Spoil
- วัยรุ่นคือวัยที่เต็มไปด้วยปัญหาและความเปลี่ยนแปลง โดยธรรมชาติจึงอยากปรึกษาผู้ใหญ่เป็นอันดับแรก
- แต่ผู้ใหญ่มักชอบดุว่า บังคับให้ทำตามคำแนะนำ และเอาเรื่องที่ปรึกษาไปบอกผู้ใหญ่คนอื่น
- สาเหตุนี้ ทำให้วัยรุ่นหันไปปรึกษาวัยรุ่นด้วยกัน ทั้งที่ไร้ประสบการณ์ และบางครั้งก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
เวลามีปัญหาเกิดขึ้น น้องๆ เลือกปรึกษาใครก่อน?
ใครกันที่รู้ความลับของเรา? (และเราก็รู้ความลับของเขา...)
เวลาไม่สบายใจ หน้าแชทของใครที่เราจะทักไปหาเป็นคนแรก?
แน่นอนว่าคำถามเหล่านี้ ไม่มีคำตอบที่ตายตัว บางคนอาจจะตอบว่า พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน หรือเพื่อน จากผลสำรวจของแฟนเพจ Dek-D.COM - เด็กดีดอทคอม ในหัวข้อ “เวลามีปัญหา ปรึกษาใคร ระหว่างพ่อแม่และเพื่อน” มีวัยรุ่นมากมายเข้ามาให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า หลายคนเลือกปรึกษาเพื่อนหากเป็นเรื่องเล็กๆ หรือเรื่องทั่วไป แต่ถ้าเป็นปัญหาใหญ่ๆ หรือปัญหาที่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงจะเลือกปรึกษาผู้ปกครอง
ทำไมวัยรุ่นหลายคนจึงเลือกปรึกษาเพื่อนก่อน ทั้งที่เพื่อนก็มีประสบการณ์ชีวิตพอๆ กับเรา และไม่มีความสามารถพอจะช่วยแก้ไขหลายๆ ปัญหาได้?
“ปรึกษาเพื่อนเสมอ เพราะเคยเล่าให้แม่ฟังแต่ถูกซ้ำเติม และขยี้จุดผิดเดิมซ้ำๆ โดยไม่ได้ให้ข้อแก้ไข เลยตัดปัญหาไม่เล่าอีกต่อไป”
“เลือกปรึกษาเพื่อน เพราะมั่นใจว่าจะไม่เอาเรื่องเราไปพูดกับใครต่อ”
“ปรึกษาเพื่อน เพราะครอบครัวไม่น่าไว้ใจ”
ข้อความเหล่านี้ คือข้อความบางส่วนที่วัยรุ่นในแฟนเพจ Dek-D.COM – เด็กดีดอทคอม สะท้อนกลับมาให้เห็นปัญหา ว่ายังมีวัยรุ่นอีกหลายคนรู้สึกไม่ไว้วางใจคนในครอบครัว ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจึงเลือกคุยกับเพื่อนหรือคนนอกครอบครัวมากกว่า แม้จะรู้ดีว่าคนเหล่านั้นช่วยอะไรได้ไม่มากนัก
แน่นอนว่าแต่ละครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน ในสังคมกว้างใหญ่ มีทั้งบ้านที่พ่อแม่ลูกคุยกันได้ทุกเรื่อง บ้านที่คุยกันได้แค่บางเรื่อง และบ้านที่แทบจะไม่คุยอะไรกันเลย ความสัมพันธ์ของครอบครัวเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบใหญ่ๆ ด้วยกัน
1. ครอบครัวแบบเข้มงวด (Authoritarian Parenting)
คือครอบครัวที่ใช้การเลี้ยงดูในเชิงเผด็จการ พ่อแม่มีอำนาจควบคุมลูกเด็ดขาด สามารถสั่งให้ลูกทำตามความต้องการ และมีความคาดหวังในตัวลูกสูง แต่กลับให้การตอบรับกับลูกต่ำ คือ ไม่ค่อยชื่นชมและไม่รับฟังเหตุผล ทำให้วัยรุ่นที่เติบโตมาในครอบครัวรูปแบบนี้จะไม่มีความมั่นใจ ไม่กล้าทำอะไรด้วยตนเอง ส่งผลต่อการใช้ชีวิตในสังคม
2. ครอบครัวแบบให้อิสระอย่างมีขอบเขต (Authoritative Parenting)
ครอบครัวรูปแบบนี้ พ่อแม่จะมีเหตุผล คอยให้กำลังใจและคำแนะนำ ช่วยสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนให้แก่ลูก และรับฟังความคิดเห็นเสมอ ทำให้วัยรุ่นในครอบครัวรูปแบบนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีความรับผิดชอบ และรักการเรียนรู้
3. ครอบครัวแบบยอมตามบุตร (Indulgent Parenting)
ผู้ปกครองในครอบครัวรูปแบบนี้จะทั้งสปอยล์และตามใจลูกมากเกินไปจนไร้กฏเกณฑ์ ไม่กล้าทะเลาะหรือดุลูก ทำให้วัยรุ่นที่เติบโตในครอบครัวรูปแบบนี้เป็นคนเอาแต่ใจ และส่งผลกระทบบางอย่างต่อความมั่นใจของวัยรุ่นได้ เมื่อต้องเข้าสู่สังคมในชีวิตจริง
4. ครอบครัวแบบปล่อยปละละเลย (Indifferent Parenting)
ครอบครัวรูปแบบนี้มีรูปแบบการเลี้ยงดูลูกแบบเพิกเฉยและไม่สนใจ ปล่อยให้ลูกทำอะไรก็ได้ตามใจ โดยไม่ตอบสนอง ไม่มี feedback ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชม ทำให้วัยรุ่นที่เติบโตมากับการเลี้ยงดูรูปแบบนี้มีพฤติกรรมเสี่ยง มีโอกาสควบคุมตนเองไม่ได้ และขาดความรับผิดชอบ ส่งผลต่อสังคมในอนาคต
จากงานวิจัยพบว่า การเลี้ยงดูรูปแบบที่ 2 (ครอบครัวแบบให้อิสระอย่างมีขอบเขต หรือ Authoritative Parenting) นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะการเลี้ยงดูรูปแบบนี้จะสร้างความสมดุลระหว่างการควบคุมและการให้อิสระ ผู้ปกครองมีมาตรฐานในการสอนลูก มีการตอบสนองที่ดี พูดคุยด้วยเหตุผล ทำให้วัยรุ่นและผู้ปกครองสามารถเข้าใจกันได้ทั้ง 2 ฝ่าย
นอกจากการเลี้ยงดู อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นรู้สึกห่างเหินกับพ่อแม่ก็คือ ความแตกต่างระหว่างวัย (Generation Gap) ส่วนใหญ่เป็นความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือปัจจัยภายนอก เช่น ไลฟ์สไตล์ ความเชื่อ วัฒนธรรม รวมไปถึงทัศนคติและการมองโลกต่างๆ เพราะผู้ใหญ่นั้นเติบโตและมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากวัยรุ่น ทำให้มองคนละมุม ยิ่งในบริบทและสังคมโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก็ยิ่งทำให้การรับสารและตีความข้อมูลระหว่างวัยรุ่นและผู้ใหญ่นั้นมีความแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่หลายคนตามไม่ทันโลกยุคใหม่ ไม่เข้าใจปัญหาของการเรียนออนไลน์ ตามไม่ทันข่าวสารอัปเดตต่างๆ (เช่น เรื่องถั่งเช่า, น้ำมะนาวรักษามะเร็ง, ฟ้าทะลายโจรต้านโควิด-19) และยังมีแนวคิดที่ยึดติดกับสังคมมากกว่า เช่น พ่อแม่มักกังวลว่าสังคมจะมองลูกอย่างไร และลูกควรปฏิบัติตัวแบบไหนจึงจะกลมกลืนกับคนส่วนใหญ่ ผิดกับวัยรุ่นในปัจจุบันที่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ได้แคร์สายตาของสังคมเท่าไร ยิ่งทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่า การพูดคุยกับผู้ใหญ่นั้น “ไม่คลิก” เมื่อเทียบกับการคุยกับคนรุ่นเดียวกัน
แต่ Generation Gap ไม่ใช่ปัญหาเดียวเท่านั้นที่ทำให้วัยรุ่นเลือกปรึกษาปัญหากับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ เพราะอีกปัญหาที่สำคัญคือ ความไว้วางใจและการเคารพความเป็นส่วนตัว (Privacy and Trust)
เป็นเรื่องธรรมดาที่วัยรุ่นยิ่งเติบโตมากขึ้น ก็จะยิ่งพบเจอความเปลี่ยนแปลงและปัญหาต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ยังต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์อยู่ โดยเฉพาะพ่อแม่ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีความใกล้ชิดมากที่สุด แต่วัยรุ่นหลายคนกลับพบว่าการปรึกษาพ่อแม่นั้น หลายครั้งต้องแลกกับ “ความเป็นส่วนตัว” หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่พ่อแม่มักถามลงรายละเอียดมากเกินไป การถูกตัดสินจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพ่อแม่ หรือการถูกนำเรื่องราวไปเล่าต่อให้ผู้ใหญ่คนอื่นฟัง ทำให้วัยรุ่นในหลายๆ ครอบครัวเริ่มสูญเสีย “ความไว้วางใจ” ที่มีต่อพ่อแม่ แล้วหันไปปรึกษาวัยรุ่นกันเองมากขึ้น
ปัญหาใหญ่ๆ ที่วัยรุ่นมักพบเจอ เมื่อปรึกษาปัญหากับพ่อแม่
- ถูกพ่อกับแม่ดุ และนำปัญหาเดิมกลับมาพูดถึงซ้ำๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
- ไม่เก็บปัญหาของลูกเป็นความลับ
- ถูกอบรมสั่งสอน บีบบังคับให้ทำตามคำแนะนำของพ่อแม่
ความไว้วางใจและการเคารพความเป็นส่วนตัว (Privacy and Trust) ถือเป็นเรื่องสำคัญระหว่างพ่อแม่และวัยรุ่น มีการศึกษาพบว่า วัยรุ่นที่พ่อแม่ไว้วางใจและเคารพความเป็นส่วนตัว จะมีความคิดเป็นของตัวเอง และมีความมั่นใจในตนเอง ต่างจากวัยรุ่นที่ถูกครอบครัวไม่ไว้วางใจและละเมิดความเป็นส่วนตัว จะมีพฤติกรรมต่อต้าน และรู้สึกเหมือนไม่ได้รับการยอมรับ
ยิ่งวัยรุ่นรู้สึกต่อต้าน ก็ยิ่งปิดบัง และยิ่งปิดบัง ก็ยิ่งทำให้พ่อแม่ไม่ไว้ใจพฤติกรรมวัยรุ่นมากขึ้น ทำให้หลายครอบครัวแอบฟังโทรศัพท์ แอบอ่านแชท หรือแอบค้นข้าวของส่วนตัวต่างๆ เพื่อเช็กว่าลูกๆ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือไม่ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสาเหตุทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลง ทั้งที่จริงแล้วสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการ “พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา” เมื่อพ่อแม่เห็นว่าวัยรุ่นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป แทนที่จะละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูก ลองเปลี่ยนเป็น ถามตามตรงด้วยความห่วงใย แล้วให้โอกาสวัยรุ่นได้อธิบาย หรือเล่าเรื่องราวของตนเองเท่าที่อยากเล่า โดยมีพ่อแม่คอยรับฟังและให้ความช่วยเหลือ โดยที่ไม่ด่วนสรุป ไม่ตัดสิน ไม่นำไปพูดต่อ และไม่นำปัญหานี้กลับมาพูดถึงซ้ำๆ ในอนาคต
ในขณะที่วัยรุ่นเอง หากรู้สึกว่าถูกพ่อแม่รุกล้ำ คุกคามความเป็นส่วนตัว หรือทำให้สูญเสียความไว้วางใจ ก็สามารถลองเปิดใจคุยกับพ่อแม่ตามตรงได้ เพราะความแตกต่างของวัยและความเป็นห่วงที่มากเกินไป ก็อาจทำให้พ่อแม่เผลอทำพฤติกรรมเหล่านั้นไปโดยไม่รู้ตัวค่ะ
เพราะครอบครัวที่น่าอยู่ คือครอบครัวที่เราสามารถไว้ใจ พูดคุยกันได้ทุกเรื่องนะคะ
น้องๆ ชาว Dek-D ล่ะคะ เคยมีประสบการณ์เปิดใจปรึกษาเรื่องอะไรกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง? แล้วผลเป็นอย่างไร ให้คะแนนคุณพ่อคุณแม่ในฐานะที่ปรึกษามากแค่ไหน มาแชร์กันได้นะ
รายการอ้างอิงhttps://raisingchildren.net.au/https://www.verywellmind.com/ https://www.verywellfamily.com/https://www.healthyfamiliesbc.ca/https://www.verywellfamily.com/
2 ความคิดเห็น