การล่วงละเมิด ไม่ทำให้ตกหลุมรัก

Spoil

  • การอยู่ร่วมกันในสังคม เราต้องรู้สิทธิตนเอง และเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย
  • การล่วงละเมิดต่อกัน หากไม่ได้รับการยินยอมทั้งสองฝ่าย ไม่ควรปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
  • การล่วงละเมิดทางเพศ มีทั้งทางสายตา ทางวาจา และการสัมผัสทางกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการยินยอมแล้วถือเป็นการล่วงละเมิดทั้งสิ้น

รู้ไหม? การล่วงละเมิด ไม่ได้ทำให้ตกหลุมรัก!

แต่เป็นการ "ทำร้ายร่างกาย/ จิตใจ"

น้องๆ ชาว Dek-D ที่อ่านคอลัมน์ Sex Education อยู่ตอนนี้อาจจะยังเป็นเด็กวัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศ ซึ่งไม่ยากที่จะรู้เรื่องราวต่างๆ เลย เพราะทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจากสมัยพี่โด่งเป็นอย่างมากครับ อินเทอร์เน็ตทำให้ทุกอย่างแทบจะเชื่อมถึงกันหมด เมื่อเข้าถึงกันง่าย ก็ติดต่อพูดคุยคบหาทางไกลกันก็ง่ายไปด้วย

ถ้าตระหนักเรื่อง Privacy ก็จะไม่มี Harassment

เมื่ออินเทอร์เน็ตทำให้เราเข้าถึงกันและกันได้ง่ายมากขึ้น นอกจากมีความสะดวกสบายแล้ว สิ่งที่พี่อยากให้น้องๆ ชาว Dek-D ให้ความสำคัญไว้เป็นลำดับแรกเสมอคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) และสิทธิส่วนบุคคล (Privacy right)  ครับ เพราะหากเราตระหนักถึงความสำคัญเรื่องนี้มากเท่าไร การล่วงละเมิด (Harassment) ทั่วไป และ การล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual harassment) ยิ่งไม่ควรเกิดขึ้นมากเท่านั้น

การล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual harassment) 

หลายต่อหลายครั้งที่เราพบเห็น การล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual harassment) ปรากฏในสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งเราอาจไม่ทันคิดอะไร อาจมองเป็นความน่ารัก ความเอ็นดู แต่หากมองดีๆ แล้วจะพบว่าบางครั้ง เรากำลังถูกคุกคามอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะในชีวิตจริง หากไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากคนที่รู้จักกัน หรือได้รับการ ยินยอม (Consent) ทั้งสองฝ่าย  อาจจะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดเรื่องราวอื่นๆ ตามมาได้  ลองมาดูกันว่า เราเคยถูกล่วงละเมิด หรือเผลอไปทำพฤติกรรมล่วงละเมิดผู้อื่นแบบนี้บ้างไหม?

1. Visual conduct การคุกคามทางเพศด้วยสายตา 

เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เราอาจจะลืมนึกถึงไป เพราะทุกคนมีสิทธิ์ในร่างกายตนเอง และมีสิทธิ์ที่จะสวมใส่อะไรก็ได้  เช่น การที่ผู้หญิงไม่นิยมสวมเสื้อชั้นใน ในบางประเทศนั้นแทบจะเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาเคารพสิทธิส่วนบุคคลกันและกัน ทำให้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่ในบางประเทศที่เคร่งครัดศีลธรรม ทั้งตัวเราและผู้อื่นอาจลืืมนึกถึงสิทธิส่วนบุคคลข้อนี้ว่าทุกคนมีสิทธิ์ในร่างกายตนเอง  ทำให้เกิดการใช้สายตาที่เกินพอดีกับหน้าตา รูปร่าง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นหนึ่งใน Sexual harassment ด้วย

2. Verbal/ Text conduct หรือการคุกคามทางเพศด้วยวาจา 

เมื่อก่อนเราอาจถูกแซวเวลาเดินตามถนนหนทาง แต่เดี๋ยวนี้เราอาจถูกคุกคามทางวาจาได้ในโซเชียลมีเดีย การจ้องมองรูปร่างหน้าตาผู้อื่นอาจเป็นเรื่องของการถูกคุกคามทางเพศด้วยสายตา  แต่การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นโดยเฉพาะการคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย นอกจากเป็นการคุกคามทางเพศด้วยวาจาแล้ว ยังอาจเป็นเรื่องหมิ่นประมาทได้ด้วย  ดังนั้น นอกจากสิทธิส่วนบุคคลแล้ว กฏหมายพื้นฐานก็เป็นสิ่งที่เราควรรู้ไว้เช่นกัน

กรณีการคุกคามทางเพศด้วยวาจานี้ บางคนอาจจะใช้คำว่า แซวเล่น หยอกๆ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะสนุกไปด้วย การแสดงความคิดเห็นในหลายๆ เรื่องนั้นละเอียดอ่อนอย่างมาก บางถ้อยคำแม้เป็นคำพูดล้อเล่น แต่ก็อาจทำให้เกิดแผลในจิตใจผู้ฟังได้เช่นกัน 

อย่างเช่นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเพศสภาพ ซึ่งปัจจุบันการแสดงออกทางเพศสภาพนั้นเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว การแสดงความเห็นเกี่ยวกับกลุ่ม LGBTQ+ จึงควรได้รับอย่างเท่าเทียมกับเพศหญิงชาย เพราะหากไม่ใช่ก็ถือว่าเป็น Sexual harassment อย่างหนึ่งด้วย

3.              Physical conduct หรือการคุกคามทางเพศด้วยการสัมผัสทางร่างกาย

เช่น พยายามใกล้ชิด แตะเนื้อต้องตัว โอบกอด เป็นต้น แต่เชื่อไหมว่า เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่เรามักมองข้ามกันไปมาก! บางครั้งคนที่ตกเป็นเหยื่อกลับกลัวที่จะเปิดเผยถึงปัญหา  อาจเพราะสังคมไทยยังมี พฤติกรรมกล่าวโทษเหยื่อ (Victim Bleming) กันอยู่  ผู้ตกเป็นเหยื่อจึงไม่กล้าที่จะบอกใคร  เพราะกลัวการถูกกล่าวโทษ กลัวว่าจะตกเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง สุดท้ายแล้วก็จะได้รับความอับอายเหมือนเป็นบาปติดตัว ทั้งที่เป็นผู้ถูกกระทำ

หนักไปกว่านั้นคือ เหยื่อบางคนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกคุกคามทางเพศ หรือแยกไม่ออกว่าพฤติกรรมนั้นเกิดจากความไม่ตั้งใจหรือเป็นการคุกคาม กรณีนี้ให้นึกถึงการ ยินยอม (Consent)  เป็นหลัก หากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากความยินยอม ก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และเหยือควรพูดออกมา 

อย่างล่าสุดที่พี่อ่านข่าวจากในเฟซบุ๊กว่า พบคนถูกสัมผัสร่างกายบริเวณที่ตนเองไม่ต้องการในที่สาธารณะ และเขาเลือกที่จะพูดออกมา พบว่าเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาก ทั้งๆ ที่เป็นการปกป้องสิทธิ์ตนเองอย่างถูกต้อง  

เมื่อเหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้น ผู้ตกเป็นเหยื่อไม่เพียงการสูญเสียความมั่นใจเท่านั้น แต่ในทางการแพทย์ ยังมีอาการอย่างหนึ่งที่เรียกว่า PTSD (Post traumatic stress disorder) คือ สภาวะจิตใจหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง ทำให้หลังเหตุการณ์ที่ทำให้เสียขวัญหรือบาดเจ็บทางกายหรือใจ อาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนๆ หนึ่งไปตลอด เช่นการไปพบเจอสิ่งเดิมๆ ในเหตุการณ์ที่ถูกคุกคาม หรือถูกทำร้าย จะทำให้จิตใจไม่ปกติ แล้วเกิดเป็นอาการของโรคตามมา แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเองแน่นอน

พฤติกรรมกล่าวโทษเหยื่อ (Victim Blaming) คือ การตำหนิหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับเหยื่อ ทำให้เหยื่อเสียความมั่นใจ และคิดว่าเหยื่อเป็นผู้ผิด ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย เช่น เหยื่อถูกคุกคามทางเพศ ถูกตั้งคำถามว่า แต่งตัวโป๊เองหรือเปล่า ทำไมไม่่ระวังตัว โดยเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดพฤติกรรมกล่าวโทษเหยือมาจากการ ชอบโทษคนอื่น, คิดว่าเหยื่ออ่านอนาคตได้ และเชื่อเรื่องเวรกรรมมากเกินไป อ่านเรื่อง Victim Blaming เพิ่มเติมที่นี่! 

โลกยุคใหม่นี้ก้าวไกลไปมากทั้งเทคโนโลยีและเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน พี่เองก็พยายามตามให้ทัน สำหรับน้องๆ ชาว Dek-D ก็เช่นกันครับ พี่อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญตรงนี้มากๆ นอกจากห่วงสิทธิ์ของตนเองแล้ว ยังต้องพยายามเข้าใจสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย เพราะเราอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น และมีหลากหลายวิธีที่ทำให้เราอยู่บนโลกนี้ร่วมกันได้อย่างไม่หวาดระแวง ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเคารพซึ่งกันและกันนะครับ  จะได้ไม่เผลอไปละเมิดผู้อื่น และไม่ถูกผู้อื่นล่วงละเมิดด้วย

สำหรับวันนี้ลาไปก่อน ใครมีคำถามอะไร หรืออยากแชร์ประสบการณ์อะไร เล่าให้ฟังในคอมเมนต์ได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ :) 

 

 นพ.ชนม์พิสิฐ มณฑล
พี่โด่ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด