Spoil
- สภาพสังคมที่มีความไม่ยุติธรรม ไม่เท่าเทียม ทำให้หลายคนถอดใจ ไม่อยากต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพราะคิดว่าสู้ไปก็ไร้ความหมาย
- ภาวะนี้เรียกว่า Learned Helplessness หรือ การเรียนรู้จะอยู่อย่างสิ้นหวัง
- แต่การไม่สิ้นหวัง คือคีย์สำคัญของความสำเร็จ ตามทฤษฏี Learned Optimism
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่นักเก็ตเชื่อว่าน้องๆ หลายคนต้องได้เห็นกระแส “ย้ายประเทศ” ที่กำลังร้อนแรงมากจากกลุ่มเฟซบุ๊ก ซึ่งมีสมาชิกเพิ่มอย่างรวดเร็วจนทะลุล้านไปแล้วตอนนี้! ทำให้สังคมถึงกับตั้งคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น?
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ รวมถึงการระบาดของ Covid-19 ล้วนมีส่วนทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง หดหู่ เหนื่อยจะต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ ทำได้แค่ใช้ชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ แต่ก็ยังมีบางคนที่พยายามหาทางออก เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไร้ทั้งความฝันและความหวังแบบนี้
ซึ่งถ้าพูดถึงกระแสย้ายประเทศ ก็สามารถมองได้ในหลายแง่มุมเลยค่ะ แต่วันนี้พี่นักเก็ตจะมาพูดถึงปรากฎการณ์หนึ่งทางจิตวิทยา ที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เป็น ภาวะที่ผู้คนเรียนรู้จะอยู่อย่างสิ้นหวัง หรือเรียกว่า Learned Helplessness
ปัจจุบัน หลายคนพบว่าตนเองกำลังรู้สึกสิ้นหวัง จากการริดรอนสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงความไม่เท่าเทียมในการใช้ชีวิตต่างๆ ส่งผลให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสิ้นหวัง มองไม่เห็นอนาคตหลังจากนี้ ไหนจะปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิต การทำงาน และการเรียน ต่อให้มีบางคนพยายามปรับตัวหรือต่อสู้ แต่กลับพบว่ามันไม่ได้สำเร็จเสมอไป ยิ่งทำให้เราหมดหวัง และเริ่มฝันจะหนีออกไปจากประเทศนี้
การเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสิ้นหวัง (learned helplessness) เป็นปรากฎการณ์ทางจิตวิทยา เมื่อมนุษย์เรียนรู้และคุ้นเคยกับความสิ้นหวัง ทำให้แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยังสามารถต่อสู้ได้ แต่ภาวะความรู้สึกสิ้นหวังจะทำให้มนุษย์หยุดการต่อสู้ ปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรม ไม่เอาอะไรอีกต่อไป
การเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสิ้นหวัง ถูกค้นพบโดยนักจิตวิทยาที่ชื่อ มาร์ติน เซลิกแมน (Martine Seligman) ในปี 1960 โดยเซลิกแมนได้ทำการทดลองกับสุนัข ซึ่งเป็นการทดลองที่ผิดจรรยาบรรณในปัจจุบัน แต่ทำกันเป็นปกติในช่วงเวลานั้น ดังนั้นใครที่รักสุนัขพี่นักเก็ตแนะนำว่าควรทำใจดีๆ ก่อนอ่านวิธีการทดลองนี้ หรือข้ามไปเลยจะดีกว่านะคะ ส่วนใครที่ไหว เรามาไปต่อกัน
(Trigger warning : เนื้อหามีการทรมานสัตว์)
การทดลองนี้ของเซลิกแมนแบ่งสุนัขออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน
กลุ่มที่ 1 : สุนัขที่ใส่ปลอกคอเฉยๆ
กลุ่มที่ 2 : สุนัขที่ใส่ปลอกคอช็อตไฟฟ้า แต่สามารถวิ่งไปเหยียบคานเพื่อให้ไฟหยุดได้
กลุ่มที่ 3 : สุนัขที่ใส่ปลอกคอช็อตไฟฟ้า โดยที่ไม่มีวิธีใดสามารถหยุดการช็อตได้
หลังจากให้สุนัขใช้ชีวิตกับปลอกคอทั้ง 3 แบบจนเคยชิน เซลิกแมนจึงนำสุนัขทั้ง 3 กลุ่มมาไว้ในพื้นที่เดียวกัน โดยมีรั้วเตี้ยๆ กั้นเป็น 2 อาณาเขต คือ เขตที่พื้นสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาช็อตได้ และเขตที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า ความน่าสนใจคือ เมื่อเริ่มการทดลอง สุนัขจากกลุ่มที่ 1 และ 2 สามารถกระโดดหนีพื้นช็อตไฟฟ้าไปยังอีกเขตที่ปลอดภัยได้ในเวลาไม่นาน แต่สุนัขกลุ่มที่ 3 กลับหยุดนิ่งให้ไฟช็อต โดยไม่มีการหลบหนีใดๆ
การศึกษานี้ทำให้เซลิกแมนสรุปได้ว่า สุนัขกลุ่มที่ 3 นั้นคุ้นเคยกับความสิ้นหวังจากปลอกคอที่ไม่สามารถหยุดกระแสไฟฟ้าได้ ทำให้มันฝังใจว่าไม่มีอะไรจะช่วยหยุดยั้งความทรมานของมัน ต่อให้เวลานี้มีทางออกอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม สิ่งนี้เรียกว่า Learned Helplessness หรือ การเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสิ้นหวัง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเซลิกแมนทดสอบกับหนู ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
การทดลองนี้แสดงให้เห็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้ในสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และมนุษย์ เมื่อเจอความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดความเคยชิน และสูญเปล่าในการต่อสู้ จึงเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสิ้นหวัง แม้จะมีอีกหนึ่งทฤษฏีวิวัฒนาการที่บอกว่า "สิ่งมีชีวิตล้วนปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด" ยิ่งในสถานการณ์คับขัน ร่างกายจะยิ่งมีการตอบสนองผ่าน กระบวนการสู้หรือถอย (fight or flight) แต่ถ้าหากเราเกิดความรู้สึกสิ้นหวังจนฝังใจซ้ำๆ ก็จะเริ่มท้อกับการต่อสู้ใดๆ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดเป็นภาวะ Learned Helplessness และกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมายในที่สุด
ฟังแล้วมันช่างดาร์คและหดหู่เลยใช่ไหมคะ ว่ากว่าที่เราจะมาถึงจุดที่ยอมแพ้ต่อทุกสิ่งได้ เราก็ต้องผ่านความผิดหวังและเจ็บปวดมามากมายนับไม่ถ้วน แต่เซลิกแมนก็ยังมุ่งหน้าศึกษาต่อและพบว่า ถึงจิตใจของเรานั้นเรียนรู้ที่จะอยู่แบบสิ้นหวังได้ แต่ก็สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีความหวังได้เช่นเดียวกันค่ะ กลายเป็นทฤษฏี การเรียนรู้ในเชิงบวก (Learned Optimism) หนึ่งในการศึกษาจิตวิทยาเชิงบวก หรือ Positive Psychology นั่นเอง
จากการศึกษาเรื่องนี้ เซลิกแมนพบว่า มุมมองและทัศนคติมีผลต่อการประสบความสำเร็จในหลายๆ เรื่อง คนที่มองโลกในแง่ดีจะประสบความสำเร็จกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย และคนที่มองโลกในแง่ร้ายมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าสูงกว่า ซึ่งเซลิกแมนได้ทำการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังในช่วงเรียนปริญญาเอก จนเกิดเป็นจุดเปลี่ยนขึ้นมา และเขาก็ได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า Learned Optimism เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อาจส่งผลให้เราหลายคนสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดไฟ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไปนะคะ อย่าเพิ่งเป็นสุนัขกลุ่มสุดท้ายที่อยู่นิ่งๆ ให้ตัวเองเจ็บปวด ทั้งที่บางปัญหาเรายังสามารถต่อสู้กับมันได้ การย้ายประเทศอาจเป็นอีกหนึ่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดสำหรับหลายคน แต่การพัฒนาตนเอง หรือการลองมองหาหนทางอื่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้เช่นเดียวกันค่ะ ทั้งนี้พี่นักเก็ตเคารพการตัดสินใจของน้องๆ ทุกคน ตราบใดที่น้องๆ ยังรู้สึกไม่หมดหวัง และยังอยากจะสู้อยู่ พี่นักเก็ตก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านสถานการณ์และช่วงเวลาอันยากลำบากแบบนี้กันไปให้ได้ค่ะ
ใครเคยมีความรู้สึกสิ้นหวังแบบนี้ และผ่านมันมาได้อย่างไรบ้าง เล่าสู่กันฟังได้นะคะ
รายการอ้างอิงhttps://ppc.sas.upenn.edu/https://www.macmillanlearning.com/https://positivepsychology.com/
3 ความคิดเห็น
ชอบหลักจิตวิทยาที่มีการทดลองแล้วแบบนี้ครับ เห็นภาพดี
แต่เอาจริงๆก็แอบคิด ทำไมเราต้องมานั่งพัฒนา Mental Health ของตัวเองเพื่อรับมือกับเรื่องพวกนี้ด้วย ทั้งๆที่ต้นเหตุก็ไม่ใช่เรา แต่ก็นั่นแหละครับ โลกนี้มันไม่ยุติิธรรมเหมือนหัวข้อจริงๆ