Spoil
- เมื่อมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นท่ามกลางคนเยอะๆ ตามหลักจิตวิทยา ผู้คนจะเกิดการเกี่ยงความรับผิดชอบ คิดว่าเดี๋ยวคนอื่นก็ช่วยเอง เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วย
- หรือบางคนก็เห็นเหตุร้าย แต่มองว่าคนรอบๆ ข้างยังไม่มีใครเข้าไปช่วยเลย อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้ และเกิดความอายที่จะเป็นคนเดินเข้าไปช่วยคนแรก
- สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายครั้งเหยื่อถูกทำร้ายอย่างรุนแรง แม้จะอยู่ในที่พลุกพล่าน และยังเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ Cyberbully ไม่หมดไปจากสังคมออนไลน์ด้วย
พี่นักเก็ตเชื่อว่า ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า ไทยมุง หรือ เหตุการณ์ไทยมุง โดยเฉพาะเวลามีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้น เราก็มักจะเห็นผู้คนชอบเข้าไปมุงดู บางครั้งก็ช่วยเหลือ แต่บางครั้งก็แค่มุงเฉยๆ หรือบางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นในสถานที่โล่งแจ้ง ซึ่งมีผู้คนผ่านไปมาเยอะมาก แต่กลับไม่มีใครเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลยซักคนเดียว
การเห็นคนกำลังเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทั้งที่เป็นสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย เช่น เหตุการณ์รถชน เหตุการณ์คนถูกทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่เหตุการณ์ Cyberbully บนโลกออนไลน์ ไม่ได้เกิดจากการขาด Empathy หรือ การขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เท่านั้น แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งด้วย
วันนี้พี่นักเก็ตจะมาอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาสังคมที่มีชื่อว่า Bystander Effect หรือ Bystander Apathy ให้เข้าใจกันค่ะ
Bystander Effect คือปรากฏการณ์ที่อธิบายว่า ทำไมกลุ่มผู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ จึงมีพฤติกรรมไปในทางเดียวกัน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีบุคคลต้องการความช่วยเหลือ ยิ่งมีผู้พบเห็นมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือน้อยเท่านั้น
ใครที่ไม่เชื่อว่าพี่นักเก็ตพูดเรื่องจริง ก็จะขอย้อนเล่าไปถึงเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในปีค.ศ.1964 แล้วกันค่ะ เหตุการณ์นี้เป็นเหตุฆาตกรรมหญิงสาวเจ้าของบาร์แห่งหนึ่ง ชื่อว่า Catherine Genovese วันนั้นเธอเลิกงานราวๆ ตีสามกว่า ระหว่างเดินกลับอพาร์ตเมนต์เธอถูกคนร้ายแทงหลายครั้งจนสิ้นชีวิต โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์มากถึง 38 คน แต่กลับไม่มีใครสักคนที่เข้ามาช่วยเธอ แม้ว่าเธอจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแล้วก็ตาม โดยผู้เห็นเหตุการณ์บางส่วนได้เล่าว่า พวกเขาได้ยินเสียงเธอ แต่ต่างคิดในใจว่าน่าจะมีคนโทรแจ้งตำรวจแล้ว และเดี๋ยวคงมีใครออกไปช่วยเธอเอง โดยที่ในความเป็นจริงนั้น กว่าตำรวจจะไปถึงเธอก็เสียชีวิตแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ถูกบันทึกไว้ในชื่อ Genovese Syndrome ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ใช้อธิบายพฤติกรรม Bystander Effect ของมนุษย์ได้มากที่สุด
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรม Bystander Effect คือสิ่งที่เรียกว่า การกระจายความรับผิดชอบ (Diffusion of Responsibility) สิ่งนี้ทำให้ยิ่งมีจำนวนคนเห็นเหตุการณ์มากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับการช่วยเหลือน้อยลงเท่านั้น เพราะบุคคลจะคิดว่า เดี๋ยวคงมีคนอื่นเข้าไปช่วย ไม่จำเป็นต้องเป็นเรา ทำให้เกิด การเพิกเฉยร่วมกัน (Pluralistic Ignorance) เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างที่เราอยู่ร่วมกับคนมากๆ นั้น เรามักจะมองไปรอบข้างโดยอัตโนมัติเพื่อสังเกตว่าคนอื่นๆ มีปฏิกิริยา (reaction) อย่างไร แล้วนำมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ถ้ามองไปแล้วไม่เห็นมีใครช่วยเหลือก็จะรู้สึกว่า นี่คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร หากเข้าไปช่วยอาจกลายเป็นตัวตลกได้ แน่นอนว่าหากทุกคนคิดแบบนี้ สุดท้ายก็จะไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเลย
เพื่อรู้จัก Bystander Effect ให้มากขึ้น บิบบ์ ลาตาเน (Bibb Latane) และ จอห์น ดาร์เลย์ (John Darley) ได้ทำการทดลองที่ชื่อว่า Smoke Filled Room โดยแบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม แล้วให้เข้าไปอยู่ในห้อง จากนั้นปล่อยควันเข้ามาเพื่อดูว่าจะมีใครแจ้งเรื่องควันหรือไม่ ผลคือ ผู้ร่วมทดลองกลุ่มที่ 1 ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว มีสถิติแจ้งเจ้าหน้าที่มากถึง 75% ถัดมาคือผู้ร่วมทดลองกลุ่มที่ 2 ซึ่งมี 3 คนภายในห้องเดียวกัน มีสถิติการแจ้งเจ้าหน้าที่ลดลงเหลือ 38% และสุดท้ายผู้ร่วมทดลองกลุ่มที่ 3 ซึ่งมีผู้ร่วมทดลอง 1 คนและหน้าม้า 2 คน แต่หน้าม้าจะไม่สนใจผู้เข้าร่วมทดลองและขาดปฏิสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง พบว่ากลุ่มนี้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่เพียง 10% เท่านั้น
การทดลองนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการกระจายความรับผิดชอบ ยิ่งมีคนจำนวนมากอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นคนที่เราไม่รู้จักหรือไม่สนิทสนม ก็ยิ่งทำให้เราปัดความรับผิดชอบออกไปจากตัวเองมากขึ้น และไม่ได้เกิดกับโลกภายนอกเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์นี้ยังเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ด้วย เห็นได้ชัดจากปัญหา Cyberbully ในปัจจุบัน ที่มีให้เห็นทั่วไปบนโลกอินเทอร์เน็ตซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่เมื่อมีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น หลายคนกลับมองเป็นเรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องของตนเอง และเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ยิ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆ หลายคนก็ยิ่งมีความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ (Empathy) ลดลง จนบางครั้งกลายเป็นความเพิกเฉยต่อความรุนแรง (Apathy) เพราะเราต่างเคยชินกับมันจนไม่รู้สึกอะไร ดังนั้นในเมื่อเรารู้จัก Bystander Effect แล้ว ก็อย่าปล่อยให้มันครอบงำนะคะ เมื่อเจอคนที่เดือดร้อน อย่ามัวรีรอ มองซ้ายมองขวา หรือคิดว่าเดี๋ยวคนอื่นก็คงไปช่วย แต่ให้เริ่มจากตัวเรา โดยที่ไม่ต้องมัวเขินอายอะไร เพราะหากมัวแต่เขินหรือลังเลจนทุกอย่างสายเกินไป ก็จะเป็นเราเองที่มารู้สึกผิด แล้วคิดว่า “รู้งี้...” ทีหลังค่ะ
น้องๆ ชาว Dek-D เคยมีประสบการณ์พบกับ Bystander Effect หรือเป็นกับตัวเองบ้างไหมคะ ลองมาแชร์กันได้นะ
รายการอ้างอิงhttps://www.psychologytoday.com/https://www.simplypsychology.org/https://esrc.ukri.org/https://www.psychestudy.com/
1 ความคิดเห็น