Jane’s Stories: สาวสายคอมมาดี้แห่งคลาส MBA Kellogg (ใช้ซัมซุงทั้งชีวิต แต่ได้ฝึกงาน Apple)


 
              สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าใครกำลังเล็งๆ Top U เพื่อไปเรียนต่อสาย Business เราเดาว่าต้องมี “The Kellogg School of Management at Northwestern University” อยู่ในลิสต์ด้วยใช่มั้ยคะ  นอกจากชื่อเสียง "Party School" ของเคลล็อกจะเป็นทืี่เลื่องลือแล้ว ด้วยความที่มีดีกรีเป็นถึง  1 ใน The M7 Business Schools  สภาพแวดล้อมก็จะพามาเจออาจารย์และเพื่อนประสบการณ์โพรไฟล์อลังการและหลากหลายมาก!


อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ M7  Business Schools ได้ที่
https://e-gmat.com/blogs/what-are-the-m7-business-schools/

              เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปล้วงลึก Campus Life ฉบับ 'พี่เจน' เจน แซ่เท้น - คนไทยที่เคยฝันพลาดในการเรียนต่อนอกตั้งแต่เด็กเพราะขาดทุนทรัพย์ แต่สู้จนก้าวเข้ามาในรั้ว    MBA Kellogg ด้วยทุนค่าเรียน 70%  (เธอบอกด้วยว่าชีวิต MBA พี่ไม่ได้โฟกัสเกรดไปมากกว่าเตรียมมุกตลกมาจากบ้านหรอก!)  ยังไม่หมดแค่นั้น เราจะพาไปดูชีวิตของคนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android มาทั้งชีวิต แต่ได้มาฝึกงานที่ Apple (ได้ไงเนี่ยยยย) ชีวิตจะครบรสแค่ไหนเลื่อนลงไปอ่านกันค่ะ


Photo Credit:  janestories.com
 


"มีคนเคยบอกว่า
เราทำงานเหมือนหุ่นยนต์"

 

            “การไปเรียนต่อต่างประเทศนี่คือความฝันสูงสุดเลยนะ พี่ชอบพาตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซนไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่ไม่ว่าจะสอบติดโครงการแลกเปลี่ยนหรือชิงทุนสักกี่โครงการ ก็ยังติดเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ดี มันเลยทำให้ท้อและเป็นเรื่องที่ติดค้างในใจตลอด แต่ลึกๆ ยังเชื่อว่าตัวเองจะไปได้ แต่ต้องใช้ความพยายามกับเวลามากหน่อยแหละ"

            "จนพี่เรียนจบวิศวะลาดกระบังแล้วมาทำงานเป็น Consultant ที่ PwC และ Deloitte 7  ปีกว่าๆ เห็นคนรอบตัวไปเรียนต่อ Top U กัน บวกกับพี่อยากย้ายสายงาน และจำได้ว่่ามีคนเคย feedback นิสัยการทำงานของพี่ว่า 'เหมือนหุ่นยนต์เลย' ดูซีเรียสไร้ความรู้สึก พี่ก็เลยเริ่มมองหาที่เรียน MBA เจ๋งๆ สักที่ที่ตอบโจทย์  ที่เน้นพัฒนา People Skills เพราะยิ่งตำแหน่งสูง สกิลนี้ยิ่งสำคัญ"


Photo Credit: janestories.com
 
              "การเลือกที่เรียนสำคัญมาก  พี่ไปงาน Info session (คล้ายๆ Open House)  20 กว่างาน  โทรปรึกษาศิษย์เก่าไม่ต่ำกว่า 20 คน จนพบว่าพี่คลิกกับ Kellogg ที่สุด   *อยากแนะนำว่าถ้ามีโอกาสให้ไปทัวร์มหา'ลัยด้วย เพราะมีผลต่อการตัดสินใจจริงๆ ค่ะ อย่างพี่มีได้ทุน 100% จากอีกที่นึง  แล้วเขาจ่ายให้พี่บินไปโรงเรียนเลย  โชคดีพี่ไปดูถึงรู้ว่าไม่เหมาะกับตัวเอง  และหันมาเลือก Kellogg ที่พี่ได้ทุน 70% แทน"

              "พาร์ตยากสุดในการสอบเข้าสำหรับพี่และทุกคนน่าจะคิดเหมือนกันคือ   GMAT เพราะตอนนั้นพี่ทำงานบ้าระห่ำมาก  แล้วต้องมาหาช่วงว่างอ่านสอบทุกวันวันละ 2 ชั่วโมง ซอมบี้สุดไรสุด จังหวะสอบก็ต้องเล็งจังหวะที่งานเบาหน่อย   แนะนำน้องๆ ที่วางแผนจะเรียน MBA ว่าถ้าพร้อม จะสอบ GMAT หลังมหา'ลัยเลยก็ได้ เพราะเนื้อหาคือ Math ม.ปลาย จะได้ไม่ต้องนั่งรื้อฟื้นกันใหม่ยาวๆ" 
 
อ่านเพิ่มเติม:
 

Photo Credit: janestories.com


Photo Credit: janestories.com
 
              “ถ้าให้รีวิวบรรยากาศ Kellogg บอกเลยว่าตึกสวยมากกกค่ะการันตี ในสายตาพี่คือสวยสุดในบรรดา  Business School  แถมยังออกแบบได้เหมาะกับการจับกลุ่มนั่งทำงานหรือเฮฮากันด้วย ส่วนเรื่องโลเกชัน  โรงเรียนอยู่ที่เมืองอีแวนสตัน รัฐอิลินอยส์ นั่งรถ 40 นาทีถึงชิคาโก มีพร้อมทั้งอพาร์ตเมนต์ ร้านอาหาร ชายหาด ฯลฯ ทุกอย่างเชื่อมต่อและใกล้กันมาก เดินถึงหมด เรียกว่าดีทุกอย่างสำหรับพี่ ยกเว้นอย่างเดียวคืออากาศ ตอนแรกพี่มาช่วงที่ร้อนนรก ร้อนทีคือ 30 องศา พี่ก็รอว่าเมื่อไหร่จะหนาวสักทีนะ~ พอถึงตุลาปุ๊บ หิมะตก แล้วหนาวเลย ฟาดไป -20 องศา




Photo Credit:  facebook.com/KelloggSchool/


Photo Credit: janestories.com
 
              *ต่อไปนี้เราจะเข้าสู่พาร์ตกิจกรรมแบบจัดหนักก่อนเปิดภาคเรียน ทั้ง ACE  - ชีวิตการเรียนปรับพื้นฐาน / KWEST - ทริปที่ทุกคนห้ามเปิดเผยตัวตน / CIM  - การรับน้องจัดเต็ม 3 วันถ้วน ขอบอกก่อนว่าข้อมูลส่วนหนึ่งเรานำมาจากบล็อกของพี่เจนเอง (www.janestories.com) แนะนำมากๆ ว่าคนที่อยากเรียนต่อเมืองนอก หรืออยากรู้เรื่องราวชีวิตเด็ก Kellogg ควรเซฟไว้อ่านเป็นไกด์และรับแรงบันดาลใจดีๆ เลยค่ะ 

 

คลาสปรับพื้นฐานแบบจัดเต็ม
วิธีเรียน / เนื้อหา / ความอเมริกัน

 

              “คลาสปรับพื้นฐานของที่นี่เรียกว่า ACE (American Culture and English for International Business Students program) จัดให้เด็กอินเตอร์เตรียมพร้อมสู่การเรียนในแบบอเมริกันเต็มที่ ปีพี่คือปีที่ 2 ที่เปิดให้เรียนฟรีจากที่ก่อนหน้านี้คิดแสนกว่าบาท ตอนนั้นมีเด็กอินเตอร์มาเรียนกันแค่ 30 คนจากทั้งหมด 100 กว่า คน น่าจะเพราะเด็กต่างชาติ Kellogg มีประสบการณ์ในอเมริกาและต่างประเทศมาแล้วค่อนชีวิต เขาเลยเอาเวลานี้ไปพักผ่อน อยู่กับครอบครัว เที่ยวรอบโลก หรือทำงานเก็บเงินให้ถึงที่สุด"
 
              ล้วคือมีรุ่นพี่เคยบอกพี่ว่าคลาสนี้เรียนสบายนะ~ แต่พอเห็นตารางแล้วอยากจะถวายธูปเทียนสังฆทานขอพรสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลายให้ลูกช้างรอดไปถึงเปิดเทอมด้วยเถิด -/\- มันคือการเรียน 3 สัปดาห์ 9.00-17.00 น. แล้วที่เห็นว่าไม่มีพักกลางวัน คือ Kellogg จะเลี้ยงข้าว แต่พี่จะได้นั่งกินและฟังวิทยากรไปด้วย และ 1-2 วันของทุกสัปดาห์จะมีกิจกรรมตอนเย็นอีก”


Photo Credit: janestories.com
 
              “ในคลาสปรับพื้นฐานพี่ก็มี 30 คนจากไทย มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย ยูเครน เมอริเชียส บราซิล โคลัมเบีย และสเปน ซึ่งตอนมาถึงพี่คิดว่าภาษาอังกฤษเราไหวแหละ แต่พอมาก็พบว่านอกจากภาษาอังกฤษต้องแข็ง ยังต้องเข้าใจวัฒนธรรมเขาอย่างลึกซึ้งก่อนถึงจะกลมกลืนกับเขาได้”
 
  • American Pronunciation สอนออกเสียงภาษาอังกฤษ ให้ออกไปพรีเซนต์ทั้งแบบเตรียมตัวและไม่เตรียมตัว ฝึกสื่อสารแบบไม่เห็นหน้า โดยหันหลังชนกันแล้ววาดรูปตามที่เพื่อนอธิบายให้ฟัง (จริงๆ การออกเสียงพี่ว่ามันอยู่ที่ประสบการณ์และการฝึกฝนมาเป็นเดือนเป็นปีด้วย)
     
  • American Classroom ฝึกให้นักเรียนต่างชาติชินกับวัฒนธรรมการเรียนของอเมริกาที่เน้นการมีส่วนร่วม มี   Prof. ที่สอนคลาสจริงมาช่วยให้ทุกคนมีประสบการณ์ตรงก่อน ทั้ง Finance, Marketing, Strategy, Public Policy ฯลฯ และมีทั้งเรียนแบบเลกเชอร์เป็นหลัก โต้วาที และเรียนรู้จากกรณีศึกษา การบ้านเดี่ยวกลุ่มครบจนน่วม
     
  • American Culture พี่ว่าสนุกและมีประโยชน์สุด ปูพื้นฐานให้คุยกับอเมริกันรู้เรื่อง จะได้มีเพื่อนและสมัครงานในอเมริกันได้ สอนตั้งแต่ประวัติศาสตร์อเมริกา ภูมิประเทศ ชนชาติ กีฬา ศาสนา วันหยุด มหาวิทยาลัย ชีวิต undergrad รายการทีวี การเมือง การทำ small talk ไว้ผูกมิตรกับคนอเมริกันได้ง่ายขึ้น
     
             แล้วขึ้นชื่อว่า Party School แล้วจะเบาได้ที่ไหน นอกจากเรียนเช้าจรดเย็น ทำงานเดี่ยวงานกลุ่ม ก็ยังมีช่วงทำความรู้จักกับเพื่อนอีก เป็นแบบนี้ตลอดชีวิต MBA แต่ถ้าช่วงปรับพื้นฐานส่วนใหญ่ Kellogg จะออกเงินให้ไปปาร์ตี้และดินเนอร์ฟรี จะปาร์ตี้ เที่ยว ร้องเกะ หรือนัดเที่ยวก็ได้ นักเรียนจะได้สนิทกัน"


Photo Credit: janestories.com


Photo Credit: janestories.com
 
              "ไทม์ไลน์ช่วงปรับตัวก็คือสัปดาห์แรกตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ไม่มั่นใจนิดหน่อย กลัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ยังเซ็งๆ กับวัฒนธรรมการเรียนในคลาสอยู่บ้าง สัปดาห์สองก็เจอปัญหาคาราคาซังพวกการเปิดบัญชีธนาคาร โอนเงินระหว่างประเทศ หาซื้อของใช้จำเป็น จ่ายค่าเช่าที่พัก ฯลฯ แล้วยังมี pre-online course กับ waiver exam ที่ค้างไว้อีก มันเลยเหนื่อยไปหมด แต่พอสัปดาห์สุดท้ายพี่ปรับความคิดใหม่ ปล่อยวางบางเรื่อง ทุกอย่างก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนสนิทและเข้าใจมากขึ้น”


Photo Credit: janestories.com

 

ทริปประหลาดที่ผู้ร่วมทริป
ไม่สามารถเผยตัวตนได้!

 

              “ก่อนเริ่มเรียนก็มีกิจกรรมนึงชื่อ KWEST (Kellogg Worldwide Experience and Service Trip) พี่ได้ไป Alaska กับเพื่อนอีก 20 คน กฎคือห้ามเปิดเผย background ว่าใครมาจากไหน ทำงานอะไรมาก่อน เพราะถ้าคนเราคุยกันโดยไม่ bias (อคติ) จะทำให้สนิทกันมากขึ้น พี่ว่ากิจกรรมนี้สนุกและน่าสนใจมากกก พอก่อนกลับค่อยเฉลยว่าใครเป็นใครบ้าง ขนาดคู่รักยังต้องเนียนไม่รู้จักกันเลยค่ะ 555”

สนุกแค่ไหน?
พาไปชมภาพบรรยากาศทริป KWEST สักหน่อย!



Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]


Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]


Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]


Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]


Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]


Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]


Photo Credit: Janestoris.com [Kwest to Alaska]

 

การรับน้องระดับโลก
 

              “หลังจากที่ผ่าน 2 กิจกรรมที่เพิ่งเล่าจบไป เราก็จะมาต่อกันที่กิจกรรมรับน้องของ  Kellogg มีชื่อเล่นว่า  CIM (Complete Immersion in Management) พี่นี่ตื่นเต้นมากเพราะได้เจอกับร่วมคลาสทั้ง 450 คน ปกติแล้วจะจัด 5 วัน แต่ปีพี่เหลือ 3 วันเต็มๆ แล้วค่อยเริ่มเรียนหลังจากนั้น” 
 
              “ก่อนจะเริ่มกิจกรรม CIM จะมีนัดไปปฐมนิเทศก่อนวันนึง (23 Aug 2019) พี่จะต้องไปถ่ายรูปทางการ ไปออกเสียงชื่อตัวเองให้ Professor ออกเสียงถูก จากนั้นก็ไปรับล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นป้ายชื่อที่จะใช้ตั้งหน้าโต๊ะเราไปอีก 2 ปี ตกเย็นจะมีแนะนำคณบดี (Dean)  //ขอสารภาพแบบไม่อายเลย แค่ไปนั่งดู VDO ก็น้ำตาแทบไหล ในที่สุดฉันก็มีวันนี้ TT


Photo Credit: janestories.com
 
              “ไฮไลต์คือวันนั้นมีเชิญ Lizzie Velasquez มาพูดใน หัวข้อเรื่องความมั่นใจในตัวเอง เค้าต้องการให้เราแสดงจุดเด่นออกมาจากความคิดว่าเราด้อยกว่าคนอื่น เพราะเขารู้ว่า   MBA = รวมตัวสุดยอดมนุษย์จากทุกมุมโลก บ่อยครั้งสภาพแวดล้อมจะทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจที่เคยเป็นหนึ่งมาตลอดในโลกของตัวเองมาก่อน” 
 

Photo Credit: janestories.com
 

 
              “พอถึงวัน CIM (3-5 Sep 2019) พี่รีบเร่งมากินข้าวเช้าฟรีที่โรงเรียน เขาเริ่มแจกเสื้อตามเซคชันมาให้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน Kellogg จะจัดแบ่งนักเรียนเข้าเซคชันตาม background ของแต่ละคน แต่เดี๋ยวนี้พยายามคละให้มากที่สุด โดยนักเรียนจากทั้ง 5 โปรแกรม จะถูกแบ่งดังนี้
 
              โปรแกรม 2Y, MMM, JD-MBA และ MD-MBA ประกอบด้วย 8 Section
 
Big Dogs – นักเรียนที่มาจาก Fortune 100 companies
Buckets – นักเรียนที่มาจาก military ได้แรงบันดาลใจการตั้งชื่อมาจากหมวกที่ทหารสวมใส่
Bullfrogs – นักเรียนที่ต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ (กระโดดจากอาชีพนึงไปอีกอาชีพ)
Cash Cows – นักเรียนที่ทำงานสาย bank/finance มาก่อน
Highlanders – นักเรียนที่ทำสาย social impact มาก่อนหรือนักเรียนแลกเปลี่ยนจาก Scotland
Moose – นักเรียน international กลุ่มแรกซึ่งมาจาก Canada
Poets – นักเรียนที่จบ liberal arts มาก
Turkeys – นักเรียนที่มี background ไม่เหมือนชาวบ้าน (non-tradition)
 
              ส่วนโปรแกรม 1Y มี 2 Section แยกออกไปต่างหากเป็นของตัวเองคือ
 
Hedgehogs – ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวการ์ตูน Sonic สายฟ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของนักเรียน 1Y ที่วิ่งทะลุผ่าน MBA โดยใช้เวลาแค่ปีเดียว
Roadrunners – ความหมายประมาณเดียวกัน เป็นตัวการ์ตูนที่วิ่งเร็ว
 
              “ส่วนพี่แข็งแกร่งบึกบันปานนี้ เลยถูกจัดให้อยู่ในเซคชัน ทหาร Buckets นั่นเองค่า”
 

Photo Credit: janestories.com
 
              Section Introduction ก่อนจะถึงวัน  Section Leader เค้าจะสั่งให้เตรียมสไลด์พร้อมเล่า 3 อย่างเกี่ยวกับตัวเอง ตอนเข้าห้องมานี่พี่รู้เลยว่าตัวเองไม่มีวันสนิทกับเพื่อนในเซคนี้ได้แน่ ทำไมแต่ละคนหน้าตาดูไม่เป็นมิตร บางคนตะโกนโหวกเหวกอี้ก เพื่อนที่รู้จักตอนทำกิจกรรมก่อนหน้านี้ก็ไม่มีสักคน พอถึงคิวพี่พรีเซนต์ก็ยืนแนะนำตัวเองแบบกลัวๆ ตามสคริปต์ เรียกเสียงฮาจากเพื่อนได้ก็พออุ่นใจ 5555

Photo Credit: janestories.com

และนี่คือสไลด์ของพี่เอง!! 555


Photo Credit: janestories.com
 
              "Culture Box เค้าให้เอาไอเทม  3 อย่างมาแชร์ให้เพื่อนกลุ่มเล็กๆ ในเซคชันฟัง เล่าที่มาของตัวเอง สิ่งที่เราเตรียมคือ ยาดม +  ผงทำต้มยำ + รูปครอบครัว ส่วนของเพื่อนๆ ก็เช่น เพื่อนชาวอิสราเอลกับเกาหลีใต้เอาหมวกทหารตัวเองมาให้ดู เพื่อนเคนย่าเอาหมวกชนเผ่ามา เพื่อนอเมริกันเอาเสื้อทีมฟุตบอลพรีเมียลีกส์ที่ตัวเองชนะมาโชว์ ฯลฯ พี่ว่ามันเป็นกิจกรรมที่ง่ายๆ แต่น่าสนใจมาก"
 
              Bridge Building กิจกรรมนี้ให้คน 70 คนที่เพิ่งรู้จักและต่างสุดขั้ว  มาร่วมใจสร้างสะพานรับน้ำหนักคน 1 คนให้สามารถเดินได้ แล้วพรีเซนต์ว่าเซคไหนทำได้ดีสุด โดยมีแบ่งเป็นกลุ่ม Buidling, Designer, Presenter ให้ก่อนแล้วค่อยแรนดอมให้อยู่คละกัน วันนั้นพี่อยู่กลุ่ม Builder ชนชั้นใช้แรงงานตัดกล่องทำสะพาน” 


Photo Credit: janestories.com


Photo Credit: janestories.com
 
              Small Group Dinner กินข้าวกับเพื่อนในเซคเป็นกลุ่มเล็กๆ จริงๆ ไม่คาดหวังอะไรกับเพื่อนกลุ่มนี้มาก คิดว่าพอแยกย้ายก็จบ แต่ไม่น่าเชื่อ พอมาดูรูปพบว่า 3 ใน 5 คนนี้กลายเพื่อนสนิทจนถึงตอนนี้ค่ะ


Photo Credit: janestories.com
 
              CIM Olympics แข่งกีฬากระชับมิตรกันในเซคชัน มี Tig-of-War (ชักเย่อ), Formation (ให้คำแล้วต้องรีบ form เป็นตัวอักษรตามคำที่ให้), Hoop Challenge (จับมือเป็นวงกลมแล้วส่งฮูลาฮูปให้ครบวง) Human Foosball (เตะบอลโดยให้ผู้เล่นแต่ละคนจับเชือกเป็นเส้นตรงไว้ วิ่งไปไหนตามใจไม่ได้) แต่ละคนจะเล่นกีฬาหรือยืนเชียร์ก็ได ้เขาจะมีให้ลงชื่อไว้ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง พี่ลง 3 อย่างยกเว้นชักเย่อ เพราะเห็นขนาดตัวฝรั่งแต่ละคนแล้วยอมมม”


Photo Credit: janestories.com


Photo Credit: janestories.com


Photo Credit: janestories.com
 
              Diversity & Inclusion กิจกรรมที่ช่วยให้คนเปิดใจรับความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ เพศสภาพ ฐานะทางการเงิน ฯลฯ เริ่มจากให้ทุกคนยืนล้อมวงในสนาม มีทั้งคำถามเบสิกและฮาร์ดคอร์ ถ้าใครตรงตามที่เขาพูดให้ก้าวมาข้างหน้า เช่น ใครชอบช็อกโกแลต, ใครนับถือศาสนาพุทธ, ใครมา Kellogg เพื่อตามหารักแท้ ฯลฯ พอจบก็มา debrief ในห้อง ทั้งพี่และพวกฝรั่งต่างค้นพบสิ่งใหม่ๆ มียกมือแชร์ความรู้สึกกัน บทเรียนที่ได้คือแต่ละคนอยู่ในบริบทที่ต่าง มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครมีดีหรือเก่งกว่าใคร แต่ตระหนักไว้ว่าต้องเผื่อใจถ้ามีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น และเอาใจเขามาใส่ใจเรา


Photo Credit: janestories.com
 
              Crucible Moment พี่ชอบรองลงมาจากกิจกรรมเมื่อกี้นี้เลย เขาจะให้เราเตรียมสไลด์เล่าเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองให้เพื่อนกลุ่มเล็กๆ ฟัง (กลุ่มเดียวกับที่ไปดินเนอร์ด้วยกัน) ทำให้พี่รู้ว่า ถึงพี่จะภูมิใจที่ตัวเองฝ่าฟันจากเด็กบ้านนอกมาเรียนในโรงเรียนระดับโลกค่าเรียนมหาโหดได้ แต่เพื่อนคนอื่นไม่ต่างเลย บางคนสู้และฝ่าฟันมาเยอะกว่าพี่หลายเท่า เช่น เพื่อนคนนึงเล่าว่าตอนเด็กไม่มีจะกิน ต้องอยู่กับญาติ และโดนเฮอร์ริเคนพัดซ้ำ ต้องกู้เงินเรียน MBA เพราะหวังว่าจะยกระดับชีวิตคนในครอบครัวได้ ส่วนอีกคนเคยเกือบตายเพื่อช่วยเพื่อนที่ถูกพัดในทะเล”


Photo Credit: janestories.com
 
              Closing Ceremonies แต่ละเซคให้นัดกันใส่ชุดอะไรกันก็ได้เหมือนๆ กัน เซคพี่ใส่ชุดฮาวาย”


Photo Credit: janestories.com


(นั่งรถโรงเรียนไปปาร์ตี้ต่อ)
Photo Credit: janestories.com
 
              CIM Celebration เป็นอีเวนต์ใหญ่งานแรกของ Kellogg และอันเดียวที่ฟรี เดรสโค้ดคือผู้ชายใส่สูท ผู้หญิงใส่เดรส และจะมีงานแบบนี้อีกเยอะ ถ้าใครจะมาเรียนที่นี่ควรเตรียมเดรสมาด้วย”


K-Band Audition
Photo Credit: janestories.com
 
Ski Trip Party
Photo Credit: janestories.com


ซุ้มคนไทย 
Photo Credit: 
janestories.com


ทำอาหารไทยเลี้ยงเพื่อน
Photo Credit: janestories.com


ทำอาหารไทยเลี้ยงเพื่อน
Photo Credit: janestories.com
 

จบช่วง Ice Breaking
เข้าสู่ชีวิตเปิดเทอมจริงบ้าง

 

              “คลาส MBA ที่พี่เรียนมาจะไม่ค่อยเน้นเกรดกัน หลักๆ เลือกว่าจะโฟกัสเรื่องไหนบ้างระหว่างการหางาน, การเรียน, การเจอเพื่อน และการนอน (แน่นอนพี่เลือกอย่างหลัง อย่างน้อยๆ ขอนอนครบ 7-8 ชั่วโมงต่อวันเถอะ) เพื่อนๆ แต่ละคนก็จะมาจากสาย Consulting, Techonology, Banking ฯลฯ แล้วที่ประทับใจมากคือทุกคนล้วนแต่เคยทำอะไรยิ่งใหญ่มาก่อนเรียนที่นี่ เช่น บางคนเป็นทหารที่รบในสงครามใหญ่ๆ สกิลผู้นำสุดยอด มีความเด็ดขาดมาก  บางคนเปิดบริษัทมาแล้ว 3 แห่ง หรือบางคนเป็นเจ้าของบริษัทสตาร์ตอัป  "

              "ส่วนอาจารย์ก็ดีกรีไม่ธรรมดา อย่างพี่ได้เรียนกับคนที่แทบจะเก่งที่สุดในวงการเลย เช่น ‘Julie Hennessy’ เวลาสอนเค้าจะเล่า Marketing Story มันส์มาก และมีจุด Climax ของเรื่อง” 
 

Photo Credit: janestories.com
 
              “การเรียนที่นี่จะเน้นทีมเวิร์ก  ทุกวิชาจะต้องมีงานกลุ่ม คือทุกวิชาจริงๆ 5555 ส่วนใหญ่จะเรียนแบบ discussion ถึงเขาจะเทรนมาตั้งแต่ช่วงปรับพื้นฐานแล้วว่าต้องเจอแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงเจอคาบแรกก็ช็อก เพราะในคลาสมี 70 คน อาจารย์ยิงคำถามแรกเสร็จคนยกพรึ่บเป็นสิบ  ทุกคนอยากแสดงความคิดเห็น พี่ถึงกับตั้งมิชชันเลยว่าจะตอบให้ได้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อคาบ ต้องแย่งเค้าพูดให้ได้”
 
              “จริงๆ แล้ววิธีการเรียนที่เน้น Class participation น่าจะเป็นปัญหากับคนที่เรียนโรงเรียนไทยมาตลอดชีวิต เพราะอาจไม่ได้รับการปลูกฝังให้กล้าพูดกล้าถามตั้งแต่ยังเล็ก ในขณะที่นักเรียนต่างชาติที่ค่อนข้างไปทางตะวันตก อย่างบราซิล ยูเครน รัสเซีย ฯลฯ จะ participate ได้เป็นธรรมชาติกว่ามากๆ
 
              ถ้าจะให้ดีคือต้องประกอบด้วยเนื้อหา + ความกล้า + การพูดให้ชัดเจนและกระชับ + ทักษะการฟังต้องดี เพราะเราไม่ได้คนเริ่มพูดคนแรก แต่ Prof. จะให้ไปอ่านเคสมา แล้วเริ่มด้วยการให้นักเรียนสรุปให้เพื่อนในคลาสฟัง ที่เหลือคือการต่อยอดจากแนวคิดคนอื่น เช่น 'I ขอเสริมจากที่ John พูดมาว่า….' ดังนั้นพี่มักเจอปัญหาที่ฟังสำเนียงเพื่อนบางชาติไม่ออก เลยไปต่อไม่ได้ (เนื่องจาก Prof. สนับสนุนให้ทุกคนพยายามพูด กลายเป็นสัปดาห์แรกๆ แย่งพูดดุเดือดมากกก)”


บรรยากาศตอนเรียน
Photo Credit: janestories.com
 
              “อย่างที่บอกคือพี่จะไม่ค่อยโฟกัสเกรด เพราะมีอะไรให้ทำเยอะมากๆ สมมติเรียน 8 โมง พี่เริ่มอ่านตี 2 ส่วนก่อนหน้านั้นไปแฮงก์เอาท์ เวลาสอบก็สอบแบบ open book (เพราะเขามองว่าตอนทำงานเราก็สามารถเปิดเน็ตหาข้อมูลได้อยู่ดี) ข้อสอบก็คือมี Case มาให้ แล้ววิเคราะห์กันหน้างาน ข้อดีของการเรียนวิศวะมาคือถ้ามีอะไรเกี่ยวกับเลขก็จะสบายๆ ได้ A มานอนกอด แต่ที่จะมีปัญหาก็คือวิชาที่ต้องเวิ่นเยอะๆ เช่น วิชา Strategy เขียน 400-700 คำ ในเวลา 40-70 นาที"


บรรยากาศการสอบ
Photo Credit: janestories.com

 

ยกตัวอย่างวิชาเรียน
ที่มาพร้อมวิธีสอนเจ๋งๆ

 

คลาสเจรจาที่สอนว่า
“การเงียบ” = สุดยอดไม้ตาย
 
              “วิชานี้จะมีเคสมาให้เราจำลองสถานการณ์ เช่น HR จะให้ข้อเสนอการทำงานก่อนเริ่มเซ็นสัญญาทำงานกัน โดยเคสในมือของเราและอีกฝั่งจะไม่เหมือนกัน และเงื่อนไขการให้คะแนนก็จะต่างกันด้วย และตอนเจรจาเราจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของฝั่งตัวเองมาก เช่น เราอยากได้วันหยุดเยอะๆ ส่วน HR จะให้เวลามากไม่ได้ / ให้ budget น้อยลง ก็แปลว่าพี่ต้องยอมลดอย่างนึงเพื่อให้ได้อีกอย่างนึง เรื่องเงินเดือนพี่ก็ต้องยอมให้เขาลด (ตอนเจรจา ฝรั่งจะมีลูกล่อลูกหลอกเยอะ) จุดมุ่งหมายของการเจรจาคือต้องหาตรงกลางให้ Win-Win ทั้งคู่ เสร็จแล้วค่อยมาดูกันว่าใครได้คะแนนเท่าไหร่ แล้วควรพัฒนาอะไรเพิ่ม จากนั้นจะสอนทฤษฎีให้  พี่ก็แบบ เออว่ะ #@!# ฉันน่าจะทำแบบนี้"

              "ตอนแรกพี่คิดว่าตัวเองต่อรองไม่เก่ง แต่ก็ค้นพบว่าความเงียบนี่เป็นอะไรที่เฉียบมาก บางทีมันเป็นเรื่องตัวเลขกี่ล้านๆ แล้วในหัวพี่กำลังคิดว่าอยู่ว่าตัวเลขนี้มันภาษาอังกฤษคืออะไรน้าา กำลังยืนคำนวณอยู่ว่าจะกำไรมั้ย แต่อีกฝ่ายเขาเห็นเราเงียบก็กังวล นั่งไม่ติด คิดไปไกลแล้วแหละ สุดท้ายพี่ก็ได้คะแนน Top ตลอด ว้าวมากกก"

 
คอร์สภาวะผู้นำ
สอนว่าบริบทชีวิตคนเราต่างกัน
 
              “วิชา PLI (Personal Leadership Insight) อารมณ์แบบปลุกสกิลผู้นำในตัวเรา วิชานี้จะทำให้รู้ว่าเราให้ความสำคัญกับอะไร เรากังวลอะไรมาตลอด และได้รู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง  ในขณะเดียวกันเราจะเข้าใจว่าคำตอบของเรากับคนอื่นมันต่างกัน  สมมติว่าในขณะที่พี่ให้ความสำคัญกับเงิน คนอื่นอาจให้ความสำคัญกับหมาแมว ดังนั้นจะเอาตัวเองเป็นมาตรฐานไปตัดสินคนอื่นไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วเขาจะให้เรามองไปข้างหน้าว่าอยากเป็นคนแบบไหน จะไปทางไหน แล้วให้เพื่อนสะท้อนด้วยว่าเขามองเรายังไง แล้วเราอยากให้เขามองยังไง”
 
              “ส่วนใหญ่วิชานี้จะให้การบ้านไปนั่งสะท้อนตัวเองว่าเราให้ค่ากับอะไร เรื่องที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิต แล้วเอามาโยงกับตัวเอง เช่น พี่ประสบความสำเร็จแล้วแฮปปี้มากกก เล็กน้อยแค่ไหนก็แฮปปี้ เรียนสกิลไหนสำเร็จก็มีความสุข ส่วนบางคนคือเรื่องความสัมพันธ์ เราก็มานั่งแชร์กัน **กฎของคลาสนี้คือห้ามบันทึกหลักฐาน มันจะเป็น confidential ทั้งหมด”

 
วิชา MORS
สอนให้เราเป็นคนเก่งที่อบอุ่น
 
              “ถ้าถามว่าวิชาไหนอยากให้ทุกคนได้เรียนมากที่สุด? มันจะมีวิชานึงชื่อว่า  The Management & Organizations (MORS) เป็น วิชาบังคับที่นักเรียน Kellogg ทุกคนต้องเรียน สอนพื้นฐานการจัดการทั้งหมด เช่น สอนเจรจาต่อรอง ให้ไปยืนเถียงกัน 3 ชั่วโมงเลย ไม่ได้เรียนลึกมากหรอก แต่เข้าใจทั้งการเจรจาเดี่ยว/ทีม ต้องยื่น offer ไปก่อนแล้วมีเกณฑ์ในใจ ฯลฯ ทุกคนต้องมีสกิลทำงานเป็นทีมอยู่แล้ว เขาสอนด้วยว่าจะดีลกับเจ้านาย เพื่อนร่วมทีม และลูกน้องยังไง ถ้าเขาไม่ทำงานเราจะต้องทำยังไงบ้าง”
 
              “แล้วกิจกรรมในคลาสที่น่าสนใจมากคือเขาจะเอารูปของคนในเซคชันทั้ง 70 คนไปแปะบนกำแพง จากนั้นมีเวลาให้ 3-4 วันเพื่อให้ทุกคนมาเขียน ว่าหลังจากที่รู้จักกันมา 1-2 สัปดาห์ เราว่าคนๆ นี้เป็นยังไงบ้าง จะเขียนในแง่บวก  แง่ลบ หรือให้กำลังใจก็ได้”
 
              “เหตุผลเพราะเขาบอกว่าคนเราจะมี 2 ด้านคือ เก่ง และ อบอุ่น โดยมักจะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผู้หญิงคนนี้ทำงานเก่งมาก แต่เรารู้สึกไม่อบอุ่นเลยว่ะ ส่วนคนที่อบอุ่นก็ทำงานไม่ค่อยเก่ง ซึ่งเป้าหมายของเขาคือต้องการให้เราจบออกไปต้องทั้งเก่งและอบอุ่น  บาลานซ์สองด้านให้ได้ แล้วจะทำให้มีคนอยากเข้าหา การที่เขาให้มาเขียนคอมเมนต์กันก็เพื่อสะท้อนตัวเราและรู้ว่าต้องพัฒนาจุดไหนยังไงบ้าง"


เรียนแบบ virtual
Photo Credit: janestories.com

 

เข้าชมรม Musical Show

ภาษาต้องได้ แอคติ้งต้องมา
 

              “นอกจากการเรียนในห้องกับปาร์ตี้ ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าชมรม (Club) ให้เราเข้าร่วมตามความสนใจด้วย พี่รู้สึกตัวเองไม่อยากทำอะไรซ้ำเดิม แทนที่พี่จะเข้าคลับ Consulting หรือ Technology ที่พี่คลุกคลีมาหลายปี ก็หันไปเข้าคลับละครเวที (Musical Show) แทน ต้องใช้ทั้งทักษะภาษา ร้อง เต้น แสดง ส่วนใหญ่ในชมรมก็จะเป็นคนขาวกับเด็กอเมริกัน ไม่ค่อยมีเอเชีย สิ่งที่ทำในปีแรกคือพี่เป็นนักแสดงอย่างเดียว แต่ตอนหลังช่วยเป็นคนคิด joke พี่ว่าความตลกมันคือจุดสูงสุดของภาษาแล้ว ถึงพี่จะสู้ Native Speaker ไม่ได้ แต่ก็อยากทำเต็มที่” 
 

Special K! Club
Photo Credit: janestories.com


Special K! Club
Photo Credit: janestories.com


Special K! Club
Photo Credit: janestories.com


ออดิชันเข้า K-Band แต่ไม่ติด! (ในรูปไ่ม่ใช่พี่เด้ออ)
Photo Credit: janestories.com
 


 

เมื่ออยู่กับ Android ตลอดชีวิต

แต่ได้ฝึกงานใน Apple
 

              การเป็นเด็กอินเตอร์หางานยากมากถึงมากที่สุด สมัครยากกว่ามหาลัยอีก พี่สมัครฝึกงานไป 40 กว่า job สัมภาษณ์ไป 8-9 กับ 7 บริษัท ติดที่เดียว น่าจะเพราะไม่มีประสบการณ์ทั้ง Location (อเมริกา), Function (Operations) และ Industry (Tech.) เลย แต่หลังจากเจ็บปวดที่ Google โทรมา Reject ก็มี Apple มาช่วยดามใจ ตอบรับเข้าฝึกงาน ดีใจมากกก”  ถ้าอยากรู้ว่าการหางานลากเลือดขนาดไหน หรืออยากดูเป็นแนวทางในอนาคต ตามไปอ่านที่ลิงก์นี้เลยค่ะ ละเอียดมากกก >> www.janestories.com 
 
              “ความพีคคือพี่ใช้ Android มาตลอด ตอนเขารู้ก็ตกใจนิดๆ นะ แล้วพอมาถึง Manager ให้เวลาพี่  Set up ทุกอย่างแค่ 2 ชั่วโมง ตอนทำงานก็ต้องสื่อสารตลอด ต้องทำเอกสารและสไลด์  ซึ่งการทำงาน Consult มาก่อนช่วยให้พี่ทำสไลด์ได้เร็วขึ้น ช่วยได้ในระดับนึง” 


(Apple ส่ง Macbook มาให้ใช้ทำงาน)
Photo Credit: janestories.com


(ส่ง swag มาให้ด้วย)
Photo Credit: janestories.com
 
              และความมันส์ตอนฝึกงานที่ Apple พี่ต้องทำ 7  โปรเจกต์โดยไม่มีน้องในทีม มีทั้งเขียนโค้ด (Coding) ดูงานส่วนของวิศวกรรมอุตสาหกรรม เครื่องมือในโรงงาน คำนวณดาต้าที่ไหลมาบน dashboard ฯลฯ ฝึกทุกอย่างด้วยตัวเองในระยะเวลาแค่ 3 เดือน ถือว่าหนักแต่ไม่เท่าสมัยทำ Consult ที่ทำ 12-16 ชั่วโมง (ห้ามลอกเลียนแบบ) ที่นี่ทำแค่ 5 วัน และมีแค่ 1-2 วันที่ทำงานถึงเที่ยงคืนตีสอง Manager ก็ชอบส่งอีเมลมาบอกให้เราพักบ้าง ...แต่ในความเป็นจริงคือพี่พักไม่ได้เลยค่ะ งานเยอะขนาดนี้ TT  เช่น หนึ่งในโปรเจกต์นึงที่ต้องทำคือการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 50 คนในเวลา 3 สัปดาห์  จะให้ไปพักตอนไหนเนี่ย"
 
              “ถึงดูยากและหนักแต่พี่ประทับใจหลายเรื่องเลย อย่างแรกคือวัฒนธรรมองค์กรที่แชร์ความรู้กัน เช่น เราสอนงานน้องเข้าใหม่ ในขณะที่น้องเข้าใหม่อาจแชร์วิธีลัดให้รุ่นพี่ก็ได้ เรื่องอายุหรือตำแหน่งไม่ใช่อุปสรรค อีกเรื่องที่ชอบคือทำที่นี่เราได้ของมาเยอะมาก เช่น กระบอกน้ำ กระเป๋า หูฟังของ Apple แถมส่งมาให้ 3-4 รอบแล้ว (น่ารัก~)” 

 

เรามองโลกกว้างขึ้น

และมีความสุขกับการเป็นตัวเอง
 

              “ประสบการณ์ไม่กี่ปีตรงนี้ให้อะไรพี่เยอะเลย และอย่างนึงที่มีค่ามากคือทัศนคติ พี่กล้าขึ้น มั่นใจขึ้น และมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิมมากๆ ด้วย และการได้มาเจอกับคนที่หลากหลายจริงๆ ทำให้พี่มีความสุขกับการเป็นตัวเองมากขึ้น พี่อาจเคยเป็นคนที่กำหนดภาพในใจว่า คนสวยต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามค่านิยม แต่มาเจอคนที่นี่ เขาแต่งตัวตามที่เขาชอบได้ พี่ว่านี่แหละคือ perception ของความสวยหล่อหรือความสำเร็จที่เปลี่ยนไป”


Photo Credit: janestories.com


Photo Credit: janestories.com
 

ติดตามบล็อกของพี่เจน

facebook.com/janestoriesblog
www.janestories.com/
 

 

 


อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MBA Kellogg
 

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น