แจก 3 เคล็ดลับ ‘อ่านอย่างนักเขียน’ ทักษะจำเป็นที่ช่วยให้คุณเขียนนิยายดีขึ้นแบบก้าวกระโดด

แจก 3 เคล็ดลับ ‘อ่านอย่างนักเขียน’ 
ทักษะจำเป็นที่ช่วยให้คุณเขียนนิยายดีขึ้นแบบก้าวกระโดด

 

'ถ้าคุณไม่มีเวลาอ่าน คุณไม่มีเวลา (หรือเครื่องมือ) ที่จะเขียน ง่ายๆ แค่นั้น '
 - สตีเฟ่น คิง - 

ความลับที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเขียนนิยายไม่ได้มีแค่ “การเขียนอย่างสม่ำเสมอ” แต่ยังรวมไปถึง “การอ่านเยอะๆ”  เรารู้ว่าคุณอาจจะเบื่อคำแนะนำนี้ แต่นักเขียนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเจ.เค.โรว์ลิ่ง หรือสตีเฟ่น คิง พวกเขาล้วนแต่แนะนำให้คุณอ่านเยอะๆ ทั้งนั้น

คุณอาจเป็นคนอ่านหนังสือแบบเร็วๆ จุดสองจุดแล้วปล่อยเบลอไป หรืออ่านแบบละเอียดยิบ ลงลึกทุกรายละเอียด หรือคุณอาจเป็นคนที่อ่านหนังสือแบบข้ามๆ ถ้าเห็นส่วนไหนน่าสนใจก็ข้ามไปส่วนนั้นเลย ที่เหลือไว้ทีหลัง

บิล เกตส์ หนึ่งในนักธุรกิจที่มีนิสัยรักการอ่านมาก เขามีความมุ่งมั่นและสนใจในการอ่านหนังสือ “ผมไม่หยุดอ่านหนังสือกลางคัน แม้ว่าผมจะไม่ชอบมันก็ตาม” เกตส์เคยบอกกับไทม์ “และยิ่งผมไม่ชอบหนังสือเล่มนั้นมากเทาไหร่ ผมก็ยิ่งใช้เวลาในการจดบันทึกมันมากเท่านั้น นั่นหมายความว่า บางครั้งผมใช้เวลาอ่านหนังสือที่ผมทนไม่ไหวมากกว่าอ่านหนังสือที่ผมรัก

แล้วอะไรคือวิธีการอ่านหนังสือที่ดีที่สุดล่ะ?

ไม่ว่าคุณจะอ่านแบบไหน ไม่มีถูกผิด แต่เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับวิธีการอ่านนักหนาก็คือ หากคุณสามารถอ่านคำศัพท์และเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำเหล่านั้นได้ คุณจะสามารถเข้าใจหนังสือเล่มนั้นได้ง่ายดายตั้งแต่ต้นจนจบ 

ซึ่งเทคนิคการอ่านของคุณ (หรือที่เรียกว่าวิธีประมวลผลข้อมูลของหนังสือ) ส่วนใหญ่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองและวิธีที่คุณเข้าใกล้สิ่งต่างๆ ในชีวิต นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราต้องมีทักษะการอ่านอย่างนักเขียน เพราะการอ่านอย่างนักเขียนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณประสบความสำเร็จกว่าเดิม

 

อ่านอย่างนักเขียนจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น
อ่านอย่างนักเขียนจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น
Photo by Thought Catalog on unsplash

 

มีอะไรอยู่ข้างในหัวของนักเขียน?

การอ่านอย่างนักเขียนช่วยเสริมสร้างทักษะของคุณในการสื่อสารและการเล่าเรื่อง

นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนักเขียนควรอ่านเยอะๆ เพราะมันจะช่วยให้คุณเล่าเรื่องเป็น ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น มันยังสามารถช่วยให้คุณเป็นคนที่โน้มน้าวใจชาวบ้านได้เก่งขึ้น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ควรมี หากคุณพยายามโน้มน้าวคนให้สนใจ เสนอความคิด หรือขายตัวเองตอนสมัครงาน

เป้าหมายของนักเขียนทุกคนคือ ดึงคุณเข้าสู่ความคิดของพวกเขา

พวกเขาต้องการให้คุณมีส่วนร่วม มุ่งมั่นและเชื่อมั่นว่า คำพูดของพวกเขาควรค่าแก่การอ่าน นักเขียนนิยายทำได้โดยการสร้างพล็อตที่น่าดึงดูดและตัวละครที่น่าสนใจ นักเขียน Non-Fiction ทำได้โดยการรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงด้วยวิธีที่น่าเชื่อถือ

 

Photo by Liana Mikah  on unsplash
Photo by Liana Mikah  on unsplash

 

ทำไมงานเขียนที่ดีถึงมีผลต่อสมองคุณล่ะ?

นักเขียนที่เก่งรู้ว่าจะรวบรวมแนวคิดและข้อมูลเข้าด้วยกันได้อย่างไร เพื่อจะได้สามารถเจาะเข้าไปในส่วนต่างๆ ของสมองของนักอ่านได้อย่างง่ายดาย

งานวิจัยในปี 2006 ที่ตีพิมพ์ใน NeuroImage ได้ขอให้ “ผู้เข้าร่วมอ่านคำที่มีความสัมพันธ์กับกลิ่นแรง พร้อมกับคำที่เป็นกลาง ในขณะที่สมองของพวกเขาถูกสแกนด้วยเครื่องถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กที่ใช้งานได้ (fMRI)”

 

เมื่อใดก็ตามที่ผู้เข้าร่วมอ่านคำ เช่น “น้ำหอม” และ “กาแฟ” เยื่อหุ้มสมองหลักของพวกเขา (ส่วนของสมองที่ประมวลผลเกี่ยวกับ “กลิ่น”) จะสว่างขึ้นราวกับดอกไม้ไฟบนเครื่อง fMRI ส่วนคำอย่าง “กำมะหยี่” กระตุ้นประสาทสัมผัส (ซึ่งประมวลผลเกี่ยวกับ “ความรู้สึก”) ของสมอง นักวิจัยสรุปว่า ในบางกรณีสมองไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างการอ่านกับการเผชิญหน้ากับมันในชีวิตจริงได้

นักเขียนที่ดีจึงต้องรู้จักเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม!

คีต โอ๊ตลี่ย์ ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านจิตวิทยาการรู้คิดที่มหาวิทยาลัยโตรอนโตกล่าวในบทความที่ตีพิมพ์บน New English Review ว่า

“นักเขียนที่ดีก้าวไปไกลกว่าเรื่องพื้นฐานทางภาษา และสามารถเล่าเรื่องที่กระตุ้นความเป็นจริงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวของนักอ่าน”

สิ่งที่น่าสนใจคือ นักเขียนใช้คำที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นคำที่ค่อนข้าง ‘มีชีวิต’ ในความคิดของนักอ่าน แน่นอนว่าการอ่านอย่างนักเขียนจะช่วยให้เราเข้าใจเครื่องมือที่นักเขียนใช้ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายงานใดก็ตาม

ยิ่งคุณเป็นนักเขียน ทักษะนี้แหละคือ ‘กุญแจ’ ที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ!

และนี่คือ “วิธีการอ่านอย่างนักเขียน” 

 

Photo by Thought Catalog on unsplash
Photo by Thought Catalog on unsplash

 

01 อ่านหนังสือทั้งเล่มอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจก็ตาม

คนส่วนใหญ่มีเป้าหมายเดียวในใจเมื่ออ่านหนังสือคือ เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุดโดยใช้เวลาน้อยที่สุด!

แต่ขณะที่กำลังอ่าน พวกเขามักจะเริ่มและหยุด หรือถ้าอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ ก็จะหยุดเพื่อเปิดหาความหมายของศัพท์บางคำที่ไม่เข้าใจ บางคนจะหลบเลี่ยงและดำดิ่งสู่การค้นหาข้อมูล หรือศึกษาเหตุการณ์ที่อ้างถึงในหนังสือเพิ่มเติม หรือบางคนอาจกลับไปอ่านซ้ำหลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะ “เข้าใจ”

แต่ความจริงแล้วหลักการที่สำคัญในการอ่านหนังสือคือ เข้าใจแนวคิดเบื้องหลังหนังสือต่างหาก!

ขอหยิบเรื่องท็อดด์ ไบรสัน นักเขียนเจ้าของผลงาน The Creative’s Curse มาแชร์เป็นตัวอย่าง ไบรสันมีเป้าหมายในปี 2019 คือการเรียนรู้วิธีอ่านเขียนและพูดภาษาฝรั่งเศส เพื่อนของเขาแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือสำหรับเด็กเป็นภาษาฝรั่งเศส แน่นอนว่าเขาลงเอยด้วยการไม่เข้าใจคำศัพท์ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยังเข้าใจคอนเซปต์ของหนังสือเล่มนี้อยู่ (เป็นที่ยอมรับว่ารูปภาพช่วยเขาได้)

ซึ่งกระบวนการมันจะประมาณภาพด้านล่าง

 

สิ่งที่ท็อดด์  ไบรสันเข้าใจ
สิ่งที่ท็อดด์  ไบรสันเข้าใจ
(via:  https://www.cnbc.com/)

 

การอ่านหนังสือที่คุณไม่ค่อยเข้าใจอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด แต่ก็อยากจะอ่านต่อ อยากรู้ว่าเป็นยังไง ดังนั้นแทนที่จะรีบร้อนเปิดพจนานุกรม ดิกชันนารี่ หรือเสิร์จหาข้อมูลเพิ่มเติม ให้อ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อรับข้อมูลทั่วไป มันจะเข้าใจง่ายขึ้นเมื่อคุณอ่านซ้ำเป็นครั้งที่สอง

 

02 มองหากลวิธีการโน้มน้าวใจของผู้แต่ง

มัลคอล์ม แกลดเวล นักข่าว นักเขียนและนักพูดชาวแคนาดา ใช้เทคนิคมากมายในการโน้มน้าวนักอ่านของเขา ในหนังสือแต่ละเล่มที่เขียนมา เป้าหมายของเขาคือการทำให้นักอ่านเชื่อ 3 สิ่งต่อไปนี้

  1. เชื่อว่าแนวคิดของเขาถูกต้องแล้ว
  2. เชื่อว่าเขามีอำนาจในการเขียนถึงแนวคิดนี้
  3. เชื่อว่าแนวคิดของเขาควรค่าแก่การสนใจ

แกลดเวลทำให้ผู้อ่านมั่นใจว่าหนังสือของเขาถูกต้องโดยการอ้างเหตุผลเชิงตรรกะ เขาโน้มน้าวนักอ่านว่าตัวเองมีอำนาจในการเขียนถึงแนวคิดนี้ด้วยการใส่งานวิจัยและการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงนั้นๆ เขาโน้มน้าวนักอ่านว่าความคิดของเขาควรค่าแก่การสนใจด้วยการทำให้นักอ่านอยากรู้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังใช้ตัวละครที่น่าสนใจและไม่น่าเป็นไปได้ เช่น ยักษ์ เพื่ออธิบายให้นักอ่านฟัง

ในครั้งต่อไปที่คุณอ่านหนังสือ ให้มองหาส่วนที่กระตุ้นกลยุทธ์การโน้มน้าวใจทั้ง 3 อย่างนี้ และคิดว่าคุณจะนำไปใช้กับสถานการณ์ในชีวิตจริงได้อย่างไร หรือจะนำไปปรับใช้กับนิยายของคุณได้อย่างไร

 

Photo by Thought Catalog on unsplash
Photo by Thought Catalog on unsplash

 

03 สังเกตคำอุปมาอุปมัย

ลองเปรียบเทียบสองประโยคด้านล่าง

  1. เสียงที่นุ่มดุจดั่งกำมะหยี่พรั่งพรูออกมาจากวิทยุของเธอ
  2. เสียงไพเราะเล่นทางวิทยุของเธอ

ในตอนแรก ความหมายของทั้งสองประโยคอาจฟังเหมือนกัน แต่สมองของคุณไม่คิดเช่นนั้น!

ในปี 2012 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอมอรี่ค้นพบว่า คำอุปมาอุปมัยสามารถเข้าถึงส่วนต่างๆ ของสมอง เช่น “เขามีหนังมือที่เหนียว” กระตุ้นประสาทสัมผัสของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ในขณะที่บางอย่างเช่น “เขามีมือที่แข็งแรง” ไม่ได้ส่งผลอะไรกับสมองเลย

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้คำอุปมาอุปมัย มันอาจมีผลต่อการสื่อสารกับเราอย่างทรงพลัง ดังนั้นในขณะที่คุณกำลังอ่านหนังสือ คุณควรพยายามเปรียบเทียบว่า 

ผู้แต่งใช้คำและคำอุปมาอุปมัยเพื่อเน้นย้ำ ปรับปรุงแนวคิด หรือขยายคำอธิบายอย่างไร

มันจะช่วยให้คุณเข้าถึงสมองของนักอ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น!

 

..................

 

การอ่านแบบนักเขียนเป็นอีกหนึ่งทักษะที่เราควรฝึกฝน หากทำได้บ่อยๆ มันจะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ทำให้งานเขียนของเราน่าสนใจและโดดเด่นยิ่งกว่าใครๆ ทีนี้เราก็สามารถตกนักอ่านได้อย่างง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากแล้ว! นักอ่านจะหลงรักงานเขียนของคุณโดยไม่รู้ตัว มาเริ่มอ่านหนังสือด้วยวิธีอ่านแบบนักเขียนกันเถอะ ^ ^

 

พี่น้ำผึ้ง :)

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.newenglishreview.org/Keith_Oatley/Why_Fiction_May_Be_Twice_as_True_as_Fact/
https://time.com/4786837/bill-gates-books-reading/https://www.psychologicalscience.org/news/your-brain-on-fiction.htmlhttp://news.emory.edu/stories/2012/02/metaphor_brain_imaging/
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น