แต่งนิยายจากมือถือเครื่องเดียว
มีเงินเก็บส่งให้พ่อแม่เกือบแสน!
The Chosen EP. 33 หลิวหยาง(รามินทร์)
- น้องแวว นักเขียนนามปากกา หลิวหยาง(รามินทร์) ผู้แต่งนิยายเรื่อง “หนูน้อยสกุลถัง” คือ นักศึกษาวัย 24 ปี เด็กสาวจากจังหวัดศรีสะเกษที่เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ และตัดสินใจหยุดเรียนเพื่อไปทำงานหาเงินเก็บ
- เธอเริ่มต้นเขียนนิยายจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว โดยเขียนเรื่อง “หนูน้อยสกุลถัง” จากความฝันที่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ใช้ชีวิตสนุกๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร ปลูกผักทำสวน และมีบ้านหลังเล็กๆ อยู่กับครอบครัว ด้วยเนื้อหาสบายๆ และค่อนข้างสโลว์ไลฟ์ ทำให้ถูกใจนักอ่านจำนวนมากจนนิยายมียอดวิวพุ่งไปเกือบ 1 ล้านวิว
- นิยายเรื่องนี้พลิกชีวิตน้องแววที่กำลังประสบปัญหาเรื่องเงินให้กลับมามีเงินเรียนต่อและมีเงินเก็บส่งกลับไปให้พ่อแม่ได้เกือบแสน
กว่าจะเป็น “หลิวหยาง (รามินทร์)” ผู้แต่งนิยายเรื่อง “หนูน้อยสกุลถัง”
“น้องแวว” นักศึกษาวัย 24 ปี มีชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย นักเขียนสาวคนนี้เธอเป็นเด็กจากจังหวัดศรีสะเกษที่เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ และเช่าหอพักรวมหน้ามหาวิทยาลัยอยู่เดือนละ 1,500 บาท ด้วยสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัว ทำให้เธอต้องเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย แต่ถึงจะสู้สุดใจ ความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ก็ทำให้เธอตัดสินใจหยุดเรียน และออกมาหางานทำนานถึงสามปี
กระทั่งช่วงต้นปีที่ผ่านมา น้องแววออกจากงานเพราะสถานการณ์โควิด และกลับมาเรียนต่อตามความต้องการของพ่อแม่อีกครั้ง เธอเลยมองหางานออนไลน์ทำหวังจะช่วยครอบครัวประหยัดค่าใช้จ่าย แต่กลับโชคร้าย เจองานออนไลน์ที่หลอกเอาเงินค่าสมัคร และหลอกให้ทำงานฟรีอยู่บ่อยครั้ง จนในที่สุด ก็ได้มาเจอเส้นทางการเขียนนิยายออนไลน์ที่ทำให้เธอเหมือนได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้ง
น้องแวว เป็นนักอ่านนิยายออนไลน์ตัวยงอยู่แล้ว เมื่อเห็นแจ้งเตือนนิยายจากแอปนิยายเด็กดี เธอก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา อยากจะลองเขียนนิยายคลายเครียด และลองหารายได้จากช่องทางนี้ดูบ้าง เธอจึงเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่อง “หนูน้อยสกุลถัง” จากโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่เธอมีอยู่ และนิยายเรื่องนี้ก็ถือเป็นจุดพลิกผันของชีวิตที่ทำให้เธอหายเครียดจากปัญหาเรื่องเงิน มีรายได้มาใช้จ่ายในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ และยังมีเงินเก็บส่งกลับไปให้พ่อแม่ได้อีกเกือบแสน..
เรื่องราวในบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวจากนักเขียนมือใหม่ที่แม้จะไม่ได้มีความฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่แรก แต่การเป็นนักอ่านมาก่อนก็ทำให้เธอมีจินตนาการ และกล้าที่จะลงมือเขียนนิยายของตัวเองดูบ้าง อีกทั้งเธอยังใช้โทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียวในการเขียนนิยายได้อีกด้วย เชื่อว่าเรื่องราวของเธอในวันนี้จะเป็นแรงบันดาลใจดีๆ ให้นักเขียนทุกคนได้ไม่น้อย
เด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาสู้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ
ชื่อแววค่ะ อายุ 24 ปี ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงค่ะ ตอนแรกก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แต่ทีนี้เรื่องเรียนมันหนักเกินไป พอเราทำงานไปด้วย ก็มีความคิดว่าน่าจะออกไปทำงานเก็บเงินก่อนดีกว่า เลยออกมาทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แต่พอช่วงโควิด รายได้อะไรแบบนี้ก็ไม่โอเค เราก็เลยออกจากงาน ตั้งใจว่าจะรอหางานทำ แต่พ่อแม่อยากให้กลับมาเรียนต่อ ก็เลยกลับมาเรียนค่ะ
พอกลับมาเรียนรายรับส่วนใหญ่ก็ได้มาจากพ่อแม่ค่ะ ประมาณ 6.000 - 7,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าหักค่าใช้จ่ายพวกค่าห้อง ค่าซื้อของใช้รายเดือน ก็เหลือใช้ไม่เท่าไหร่ เราก็ไม่อยากขอเขาเพิ่มด้วย เพราะเขาก็ลำบากเหมือนกัน ก็เลยอยากทำงานเองมากกว่า
เราก็เลยลองมองหาพวกงานออนไลน์ดู แต่มันก็ไม่โอเค ส่วนใหญ่ก็โดนหลอกค่ะ ก็มีให้ทำงานแต่ว่าก็ไม่ได้เงิน หรือบางที่ก็หลอกเอาเงินเราไปเหมือนเป็นค่าสมัคร แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ตั้งใจจะเลิกหางานออนไลน์แล้ว แต่ก็ยังมีความต้องการต้องใช้เงินอยู่ก็เลยมองหางานอื่นไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะเจองานที่มันโอเค
เราก็เล่นโทรศัพท์ เลื่อนหาไปเรื่อยๆ พอดีมีแจ้งเตือนนิยายที่ติดตามไว้เด้งขึ้นมา ก็เลยคิดว่าน่าจะลองเขียนนิยายดูดีไหม
เริ่มต้นเขียนนิยายจากมือถือเครื่องเดียว
เราเริ่มเขียนนิยายจากโทรศัพท์เครื่องเดียวค่ะ ก็เขียนเก็บไว้ เก็บไฟล์ไว้ในโทรศัพท์ก่อน แล้วก็ค่อยเอาไปลงในแอปนักเขียนเด็กดีค่ะ ก็พิมพ์ในโทรศัพท์อย่างเดียวเลยเพราะว่าไม่มีอุปกรณ์อย่างอื่น ก็ค่อนข้างลำบาก แต่ว่ามีความต้องการเงินเป็นแรงผลักดัน ก็เลยสู้ให้ถึงที่สุด...
ด้วยความที่เรียนไปด้วย แล้วเราก็มีความเครียดเรื่องเงินไปด้วย เลยอยากเขียนนิยายที่มันอ่านสบายๆ แล้วเราก็คิดว่าน่าจะมีคนคิดเหมือนกัน คือเราออกไปทำงานข้างนอก แต่ละวันมันก็เครียดมาก หรือว่าบางคนที่เข้ามาหานิยายอ่าน ก็น่าจะอ่านนิยายที่มันผ่อนคลายความเครียดในชีวิตประจำวัน เลยคิดว่าถ้าเขียนแนวนี้น่าจะมีคนเห็นด้วยกับเราเยอะ ซึ่งคนอ่านก็มีมาเมนต์บ้างเหมือนกันว่าทำงานเครียดๆ มาอ่านนิยายของเราก็ผ่อนคลายขึ้น
ก็เริ่มเขียนจากสิ่งที่ชอบค่ะ ตอนนั้นชอบอ่านนิยายแนวจีน แต่ว่าแนวจีนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกี่ยวกับพวกชนชั้นสูง หรือเรื่องราวภายในวัง ซึ่งมันค่อนข้างเครียด แล้วเราก็มีความฝันของตัวเองว่า อยากมีบ้านหลังเล็กๆ แล้วก็ปลูกผักขายอะไรแบบนี้ ก็เลยเอาความชอบความต้องการของตัวเองมาเขียนลงในนิยายค่ะ ด้วยความที่มันเป็นความชอบด้วย มันก็เลยเขียนง่าย เพราะว่าเรามีความคิดอยู่ในหัวอยู่แล้ว แต่ถ้าเขียนเป็นแนวอื่นมันก็ต้องหาข้อมูลเยอะหน่อย ซึ่งกว่าจะเขียนได้มันก็ลำบาก
เราก็วางแผนเขียนหลังจากเลิกเรียนค่ะ ช่วงแรกๆ ที่ตั้งใจจะเขียนลงวันละ 2 ตอน ก็เขียนจนถึงเช้าเลย ช่วงแปดโมงก็ตื่นไปเรียนต่อ เขียนสดทุกวันเลยค่ะ เขียนเสร็จก็ประมาณตีสองตีสาม ก็ลงนิยายไว้ แล้วก็ตั้งเวลาอัปนิยายประมาณ 6.00 - 7.00 น. ก็พยายามไม่ต่ำกว่า 2900 คำค่ะ เพราะว่าเราจะติดเหรียญด้วย เราก็ไม่อยากให้คนอ่านซื้ออ่านแล้วเขารู้สึกว่ามันไม่คุ้ม เราก็เคยเป็นคนอ่านมาเหมือนกัน เราก็เลยพยายามหาจุดกึ่งกลางของตัวเองแล้วก็คนอ่านด้วยค่ะ

จากนักอ่านสู่นักเขียนนิยายออนไลน์
เราอยากเติบโตด้านนี้เร็วๆ เพราะว่าเราต้องการใช้เงิน เราก็เลยพยายามเขียนให้มันติดอันดับประจำสัปดาห์ ซึ่งพอสิ้นเดือนมาทางเพจของนิยายเด็กดีเองก็ปักหมุดนิยายใหม่มาแรงในเดือนพฤษภาคมด้วย มันก็เลยมียอดคนเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ
แล้วเราก็เอาความรู้สึก เอาความต้องการตอนที่เป็นคนอ่านมาใช้ เราอยากเจอคนเขียนแบบไหน อยากให้คนเขียนอัปนิยายแบบไหน หรือว่าจะแจ้งอะไรบ้าง เราก็เลยเอามาใช้กับตอนที่เราเป็นนักเขียน หนึ่งคือ อัปนิยายทุกวัน เพราะว่าถ้าเราอ่านนิยายแล้วเราชอบ เราก็อยากอ่านทุกๆ วัน ใช่ไหมคะ สองคือ อัปนิยายเป็นเวลา จะอัปตั้งแต่ช่วงเช้า ประมาณ 6.00 น. ไม่เกิน 8.00 น. คนอ่านเขาก็จะรู้ว่าเรามาช่วงเวลานี้ทุกวัน เขาก็จะตื่นมารอ เวลามีอะไรก็จะแจ้งคนอ่านไปตรงๆ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย เขาก็จะไม่มีความเชื่อใจในตัวเรา เขาก็กลัวว่าเราจะทิ้งนิยายไป แล้วก็ไม่มาอ่านนิยายเราค่ะ
ตอนที่เขียนเราก็ไม่ได้คาดหวังนะคะ เราคิดเสมอว่าถ้าเราคาดหวังมากเกินไป พอเราผิดหวังเราก็จะเจ็บหนัก เราก็เลยคาดหวังนิดเดียว พอผลลัพธ์มันไม่โอเค เราจะได้มีแรงไปต่อ จะได้ไม่ต้องไปจมปลักอยู่ที่เดิม ความที่เราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่คิดว่าลงไป ทำให้มีคนรู้จักบ้างก็พอ แต่กลายเป็นว่าที่เด็กดีเป็นที่ที่ขายดีที่สุดแล้วก็ผลตอบรับดีที่สุด ยอดวิวเยอะที่สุดด้วยค่ะ
การขายนิยายช่วยปลดล็อคภาระด้านการเงิน
จำได้ว่าเริ่มลงนิยายที่เด็กดี ประมาณวันที่ 21 พฤษภาคม 2565 เริ่มขายตอนต้นเดือนมิถุนายน 2565 ตอนนั้นคนซื้อเยอะมากเลยค่ะ ประมาณเกือบพันครั้ง ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้ ติดเหรียญตอนแรกยอดซื้อก็พุ่งขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ สูงจนตกใจ เราเพิ่งเริ่มเขียนได้ไม่นาน ก็ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจแล้วก็สนับสนุนเยอะขนาดนี้ มันเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้ ตอนนั้นคิดว่าเดือนหนึ่งได้ประมาณ 500 บาทก็เยอะแล้ว แต่พอสิ้นเดือนแล้วเงินที่มันได้จริงๆ มันมากกว่าที่เราคาดหวังไว้หลายเท่าเลย เยอะเกินกว่าที่ตัวเองต้องการ
เดือนแรกเราก็เก็บไว้แล้วก็ส่งให้พ่อแม่ครึ่งหนึ่ง แล้วตัวเองก็เก็บไว้ครึ่งหนึ่งเอาไว้ใช้พวกหนี้อะไรแบบนี้ด้วยค่ะ แต่พอเดือนถัดมาก็ส่งให้เยอะขึ้น เราก็เก็บไว้ใช้เท่าที่ตัวเองพอใช้ ที่เหลือก็ส่งให้พ่อแม่หมดเลย ตอนนี้ก็เกือบแสนแล้วที่ส่งให้พ่อแม่
จริงๆ ตอนเขียนนิยายก็ไม่ได้บอกใคร แต่ว่าเรื่องก็หลุดไปถึงหูพ่อแม่ ตอนแรกเขาก็ค่อนข้างไม่พอใจ เขาคิดว่าเราเอาเวลาที่สมควรจะตั้งใจเรียนไปทำเรื่องไร้สาระ เขาก็โทรมาถามแทบทุกวันว่า ได้เงินจริงๆ เหรอ โดนหลอกหรือเปล่า แต่เราก็บอกเขาไปว่ามันได้เงินนะ เราตั้งใจทำงานเพื่อหาเงินนะ ตอนแรกก็บอกไปว่ามันมีรายได้ เดือนนั้นที่เราได้ประมาณเท่านั้น เท่านี้นะ แต่ว่าเขาก็ไม่เชื่อเพราะว่ามันเยอะเกินกว่าที่จะเป็นเงินเดือนปกติ จนมีเงินเข้า แล้วเราโอนเงินไปให้เขา เขาถึงจะเชื่อว่าเราทำงานแล้วมันได้เงินจริงๆ
เขาก็เริ่มเชื่อใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เราทำ มันสามารถทำให้ตัวเราอยู่ได้ โดยไม่ต้องลำบากค่ะ เราก็ยังอยากจะทำไปเรื่อยๆ นะคะ ด้วยสถานการณ์ทางบ้านเราตอนนี้ มันก็ยังไม่โอเค เราก็คิดว่าจะยังเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆ อยู่ค่ะ คือถ้ามีงานประจำทำก็ยังจะทำอยู่ เป็นอาชีพเสริม จะได้มีเงินเก็บด้วยค่ะ
จากนักเขียนมือใหม่ถึงนักเขียนมือใหม่
จริงๆ ถ้าคนที่ชอบอ่านนิยายอยู่แล้ว หลักๆ เลยน่าจะเลือกจากนิยายแนวที่ตัวเองชอบค่ะ เอาเรื่องใกล้ตัวมันจะเขียนได้ง่ายกว่า ถ้าอุปกรณ์ในการเขียนมีแค่โทรศัพท์ ก็ใช้โทรศัพท์ก็ได้ จริงๆ มันไม่ลำบากนะคะ แต่ถ้าเขียนไปเรื่อยๆ อาจจะมีปวดนิ้วปวดข้อมือบ้าง
ถ้าอยากจะเขียนก็ลองเขียนดูเลยค่ะ ตัวเราเองก็ศึกษาเรียนรู้มาจากคนอ่านเหมือนกัน คำแนะนำจากคนอ่านทุกๆ ตอน เราก็จำคำแนะนำของเขามาใช้ อ่านของคนอื่นบ้าง แล้วก็มาปรับใช้กับของตัวเอง สำคัญเลยอย่ากลัวที่จะลงนิยาย เพราะว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่านิยายของเราจะดีหรือว่าจะเป็นยังไง คนที่ตัดสินก็คือคนอ่านค่ะ
แล้วก็ไม่อยากให้เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หนึ่งเลยคือเราเพิ่งเริ่มใหม่ แต่ว่านักเขียนที่เขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว กว่าเขาจะมาถึงวันนี้ เขาก็อาจจะเคยอยู่ในสภาพเดียวกันกับเราด้วยก็ได้ ก็เลยไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นค่ะ เรามองแค่ว่าเราเพิ่งเริ่มเขียนแล้วก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะว่ายิ่งเปรียบเทียบก็จะเป็นการกดดันตัวเอง ทำให้เครียด แล้วก็เขียนนิยายไม่ได้ด้วยค่ะ
.
ลำบากแต่สู้สุดชีวิต.. แต่งนิยายจากมือถือเครื่องเดียว ส่งตัวเองเรียนไม่พอ ยังมีรายได้ส่งกลับให้พ่อแม่อีกเกือบแสน นับถือในความขยันและความอดนอน เอ้ย อดทนของน้องแววจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้น้องแววจะไม่ได้เริ่มต้นเส้นทางนักเขียนเพราะอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่แรก แต่การเขียนนิยายก็ช่วยคลายเครียด และเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้น้องแววมองเห็นทางออกของปัญหาทางด้านการเงินที่กำลังเผชิญอยู่ได้ ซึ่งนิยายที่นักเขียนสาวคนนี้เขียนอาจจะปังหรือแป้กก็ได้ แต่จากเรื่องราวที่เธอนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เชื่อว่าเธอเองก็เตรียมตัวบนเส้นทางนักเขียนมาดีเช่นกัน
แม้จะมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว เธอก็ไม่ย่อท้อ ขยันแต่งนิยายแนวที่ชอบจนถึงตีสี่ตีห้าทุกวัน เพราะอยากอัปนิยายให้นักอ่านได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบอกเลยว่า สิ่งที่น้องแววลงมือทำนี่แหละ คือสิ่งที่นักเขียนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายๆ คน เขาทำกันจริงๆ !!!
หวังว่าเรื่องราวของนักเขียนมือใหม่คนนี้ จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจดีๆ ให้นักอยากเขียนทุกคนได้นะคะ
เริ่มต้นเขียนนิยาย
พี่แนนนี่เพน
อ่านนิยายของ หลิวหยาง(รามินทร์)
0 ความคิดเห็น