเรือที่ปลัดอำเภอใช้แล่นไปเพื่อตรวจสอบตามสถานที่ต่างๆ ด้วย เรือ Wasp ลำนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเดอร์รี่ และมักจะแวะเวียนไปที่ท่าเรือพร้อมกับเรือน้องสาวอย่าง HMS Valiant 

ในวันที่ 21 กันยายน 1884 เรือ Wasp ได้ถูกกำหนดให้เดินทางไปยังโมวิลล์เพื่อรวบรวมเหล่าปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เพื่อไปทำหน้าที่บนเกาะอินนิสทราฮัล เส้นทางนี้ถือเป็นเส้นทางที่ดีและปลอดภัย น่าเสียดายที่โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นไม่นานหลังจากนั้น เพราะตอนเวลา 3:45 น. เรือ Wasp กระแทกหินที่เกาะทอรี่ก่อนที่มันจะจมลงน้ำภายใน 30 นาที จากเหตุการณ์นั้นพบว่ามีลูกเรือ 50 คนเสียชีวิต เหลือรอดเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น

จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตคนหนึ่งระบุว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วในขณะที่เรือเข้าใกล้เกาะทอรี่ เธอรอดชีวิตเพราะตั้งใจพาตัวเองไปตามแสงสว่างที่สาดส่องมาจากเกาะ คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าอุบัติเหตุนั้นแปลกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรือชนโขดหินด้านล่างประภาคาร ทั้งที่น้ำสงบ อากาศก็ดี แถมยังมีแสงสว่างส่องจากเกาะทอรี่หลังเรือจมด้วย 

มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปว่า “แสงนั้นคือแสงที่เรือ Wasp กำลังเข้าหาเกาะหรือไม่” บางคนเชื่อว่าแสงไฟดับลงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันเรือลำนี้จากการนำปลัดอำเภอมาที่เกาะ หลายคนอ้างว่านี่เป็นคำสาปแช่งของเกาะทอรี่ อย่างไรก็ตามมันยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ กองทัพเรืออังกฤษไม่ได้ให้เบาะแสใดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผิดพลาด และการจมของเรือ HMS Wasp ยังคงเต็มไปด้วยความลึกลับ

 


(via: bigfish.mx)
 

ปีศาจยักษ์ใต้ท้องทะเล

เราอาจเคยได้ยินเรื่องของสัตว์ประหลาดลึกลับที่อยู่ใต้ท้องทะเลมามากมาย ตั้งแต่คราเคน (Kraken) ปลาหมึกยักษ์ ไปจนถึงฉลามกินคน เรื่องราวของสัตว์ทะเลเหล่านี้มีมาหลายร้อยปีแล้ว หนึ่งในเรื่องราวที่โด่งดังที่สุดเล่าถึง จี.เอช. ไฮท์ และสหายที่เดินทางไปมาดากัสการ์ในปี 1889 เพื่อจัดการงูยักษ์ประหลาดใต้ท้องทะเลให้พวกเขา 

ที่นั่นชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า “มีงูทะเลสีเขียวขนาดใหญ่โจมตีเรือประมงและกินหนึ่งในสี่ของผู้อยู่บนเรือ จากนั้นมันจึงไล่ล่าผู้รอดชีวิตที่เหลือไปทางชายหาดก่อนจะหายตัวไปในทะเล!” ไฮท์และผองเพื่อนรับหน้าที่ค้นหาชาวประมงผู้โชคร้ายที่ถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดนั้น ก่อนที่เขาและคนอื่นๆ จะยิงมัน แต่ไม่มีประโยชน์อะไร หากพูดกันตามจริง ยังไม่มีหลักฐานรองรับเรื่องราวนี้ แต่มีเพียงเรื่องราวเดียวที่ปรากฏอยู่ใน The Washington Herald ในเดือนมีนาคม 1909

อีกเรื่องที่น่าสนใจปรากฏในนิตยสารปี 1965 เรื่องราวมีอยู่ว่าในปี 1962 เอ็ดเวิร์ด ไบรอัน แม็คเคลียรี วัย16 ปีออกเดินทางในอ่าวเม็กซิโกพร้อมกับเพื่อนสี่คนได้แก่ วอร์เรน เฟลลี่, อีริก รูยัล, แลร์รี่ บิล และแบรด ไรซ์ หลังจากการผจญภัยยามค่ำคืน เอ็ดเวิร์ดกลับบ้านคนเดียว เขาหมดแรงและดูหวาดกลัว เขาบอกตำรวจว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเล ลักษณะคล้ายมังกรปรากฏตัวในน้ำก่อนโจมตีและฆ่าเพื่อนของเขา! เอ็ดเวิร์ดบอกว่าสัตว์ประหลาดนี้มีลำคอยาวถึง 12 ฟุต เกล็ดสีเขียวและหัวยาวคล้ายกับเต่า

เอ็ดเวิร์ดอ้างว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือดำน้ำสำหรับสัตว์ทะเลที่น่ากลัว และยังบอกอีกว่าข่าวไม่ยอมเผยแพร่เรื่องราวของเขาเพราะคิดว่าเป็นเรื่องโกหก ต่อมามีการพบศพแลร์รี่ บิลโดยบังเอิญ (เขาจมน้ำตาย) แต่ไม่พบศพเด็กชายอีกสามคน น้อยคนนักเชื่อว่าเรื่องที่สัตว์ร้ายจากใต้ทะเลลึกโจมตีกลุ่มวัยรุ่นเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับยังคงเป็นปริศนาต่อไป...

 


(via: ibalex.org)
 

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

ไม่คิดว่าอันสุดท้ายจะเป็นอันนี้ใช่มั้ย? เอาล่ะ หลังจากการหายตัวไปอย่างมากมายในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มันนำมาสู่คำถามชวนคิด ปริศนาและทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ โดยโศกนาฏกรรมที่สำคัญเริ่มต้นในปี 1918 เมื่อเรือ USS Cyclops ของกองทัพเรือสหรัฐฯ หายไปในมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยไมอามี เบอร์มิวดาและเปอร์โตริโก โดยไม่มีการส่งสัญญาณ S.O.S ขอความช่วยเหลือเลย ส่งผลให้เรือและลูกเรือ 300 คนหายไปอย่างลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

ในปี 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพเรือ 5 ลำหลงทาง ในที่สุดพวกเขาก็สูญเสียเชื้อเพลิงและต้องลงจอดในทะเล เมื่อเครื่องบินกู้ภัยถูกส่งไปหาพวกเขา มันก็หายไปพร้อมกับผู้ชายในเครื่องบินทิ้งระเบิด! แน่นอนว่าทฤษฎีเกี่ยวกับการหายตัวไปนั้นมีตั้งแต่เรื่องเหนือธรรมชาติ มนุษย์ต่างดาวไปจนถึงการฉีกขาดในห้วงอวกาศเวลา (space time)

อย่างไรก็ตามมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดแล้วว่า มันคือกระบวนการก๊าซไฮเดรต (gas hydrate) ใต้เปลือกโลกที่สร้างหลุมบริเวณนั้น แม้จะไม่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่าเหตุใดถึงสามารถทำให้สรรพสิ่งที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหายไปได้ แต่ก็นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของมนุษย์ที่ได้เข้าใจความจริงของปริศนานี้

…………………..

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องราวที่นำมาฝากในวันนี้ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความลึกลับใต้ท้องทะเลเท่านั้น ความจริงแล้วมันยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอให้เราพิสูจน์อีก สำหรับความลี้ลับใต้ท้องทะเลที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่สร้างความฉงนให้เรา แต่มันยังสร้างไอเดียไว้ใช้ในนิยายด้วย ใครที่มองหาพล็อตแนวผจญภัย เอาตัวรอด หรือวิทยาศาสตร์ ลองหยิบปริศนาแห่งท้องทะเลไปใช้สิ อาจจะได้นิยายแนวใหม่ที่ไม่เคยมีใครเขียนมาก่อนก็ได้นะคะ  ส่วนในครั้งหน้าพี่น้ำผึ้งจะนำเรื่องอะไรมาฝากนั้น รอติดตามได้เลยจ้า ^ ^ 

 

พี่น้ำผึ้ง : )
 

ขอบคุณข้อมูล

https://www.caucasianchallenge.com/the-mysteries-of-the-black-sea/

http://shadowspastmystery.blogspot.com/2015/06/mysterious-romania-xii-black-sea.html

https://www.newsweek.com/shipwreck-gulf-mexico-mystery-fire-florida-marine-archaeology-1439404

https://history.howstuffworks.com/history-vs-myth/did-aliens-contact-japanese-fishermen-in-1803.htm

https://mysteriousuniverse.org/2016/07/when-sea-serpents-attack/

https://en.wikipedia.org/wiki/HMS_Wasp_(1800)

https://coastmonkey.ie/hms-wasp-tory-island/

https://allthatsinteresting.com/yonaguni-monument

https://www.history.com/topics/folklore/bermuda-triangle

Deep Sound แสดงความรู้สึก

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

มัณทนา [มากับชิปและมากับเดล] Member 11 พ.ค. 63 18:00 น. 1

เราฝังใจอยู่กับเรือไททานิค เรารู้จักเรือไททานิคจากภาพยนตร์เรื่อง Titanic

ตอนฉาย เราอายุ 7 ขวบ

แต่เรามาดูเรื่องนี้จนจบตอนอายุ 9 ขวบจากรายการบิ๊กซีนีม่าของช่อง 7 ตอนกลางคืนวันเสาร์

แล้วช่อง 7 เอามาฉายอีกรอบในวันเสาร์-อาทิตย์ ตอนเช้าหลังจบละครจักรๆวงศ์ๆ

สภาพของเราก่อนที่จะรู้จักเรือไททานิค

นั่งเรือข้ามฟากได้แบบสบายๆ ไม่ได้มีความหวาดกลัวกับการเดินทางโดยสารทางเรือมากนัก

สภาพของเราหลังจากดูภาพยนตร์เรื่อง Titanic จบใหม่ๆ

เก็บเอาไปนอนฝันว่าได้ขึ้นเรือไททานิคและกำลังว่ายน้ำไปที่ภูเขาน้ำแข็ง

แต่ยังไม่ทันได้รู้ว่่าจะรอดเหรอเปล่า ตื่นซะก่อน

สภาพของเราหลังจากที่รู้จักเรือไททานิคและหลังจากตื่นจากความฝัน

กลัวการลงเล่นน้ำ ทะเล คลอง บึง ลำธาร และสระว่ายน้ำ

ขอให้ได้เดินเล่นและเอาเท้าแตะน้ำแถวๆริมชายหาดกับริมฝั่งก็ยังดี

กลัวการว่ายน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น (ตอนม.1-ม.3 โดนโรงเรียนบังคับให้ลงสระว่ายน้ำ

โรงเรียนเอกชนที่เราเรียนตอนม.1-ม.3 มีสระว่ายน้ำและมีวิชาว่ายน้ำ)

กลัวการเดินทางโดยสารทางเรือ

0
กำลังโหลด

1 ความคิดเห็น

มัณทนา [มากับชิปและมากับเดล] Member 11 พ.ค. 63 18:00 น. 1

เราฝังใจอยู่กับเรือไททานิค เรารู้จักเรือไททานิคจากภาพยนตร์เรื่อง Titanic

ตอนฉาย เราอายุ 7 ขวบ

แต่เรามาดูเรื่องนี้จนจบตอนอายุ 9 ขวบจากรายการบิ๊กซีนีม่าของช่อง 7 ตอนกลางคืนวันเสาร์

แล้วช่อง 7 เอามาฉายอีกรอบในวันเสาร์-อาทิตย์ ตอนเช้าหลังจบละครจักรๆวงศ์ๆ

สภาพของเราก่อนที่จะรู้จักเรือไททานิค

นั่งเรือข้ามฟากได้แบบสบายๆ ไม่ได้มีความหวาดกลัวกับการเดินทางโดยสารทางเรือมากนัก

สภาพของเราหลังจากดูภาพยนตร์เรื่อง Titanic จบใหม่ๆ

เก็บเอาไปนอนฝันว่าได้ขึ้นเรือไททานิคและกำลังว่ายน้ำไปที่ภูเขาน้ำแข็ง

แต่ยังไม่ทันได้รู้ว่่าจะรอดเหรอเปล่า ตื่นซะก่อน

สภาพของเราหลังจากที่รู้จักเรือไททานิคและหลังจากตื่นจากความฝัน

กลัวการลงเล่นน้ำ ทะเล คลอง บึง ลำธาร และสระว่ายน้ำ

ขอให้ได้เดินเล่นและเอาเท้าแตะน้ำแถวๆริมชายหาดกับริมฝั่งก็ยังดี

กลัวการว่ายน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น (ตอนม.1-ม.3 โดนโรงเรียนบังคับให้ลงสระว่ายน้ำ

โรงเรียนเอกชนที่เราเรียนตอนม.1-ม.3 มีสระว่ายน้ำและมีวิชาว่ายน้ำ)

กลัวการเดินทางโดยสารทางเรือ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด