Spoil
- เมื่อ "ตกหลุมรัก" ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนให้เรามีความสุข ตื่นเต้น ใจสั่น และแก้มแดง
- เวลาเผลอไปตกหลุมรักคนที่เคยเห็นผ่านๆ แต่ไม่ได้สนิท เรียกว่า "ปรากฎการณ์เพียงแค่ได้เจอ" (Mere-Exposure Effect)
- การเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่เรารัก อาจทำให้เราเจอศักยภาพใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวก็ได้
เดือนแห่งความรักแบบนี้ พี่นักเก็ตก็นึกถึง น้องน้ำกับพี่โชน ในเรื่อง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ขึ้นมา ตอนดูเรื่องนี้ใครเป็นเหมือนพี่นักเก็ตบ้างนะ ว่ามันแอบจึ้กๆ แทงใจดำไปหมด เพราะใครๆ ก็คงเคยมี “พี่โชน” เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งคนแถวบ้าน เรียกว่าเราเกือบทุกคนก็คงคุ้นเคยกับการ “ตกหลุมรัก” มาแล้ว
มีนักวิจัยคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า การตกหลุมรักใครสักคนจะเกิดขึ้นจากการที่เรารู้สึกถูกชะตาในครั้งแรก มองว่าคนๆ นั้นน่าดึงดูดใจ (attraction) ซึ่งถือเป็นโมเมนต์ที่สวยงามและทรงพลัง เมื่อเราพบกับใครสักคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง หรือตกหลุมรัก สมองของเราจะถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทจำพวก โดพามีน (Dopamine) ออกซิโทซิน (Oxytocin) และ นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ส่งผลต่อพฤติกรรมทางร่างกายและอารมณ์ โดยที่ Dopamine และ Oxytocin เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความสุข ความตื่นเต้น และการสร้างสายสัมพันธ์กับคนรัก ส่วน Norepinephrine ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เลือดสูบฉีด ใจสั่น หัวใจเต้นแรง หรือเกิดอาการเขิน แก้มแดง แบบที่เรารู้กันนั่นเอง
จริงๆ แล้วกลไกเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเราเมื่อรู้สึกชอบใครสักคน ในบางครั้ง การตกหลุมรัก ก็เกิดขึ้นจากแรงดึงดูด หรือสิ่งที่เรียกว่า ความถูกชะตา-ความถูกใจ เป็นจังหวะที่เรารู้สึกว่า คนนี้แหละใช่เลย!
นอกจากนี้ หลายๆ คนอาจเคยตกหลุมรักคนใกล้ตัว หรือคนคุ้นหน้าที่ไม่ได้รู้จักกันจริงจัง แต่รู้สึกว่า “ฉันชอบคนนี้เข้าแล้ว”
เหตุการณ์นี้สามารถอธิบายตามหลักจิตวิทยาได้ว่าเป็น ปรากฎการณ์เพียงแค่ได้เจอ หรือ Mere-Exposure Effect เป็นการที่เรารู้สึกชื่นชอบ หรือเกิดความรู้สึกทางบวกกับคน, สิ่งที่เราคุ้นชิน หรือเห็นผ่านตาบ่อยๆ โดยที่ครั้งแรกเราอาจจะต้องมีความรู้สึกกลางๆ ค่อนไปทางบวกกับสิ่งนั้น ต่อมาเมื่อเราเห็นบ่อยขึ้น ก็จะค่อยๆ ชอบมากขึ้นนั่นเอง
มีนักวิจัยเคยทำการศึกษาปรากฏการณ์นี้ โดยให้ผู้หญิง 4 คนเข้าเรียนคลาสเดียวกับนักศึกษาชายคนหนึ่งจนจบเทอม โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน จากนั้นให้นักศึกษาชายประเมินหลายด้าน รวมไปถึงด้านความดึงดูดใจ (Attractiveness) ผลคือนักศึกษาชายคนนั้นประเมินให้ผู้หญิงที่เข้าเรียนบ่อยที่สุด ได้คะแนนในทางบวกมากที่สุด เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ว่า เมื่อเราเห็นสิ่งใดบ่อยๆ ก็จะเกิดความคุ้นเคยไปในทางบวกมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะชอบมากขึ้นด้วย
รู้อย่างนี้ ปิ๊งใครอยู่ก็อย่าลืมโผล่หน้าไปให้เขาเห็นบ่อยๆ นะ แต่ทฤษฏีนี้ก็มีข้อแม้อยู่ว่า ความรู้สึกจะพัฒนาได้ ถ้าตอนเจอครั้งแรกมีความรู้สึกเป็นกลางหรือค่อนไปทางบวกต่อกัน ไม่ใช่รู้สึกแย่หรือเกลียดขี้หน้าเราตั้งแต่แรกเห็น ประมาณว่า ถ้า First Impression ดี ก็สามารถพัฒนาได้ค่ะ
การตกหลุมรัก จริงๆ แล้วคือเรื่องที่ดีนะ เพราะเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษ เป็นช่วงที่เรากำลังมีความสุข มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย อารมณ์ หรือแม้แต่ตัวตนของเราเอง เพราะเราอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบสนองความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้น ในบางครั้งเราก็แค่อยากจะแอบชอบเฉยๆ ไม่คาดหวังอะไร ในบางครั้งเราก็อยากให้คนที่ชอบมีความสุข และในบางครั้งเราก็อยากให้คนที่ชอบสนใจเราบ้าง ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเองในด้านต่างๆ เหมือนกับน้องน้ำที่ชอบพี่โชน แต่พี่นักเก็ตขอแนะนำว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเราทั้งหมดหรอกนะคะ แค่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น หรือลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ก็จะถือว่าเราได้ประโยชน์ 2 ต่อ ทั้งทำให้ได้คุยกับคนที่ชอบ และได้ค้นหาศักยภาพใหม่ๆ ในตัวเองด้วยยังไงล่ะ
ขอให้น้องๆ ทุกคนมีความสุขในวันแห่งความรักนะคะ
9 ความคิดเห็น
ผมก็ชอบเพื่อนคนนึงที่ไม่ค่อยได้เจอกันแบบนี้เลย
รักคือการให้คะนี่เหละเรียกกว่ารัก
ความรักก้อเหมือนเล่นหวยดวงดีก้อแทงถูกดวงซวยก้อแทงพลาดแต่ถามว่าจะเล่นไหมทันต้องเสี่ง(พุ้นนะ)ภาษาบ้านๆ
เสี่ยงไหม?
อันนี้จริงมาก
คนบางคนเราแค่ชอบเฉยๆ ให้ใจกระชุ่มกระชวยเวลาไปโรงเรียน แต่ไม่อยากครอบครอง ไม่ได้อยากจะสานสัมพันธ์จนเป็นแฟนกัน เพราะความสุขเราอยู่ที่การได้เจอเขา เห็นหน้าเขา ก็พอใจแล้ว
ความรู้สึกถูกชะตาในครั้งแรก ความน่าดึงดูดใจ (attraction) เป็นโมเมนต์ที่สวยงามและทรงพลังจริงๆ แม้การครอบครองอาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายด้วยเหตุและปัจจัยนานา แต่สิ่งที่มีคุณค่า คือ การได้ปรับ เปลี่ยน ตัวเองในทางที่ดีนะคะ ... หา ไอดอล ในดวงใจ ให้เจอค่ะ