Teen Coach EP.93 : เอาชนะ 'ความกลัว' ด้วยการสร้าง 'ความกล้า'

เคยมั้ยคะ..ที่เรากลัวจนเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ

  • เรียนวิทย์คณิตเพราะมีแต่คนบอกว่าเข้าได้หลายคณะ ทั้งที่อยากเรียนสายศิลป์ภาษามากกว่า
  • เลือกคณะที่คนรอบข้างบอกให้เลือก ไม่เลือกสิ่งที่เราอยากเรียนเพราะขี้เกียจไปไฝว้
  • ไม่ยกมือตอบคำถามครู คิดว่าเพื่อนจะหมั่นไส้ที่เรารู้มากกว่า
  • เลี่ยงการพรีเซนต์งานหน้าห้อง เพราะมีเพื่อนเคยบอกว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง
  • เงียบ ไม่เสนอความคิดเห็นในการทำงานเพราะเพื่อนอาจปฏิเสธไม่ยอมรับไอเดียเรา
  • นิ่งเฉยปล่อยผ่านเมื่อเพื่อนถูกบูลลี่ เพราะไม่อยากโดนลูกหลง
  • ยอมทนทำตามที่อีกฝ่ายสั่งมา ทั้งที่ไม่ได้อยากทำเพราะกลัวถูกเกลียด

อีกหลายความกลัวในสถานการณ์ต่าง ๆ จนเราเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมอย่างที่เคยเป็น ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร กลัวว่าผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงจะแย่กว่าชีวิตในปัจจุบันที่เป็นอยู่ ทั้งที่การออกจาก Comfort Zone มีความน่าจะเป็นที่เราจะก้าวหน้าและมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ความกลัวทำให้เราหยุดแช่แข็งทุกอย่างไว้แบบเดิม ทั้งที่เวลาไหลผ่านไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงทั้งคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม เราในตอนนี้ที่อายุ 30 ปี ยังเหมือนเด็กคนเดิมเมื่อตอนมัธยม ไปงานเลี้ยงรุ่นทีไรเพื่อนทักว่าเราเป็น “ฟอสซิล” ที่ถูกแช่แข็งไว้ไม่เปลี่ยนไปเลย ตำแหน่งงานไม่ค่อยขยับ รายได้ไม่ค่อยเพิ่ม ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรที่เป็นการใช้ชีวิตจริง ๆ ไม่ตัดสินใจอะไรเองเพราะกลัวผิดพลาด เราอยากมีความกล้ามากกว่านี้เพื่อใช้ชีวิตอยากที่เราต้องการ แต่ความกลัวดับฝันเราทุกอย่าง เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตตามที่คนอื่นและสังคมต้องการแต่ไม่ได้มีชีวิตเป็นของตัวเองหรือเปล่านะ?

 ความกลัว vs ความกล้าหาญ

“ความกลัว” (Fear) 

เป็นอารมณ์พื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเอาชีวิตรอด ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษยุคหินที่ต้องสู้ชีวิตล่าหาของกินเอง เลี่ยงหนีจากสิ่งที่เป็นอันตราย ทำให้เรามีวิวัฒนาการ “ความกลัว” ขึ้นมา เพราะถ้าไม่กลัวอะไรเลย เราจะไม่เตรียมตัว ไม่หลบหลีก เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ล้มป่วย หรืออาจตายได้ แม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายหมื่นปีจนตอนนี้เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีเทคโนโลยีล้ำในทุกด้าน อำนวยความสะดวกสบาย รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เอาชนะภัยจากธรรมชาติได้ แต่ความกลัวยังฝังรากลึกอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เพียงแต่แต่ละคนมีเซนเซอร์เรื่องความกลัวไม่เหมือนกัน บางคนที่เซนเซอร์ไวทำให้กลัวกังวลอะไรได้ง่าย ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตเยอะ แต่บางคนแทบไม่กลัวอะไร ลุยถึงไหนถึงกัน การเอาชนะความกลัวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะฝึกให้มีความกล้าหาญมากขึ้นได้

“ความกล้าหาญ” (Courage) 

ตรงข้ามกับความกลัว นั่นคือความสามารถในการที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดผลลัพธ์ดี/ไม่ดี ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ความกล้าเกิดได้ไปพร้อม ๆ กับความกลัว ไม่จำเป็นว่าต้องปราศจากความกลัวแล้วถึงจะกล้าได้ ถึงแม้จะกลัวอยู่แต่ก็กล้าที่จะทำ

หลายคนอาจมองว่า “ก็เรากลัวนี่ อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว” แต่รู้มั้ยว่า..ความกลัวนั้นขัดขวางการเติบโตหลายด้านเลยนะ!!!

ความกลัวขัดขวางวุฒิภาวะและการสร้างตัวตน (Personal Growth)

แต่ละคนเติบโตมาด้วยคุณลักษณะทั้งด้านกายภาพ ต้นทุนในชีวิต ประสบการณ์ และปัจจัยแวดล้อมอีกหลายอย่างที่ทำให้ไม่มีใครเหมือนกันได้ 100% เมื่อเราได้เรียนรู้ข้อมูลชุดหนึ่งจะนำไปสู่การวิเคราะห์ สังเคราะห์ จนได้องค์ความรู้ใหม่ ดังนั้นคนเราสามารถเรียนรู้เติบโตได้ไปจนตลอดชีวิต เช่น การตั้งเป้าหมายในสิ่งที่เราอยากจะประสบความสำเร็จ  (Setting and achieving goals), การสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง (Buliding Self Esteem), การค้นหาว่าสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงคืออะไร (Finding Purpose), การดึงศักยภาพความสามารถที่เรามีอยู่ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ (Reaching Potential) การเติบโตต้องมีการลองผิดลองถูก ผลลัพธ์จากการกระทำแต่ละครั้งมีทั้งที่ทำให้เราดีใจ เสียใจ หากเราเลือกเอาความสบายใจคือการที่ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ เพราะเรากลัวความไม่แน่นอน ตัวเราจะย่ำอยู่กับที่ไม่พัฒนา

ความกลัวขัดขวางการเติบโตในสิ่งที่เราถนัด (Professional Growth)

คนเรามีความถนัดที่ไม่เหมือนกัน ค่านิยมในสังคมไทยที่ผู้ใหญ่ยุคก่อนอยากให้ลูกหลานทำได้ คือ การประกอบอาชีพที่ถือว่ามีหน้ามีตาและความมั่นคงที่จำเป็นต้องมุ่งมั่นกับการเรียนให้เก่งให้ดี เช่น การเป็นแพทย์, วิศวกร, ทนายความ แต่ยุคสมัยใหม่มีตัวเลือกด้านอาชีพที่หลากหลายและน่าสนุกที่จะทดลองทำ หากเราจำกัดตัวเองอยู่ในกรอบของโลกยุคเดิม เรียนตามสูตรที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ อาจทำให้เราพลาดที่จะได้ทำสิ่งที่เราทำได้ดี เช่น งานออกแบบด้านกราฟฟิกดีไซน์, การสร้าง AI การที่เด็กหรือตัวเราเองที่เรียนจบไปแล้วแต่อยากทำงานที่เป็นความชอบ ต้องเอาชนะเอาความกลัว กล้าที่จะออกจากขนบเส้นทางเดิม ยอมรับผลที่จะตามมาไม่ว่าดีหรือร้าย โดยมีการวางแผนที่ดี เช่น ทำงานหลักที่หาเงินได้ควบคู่ไปกับการฝึกทักษะใหม่ “อย่ากลัวที่จะล้มเหลว”  (fear of failure) เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง ไม่ใช่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วจะสำเร็จ ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ที่สำคัญเพื่อไม่ให้เราทำผิดซ้ำอีก บางคนคิดว่าตัวเองไม่เก่งไม่ดีพอเสียที แม้บางครั้งความสามารถขั้นเทพแล้วก็เรียกว่าเป็น “Imposter syndrome” ซึ่งจะขัดขวางการพัฒนาศักยภาพของเราได้

ความกลัวขัดขวางการเติบโตด้านอารมณ์ (Emotional Growth)

ไม่ใช่แค่เรื่องของความสามารถในการทำสิ่งต่างๆที่เราต้องพัฒนา การมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ จัดการตัวเองเวลาที่มีอารมณ์ต่าง ๆ มากอย่างท่วมท้น ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เช่น โกรธมาก, เสียใจ, เบื่อ, คลั่งไคล้ เป็นเรื่องสำคัญที่คนเราลืมไปว่าต้องพัฒนาด้วย หากเรากลัวที่จะเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ที่อาจทำให้เรามีประสบการณ์ทางอารมณ์ที่แปลกใหม่ เช่น ตื่นเต้น กังวล หงุดหงิด เราจะไม่ได้ฝึกทักษะการจัดการอารมณ์ที่มีส่วนในการทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบ เช่น 

  • การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ (Resilience) หมายถึงการที่เราเจอกับความเครียด เราช็อคไปช่วงหนึ่ง แต่เมื่อมีสติกลับมา เราค่อยหาทางแก้ไขปัญหา คิดว่าสิ่งแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเรื่องท้าทายและโอกาสที่จะทำให้เราดีขึ้น (Opportunities) มากกว่าจะเป็นภัยที่มาคุกคาม (Threatens)
  • การควบคุมอารมณ์ให้แสดงออกอย่างเหมาะสม (Emotional Regulation) ทุกอย่างที่เกิดรอบตัวมีผลต่ออารมณ์เรา เราต้องรับรู้ได้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร (Self-Awareness) เพื่อที่จะจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องกดทับอารมณ์นั้นไว้และไม่แสดงออกเลย

 ผลเสียจากความกลัวที่มากจนเกินไป

ผลเสียจากความกลัวที่มากจนเกินไปเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะมีพลังทำลายล้างขัดขวางความเจริญในชีวิตมากมายจนมีงานวิจัยหลายงานออกมา ตัวอย่างผลจากงานวิจัย เช่น

  • “ความกล้าหาญ” (Courage) มีราคาที่ต้องจ่าย ความกล้าหาญมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ความเสี่ยง (Risk), เจตนา (Intention) และจุดประสงค์ (Goal) เช่น เมื่อเราถูกเพื่อนรุมด่า หากเรารวบรวมความกล้าในการที่จะปกป้องตัวเอง (Intention) ด้วยการบอกว่าเราไม่พอใจและเดินไปบอกครูเพื่อหยุดการบูลลี่ (Goal) ความกล้านี้มีความเสี่ยง (Risk) หากผลลัพธ์ดีเพื่อนจะหยุดแกล้ง แต่มีความเสี่ยงว่าวิธีนี้ถ้าไม่เวิร์กเราจะโดนหนักกว่าเดิม แต่ถ้าเราไม่กล้ายอมรับความเสี่ยงในการเปลี่ยนวิธีแก้ปัญหา เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย เราจะถูกบูลลี่ต่อไป
  • เมื่อกล้าที่จะตัดสินใจทำอะไรไปต้องยอมรับความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นได้ อุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนเราไม่กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ คือ “กลัวที่จะล้มเหลว” ด้วยหลักคิดว่า “ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่น่าอาย/พ่ายแพ้” แต่ถ้ามีอีกชุดความคิดว่า “การล้มเหลวเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่จะทำให้เราเติบโต” เราจะความกล้าในการตัดสินใจมากขึ้น
  • หนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้เรายอมรับความล้มเหลวได้ คือ การมีภูมิคุ้มกันทางใจที่ดี (Resilience) “ล้มแล้วลุกขึ้นมาทำใหม่” ยิ่งมี Resilience มากจะทำให้เรามีความกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น
  • “Crumpled Reminder” เป็นหนึ่งในวิธีการฝึกเรื่องการยอมรับความล้มเหลวให้ได้เป็น ทำได้โดยการจดบันทึกความล้มเหลวแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จดแล้วเอามาอ่านเพื่อขยี้ใจให้สลายนะ แต่เป็นการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งวิเคราะห์โดยตัวเราเองและ/หรือคนอื่น
  • คงความพยายามนั้นไว้ (Perseverance) คนส่วนใหญ่เมื่อยอมกล้าที่จะทำสิ่งแปลกใหม่ แต่หากผลลัพธ์ล้มเหลว เกินกว่าครึ่งจะถอดใจล้มเลิก แล้วกลับไปใช้วิธีแบบเก่าใน Comfort Zone แต่จากการศึกษาคนที่ประสบคความสำเร็จพบว่าคุณลักษณะที่สำคัญอีกอย่าง คือ “กล้าที่ล้มเหลวซ้ำ ๆ” โดยไม่ถอดใจ แม้ปัญหาเดิมยังคงอยู่ แต่กล้าที่จะปรับวิธีแก้ปัญหาไปเรื่อย ๆ จนค้นพบทางที่ใช่
  • ความกล้าหาญส่งต่อผ่านกันได้ มีงานวิจัยพบว่านักเรียนที่เรียนกับครูที่มีความกล้าในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ (Growth Mindset) แม้จะเฟลแล้วเฟลอีก ส่งผลให้นักเรียนที่เห็นครูเป็นตัวอย่าง (Role Model) เกิดความกล้าที่จะทำสิ่งต่าง ๆ  แม้ล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก หรือการที่มีฮีโร่ในดวงใจเป็นต้นแบบที่ดีในความกล้าหาญ ช่วยเด็กในการเรียนรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน
  • ค้นหาคุณค่า (Values) ที่เรายึดถือ หากเรารู้จักตัวเองว่าเรายึดถือคุณค่าคุณลักษณะใด (Values) เป็นหลักในการใช้ชีวิตและเป้าหมายสิ่งที่เราต้องการคืออะไร จะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นและเพิ่มความกล้าในการทำสิ่งต่าง ๆ เพราะเรารู้ข้อดีข้อเสียของตนเอง เช่น ความซื่อสัตย์, ความพยายาม มีการศึกษาพบว่าครูที่รู้จักตัวเองดีจะมีความมุ่งมั่นและเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องการสอนให้กับนักเรียนมากกว่าครูที่ยังดูงงกับชีวิต
  • สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนความกล้าหาญ เมื่อเรากล้าที่จะตัดสินใจลงมือมือทำสิ่งหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ เราสามารถชมและให้กำลังใจตัวเองได้ จะดีไปมากกว่านั้นหากเราได้รับ Feedback จากคนรอบข้างด้วย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่อยากได้การยอมรับ เช่น การชื่นชมจากคนในสังคมที่อาศัยอยู่

How to สร้างความกล้าหาญเอาชนะความกลัว 

1. ยอมรับความกลัวที่มีอยู่

ความกล้าหาญไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความกลัวเกิดขึ้นเลย เพียงแต่เราต้องรู้ตัวว่าเรากลัวหรือรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะหาวิธีจัดการกับอารมณ์นั้นได้ถูก เช่น เขียนความรู้สึกของตัวเองออกมา เพื่อที่จะทำความเข้าใจ ไม่ต้องไปตัดสินว่าความกลัวที่เกิดเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี การยอมรับว่าเรากลัวอะไรนับเป็นความกล้าหาญแบบหนึ่ง เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังกลัวอยู่คืออะไร มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน จะได้คิดวิธีแก้ได้ถูกจุด เช่น เห็นเพื่อนถูกแกล้ง เราไม่กล้าเข้าไปช่วยเพราะกลัวว่าตัวเองจะโดนไปด้วย วิธีแก้ปัญหาคือไปบอกครู เพื่อที่ครูจะได้ช่วยจัดการให้ ตัวเราเองไม่ต้องไปปะทะกับอีกฝ่ายตรงๆ

2. เตรียมรับมือกับสิ่งที่กลัว

ที่มาของความกลัวอย่างหนึ่ง คือ การที่เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังจะไปเจอหรือตัดสินใจทำ ผลจะออกมาอย่างไร ถึงแม้เราจะไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ แต่เราสามารถวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น เราต้องทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่ไม่รับผิดชอบ เรากลัวว่าเพื่อนจะไม่ทำงาน ดังนั้นตอนที่แบ่งงานให้มีการอัดคลิปไว้เพื่อเป็นหลักฐาน เมื่อเราเตรียมตัวมากพอในระดับหนึ่ง ความกลัวจะลดลง

3. บอกตัวเองว่า “ฉันทำได้”

การพูดคุยกับตัวเอง (Self-Talk) เหมือนจะตลก แต่ในทางจิตวิทยาหากเราพูดถึงสิ่งนั้นบ่อย ๆ และเชื่อว่า “เราจะทำได้” Self-Talk เป็นหนึ่งในวิธีที่เราจะปลุกปลอบใจตัวเองได้อย่างไม่มีขีดจำกัดและทำได้โดยไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก วิธีการ คือ บอกกับตัวเองในสิ่งที่อยากจะให้เป็น “ฉัน…”  เช่น เรากลัวที่จะออกไปพูดนำเสนอหน้าชั้นเพราะคิดว่าเนื้อที่หาเราพูดมันไร้สาระและเสียงเราตลก หากเราบอกกับตัวเองว่า “ฉันเตรียมเนื้อหาเต็มที่ ฉันซ้อมพูดแล้ว เสียงฉันไม่ได้ตลก” เวลาที่หัดพูดโดยการอัดคลิปเพื่อซ้อมเพิ่มความมั่นใจ เราบอกตัวเองซ้ำ ๆ แก้ตรงจุดที่ยังทำได้ไม่ดี ความมั่นใจจะมาเอง

4. ฝึกเรื่องการมีสติสงบตนเอง (Mindfulness)

การมีสติสงบตนเอง (Mindfulness) คือ การที่เราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันในช่วงขณะเวลานั้น หากเราเริ่มที่หลุดคิดย้อนกลับไปในอดีตหรือล่วงหน้าไปอนาคต ให้ดึงสติกลับมาด้วยการใช้ลมหายใจเป็นตัวกำหนด (Breathing Exercise) หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ทำช้า ๆ ซ้ำไปมาจนเราตั้งสติรู้ตัว (Self-Awareness) เพื่อที่เราจะได้ทำสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำในตอนนั้นได้

5. หาที่ปรึกษาที่ดี (mentor)

การที่เราจะฝึกความกล้าพัฒนาตนเอง นอกจากเราจะ feedback ตัวเองว่าต้องแก้ที่ไหน การมีบุคคลอื่นที่มองจากภายนอกเข้ามาให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษาจะช่วยได้มาก เพราะบางเรื่องที่เรากังวล ทำพลาดซ้ำ ๆ เราที่คลุกวงในจะมองไม่เห็นปัญหา แก้เองไม่ได้ แต่ถ้าเรามีที่ปรึกษาที่ดี เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่บ้ง เข้ามาช่วยดู เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราเติบโตได้มากและเร็วขึ้น 

6. ยอมรับผลที่จะเกิดขึ้น

เมื่อเรากล้าที่จะตัดสินใจทำอะไรไปแล้ว ไม่ว่าผลที่ออกมาจะดีหรือไม่ดีเราต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ ผลลัพธ์แย่ๆ ที่เกิดมีสาเหตุได้จากหลายอย่าง ซึ่งมีปัจจัยจำนวนมากที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราทำดีที่สุดได้แค่ในส่วนของเรา หากครั้งนี้ตัดสินใจผิดพลาดไป ครั้งหน้าต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ให้พลาดซ้ำแบบเดิมอีก ล้มเหลวก็ยอมรับว่าล้มเหลว การที่ทำอะไรแล้วไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้เป็นเรื่องปกติ อย่าคาดหวังว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ

7 ยอมรับสิ่งดีๆที่ตัวเองมีอยู่ ฝึกการชื่นชมตัวเอง (Self-Affirmations)

 คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบได้ 100%  หากเรากลัวที่จะทำผิดพลาดจะกลายเป็นว่าทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ดังนั้นการมองหาข้อดีของตัวเองและชื่มชมตัวเองได้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น  

8. วางแผนขั้นตอนในการสร้างความกล้า

การที่จะเอาชนะความกลัวได้ ต้องฝึกเผชิญความกลัวกังวลจากน้อยไปมาก ทำจากสิ่งที่ทำได้จริงก่อน ดังนั้นต้องเขียนแผนการฝึก มีระยะเวลากำหนดไว้เพื่อที่จะเป็นแรงผลักดันให้เราไปเผชิญกับสิ่งที่กลัว 

9. แม้เจออุปสรรคแต่ให้มุ่งมั่นทำต่อไป 

เมื่อเราตั้งความหวังเอาไว้ การเจออุปสรรคระหว่างทางเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญ คือ จะแก้ปัญหาอย่างไร และรักษาใจให้ยังคงความมุ่งมั่นเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

“ความกล้าหาญ”ในการทำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่ตัวเราที่จะดีขึ้น สังคมจะน่าอยู่มากขึ้นเช่นกัน หากวันนี้ยังไม่กล้าก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ฝึกกันไป

พี่หมอแมวน้ำขอเป็นกำลังใจให้นะคะ️

 

Referencehttps://www.betterup.com/blog/how-to-be-brave https://greatergood.berkeley.edu/https://www.verywellmind.com/7-ways-to-feel-more-courageoushttps://www.forbes.com/be-brave-how-to-build-your-professional-courage/

 

 หมอแมวน้ำเล่าเรื่อง “จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น”

หมอแมวน้ำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น