Spoil
- Manipulation Relationship ความสัมพันธ์ที่พยายามเอาชนะ ควบคุม ต้องการบงการ
- Manipulator (ผู้ควบคุม) จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดโดยที่ไม่รู้ตัว คล้อยตามไปได้โดยไม่ทันคิด
- พฤติกรรมอย่าง Gaslighting (โยนความผิด) Love Bombing (แสดงความรักมากไป) หรือ The guilt trip (พูดให้รู้สึกผิด) ก็เข้าข่าย Manipulation
ในช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะเห็นข่าวที่กำลังเป็นกระแสอย่างข่าวของแอมเบอร์ เฮิร์ต กับจอห์นนี่ เดปป์ กับความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวในฐานะสามี ภรรยา ถึงแม้ว่าจะยังเป็นที่สอบสวนเพื่อหาความเป็นจริงในสถานการณ์ แต่จากคำบอกเล่าของทั้งสองฝ่าย ก็ทำให้เรารู้ได้ว่าความสัมพันธ์แบบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากไป และพยายามจะควบคุมอีกฝ่าย ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
วันนี้พี่ก็จะมาพูดถึงความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) หรือเป็นความสัมพันธ์ที่ทำร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งทางร่างกาย หรือจิตใจ (Abusive Relationship) ซึ่งอาจเกิดได้โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
Manipulation Relationship
เมื่อใครคนใดคนหนึ่งในความสัมพันธ์พยายามจะเอาชนะ จะควบคุม จะเหนือกว่า ต้องการบงการและอยากให้อีกฝ่ายคล้อยตามเสมอ จะมีฝ่ายที่พยายามจะควบคุมหรือบงการ (Manipulator) กับฝ่ายที่ถูกบงการหรือเป็นเหยื่อในความสัมพันธ์ หลายๆ คนมักจะไม่รู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ในสถานะแบบนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์เป็นอย่างมาก
ในความสัมพันธ์เชิงคู่รักนั้น เป็นเรื่องปกติที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเคารพและให้เกียรติกันและกัน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่กำลังจะพยายามควบคุมอีกฝ่าย นั่นไม่ได้เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว และหลายๆ คนก็ตกอยู่ในความสัมพันธ์นั้นโดยไม่รู้ตัว อาจจะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งสังคมรอบข้างมองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเรื่องปกติของคู่รักที่จะมีปากเสียง หรือฝ่ายใดจะมีอำนาจมากกว่าฝ่ายหนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะจากสภานะทางสังคม เพศ หรืออายุก็ตาม แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้น หากเราตกลงที่จะคบกับใครสักคนในระยะยาวแล้ว การเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของอีกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญ หรือในบางครั้ง เราอาจจะไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนควบคุม เพราะพวก Manipulator (ผู้ควบคุม) อาจจะมีลักษณะ ท่าทาง คำพูด หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดโดยที่ไม่รู้ตัว คล้อยตามไปได้โดยไม่ทันคิด
แล้วเมื่อไรถึงเรียกได้ว่าเราตกอยู่ในสภาวะที่กำลังโดนควบคุม?
Gaslighting คือการพยายามโทษหรือโยนความผิดให้อีกฝ่าย โดยมักจะใช้คำพูดจาตัดพ้อ เป็นเพราะเธอทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ เธอมันขี้ขลาด เธออ่อนแอ เป็นต้น
Love Bombing คือการแสดงออกว่ารักอีกฝ่ายมากจนเกินไป เช่น เปย์ของให้เยอะๆ ซื้อของแพงๆ เซอร์ไพรส์เล่นใหญ่บ่อยๆ หรือทำเกินกว่าที่คนทั่วไปจะทำกัน ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ารักมาก รู้สึกว่าเราสำคัญกับเขามาก เหมือนขาดไม่ได้ เหมือนว่าเขาดีกับเราจนเกินไป ให้เรารู้สึกผิด ติดค้าง หรือต้องยอมเขา รวมไปถึงการพยายามจะเข้ามาควบคุมชีวิตของเราจนเกินไป เช่น การส่งข้อความหรือโทรหาตลอดเวลา รายงานทุกเมื่อ
The guilt trip พยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด โดยที่มักจะอ้างว่าตัวเขาทุ่มเท พยายามอย่างหนัก เพื่ออีกฝ่าย แต่กลับโดนปฏิเสธ ซึ่งการกระทำแบบนี้อาจจะไม่ได้พบเฉพาะในความสัมพันธ์เชิงคู่รัก แต่รวมไปถึง เพื่อนสนิท ครอบครัว ด้วยได้ เช่น พ่อแม่ที่เอาแต่ว่าลูก โทษลูก ส่งเสียให้เรียนหนังสือ ทำงานหาเงินมาให้ ลูกไม่ยอมเรียนคณะที่พ่อแม่บอก ไม่ยอมช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เป็นต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น ยังรวมไปถึงการข่มขู่ การที่ทำให้อีกฝ่ายพึ่งพาตัวเองอยู่เสมอ เช่น การพูดว่า ไม่มีฉันเธอก็อยู่ไม่ได้ คอยควบคุมอิสระการใช้ชีวิตของอีกฝ่าย ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิต ทำงาน รวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแต่งตัว นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการควบคุมด้านการใช้เงิน ไม่ให้อิสระอีกฝ่าย ควบคุมรายได้ หรือแม้แต่การให้อีกฝ่ายออกจากงานเพื่อให้เลี้ยงดูลูก แล้วตนเองจะหาเงินมาให้ ทำให้อีกฝ่ายไม่มีอิสระ คอยพึ่งพาเงินจากผู้กระทำอยู่เสมอ อีกทั้งยังพบเห็นได้บ่อยในกลุ่มที่ต้องคอยพึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอ ทำให้บุคคลนั้นไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง เช่น คนที่ปัญหาด้านสุขภาพ เจ็บป่วย รวมไปถึงผู้ที่พิการด้วย เขาอาจจะรู้สึกว่า ยอมๆ ไปเถอะ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครดูแลมากกว่าคนที่คบอยู่แล้ว หรือว่าถ้าถอยออกไป จะเจอคนที่แย่กว่าเดิมได้
มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้บุคคลตกอยู่ในความสัมพันธ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาทางออกได้ยาก เป็นเหมือนวงจรที่ทำให้คนติดอยู่ในนั้น และจะส่งผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อร่างกายและจิตใจ เกิดความเครียด อาการซึมเศร้า รวมไปถึงการไม่เห็นคุณค่าในตนเองตามมาได้
เป็นเรื่องยากเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือการตัดและเดินออกมาให้ได้ไวที่สุด อาจจะรู้ตัวหรือไม่ เราก็ต้องพยายามนึกถึงตัวเองให้มากๆ เรามีชีวิตเป็นของเรา ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของใคร หากเริ่มต้นที่จะถอย แต่มันทำได้ยาก ก็อาจจะลองพูดคุย ปรับความเข้าใจ ขีดเส้น สร้างขอบเขตชัดว่าเราจะยอมได้แค่ไหน ถึงตรงไหน เรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมาให้ได้นะคะ หากพูดคุยกันแล้วไม่ดีขึ้น ก็ลองนำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา นักบำบัดดูก็ได้นะคะ อย่ากังวลว่าออกมาแล้วมันจะแย่กว่าเดิม เราไม่ได้รู้สึกรักใครเท่านี้ ที่ทนเพราะรัก หรือเพราะเขารักเรา เขาถึงทำแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง ตัวเราที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำไปตลอด เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปในทิศทางไหน การถอยออกมาเพื่อรักษาจิตใจตัวเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดค่ะ
รายการอ้างอิงhttps://www.webmd.com/mental-health/signs-emotional-manipulationhttps://www.verywellmind.com/manipulation-in-marriage
0 ความคิดเห็น