Spoil
- วัยรุ่นอยู่ในพัฒนาการขั้น Formal Operation สามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม รวมถึงเรื่องศีลธรรมและการเมือง
- วัยนี้สามารถมีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง รับข้อมูลรอบด้าน ไม่รอข้อมูลจากผู้ใหญ่เพียงฝ่ายเดียว
- ทัศนคติทางการเมืองในครอบครัวสามารถแตกต่างกันได้เป็นเรื่องธรรมดา
เคยไหมคะ? คุยเรื่องการเมืองกับพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวทีไร เป็นต้องทะเลาะกันทุกที
ประโยคยอดฮิตก็คือ “เป็นเด็กก็ไม่ต้องยุ่งกับการเมือง มีหน้าที่เรียนก็เรียนไปเถอะ” หรือไม่ก็ “เป็นเด็กจะไปเข้าใจอะไรเรื่องการเมือง” มันฟังแล้วจี๊ดเลยใช่ไหมคะ เพราะจริงๆ แล้ววัยรุ่นแบบพวกเราเนี่ย ก็สามารถมีความคิดและความเข้าใจทางการเมืองได้ไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลยนะ พี่นักเก็ตคอนเฟิร์ม!
สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า “จริงเหรอ ที่วัยรุ่นเข้าใจเรื่องยากๆ อย่างเรื่องการเมืองได้?” ตามพี่นักเก็ตมาค่ะ เดี๋ยวพี่นักเก็ตจะอธิบายให้ฟังว่า วัยรุ่นอย่างเรานี่แหละ คือวัยที่เข้าใจเรื่องการเมืองแบบสุดๆ ไปเลย
รู้ไหมว่า ตามหลักพัฒนาการของวัยรุ่น ช่วงวัยนี้แหละคือช่วงที่มีความอิสระในตัวเอง (Autonomy) หมายถึง สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ทั้งในด้านการแสดงออก (behavioral autonomy) ความรู้สึก อารมณ์ (emotional autonomy) และความคิด (cognitive autonomy) โดยที่เราจะมีความเป็นอิสระในการพัฒนาค่านิยมและความเชื่อของตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร แต่ใช้การรับคำแนะนำจากหลายๆ แห่ง มาประมวลและวิเคราะห์ร่วมกัน จนเกิดเป็นความเชื่อและความคิดจากวิจารณญาณในแบบเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ ในช่วงวัยเด็ก เรามองพ่อแม่ว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แต่เมื่อโตขึ้นมาหน่อยเราก็มีวิจารณญาณพอที่จะเข้าใจว่าท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งไม่ต่างจากเรา แบบนี้เป็นต้นค่ะ
ตามหลักทฤษฏีพัฒนาการของ Piaget วัยรุ่นเราอยู่ในพัฒนาการขั้น Formal Operation คือช่วงที่เริ่มเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) รวมถึงเรื่องศีลธรรมและการเมืองที่มีความซับซ้อน และเรายังสามารถจัดการความคิดและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ผู้ใหญ่หลายคนอาจมองว่า เป็นแค่เด็กจะไปรู้อะไร แต่จริงๆ วัยนี้แหละสามารถพัฒนาความเชื่อที่มีผลกระทบต่อองค์รวมหรือต่อโลกได้ โดยที่ผู้ใหญ่แทบไม่จำเป็นต้องสอนเลย แต่เราใช้การเรียนรู้ สังเกต และเสพข่าว-รับสารจากหลายๆ ด้าน จนทำให้ตกตะกอนกลายเป็นความเชื่อและทัศนคติของตนเอง ถ้าจะให้ยกตัวอย่างชัดๆ ก็เหมือนกับ เกรต้า ธันเบิร์ก นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่โด่งดังไปทั่วโลกด้วยอายุเพียง 16 ปี เป็นหลักฐานชั้นดีว่าวัยรุ่นอย่างเราน่ะเข้าใจสิ่งนามธรรมและมีทัศนคติเป็นของตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอเชื่อแค่เฉพาะข้อมูลที่ผู้ใหญ่ป้อนให้เพียงอย่างเดียว
จากที่พี่นักเก็ตอธิบายมาทั้งหมด น้องๆ เริ่มเข้าใจตัวเองกันรึยังคะ ว่าทำไมเราถึงมีความคิดและทัศนคติบางอย่างแตกต่างจากพ่อแม่ ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักพัฒนาการ การที่วัยรุ่นมีความเชื่อหรือมีจุดยืนด้านการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่กลับเป็นปัญหาหลักในหลายๆ ครอบครัวที่มีจุดยืนต่างกัน บางครอบครัวถึงขั้นทะเลาะกัน บางครอบครัวหลีกเลี่ยงจะพูดเรื่องนี้ ทั้งที่จริงๆ การอยู่ร่วมกันภายในครอบครัว เราไม่จำเป็นจะต้องมีความคิดหรือความเชื่อที่เหมือนกันก็ได้ เพียงแค่ขอให้เคารพความคิดเห็นที่ต่างกัน
Generation Gap หรือช่องว่างระหว่างวัย คืออีกหนึ่งปัญหาหลักที่ทำให้บางครั้งเราสื่อสารกับคนรุ่นพ่อแม่ไม่เข้าใจ เพราะมีการเข้าถึงข้อมูลที่แตกต่างกันและมีสภาพสังคมที่เติบโตมาแตกต่างกัน จึงไม่แปลกที่คนรุ่นปัจจุบันกับรุ่นก่อนจะมีความคิดที่ต่างกัน และยากจะปรับจูนเข้าหากัน เพราะต่อให้เรามีข้อมูลที่ดีและหนักแน่นแค่ไหน หากอีกฝ่ายไม่เปิดใจยอมรับฟัง เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของใครได้อยู่ดีค่ะ
แต่สำหรับวัยรุ่นที่อยากลองอีกซักตั้ง ในการคุยเรื่องการเมืองกับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ พี่นักเก็ตก็พอจะมีทริกที่อยากแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ให้ 5 ข้อดังนี้
พูดคุยอย่างเปิดใจรับฟัง
อย่าเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่ขอให้เปิดใจรับฟังเหตุผลที่แตกต่างด้วย เพราะใครๆ ต่างก็มีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อของตัวเองกันทั้งนั้น ลองรับฟังอย่างตั้งใจและคิดตาม ใช้วิธีพูดทวนคำไปด้วยช้าๆ เพื่อเป็นการบังคับให้เรารับฟังด้วยใจที่เป็นกลางค่ะ
ใช้อารมณ์ขันเข้าช่วย
รู้ไหมว่าอารมณ์ขันเปรียบเสมือนยาวิเศษ ที่ช่วยให้สถานการณ์เครียดๆ ผ่อนคลายขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ต้องหลีกเลี่ยงมุกตลกที่เสียดสี หรือรุนแรงนะ
ใจเย็นๆ อย่าใช้อารมณ์
หากคุยกันไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกอารมณ์ร้อนขึ้น หรือโทนเสียงเปลี่ยน ให้หยุดบทสนทนาเอาไว้ก่อน ยิ่งหากคู่สนทนามีการดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงเลยนะคะ เอาไว้ค่อยคุยกันวันอื่นดีกว่าค่ะ
ระวังภาษากาย
ไม่มีใครหรอกค่ะ ที่ชอบการถูกต้อนให้จนมุม หรือชอบเวลาคู่สนทนามีท่าทีคุกคาม ดังนั้นเราต้องระวังพฤติกรรมที่แสดงออกให้ดูไม่ก้าวร้าวจนเกินไป ผู้เชี่ยวชาญยังบอกอีกว่าจริงๆ แล้วในการสนทนาแต่ละครั้ง ภาษากายมีส่วนสำคัญต่อการสื่อสารมากถึง 50% เชียวนะ
จบอย่างเป็นมิตร
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว เชื่อพี่นักเก็ตเถอะว่าจะยังไม่สามารถโน้มน้าวหรือเข้าใจกันได้ 100% แต่อย่างน้อยก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดังนั้นอย่าลืมขอบคุณอีกฝ่ายสำหรับความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยนะคะ
อย่าลืมนะคะ เมื่อถูกพ่อแม่ดุ หรือสั่งห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง สิ่งที่ควรทำคือการใช้เหตุผล และเอาน้ำเย็นเข้าสู้ ยืนยันให้พ่อแม่เข้าใจว่าเรามีจุดยืนและมีความคิดเป็นของตนเอง เลือกรับข้อมูลด้วยวิจารณญาณของตนเอง ไม่ใช่การตัดสินใจตามใคร หรือเชื่อคำพูดใคร แบบนี้อาจทำให้พ่อแม่เปิดใจรับฟังเราได้มากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้ด้วยอารมณ์รุนแรงเพราะจะยิ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างโกรธและไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงค่ะ
น้องๆ ชาว Dek-D ล่ะ ใครเคยมีปัญหาเรื่องความเห็นต่างทางการเมืองในครอบครัวบ้าง? และมีวิธีการจัดการอย่างไรกัน มาแชร์ มาระบายกันได้นะคะ เชื่อพี่นักเก็ตเถอะว่า มันไม่ใช่ปัญหาที่เราพบเจออยู่คนเดียวค่ะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.verywellfamily.com/family-conflict-how-to-navigate-political
1 ความคิดเห็น
เด็กไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะต้องมานั่งเรียนทั้งวันทั้งคืน