Teen Coach EP.26 : "ล้อตัวเองเจ็บน้อยกว่า" จริงเหรอ?

Spoil

  • การล้อเลียนตัวเอง ทำให้เราดูมีเสน่ห์ ขี้เล่น เป็นกันเอง แต่บางทีก็เป็นการเน้นย้ำจุดอ่อนให้คนอื่นเห็นชัดขึ้นเช่นกัน
  • บางคนล้อตัวเองเยอะมากจนเริ่มอิน คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ และส่งผลต่อสุขภาพจิต
  • เราล้อตัวเองแต่ต้องมีลิมิต และต้องระวังให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย

“เราดูดีนะ แต่ไม่ดูจะดีกว่า”

“มั่นใจเทอมนี้สอบได้ที่ 1 แน่ๆ แต่นับจากข้างล่างนะ”

“ก่อนกินอาหารที่เราทำ อย่าลืมเตรียมยาถ่ายไว้ด้วยนะ”

คำพูดขำๆ พวกนี้ที่หลายคนบอกว่า “เล่นตัวเองเจ็บน้อยกว่า” มีคำเรียกเท่ๆ ในภาษาอังกฤษว่า Self-Deprecating Humor หรือ มุกตลกล้อเลียนตัวเอง ซึ่งเราเห็นได้มากทั้งจากรายการทีวี, Stand-up Comedy รวมถึงในชีวิตประจำวัน

หลายคนเลือกจิกกัดตัวเองเพื่อสร้างบรรยากาศการสนทนาให้ดีขึ้น หลายคนทำเพื่อไม่ให้ดูหลงตัวเองจนเกินไป แต่ก็ยังมีอีกหลายคนเลือกใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดความไม่มั่นใจบางอย่าง

ดังนั้นใครที่ชอบเล่นมุกแบบนี้ จึงอาจจะต้องระวังให้ดี ว่าเรากำลังใช้มันในแง่ไหนค่ะ

ในงานวิจัยที่ชื่อ Reconsidering self-deprecation as a communication practice พบว่ามีหลายคนเลือกเล่นมุกล้อเลียนตัวเอง (self-deprecation) เพื่อให้ดูเป็นคนที่ถ่อมตัว หรือเพื่อสร้างบรรยากาศดีๆ ให้วงสนทนา และยังพบว่าคนที่อยู่ในระดับสูงมากๆ (เช่น เก่งมาก สวย-หล่อมาก หรือรวยมาก) ยังใช้วิธีจิกกัดตัวเองบ้างเพื่อให้ดูติดดิน เข้าถึงง่าย และได้รับการยอมรับมากขึ้น

แต่ทุกเหรียญย่อมมี 2 ด้าน ถ้าการล้อเลียนตัวเองมันดีขนาดนี้ ทำไมมีบางคนเลือกจะไม่เล่นมุกแบบนี้ล่ะ?

จากบทความหนึ่งในวารสารวิชาการ Journal of Evolutionary Psychology ได้ให้ข้อมูลว่า คนที่เล่นมุกล้อเลียนตัวเองมักถูกมองว่ามีเสน่ห์ น่าคบหา แต่ก็มีกรณีที่การล้อเลียนตัวเอง กลายเป็นการเน้นย้ำจุดอ่อนของเราให้เด่นชัดยิ่งขึ้น จนมีสิทธิ์เกิด awkward moment มากกว่าความสนุกสนาน และในบางราย การจิกกัดตัวเองยังสามารถกลายเป็น พฤติกรรมบั่นทอนตัวเอง (self-sabotage) ได้ด้วย

บางครั้งการจิกกัดตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องตลก

การที่เราเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ถือตัว คอยสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ อาจเป็นเรื่องที่ดีส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่ง การคอยแต่จะโจมตีตัวเอง หรือการไม่กล้าภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเองนั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจทั้งตัวเราและคนรอบข้างได้ เพราะมันทำให้เราพึงพอใจในตัวเองน้อยลง (low self-esteem) มองตัวเองในด้านลบมากขึ้น (less optimistic) จนเกิดเป็นความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า (depression)

แล้วเมื่อไหร่ล่ะ? ที่เราควรหยุดจิกกัดตัวเอง

แม้มุกตลกแบบนี้จะมีข้อดีในการสร้างสีสันให้วงสนทนา แต่เราอาจต้องเพลาๆ ลงบ้างเมื่อมันกลับมาส่งผลกระทบบางอย่างต่อตัวเราเอง สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าควรหยุดหรือไปต่อ พี่นักเก็ตแนะนำให้ลองสังเกตดูค่ะ ว่าเรากำลังเข้าข่าย 5 ข้อนี้รึเปล่า

เมื่อเราเริ่มกลัวคำชื่นชม

แม้คำชื่นชม(ส่วนใหญ่)จะเกิดจากเจตนาดี แต่บางคนกลับรู้สึกกลัว อึดอัด และแพนิกเมื่อถูกชม เพราะเอาแต่คิดว่าไม่อยากเป็นคนที่น่าหมั่นไส้ จึงใช้วิธีตลกกลบเกลื่อนเพื่อปัดตกคำชมเหล่านั้น ซึ่งพฤติกรรมไม่ยินดีกับคำชื่นชมแบบนี้แหละอาจทำให้เกิด ภาวะพึงพอใจในตนเองต่ำ (low self-esteem) นอกจากนี้ในบางคนยังรู้สึกหวาดระแวง และไม่เชื่อในคำชมเหล่านั้น จนกลายเป็น อาการแพนิก ได้ด้วย

สำหรับใครที่เป็นแบบนี้ พี่นักเก็ตขอแนะนำให้เริ่มง่ายๆ จากการเปลี่ยนตัวเองดูบ้าง แทนที่เราจะเล่นมุกโปกเฉไฉทุกครั้งเวลาได้รับคำชม ลองเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้ว “ขอบคุณ” สำหรับคำชมนั้นดู แรกๆ อาจจะเขินอยู่บ้าง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ยากเลยค่ะ หรือจะลองแกล้งๆ ชมตัวเองหน้ากระจกบ้างก็ได้นะ

เมื่อเราเริ่มล้อตัวเองจนเป็นนิสัย

อาจจะไม่รู้ตัว แต่ลองสังเกตว่าใน 1 วันเราจิกกัดตัวเองไปมากเท่าไหร่ บางคนรู้ตัวอีกทีก็พบว่าไม่ว่าบทสนทนาไหน สมองจะสั่งการให้เราจิกกัดตัวเองได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เราทั้งเสียบุคลิกภาพและดูเป็นคนไม่มีความมั่นใจ ไม่น่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือ ในบางครั้งแทนที่การจิกกัดตัวเองของเราจะเป็นเรื่องขำๆ แต่กลับไปกระตุ้นให้คนอื่นคิดเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของเขาขึ้นมาแล้วรู้สึกไม่สบายใจได้ด้วยนะ ทำให้แทนที่จะสร้างพลังบวกในวงสนทนา กลายเป็นพลังด้านลบขึ้นมาก็มีค่ะ

ดังนั้นหากเริ่มติดเป็นนิสัยเมื่อไหร่ พี่นักเก็ตว่าต้องลองเพลาๆ ดูบ้าง หรือถ้าพบเจอเพื่อนคนไหนที่เป็นแบบนี้ เราต้องเออออกับเขาให้น้อยลง และทำให้เขาเห็นว่าเขามีดีกว่าที่ตัวเองคิด ไม่ใช่ตัวตลกในสายตาเพื่อนๆ เสมอไปค่ะ

เมื่อเล่นมุกไปแล้วทั้งห้องกริบ...

มันจะมีอะไรเจ็บไปกว่าการเล่นมุกที่กะว่าคนทั้งห้องต้องขำเถิดเทิงแน่ๆ แต่ดันกริบ...โดยเฉพาะเป็นมุกที่เราเล่นตัวเอง มันก็จะเจ็บเป็นพิเศษ ดังนั้นหากเจอสถานการณ์แบบนี้เมื่อไหร่ เราต้องหยุดคิดแล้วนะคะ ว่ามุกที่เราเล่นออกไปนั้นทำให้คนฟังรู้สึกอึดอัดรึเปล่า อาจจะรุนแรงเกินไป หรือเป็นมุกที่เผลอไปสะกิดปมบางอย่างของคนอื่นเข้า ก็อาจจะต้องหยุดแล้วคิดให้ดีก่อนจะเล่นมุกแบบนี้ในครั้งหน้าค่ะ

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่จริงจัง เช่น พรีเซนต์งานต่อหน้าผู้คน สัมภาษณ์ทุนการศึกษา สัมภาษณ์งาน หรือสัมภาษณ์เพื่อเรียนต่อ เรายิ่งต้องระมัดระวังให้มาก เพราะผู้คนอาจคาดหวังที่จะเห็นความมั่นใจและความสามารถที่แท้จริงของเรา ไม่ใช่การพูดล้อเล่นจนชวนให้สับสน ดังนั้นการจะปล่อยมุกก็ต้องดูสถานการณ์และความเหมาะสมด้วยนะคะ

เมื่อเราอยู่คนเดียว แต่ก็ยังจิกกัดตัวเอง

ถ้าจิกกัดตัวเองเพื่อความบันเทิงของคนรอบข้าง พี่นักเก็ตว่ามันก็พอเข้าใจได้นะคะ แต่ถ้าอยู่คนเดียวแท้ๆ เราก็ยังมีความคิดแบบจิกกัดตัวเองอยู่อีก อันนี้ต้องระวังแล้วค่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราเริ่มอินกับคำจิกกัดตัวเองเหล่านั้น จนเริ่มมองตัวเองเป็นคนแบบนั้นจริงๆ และส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจในตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณว่าสุขภาพจิตของเรากำลังจะมีปัญหาแล้ว

วิธีแก้ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำก็คือ การเขียนไดอารี่ ค่ะ ลองหยิบสมุดขึ้นมา 1 เล่มแล้วบันทึกลงไปว่าในแต่ละวันเรามองตัวเองอย่างไรบ้าง จะทำให้เราได้ทบทวนความคิดของตัวเอง หรือถ้าวันนี้เขียนด้วยความรู้สึกในแง่ลบ พอวันหลังเปิดมาอ่านก็จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วควรจัดการตัวเองยังไง เสน่ห์ของไดอารี่ก็คือการให้เราได้ทบทวนตัวเองนี่แหละ ที่สำคัญคือไม่ต้องเขียนเองภาษาสวยงามก็ได้นะ เพราะเขียนเองอ่านเอง อยากจะเขียนแบบไหนก็เต็มที่เลยค่ะ

เมื่อเราล้อตัวเองเล่นๆ แต่ดันเจ็บจริง

อันนี้สำคัญมากเลยค่ะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราปล่อยมุกล้อตัวเองออกไปเล่นๆ ให้คนอื่นขำ แต่เราเริ่มไม่ขำ และยังรู้สึกว่าสิ่งที่พูดมันเรียล(สำหรับเรา)ขึ้นเรื่อยๆ อาจต้องรีบหยุดเล่นก่อนค่ะ อย่าลืมนะคะว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเล่นมุกล้อเลียนตัวเอง คือการทำให้ข้อเสียของเราเบาบางลง ไม่ใช่ยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกไม่มั่นใจตัวเองมากขึ้น

หากน้องๆ รู้สึกดาวน์กับตัวเองมากๆ เมื่อไหร่ การเปิดใจพูดคุยกับใครสักคนก็คือทางออกที่ดีนะคะ โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะมีวิธีมากมายในการฉุดให้น้องๆ ลุกขึ้นมามั่นใจและชอบตัวเองได้อีกครั้ง

พี่นักเก็ตบอกข้อควรระวังไปเยอะมากๆ จนน้องหลายคนอาจเข้าใจว่า "การใช้มุกล้อเลียนตัวเองนี่มันไม่ดีใช่รึเปล่า!?" แต่จริงๆ ไม่ใช่เลยค่ะ เพราะการสร้างเสียงหัวเราะในวงเพื่อน เราแกล้งตัวเองก็ต้องดีและดูน่ารักกว่าไปแกล้งเพื่อนอยู่แล้วใช่ไหมคะ มีงานวิจัยโดย Mind, Brain and Behavior Research Centre (CIMCYC) แห่ง University of Granada ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 1,068 คนพบว่า อารมณ์ขันแบบล้อเลียนตัวเองนี้ ถ้าหยิบมาใช้ได้ถูกเวลา จะทำให้เราจัดการกับความโกรธของตัวเองง่ายขึ้นด้วย เช่น เมื่อมีคนมาต่อว่าว่าเราไม่เห็นสวยเลย แล้วเราเล่นมุกกลับไปว่า “ใช่ นอกจากไม่สวยแล้วยังไม่รวยด้วยนะ” วิธีการรับมือแบบนี้นอกจากทำให้บรรยากาศการสนทนาดีขึ้น (ไม่ต้องลุกมาหัวร้อนโมโหกัน) ยังทำให้เราใจเย็นลง และปล่อยผ่านได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

เอาล่ะ ข้อดีก็มี ข้อเสียก็มีแบบนี้ เราก็ต้องใช้มันอย่างระมัดระวังหน่อยนะคะ จริงๆ พี่นักเก็ตคิดว่าเล่นตัวเองได้บ้าง พอน่ารักกรุบกริบ ก็เป็นสีสันของกลุ่มเพื่อนได้เหมือนกัน แค่อย่าเล่นเยอะเกินไป อย่าอินกับมัน แล้วก็ดูกาลเทศะซักหน่อย เราก็จะเป็นคนที่น่ารักมากๆ เลยค่ะ

น้องๆ ล่ะ เคยมีประสบการณ์ “เล่นตัวเองก่อน ได้เปรียบ” แบบนี้ไหมคะ แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรกันบ้าง รู้สึกว่าโอเคมากๆ หรือจริงๆ แล้วแอบนอยด์ ก็มาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ พี่นักเก็ตยินดีรับฟังเรื่องราวของทุกคนเลยค่ะ

 

รายการอ้างอิงhttps://www.verywellmind.com/https://www.talkspace.com/https://www.bustle.com/https://www.businessinsider.com/https://www.theguardian.com/https://www.independent.co.uk/

 

โค้ชพี่นักเก็ต

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น