สวัสดีค่ะ น้องๆ ชาว Dek-D.com เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกเศร้าหรือกังวลเมื่อต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากใช่มั้ยคะ? อารมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในบางครั้งความเศร้าและความกังวลก็ส่งผลเสียต่อเรา เพราะมันทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและยาวนานกว่าที่เราคาดคิด หากใครที่รู้สึกว่าช่วงนี้ความเศร้าและความกังวล ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และความสุขในชีวิตอยู่ล่ะก็…น้องๆ อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็น "โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (Mixed Anxiety And Depressive Disorder)" อยู่ก็ได้ค่ะ
ทั้งเศร้าทั้งแพนิค ความรู้สึกเหล่านี้คืออะไร? มารู้จัก “โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า” กันเถอะ
ในปี 2017 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า ประชากรโลก 4.4% (ประมาณ 300 ล้านคน) กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้า และอีก 3.6% (ประมาณ 250 ล้านคน) มีอาการของโรควิตกกังวล แต่อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่ทำให้สถิตินี้ดูซับซ้อนก็คือ หลายๆ คนที่มีอาการของโรคซึมเศร้าก็มีอาการของโรควิตกกังวลด้วยเช่นกัน จึงทำให้ยากต่อการวินิจฉัยความผิดปกติได้อย่างแม่นยำและน่าเชื่อถือในทุกครั้ง บทความนี้พี่แป้งจะพาทุกคนไปทำความรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้กันค่ะ
โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (Mixed Anxiety And Depressive Disorder : MADD) คืออะไร?
โรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า เป็นปัญหาทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน โดยทั้ง 2 โรคนี้มักจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในบางคนอาจมีอาการโรคซึมเศร้าก่อนและพัฒนาไปเป็นโรควิตกกังวล บางคนเป็นโรควิตกกังวลก่อนและพัฒนาจนมาเป็นโรคซึมเศร้า ส่วนอีกกลุ่มมีอาการทั้ง 2 อย่างเกิดในเวลาพร้อมๆ กัน เช่น คนที่มีภาวะซึมเศร้า (ชั่วคราว) หลังจากเกิดอาการแพนิค (Panic Attack) อย่างรุนแรง เป็นต้น
เมื่ออาการของโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นรุนแรง ผู้ที่มีอาการเหล่านี้สามารถถูกวินิจฉัยว่า เป็นโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าได้ในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการ MADD อย่างต่อเนื่องและรุนแรงอาจทำให้เขาไม่สามารถมีความสุขกับชีวิตได้ และส่งผลกระทบต่อการทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน การเรียน การเข้าสังคม
โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (MADD) พบได้บ่อยแค่ไหน?
จากการสำรวจความเจ็บป่วยทางจิตของฮ่องกงในปี 2010 - 2013 โรค MADD เป็นโรคทางจิตที่พบได้บ่อยที่สุดในฮ่องกง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวฮ่องกงประมาณ 7% โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักพบในกลุ่มอายุ 26-35 ปี หลังจากนั้นจะพบในกลุ่มอายุ 36-45 ปี และ 16-25 ปี ตามลำดับ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า มาจากอะไรบ้าง?
อาการของโรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (MADD) มักเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ซึ่งอาจเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1.พันธุกรรม เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยีน หรือพันธุกรรม มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้ โดยความผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นจากคนในครอบครัว เช่น การมีพ่อแม่หรือพี่น้อง ที่มีความผิดปกติทางสุขภาพจิต
2.ความเครียดในชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกคณะเรียนต่อ การว่างงาน ความไม่มั่นคงทางการเงิน การเริ่มต้นงานใหม่ หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับผู้อื่น ความเหงา ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต
3.ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง บางคนมองว่าตัวเองไม่เก่งพอ วิจารณ์ และตำหนิตัวเองไปต่างๆ นานา เพียงเพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือแม้กระทั่งบางคนที่ตั้งมาตรฐานการใช้ชีวิตของตัวเองเอาไว้สูง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำต้องสมบูรณ์แบบ ไร้ข้อผิดพลาดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน
นอกเหนือจาก 3 ปัจจัยที่พี่แป้งกล่าวถึงไปข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ได้แก่ ขาดการสนับสนุนจากเพื่อนและสมาชิกในครอบครัว, เคยตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งหรือถูกบูลลี่, อยู่ในความสัมพันธ์ที่ Toxic, สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือเคยเจอเรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก ก็สามารถทำให้มีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าได้
อาการของโรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (MADD)
หลังจากที่เรารู้กันแล้วว่า โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (MADD) คืออะไร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคนี้ หัวข้อนี้พี่แป้งจะพาทุกคนมาดูกันว่า อาการของโรคนี้มีอะไรบ้าง เพื่อที่น้องๆ จะได้สังเกตตัวเอง หรือคนรอบตัวให้มากขึ้น หากมีอาการที่ใกล้เคียงจะได้หาทางออกทัน ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลย!
อาการด้านอารมณ์
- ไม่สามารถรู้สึกมีความสุขอย่างต่อเนื่อง
- หมดความสนใจกับกิจกรรมที่สนุกสนานก่อนหน้านี้
- ถอนตัวจากกิจกรรมทางสังคม
- กังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
- กลัวว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น
- ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการด้านร่างกาย
- ปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ
- ตัวสั่น กล้ามเนื้อตึงเกร็ง
- หัวใจเต้นเร็ว
- เหนื่อยง่าย
- ไม่มีสมาธิ วอกแวก
พฤติกรรมการนอน
- คุณภาพของการนอนหลับลดลง
- นอนหลับยาก หรือหลับนานกว่าปกติ
- นอนหลับไม่สนิท และตื่นกลางดึกบ่อยๆ
โดยอาการเหล่านี้จะมีลักษณะเรื้อรัง และมีอาการนานอย่างน้อย 4 สัปดาห์ขึ้นไป โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้ามีทั้งระยะที่ไม่รุนแรง ปานกลาง และรุนแรง ซึ่งอาการของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป
การรักษา โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (MADD) ทำได้อย่างไรบ้าง?
วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรค MADD ได้แก่ การรักษาทางจิตใจ ควบคู่ไปกับการทานยา โดยนักบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญจะสำรวจอาการกับผู้ที่มีอาการก่อน จากนั้นจะเริ่มวางแผนการรักษา โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ แนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง อารมณ์ พฤติกรรม และการรับรู้ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบไปทีละขั้น และเรียนรู้เกี่ยวกับความเครียดและเทคนิคจัดการอารมณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถจัดการปัญหาและมีชีวิตที่มีความสุขขึ้นได้
วิธีรับมือกับ โรควิตกกังวลผสมซึมเศร้า (MADD)
บางครั้งการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพียงเล็กน้อยอาจสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับความรู้สึกของเราได้ ซึ่งมีวิธีจัดการกับความติกังวลและภาวะซึมเศร้าได้ด้วยมีวิธีง่ายๆ ดังนี้
สำหรับผู้ที่มีอาการ
- ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายเบาๆ เพื่อคลายเครียด และเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย
- ระหว่างวันพยายามยืนขึ้นและเคลื่อนไหวไปบ่อยๆ เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ
- ตื่นและนอนในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน
- ลดการดื่มชาและกาแฟ ห้ามเกิน 2-3 แก้วต่อวัน และงดหลัง 16.00 น.
- มองโลกในแง่บวกมากขึ้น เลิกคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
- หมั่นชื่นชม และให้กำลังใจตัวเองสม่ำเสมอ
- ฝึกสมาธิ เพื่อคลายความเครียด และช่วยเพิ่มสารเคมีในระบบประสาท เช่น เซโรโทนินและโดพามีน ซึ่งเป็นสารต้านอาการซึมเศร้า
สำหรับคนใกล้ชิด
- หลีกเลี่ยงการตำหนิ หรือต่อว่า เพราะจะยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่
- เป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังปัญหาที่เขาเจออย่างตั้งใจ
- ให้กำลังใจแต่ไม่บังคับให้เขาแบ่งปันความรู้สึกและความยากลำบากที่เจอ
- พาเขาออกไปพบเจอผู้คน เพื่อรักษาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจในอาการของเขาให้มากขึ้น
- ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และสภาพจิตใจของเขา หากสังเกตเห็นพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติ ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด
สำหรับน้องๆ คนไหนที่รู้สึกตัวเอง หรือคนใกล้ตัวมีอาการคล้ายกับที่กล่าวไปนั้น พี่แป้งแนะนำว่า ควรไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและรับการทดสอบให้เร็วที่สุด สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย หรือคิดไปเองว่าเราเป็นโรคนี้ ทางที่ดีให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนตรวจสอบและยืนยันจะดีที่สุดค่ะ
ข้อมูลจาก :https://www.deccanherald.com/sunday-herald/sh-top-stories/coping-with-mixed-anxiety-depressive-disorder-1077383.htmlhttps://elemental.medium.com/is-it-depression-or-is-it-anxiety-99167aae9bbehttps://www.shallwetalk.hk/en/mental-health-information/mixed-anxiety-and-depressive-disorder/https://thiswayup.org.au/learning-hub/mixed-anxiety-and-depression-explained/รูปภาพจาก :https://www.freepik.com/
0 ความคิดเห็น