Teen Coach EP.27 : 4 ขั้นตอน "ฮีล" ตัวเองของวัยรุ่น เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองหดหู่

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์บ้านเมืองของเราค่อนข้างย่ำแย่ หันไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหาหนักๆ ชวนให้รู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง ขาดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต เพราะเต็มไปด้วยข่าวสารที่บั่นทอนจิตใจ

นอกจากข่าวสารแล้ว ช่วงนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของทุกคนทั้งการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตที่ไม่สามารถออกไปพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างอิสระ แต่จำเป็นต้องเก็บตัวอยู่ในห้อง ในบ้าน คอยเสพข่าววนไป สลับกับรอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ฉีดวัคซีนที่ต้องการ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะ ที่สภาพจิตใจและอารมณ์ของหลายคนจะได้รับผลกระทบจนรู้สึกหดหู่ ไม่อยากทำอะไร หรือใครที่เซนซิทีฟมากๆ อาจรู้สึกถึงขั้นว่าตอนนี้มันหาความสุขในชีวิตไม่ได้เลย

จริงๆ แล้วไม่แปลกเลยค่ะที่เราจะรู้สึกแย่ เพราะความรู้สึกแย่นี้เกิดจากการที่เราไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ผิดเช่นกันนะคะ ถ้าเราจะหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเองบ้าง

การหมั่นดูแลสุขภาพจิตของตนเองในช่วงเวลาแบบนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ใครที่เริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว พี่นักเก็ตอยากให้ลองถอยออกมาพักดูแลจิตใจตัวเองบ้าง ด้วยการทำเรื่องที่มีความสุข เช่น กินอาหารอร่อยๆ อ่านหนังสือสนุกๆ ดูหนัง ฟังเพลง หวีดอปป้าหรือศิลปินที่ชื่นชอบ อย่าคิดว่าเป็นความผิดที่จะหาความสุขให้ตัวเองในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะทุกคนต้องการช่วงเวลาพักอารมณ์ พักสมอง พักใจ ตราบใดที่ไม่ได้เบียดเบียนหรือทำร้ายใครย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแน่นอนค่ะ นอกจากนี้การจำกัดเวลาเสพข่าว และเอาตัวเองออกจากความเครียดในช่วงก่อนนอนบ้าง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ค่ะ

เรื่องดีๆ คือ วันนี้พี่นักเก็ตมีอีกวิธีในการรับมือกับอารมณ์ทางลบของน้องๆ ตามหลักจิตวิทยามาแนะนำด้วยนะ วิธีนี้เรียกว่า Emotional Agility หรือ การยอมรับและทำความเข้าใจอารมณ์ของตนเอง ค่ะ

ก่อนอื่นต้องให้น้องๆ สำรวจตัวเองก่อนว่า เวลาที่รู้สึกหงุดหงิด โมโห หดหู่ เศร้า น้องๆ ทำยังไงกันคะ? พี่นักเก็ตเชื่อว่าส่วนใหญ่ถูกสอนมาคล้ายๆ กัน ว่าให้เก็บอารมณ์นั้นไว้ในใจ ห้ามแสดงออกมา เราต้องทำตัวเป็นคนมองโลกในแง่ดี ยิ้มสู้ คิดบวกเข้าไว้ ส่วนอารมณ์ทางลบไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ หรือแม้แต่ความกลัวก็ให้เก็บไว้ลึกๆ ในใจ และเราต่างทำแบบนั้นกันมาตลอด

แต่ในความเป็นจริง นักจิตวิทยาที่ชื่อ Susan David บอกเอาไว้ว่า การเอาแต่มองโลกในแง่ดีก็ส่งผลเสียกับเราได้ เพราะการไม่แสดงอารมณ์ด้านลบออกมาบ้าง จะทำให้เรารับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากขึ้น

มีงานวิจัยพบว่า การกีดกันหรือกดอารมณ์ทางลบไว้ ไม่สามารถทำให้อารมณ์นั้นหายไปไหนได้ เปรียบเสมือนการซุกปัญหาไว้ใต้พรม ที่มีแต่จะทำให้อารมณ์นั้นพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีมันก็เกินการควบคุมแล้ว ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจอารมณ์ของตนเอง ณ ปัจจุบัน เพื่อช่วยให้รับมือและจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นได้ โดยไม่ใช่แค่รับรู้และยอมรับเท่านั้น แต่เรายังต้องทำความเข้าใจ และไม่ตัดสินความรู้สึกที่เกิดขึ้นด้วย โดยใช้หลักการ 4 ข้อนี้ค่ะ

ยอมรับความรู้สึกของตนเอง ด้วยการปล่อยให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้นไม่ว่าจะบวกหรือลบ โกรธคือโกรธ ผิดหวังคือผิดหวัง เพื่อให้ได้ทำความเข้าใจสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถโฟกัสกับมันได้ การยอมรับความรู้สึกของตนเองแบบนี้จะทำให้เรามีสติรับรู้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะค่อยๆ จางลงได้เอง

 

ค้นหาสาเหตุที่ทำให้รู้สึก ลองมองว่าความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งมาจากอะไร แตกต่างไปจากที่ผ่านมาตรงไหน โดยปกติแล้วมนุษย์จะมีรูปแบบการแสดงอารมณ์เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เราแค่เพียงสำรวจและสังเกตว่าอารมณ์แบบนี้ควรจะต้องเริ่มจัดการมันจากตรงไหน

 

ขจัดอารมณ์ หรือมองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงโมเมนต์หนึ่ง หรือเป็นแค่พาร์ทหนึ่งของเรา ไม่ใช่ทั้งหมดของเรา มีเข้ามาและผ่านไป อย่าปล่อยให้มันมีอำนาจควบคุมเรา

 

หาคุณค่า หรือสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเรา และมองหาสิ่งที่เราเชื่อมั่น พยายามอยู่กับความรู้สึกปัจจุบัน หายโกรธเมื่ออยากหายโกรธ หายเศร้าเมื่ออยากหายเศร้า อย่ายึดติดว่าต้องโกรธหรือเศร้าตลอดไป ทุกอารมณ์มีผ่านมาและผ่านไปเป็นธรรมชาติของมัน

อาจจะฟังดูแล้วไม่ง่าย แต่ถ้าเราฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าไม่ยากเช่นกันค่ะ หากน้องๆ รับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ น้องๆ ก็จะมีสุขภาวะทางจิตที่ดีขึ้น เรียนและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเราเข้าใจตัวเรา ไม่ปิดกั้นความรู้สึกของเรา เราก็จะสามารถเยียวยาอารมณ์ด้านลบได้ไวขึ้นค่ะ

เทคนิคที่พี่นักเก็ตบอก น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เลยนะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยสถานการณ์น่าหดหู่แบบนี้ พี่นักเก็ตเข้าใจเลยค่ะว่าน้องๆ หลายคนต่างเข้มแข็งและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ มาเยอะมาก ดังนั้นวันไหนที่รู้สึกว่าไม่ไหว หรือเกินขีดจำกัดของตัวเองแล้วก็แค่ยอมรับมัน ค่อยๆ ฮีลตัวเองจนกว่าจะดีขึ้นแล้วค่อยกลับไปสู้ใหม่ พี่นักเก็ตขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ!

 

รายการอ้างอิงhttps://thehealthsessions.com/toxic-positivity/https://ideapod.com/emotional-agility-why-you-need-to-stop-trying-to-be-so-positive/https://youtu.be/EXeIIXGZglY และหนังสือเล่ม ‘เท่าทันอารมณ์ก็เข้าใจตนเอง Emotional Agility’ ผู้เขียน Susan David และผู้แปล วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
โค้ชพี่นักเก็ต

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม

กำลังโหลด
กำลังโหลด