Spoil
- ละครไทยบางเรื่องยกให้ฉากพระเอกข่มขืนนางเอกเป็น Love Scene ทั้งที่จริงแล้วมันคืออาชญากรรม
- ตอนจบหลายเรื่องให้คนร้ายกลายเป็นบ้า ทำให้เกิดภาพจำว่าโรคทางจิตเวชเกิดจากผลกรรมที่ทำสิ่งไม่ดี
- เมื่อสิ่งไม่ดีที่พระเอกทำถูกยอมรับโดยคนดู ทำให้เด็กๆ เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ และไม่เห็นความสำคัญของข้อกฎหมาย
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีกระแสหนึ่งถูกพูดถึงเยอะมากๆ ในโลกออนไลน์ จนเกิดเป็นแฮชแท็ก #อยากเห็นบทละครไทยก้าวไปในทิศทางไหน ว่าด้วยเรื่องของความเห็นจากคนทั่วไปต่อบทละครไทย ที่หลายคนมองว่าผ่านมาหลายสิบปี ทำไมอะไรๆ ถึงยังวนอยู่ที่เดิมอยู่อีก?
พล็อตน้ำเน่า พระเอกฉุดนางเอก ตบจูบ ข่มขืน
ตัวร้ายกรี๊ดเสียงดังไป 3 ซอย 8 ซอย สุดท้ายเป็นบ้าตอนจบ
ละครตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วก็ยังถูกนำมารีเมค ทั้งที่บริบทสังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว
บางคนบอกว่า นี่แหละ! คือเอกลักษณ์ของละครไทย ดูเอาสนุกก็พอ แต่บางคนก็เริ่มตระหนักว่าพฤติกรรมของตัวละครดังๆ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยเกิดปัญหา เพราะจริงๆ แล้วสื่อและละครต่างๆ สามารถส่งผลกระทบต่อผู้ชมได้มากกว่าที่คิด
เคยมั้ยคะ? เปิดทีวีแล้วเจอพระเอกละครสายตบจูบ หึงรุนแรง หนักเข้าหน่อยก็บุกปล้ำนางเอก แล้วยังเรียกฉากข่มขืนว่า Love Scene เข้าไปอีก จนทำให้คนดูฟินกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งที่ในความเป็นจริงหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นนั้นไม่ฟินแน่ เพราะจัดอยู่ใน พฤติกรรมรุนแรง (abusive behavior) ยิ่งเป็นพฤติกรรมที่พระเอกกระทำเพื่อให้นางเอกอยู่ใต้อำนาจ (เช่น การหึงหวงแสดงความเป็นเจ้าของ) ยิ่งผลิตซ้ำภาพจำของ ระบอบปิตาธิปไตย (patriarchy) ที่ให้ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิง สามารถทำอะไรกับคนรักก็ได้ แล้วยังถือเป็น การใช้ความรุนแรงในครอบครัว (domestic violence) อีกด้วย
ไม่เท่านั้นนะ! ละครบางเรื่องที่ดังๆ ยังมีพล็อตให้พระเอก “ฉุด” หรือ “ลักพาตัว” นางเอกไปกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่แทนที่จะนำเสนอว่าเป็นอาชญากรรมที่นางเอกตกเป็นเหยื่อ กลับนำเสนอในเชิงโรแมนติก โดนฉุดไปยังเกิดความรักขึ้นมาได้อีก ซึ่งเรื่องแบบนี้จริงๆ ก็มีค่ะ แต่เรียกว่า Stockholm Syndrome หรือการที่เหยื่อลักพาตัวเห็นอกเห็นใจผู้กระทำผิด หลังจากได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เป็นปฏิกิริยาการตอบสนองทางจิตวิทยา (psychological responses) ต่อความรุนแรงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เหยื่อเกิดความคิดแบบนี้ผ่านกลไกการป้องกันตัว (defense mechanisms) แม้จะยังไม่ถูกจัดลงในคู่มือวินิจฉัยโรคทางจิตเวช (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Health Disorders) แต่ก็ถูกนำไปวินิจฉัยในวงการแพทย์ และไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะฟินแน่นอน
ความน่ากลัวก็คือ สิ่งที่พี่นักเก็ตพูดมาทั้งหมดคือพฤติกรรมของ พระเอกต่อนางเอก ซึ่งแทนที่จะถูกนำเสนอว่าเป็นความรุนแรง กลับถูกนำเสนอว่าเป็นเรื่องราวโรแมนติก (romanticizing) ลงท้ายด้วยการที่ทั้งคู่ครองรักกัน จนสร้างภาพจำให้ผู้ชมรู้สึกว่าพฤติกรรมทั้งหมดที่พระเอกทำไป เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความรัก (ซะอย่างนั้นเลย)
ตัดไปดูที่เหล่าตัวร้ายกันบ้างดีกว่า ถ้าพูดถึงจุดจบตัวร้ายในละครไทย น้องๆ ชาว Dek-D คิดถึงอะไรกันบ้างคะ? ถ้าเป็นนางร้ายก็แน่นอนว่าเอาให้สะใจเลยต้องถูกข่มขืนในตอนจบ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว วัฒนธรรมการข่มขืน (rape culture) ยังไงก็ผิด ไม่มีใครสมควรถูกกระทำแบบนี้ ต่อให้นุ่งสั้น แต่งหน้าหนา ทาปากสีแดง หรือเป็นคนนิสัยไม่ดีแค่ไหนก็ตาม และในบางครั้งตัวร้ายยังถูกจัดให้มีบทสรุปด้วยการกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตเวชอีกด้วย ยิ่งเป็นการนำเสนอสิ่งที่ผิดเข้าไปใหญ่ เพราะทำให้คนในสังคมมองว่าโรคทางจิตเวชคือผลกรรมของคนประพฤติไม่ดี ทำให้เกิด การตีตราผู้ป่วย (labelism)
ในเมื่อละครยุคเก่ามีฉากที่เป็นปัญหามากมายขนาดนี้ การรีเมคจึงเท่ากับยิ่งตอกย้ำภาพจำสู่สังคม โดยเฉพาะละครที่ฉายผ่านสื่อหลักอย่างฟรีทีวีที่เข้าถึงกลุ่มคนได้ทั่วประเทศ ยิ่งทำให้คนดูละครจำนวนมากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม (shaped) เพราะเห็นคอนเทนต์แบบนี้ซ้ำๆ จนเกิดความเคยชิน และมองว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิด
โดยเฉพาะในวัยเด็กถึงวัยรุ่น ที่สามารถเกิดการเรียนรู้ได้จากตัวต้นแบบ (role model) ผ่านทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory) ทำให้เด็กหลายคนเริ่มมีพฤติกรรมเลียนแบบจากสิ่งที่ตัวเองรับรู้ ด้วยการจดจำภาพและการกระทำ ดังนั้นยิ่งสื่อนำเสนอเรื่องที่ผิดในลักษณะว่าเป็นที่ยอมรับได้ซ้ำๆ ยิ่งเป็นการเสริมแรง (reinforcement) ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ประกอบกับการศึกษาของไทยที่ไม่ได้สอนให้นักเรียนตระหนักถึงปัญหาการคุกคามทางเพศ ไม่เน้นย้ำว่าการกระทำของตัวละครนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และผู้ใหญ่หลายคนก็ยังฟินกับพฤติกรรมไม่ดีของพระเอกละคร ยิ่งทำให้ในปัจจุบัน มีอาชญากรรมและความรุนแรงที่เกิดจากเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ
แม้จะบอกว่าวัยรุ่นตอนปลายนั้นมีการพัฒนาสมองส่วนหน้า บริเวณ prefrontal cortex ทำให้สามารถทำความเข้าใจ แยกแยะ และประเมินความเสี่ยงได้ แต่จริงๆ ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เคยมีนักวิชาการให้เหตุผลว่า ประเทศไทยไม่ได้มีระบบการศึกษาที่ดีขนาดนั้น และแทบไม่ได้ให้ความรู้นักเรียนด้านเพศศึกษา ทำให้เด็กวัยรุ่นบางคนยังไม่สามารถเข้าใจได้เต็มที่ อาจเกิดการรับสารผิดๆ ได้ สื่อจึงควรทำหน้าที่ในการนำเสนอสิ่งที่ถูกต้อง
ถึงตรงนี้ หลายคนเริ่มมองเห็นภาพหรือยังคะ ว่าสื่อมีอิทธิพลแค่ไหน และทำไมทุกฝ่ายจึงควรตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะมันสามารถ ‘ปรับเปลี่ยน’ ความคิดคนในสังคมได้จริงๆ ทั้งนี้พี่นักเก็ตก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องยกเลิกการทำละครที่มีฉากรุนแรงไปทั้งหมดเลยหรอกนะคะ แต่ควรนำเสนอตามความเป็นจริง ไม่ทำให้ความผิดที่เกิดขึ้นกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือสมควร รวมถึงมีการแจ้งเตือน (trigger warning) และคัดกรองอายุผู้ชม ก็จะช่วยลดการเข้าถึงเนื้อหาที่มีความรุนแรงได้ค่ะ
สุดท้ายยังไงคนรอบตัวก็สำคัญที่สุด อย่าลืมช่วยดูแลกันและกัน ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง สิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูกก็ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กัน เพื่อสร้างความตระหนักแก่คนในสังคม แบบที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน Clubhouse จนออกมาเป็นแฮชแท็กติดเทรนด์บนทวิตเตอร์นี่แหละ พี่นักเก็ตว่าเยี่ยมไปเลย หลังจากนี้วัยรุ่นไทยก็จะได้รู้เท่าทันสื่อกันมากขึ้นค่ะ
รายการอ้างอิงhttps://mediaandsociety.org/societal-mindset-towards-rape-culture-in-thailand/https://www.healthline.com/health/mental-health/stockholm-syndrome#bottom-linehttps://www.matichon.co.th/lifestyle/news_30946https://www.thaihealth.or.th/Content/37230-สื่อกับปัญหาเยาวชน%20บ่มพฤติกรรมเลียนแบบ.htmlhttps://www.simplypsychology.org/bandura.html
0 ความคิดเห็น