Teen Coach EP.10 : ใครชมแค่ไหน ใจเราก็คิดว่า "ตัวเองไม่เก่ง" (Imposter Syndrome)

Spoil

  • Imposter Syndrome คืออาการที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ต่อให้ประสบความสำเร็จหรือมีคนชมมากแค่ไหน ก็คิดว่าเป็นแค่ความฟลุ๊ก
  • หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน จะยิ่งทำให้ความมั่นใจในตนเองลดลง พัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าได้
  • ลองหยุดเปรียบเทียบกับคนอื่น ยินดีกับความสำเร็จของตัวเองบ้าง จะทำให้มีความสุขมากขึ้น

น้องๆ เคยกังวล หรือเคยรู้สึกว่าเราไม่เหมาะสมที่จะประสบความสำเร็จมั้ย? แม้จะมีเรื่องที่ได้รับคำชมมากมาย แต่ในใจก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอที่จะมายืนตรงนี้ และไม่คู่ควรกับคำชื่นชมเลย ทั้งที่ความจริงเราเองก็มีประสิทธิภาพ และทำได้ดีมากๆ ในบางเรื่อง แต่ก็ยังไม่วายเอาแต่คิดว่าตัวเองไม่เก่งเท่าคนอื่น ที่เห็นประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพียงเรื่องโชคช่วย

หลายๆ ครั้งเราสอบได้คะแนนดีๆ ทำแบบฝึกหัด ทำโจทย์ยากๆ ได้ หรือแข่งขันชนะ แต่งนิยายแล้วมีคนอ่านมากมาย แต่แทนที่จะดีใจ เรากลับคิดว่าคนอื่นก็คงทำได้ไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ เพียงแค่โชคเข้าข้างเราเป็นพิเศษ ทำให้ฟลุ๊กประสบความสำเร็จ ดังนั้นความเก่งของเราจึงเป็นเพียงเรื่องจอมปลอม และกลัวขึ้นมาว่าวันหนึ่งทุกคนจะจับได้ว่าเรา “ไม่ได้เก่งจริงๆ นี่นา” และพากันผิดหวังในที่สุด...

สำหรับใครที่อ่านแล้วโดนใจมาก คิดว่าตัวเองกำลังเป็นแบบนี้เลย ขอให้เชื่อพี่นักเก็ตเถอะค่ะว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวหรอกนะ แต่ยังมีอีกหลายคนที่กำลังทรมานกับความรู้สึกแบบนี้อยู่ ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า Imposter Syndrome หรือ อาการมองว่าตนเองไม่เก่ง กลุ่มอาการนี้ถูกอธิบายเอาไว้ว่า เป็นคนที่มีอาการมองตัวเองในแง่ลบ ด้อยค่า ไม่เก่งพอ ไม่เหมาะสมกับความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตนเองได้ และคำว่า Imposter ก็มาจากคาแรกเตอร์ในเกม Among Us ซึ่งเป็นตัวละครที่แฝงเข้ามา กลัวคนอื่นจะรู้ หรือ “เราไม่ใช่เรา” นั่นเอง

Imposter Syndrome ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่เก่งและประสบความสำเร็จ แต่กลับมองว่าตัวเองไม่ได้เก่งขนาดนั้น ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง รางวัล หรือคำชื่นชมที่ได้รับ และไม่ควรมายืนในจุดนี้ โดยในช่วงปี 1970s นักจิตวิทยาที่ชื่อ Suzanne Imes และ Pauline Rose Clance ค้นพบปรากฏการณ์นี้จากกลุ่มคนไข้ของเขา และทั้งสองอธิบายว่า ‘ปรากฏการณ์มองว่าตนเองด้อยค่า’ นั้น มักเกิดในกลุ่มผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ และสามารถส่งผลกระทบกับทั้งการเรียน การทำงาน รวมไปถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วย

อาการของผู้ป่วย Imposter Syndrome ส่วนใหญ่ มักเกิดความรู้สึกเหล่านี้

  • การสงสัยในตนเอง (self-doubt) เกิดความเคลือบแคลงใจว่า “เราทำได้ จริงหรอ?” “เราเก่งจริงมั้ย?”
  • ความกลัวว่าจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของคนอื่นในระดับที่มากเกินไป จนทำให้เราเสียความมั่นใจ และไม่กล้าทำอะไร
  • ตำหนิการกระทำของตัวเอง มัวแต่พะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว คอยมองหาจุดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ และมองเป็นเรื่องใหญ่กว่าส่วนที่ประสบความสำเร็จจนทำให้รู้สึกแย่ และโทษตัวเองทุกครั้งเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาการหัวใจเต้นแรง เหงื่อออกที่มือ ตื่นตระหนก และตัวสั่น หากปล่อยไว้นานๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมได้

จริงๆ แล้ว Imposter Syndrome ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในโรคจิตเวช หรือความผิดปกติอื่นๆ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจ รวมไปถึงความวิตกกังวลที่นำไปสู่อาการซึมเศร้าได้ 

Imposter Syndrome สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนที่เก่งสุดๆ เท่านั้น เพราะในความเป็นจริง เราทุกคนต่างมีความเก่งบางอย่างมากพอที่จะทำให้เกิดความภูมิใจในตนเองได้ เพียงแต่ต้องเชื่อมั่น และหยุดกลัวการถูกมองไม่ดี หรือถูกผิดหวัง เพราะทำให้สุดท้ายแล้วกลายเป็นสิ่งที่คอยฉุดรั้งความสามารถอันแท้จริงของเราเอาไว้ เช่น เมื่อต้องพรีเซนต์หน้าห้อง หากเราเตรียมตัวมาดีแล้วแต่มีความกังวล และมัวจมอยู่กับความคิดในแง่ลบ ก็จะทำให้สุดท้ายไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ และมาเสียดายทีหลัง โทษตัวเอง ตำหนิตัวเอง จนเกิดเป็น loop แบบนี้วนซ้ำไปซ้ำมา

วิธีรับมือเมื่อเกิดอาการนี้ คือการเข้าใจและยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง ท่องจำไว้ว่าเราทุกคนต่างทำพลาดได้ ไม่มีใครที่เพอร์เฟ็กต์ไปเสียทุกอย่าง จึงไม่จำเป็นจะต้องคาดหวังในตนเองสูงจนกลายเป็นความกดดัน และสุดท้าย อย่ากลัวที่จะพูดคุยและรับ feedback จากคนอื่น เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเห็นภาพตามความเป็นจริงมากขึ้น ที่สำคัญ ฟีดแบ็กทางบวก (positive feedback)  จะทำให้เราได้รู้ข้อดีของตนเอง แม้บางครั้งคนที่มีอาการนี้จะไม่ยอมเชื่อฟีดแบ็กในทางบวก และมักลดทอนคุณค่าของมันด้วยการตำหนิติเตียนตนเองในด้านลบ แต่หากลองเปิดใจรับฟัง หยุดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น และใจดีต่อตัวเองบ้าง ก็จะช่วยให้อาการเหล่านี้มีแนวโน้มหายไปได้มากขึ้นค่ะ

น้องๆ หลายคนอาจจะเคยประสบปัญหา ตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่าเราไม่เก่ง เราไม่คู่ควร เรามันด้อยกว่าคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ดีต่อตัวเองยังไง ก็อย่าลืมปรับหาหนทางที่เหมาะสมและนำไปใช้ดูนะคะ อย่าปล่อยให้ความไม่มั่นใจ ความรู้สึกไร้ค่า หรือความรู้สึกทางลบเหล่านี้มาทำให้ตัวเราเองแย่ และมัวจมกับอยู่มันจนอาจถึงขั้นปิดโอกาสตัวเองไปเลยค่ะ ลองเปิดใจชื่นชมความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองบ้าง ภูมิใจในเรื่องเล็กๆ ที่ตัวเองทำสำเร็จบ้าง แล้วจะพบว่าการชื่นชมตัวเองโดยไม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใคร มันก็สร้างความสุขให้เราได้ไม่น้อยเลย 

 

รายการอ้างอิงhttps://myreadables.com/how-teens-can-overcome-the-imposter-syndrome-that-haunts-their-success/https://myreadables.com/why-do-students-feel-like-an-imposter-in-their-lives/imposter-syndrome-and-social-anxiety-disorder-4156469https://hbr.org/2008/05/overcoming-imposter-syndrome 
โค้ชพี่นักเก็ต

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

นิรนาม 2 ส.ค. 64 22:51 น. 1

คนเราเก่งกันหมดทุกคนแหละว่าแต่คนนั้นจะอยากได้ความรู้นั้นหรือป่าวและหรือแค่ไม่ได้ตั้งใจศึกษาไว้แค่นั้นเองผมคิดว่านะ ผิดหรือถูกขอโทษด้วยแค่อยากแสดงความคิดเห็นฮะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด