Spoil
- Spotlight Effect คือความเอนเอียงของจิตใจ โฟกัสการกระทำของตัวเองมากไปจนคิดว่าคนอื่นจะมาโฟกัสสิ่งที่เราทำด้วย
- เกิดขึ้นได้ทั้งในเรื่องที่เราอับอาย และเรื่องที่เราภูมิใจมากๆ ถ้าเป็นเรื่องที่อับอาย จะทำให้เราวิตกกังวล และมูฟออนจากความผิดพลาดได้ยาก
- ลองปรับมุมมอง คิดว่าถ้าเราเป็นคนอื่นจะคิดยังไงกับเรื่องที่คิดขึ้น แล้วอาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องนอยด์มากขนาดนั้นเลย เพราะคนสนใจแค่แป๊บๆ เดี๋ยวก็ลืมแล้ว
หลายๆ คนน่าจะไม่ชอบและรู้สึกอึดอัด เวลาทำอะไรแล้วมีสายตามาจับจ้อง ไม่ว่าจะเป็น...
- ออกไปพรีเซนต์งานหน้าห้อง
- ขึ้นไปรับรางวัลหน้าเสาธง
หรือแม้แต่เรื่องน่าอายๆ อย่าง...
- การใส่ชุดนักเรียนผิดวัน
- กินข้าวแล้วผักติดฟัน
- สะดุดล้มกลางสนาม
- เผลอทำก๊อกแตกที่แทงค์น้ำ ฯลฯ
ที่ว่ามาแต่ละอย่างเป็นอะไรที่เสียเซลฟ์สุดๆ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้เลยว่าต้องถูกจ้องแล้วก็หัวเราะแน่ๆ ถ้าขุดดินแล้วมุดหนีออกไปจากตรงนั้นได้ ก็จะมุดออกไปเดี๋ยวนั้นเลย!
ในเมื่อเหตุการณ์ตัวอย่างที่ว่ามาทั้งหมด เป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวันกับทุกคน วันนี้พี่นักเก็ตเลยจะมาพูดถึงปรากฎการณ์ “Spotlight Effect” ซึ่งเป็นทฤษฏีทางจิตวิทยา ว่าด้วยความเอนเอียงทางความคิด (cognitive bias) เกิดขึ้นเมื่อเราประเมินว่าคนอื่นๆ จะสนใจหรือแคร์สิ่งที่เรากำลังสนใจ “มากกว่าความเป็นจริง” ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ เช่น เมื่อเสื้อของเรามีรอยเปื้อน แล้วเรากังวลมากว่ามันจะดูไม่ดี ทั้งที่จริงๆ แทบไม่มีใครสังเกตเห็นเลย ยกตัวอย่างแบบนี้พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมคะ
ในปี 2000 มีนักจิตวิทยาชื่อ โทมัส กิโลวิช ทำการทดลองเกี่ยวกับ Spotlight Effect ด้วยการแบ่งนักศึกษาในคลาสออกเป็น 3 กลุ่มแล้วให้ทำแบบสำรวจ ด้วยการเตรียมนักศึกษา 1 คนให้มาช้ากว่าคนอื่น 5 นาที และใส่เสื้อสีเหลืองสกรีนหน้า แบร์รี แมนิโลว์ ศิลปินระดับตำนาน ซึ่งเป็นเสื้อที่หากใครสวมใส่จะต้องรู้สึกอับอาย ก่อนเข้าห้อง โทมัสถามนักศึกษาคนนั้นว่า “คิดว่าจะมีกี่คนที่สามารถจำนักร้องบนเสื้อของคุณได้” นักศึกษาคนนั้นคาดเดาไว้ที่ 50% แต่ผลการทดลองปรากฏว่า มีเพียง 25% เท่านั้นที่จำได้
การทดลองครั้งที่ 2 โทมัสให้นักศึกษาคนนั้นใส่เสื้อนานขึ้น เพื่อสร้างความรู้สึกคุ้นเคย แล้วถามคำถามเดิมใหม่ พบว่านักศึกษาคนนี้ประเมินว่าจะมีคนสนใจตนเองน้อยลง เพราะความคุ้นชินทำให้คิดว่าเสื้อตัวนี้ไม่ได้โดดเด่นหรือมีความน่าดึงดูดมากเท่าที่กังวลในตอนแรก ชี้ให้เห็นว่า แท้จริงเราคนเรามักจะประเมินสิ่งที่กำลังสนใจในระดับ “มากกว่าความเป็นจริง” ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจ รู้สึกอาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้ดึงดูดสายตาคนรอบข้างขนาดนั้น ที่สำคัญ สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะเรื่องที่น่าอายเท่านั้นนะคะ แต่อาจเกิดขึ้นกับเรื่องที่เราภูมิใจมากๆ ก็ได้ด้วย เช่น เมื่อเราซื้อกระเป๋าใบใหม่ เมื่อเราน้ำหนักลดลง 1 กิโล หรือเมื่อเราเพิ่งไปแข่งกีฬาชนะมาเมื่อวาน เป็นต้น
การทำงานของ Spotlight Effect นั้นคล้ายกับปรากฏการณ์ Illusion of Transparency หรือ การที่เราคิดว่าคนอื่นสามารถเข้าใจเราได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ที่บอกว่าคล้ายกันก็เพราะว่าทั้ง 2 ปรากฏการณ์นี้เกี่ยวข้องกับที่เราโฟกัสความคิดและการกระทำของตนเองมากเกินไป จนคิดว่าคนอื่นๆ จะต้องมีมุมมองที่คล้ายเรา ทำให้เกิด ความเอนเอียงจากการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric bias) โดยลืมว่าคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจเรื่องของเรามากขนาดนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ต่างโฟกัสกับเรื่องของตัวเองมากเป็นอันดับ 1 ค่ะ
เมื่อ Spotlight Effect เกิดขึ้นกับตัวเรา หากเป็นในทางน่าอับอาย พี่นักเก็ตก็เข้าใจเลยว่ามันควบคุมยาก เพราะเราจะรู้สึกวิตกกังวล และทำในสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดี เช่น เตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อพรีเซนต์งานหน้าห้อง แต่พอเจอสายตาของเพื่อนๆ ที่จ้องมาทำให้เราเกร็ง กลัวความผิดพลาด และกลายเป็นว่าทำได้ไม่ดีเท่าตอนอยู่คนเดียว เราจึงจำเป็นต้องรู้เท่าทัน Spotlight Effect เอาไว้เพื่อให้ความคิดในแง่ลบที่เกิดขึ้นนั้นเบาบางลง จำไว้ว่าเมื่อเกิดเรื่องน่าอายขึ้นเมื่อไหร่ ถึงจะถูกมอง ถูกหัวเราะ หรือมีคนหันมาสนใจ แต่พวกเขาจะอยู่กับมันไม่นานหรอกค่ะ สุดท้ายทุกคนก็จะค่อยๆ ลืมมันไปเอง
แต่ถ้าคิดแบบนี้แล้วยังหยุดความอับอายไม่ได้ พี่นักเก็ตก็มี 2 เทคนิคง่ายๆ มาให้ลองทำตามดูนะ!
เทคนิคที่ 1 : ถอยห่างจากมุมมองของตัวเอง (self-distancing)
การที่เราเครียด และวิตกกังวลถึงสิ่งที่เราทำพลาด เพราะความเอนเอียงจากการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric bias) ทำให้เรามูฟออนจากความอับอายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นลองใช้วิธี Self-distancing หรือ การถอยห่างจากตัวเอง ดูค่ะ ตอนที่เรากำลังนอยด์สุดๆ ว่าคนอื่นจะมองเรายังไง ให้ลองถอยออกมา แล้วปรับมุมมองใหม่ว่าถ้าเราเป็นคนอื่น จะคิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ถ้าวันนี้เราเขินที่ใส่เสื้อยับ ลองคิดว่าตอนที่เราเห็นคนอื่นใส่เสื้อยับ เราสนใจเขาขนาดไหน แล้วจะพบว่ามันไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นเลย อาจช่วยให้ความอายของเราลดลงได้นะคะ
เทคนิคที่ 2 : เช็กกับเพื่อน
ถ้ายังรู้สึกไม่มั่นใจ ความคิดเห็นจากคนอื่นก็อาจช่วยเราได้ ในเวลาที่เรารู้สึกอาย ไม่มั่นใจ หรือมูฟออนไม่ได้จากเรื่องที่ทำพลาดไป ลองถามเพื่อนสนิทหรือคนที่ไว้ใจดูค่ะ ว่าเขารู้สึกยังไงบ้างกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นที่น่าจดจำขนาดนั้นไหม? วิธีนี้จะทำให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ได้บนหลักแห่งความจริง ไม่ใช่แค่ความคิดของเราเพียงฝ่ายเดียว แล้วก็อาจพบว่า มันไม่ได้น่าอายขนาดนั้นเลย
อย่างไรก็ตาม Spotlight Effect ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างนะ คือช่วยให้เราได้ระมัดระวังตัว ไม่ทำผิดพลาดต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะเวลาทำงานหรือเรียนหนังสือ และยังอาจเป็นแรงผลักดันให้เรามีสติมากขึ้น และระวังความประพฤติของตัวเองมากขึ้น หากเรารู้จักใช้ Spotlight Effect ในจุดที่สมดุล ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ก็จะกลายเป็นการเพิ่มทักษะเข้าสังคมได้ค่ะ
น้องๆ ชาว Dek-D มีใครที่ขี้อายขนาดหนักบ้างไหมคะ และมีเคล็ดลับอะไรในการต่อสู้กับความอายของตัวเองบ้าง ลองมาคอมเมนต์บอกเคล็ดลับกันหน่อยค่ะ
รายการอ้างอิงhttps://www.psychologytoday.com/https://effectiviology.com/http://psychology.iresearchnet.com/
0 ความคิดเห็น