เปิดเส้นทางการศึกษา “พี่อูน ชนิสรา” จากนักศึกษานิเทศฯ สู่การเป็นนักธุรกิจแบรนด์ดัง Diamond Grains

เปิดเส้นทางการศึกษา “พี่อูน ชนิสรา” จากนักศึกษานิเทศฯ สู่การเป็นนักธุรกิจแบรนด์ดัง Diamond Grains

น้องๆ หลายคนคงจะรู้จักนักธุรกิจสาวไฟแรงอย่าง “พี่อูน - ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์” หรือที่เรียกกันว่า “พี่อูน Diamond Grains” ต้นแบบและแรงบันดาลใจด้านการใช้ชีวิตหรือการทำธุรกิจของใครหลายๆ คนกันอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าคงไม่มีสื่อไหนที่กล่าวถึงช่วงชีวิตในวัยเรียนมาก่อน ในวันนี้ คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยเรียน รวมถึงจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจว่ากว่าแบรนด์จะโด่งดังเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง  

เปิดเส้นทางการศึกษา “พี่อูน ชนิสรา” จากนักศึกษานิเทศฯ สู่การเป็นนักธุรกิจแบรนด์ดัง Diamond Grains
เปิดเส้นทางการศึกษา “พี่อูน ชนิสรา” จากนักศึกษานิเทศฯ สู่การเป็นนักธุรกิจแบรนด์ดัง Diamond Grains

ย้อนกลับไปสมัยยังเป็นวัยเรียน

ก่อนที่จะพาน้องๆ ไปดูจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจ อยากให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับพี่อูนในช่วงวัยเรียนกันก่อนว่า เส้นทางการศึกษาและการเติบโตของ ‘เด็กหญิงชนิสรา’ นั้นเป็นอย่างไร

ย้อนกลับไปช่วงประถม - ม.ต้น พี่อูนเรียนอยู่ที่โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ จ.นครปฐม พอเข้าสู่ช่วง ม.ปลาย เริ่มมีความคิดที่อยากไปต่างประเทศ เนื่องจากมีญาติเป็นพลเมืองที่อเมริกาเยอะมาก จึงเกิดความคิดที่ว่า อยากลองไปเรียนที่อเมริกาสัก 1 ปี เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาทักษะด้านภาษาให้มากขึ้น พอได้ไปเรียนที่นั่นพี่อูนพบว่า ตัวเองมีความสุขกับการเรียนมาก เพราะนักเรียนทุกคนมีอิสระในการเลือกวิชาที่ตัวเองอยากเรียน ต่างจากหลักสูตรของไทยที่ ม.ปลาย ต้องเรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ทุกปี แต่หลักสูตรของอเมริกาจะให้เลือกว่าปีไหนจะเรียนวิชาอะไร เช่น ม.4 เลือกเรียนชีวะก็จะได้เรียนตลอดทั้งปี ที่สำคัญยังสามารถเลือกระดับความยากของวิชานั้นๆ ได้อีกด้วย  

แต่การเรียนที่อเมริกากลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ด้วยปัญหาด้านภาษาที่ทำให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาบางรายวิชา ส่งผลให้เวลาที่สอบก็มักจะสอบตกเป็นประจำ ในตอนนั้นพี่อูนก็คิดได้ว่า ถ้าไม่อยากเป็นคนที่ด้อยในห้องเรียนก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น จึงตัดสินใจขนหนังสือเรียนกลับบ้าน และนั่งอ่านทุกหน้า พร้อมกับเปิด YouTube ดู เพื่อทำความเข้าใจบทเรียนนั้นๆ จนในที่สุดก็สามารถสอบผ่าน และเลื่อนระดับความยากของรายวิชาได้  

ในระหว่างที่เรียนอยู่อเมริกาก็มีการทำงานพิเศษ อย่างการเสิร์ฟอาหารอยู่ที่ร้านของน้าไปด้วย ซึ่งตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น  และยังมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งก่อนที่จะกลับมาประเทศไทย นั่นจึงเป็นจุดประกายเล็กๆ ที่ทำให้พี่อูนเริ่มอยากทำงาน และมีเงินใช้ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา  

เมื่อกลับมาที่ไทยพี่อูนไม่ได้เรียนต่อ ม.5 - 6 เนื่องจากหลักสูตรของไทยกับอเมริกาแตกต่างกันมาก ถ้าจะเรียนต่อ ม.ปลาย ที่ไทยก็ต้องเรียนที่โรงเรียนนานาชาติเท่านั้น เพราะเป็นหลักสูตรจากต่างประเทศ แต่ค่าใช้ต่อปีการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติค่อนข้างสูงมาก ทำให้พี่อูนรู้สึกไม่ดี ถ้าหากครอบครัวจะต้องมาจ่ายค่าเล่าเรียนหลักล้านตลอด 2 ปีที่เหลือ จึงตัดสินใจสอบเทียบ GED เพื่อยื่นเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย

สำหรับการเตรียมตัวสอบเทียบ GED พี่อูนมีระยะเวลาในการเตรียมตัวไม่มากนัก เพราะอยู่ในช่วงใกล้สอบพอดี จึงเลือกเรียนพิเศษ 1 คอร์ส ภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือน และไปสอบทันที เมื่อสอบเทียบผ่านแล้ว จึงไปสอบ CU-TEP และ CU-AAT เพื่อยื่นเข้าคณะที่มีการใช้คะแนนดังกล่าว  

เลือกเรียนนิเทศฯ เพราะเรียนกับตัวเลขมันไม่สนุก

ในระหว่างที่ต้องตัดสินใจเลือกคณะ พี่อูนไม่รู้เลยว่าแต่ละคณะต้องเรียนเกี่ยวกับอะไร แต่คุณอาคนสนิทที่ทำงานเกี่ยวกับด้านบัญชีบอกกับพี่อูนว่า “เรียนเกี่ยวกับตัวเลขมันไม่สนุกหรอกนะ” พร้อมกับเล่าเรื่องราวการทำงานที่ต้องเจอให้ฟัง  ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนไม่คิดอะไรมาก  ไม่ได้มีความต้องการเป็นพิเศษ และเป็นเหมือนน้ำที่อยู่ในภาชนะไหนก็จะไหลไปตามรูปร่างนั้น  สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ภาคอินเตอร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  

นิเทศศาสตร์ (Communication Arts) เป็นศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะในการสื่อสาร ซึ่งคณะนิเทศศาสตร์ ภาคอินเตอร์ ของจุฬาฯ จะเรียนไม่เหมือนกับภาคไทย เพราะภาคไทยมีถึง 7 สาขา โดยเรียนแบบเจาะลึกในสาขาที่เลือกโดยเฉพาะ เช่น ภาพยนตร์ ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ แต่ภาคอินเตอร์มีเพียงสาขาวิชาเดียว คือ 'Communication Management' ที่เน้นเรียนทางด้านการบริหารจัดการการสื่อสาร มองภาพรวมของการสื่อสารแขนงต่างๆ ซึ่งเนื้อหาความรู้ที่ได้เรียนก็จะค่อนข้างหลากหลายมากกว่าภาคไทย  

แม้จะเรียนคณะนิเทศศาสตร์มาก็จริง แต่เนื้อหาความรู้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายทางสายข่าวมากนัก แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสื่อ จึงทำให้พี่อูนพอมีพื้นฐานทางด้านบริหารจัดการติดตัวมาบ้าง และในตอนปี 3 พี่อูนก็มีโอกาสไปฝึกงานในบริษัทเอเจนซี่ที่ทำคอนเทนต์ด้านการตลาด และได้ทำงานให้กับบริษัทใหญ่ๆ ระดับประเทศ ซึ่งผลงานก็เป็นที่น่าประทับใจจนลูกค้าเลือกจ้างงานต่อ ทำให้พี่อูนมีรายได้เข้ามาในตอนที่เรียนอยู่ อีกทั้งยังเริ่มมองเห็นเสน่ห์ของการตลาดมากขึ้น รวมถึงมีทักษะในด้านการเขียนคอนเทนต์เพิ่มขึ้นอีกด้วย

จุดกำเนิดของธุรกิจมาจากความชื่นชอบส่วนตัว

จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ เริ่มขึ้นเมื่อปี 2555 เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่ได้ทำงานต่อให้กับบริษัท ซึ่งพี่อูนรู้สึกดีใจที่ทำงานได้เงินตั้งแต่วัยเรียน จึงเริ่มอยากหาเงินใช้ด้วยตัวเองมากขึ้น และอยากสร้างแบรนด์ของตัวเองบ้าง เพราะสร้างแบรนด์ให้คนอื่นมาเยอะแล้ว ประกอบกับพี่แพ็ค (คุณวุฒิกานต์ วงศ์ดีประสิทธิ์ - สามี) เรียนจบปริญญาตรีด้านการบริหารการเงินที่ปักกิ่ง และมีความคิดที่อยากจะทำธุรกิจพอดี จึงชวนพี่อูนมาร่วมทำธุรกิจด้วยกัน

ตอนที่เริ่มทำธุรกิจ พี่อูน อายุ 19 ปี ส่วนพี่แพ็ค อายุ 22 ปี ซึ่งธุรกิจที่ทั้งคู่เลือกทำเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร เนื่องจากเป็นความชอบของทั้งคู่ที่มักจะไปหาของกินอร่อยๆ ด้วยกันเป็นประจำ ธุรกิจแรกที่เริ่มทำ คือ ‘อิตาเลียนโซดา’ เพราะเป็นเมนูโปรดของพี่แพ็ค และยังมีขายน้อยตามท้องตลาด แต่ในระหว่างที่ทำก็เกิดคำถามว่า สิ่งนี้มีคุณภาพหรือคุณค่าเหนือกว่าตัวเลือกอื่นๆ ที่ลูกค้ามีในตลาดอย่างไร เพราะลักษณะของอิตาเลียนโซดาไม่เหมือนกับชานมไข่มุกหรือกาแฟที่คนส่วนใหญ่ดื่มกัน เมื่อทั้งคู่หาคำตอบให้กับคำถามนี้ไม่ได้ จึงตัดสินใจเลิกทำธุรกิจอิตาเลียนโซดาไป  

ที่มาของแบรนด์ Diamond Grains

แม้ว่าจะพับธุรกิจอิตาเลียนโซดาทิ้งไป แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม ลองเปลี่ยนไอเดียมาทำ ‘โยเกิร์ต soft serve’ ที่โรยด้วยท้อปปิ้งต่างๆ ซึ่งในช่วงเวลานั้นท้อปปิ้งตามท้องตลาดที่มีอยู่ไม่ได้มีตัวเลือกมากมาย ทั้งคู่จึงเกิดไอเดียอยากทำท้อปปิ้งด้วยตัวเอง แต่ในตอนนั้นยังไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อเครื่องทำโยเกิร์ต จึงเปลี่ยนใจหันมาโฟกัสกับการทำ ‘กราโนล่า’ แทน เนื่องจากเคยทานที่อเมริกาแล้วติดใจ ประกอบกับที่ประเทศไทยยังไม่มีสิ่งนี้วางขาย

หลังจากที่ตัดสินใจได้ว่าจะทำธุรกิจนี้ ทั้งคู่จึงเริ่มจากการทำกราโนล่าบาร์ ซึ่งเป็นอาหารที่ทำมาจากธัญพืชหลายชนิด แล้วนำไปเสนอที่ร้านขนม ร้านกาแฟหลายแห่ง แต่ก็มักจะถูกปฏิเสธเป็นประจำ เพราะเห็นว่าอาหารประเภทธัญพืชขายยาก ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว อาหารเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงกราโนล่ายังไม่ได้เป็นที่รู้จักสำหรับกลุ่มลูกค้าในไทย ทำให้สินค้านี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จนเริ่มเกิดความรู้สึกท้อ แต่ในระหว่างที่ท้อทั้งคู่ก็คิดว่า หลายๆ ธุรกิจก็ต้องเคยผ่านจุดนี้มาก่อน ถ้าเริ่มทำธุรกิจมาแค่ปีเดียวแล้วท้อก็ไม่ควรจะประสบความสำเร็จ ทำให้กลับมาคิดใหม่ว่า “ยิ่งล้มเหลวมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องพยายามมากขึ้นเท่านั้น”  

สิ่งที่เรียนมากับธุรกิจที่ทำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในช่วงแรกที่เริ่มปลุกปั้นแบรนด์กราโนล่าจะยังมองไม่เห็นเงาของความสำเร็จ แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ กลับมามองหาปัญหาที่แท้จริงของแบรนด์ว่าคืออะไร สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า ที่ผ่านมาไม่เคยวิเคราะห์ในมุมของลูกค้าเลย แต่เป็นการผลิตที่อิงความต้องการของตัวเองเป็นหลัก นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่เลิกยึดตามแนวคิดเดิมที่ว่า ตัวเองอยากจะผลิตอะไร แล้วหันกลับไปมองที่ลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร

แม้ว่าคณะที่จบมาจะไม่ได้ตรงตามสายกับธุรกิจที่ทำอยู่ก็จริง แต่ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาตลอด 4 ปี พี่อูนก็ไม่ปล่อยมันทิ้งไปให้สูญเปล่า รวมถึงประสบการณ์จากการฝึกงานก็ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจอยู่ไม่น้อย เริ่มจากนำความรู้จากวิชา Customer Insight มาใช้ ซึ่งเป็นศาสตร์การเข้าใจลูกค้าที่ไม่ใช่แค่ข้อมูลทั่วไป อย่าง เพศ อายุ รายได้ ฯลฯ เท่านั้น แต่เป็นข้อมูลความสนใจ พฤติกรรม ความเชื่อ ทัศนคติต่างๆ ของลูกค้า เพื่อให้แบรนด์สามารถนำมาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าที่มากไปกว่า ลูกค้าชอบอะไร แต่เป็นพวกเขาทำอะไร พฤติกรรมเป็นอย่างไร เพื่อนำไปวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด พัฒนาต่อยอดสินค้า และบริการใหม่ๆ ให้เหมาะสมต่อความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์รสชาติ  แพคเกจจิ้ง ปริมาณสินค้า ปริมาณแคลอรี ราคาที่จับต้องได้  

รวมถึงวิธีการสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงลูกค้า โชคดีที่มีประสบการณ์ด้านการเขียนคอนเทนต์มาก่อน เรื่องการสื่อสารแบรนด์ให้น่าสนใจจึงไม่ใช่ปัญหา ประกอบกับช่วงนั้นคนเริ่มเล่น Facebook กันมากขึ้น จึงเสริมทัพด้วยการทำตลาดรูปแบบใหม่ ผ่านการขายออนไลน์แบบจัดส่งถึงที่ ปรับดีไซน์สินค้าให้เป็นเหมือนกล่องของขวัญสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า จนกลายเป็นหมัดฮุกเข้าเป้าในยุคสังคมโซเชียล และสุดท้ายก็พัฒนามาเป็น กราโนล่า ซีเรียลธัญพืช แบรนด์ Diamond Grains อย่างที่เห็นในทุกวันนี้

ปัจจุบันสินค้าในบริษัท บรันช์ไทม์ จำกัด มีอยู่หลากหลายแบรนด์ ได้แก่ Diamond Grains  กราโนล่า, Moleculogy อาหารเสริม สกินแคร์, ผักฉ่ำคําหอม ร้านอาหารมังสวิรัติ, Auroraspotion ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร, Home to my heart สินค้าไลฟ์สไตล์, Serious Snack ขนมใส่ใจสุขภาพ และ Bekin แบรนด์อาหารคีโต (วางขายที่อเมริกา)

หลายคนอาจมองว่า การทำงานไม่ตรงสายที่จบมา ดูเหมือนเป็นการเสียเวลากับสิ่งที่เรียนไป แต่พี่อูนเป็นอีกหนึ่งคนที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถนำทักษะ หรือความรู้ต่างๆ ที่ได้จากตอนเรียนมาปรับใช้กับการทำงานจริงได้ สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทำงานตรงสายหรือไม่ตรงสาย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบส่วนบุคคล  

สิ่งที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน

ไม่มีคำพูดใดใดที่อยากจะบอกกับตัวเองในวัยนั้น แต่จะปล่อยให้รู้สึกไปกับแต่ละเหตุการณ์ที่ต้องเจอ เพื่อให้ตัวเองได้เรียนรู้และหาวิธีเอาตอนรอดกับแต่ละเรื่องราวที่เจอ และคงไม่โทษตัวเองที่เลือกเดินเส้นทางนี้ เพราะจังหวะชีวิตมันถูกส่งมาให้เลือกที่จะทำแบบนี้ แต่มีหนึ่งเรื่องที่นึกเสียดายในวัยเรียน คือ การไม่ได้เรียน ม.ปลาย ถ้าตอนนั้นได้เรียนอาจจะมีความทรงจำหรือโมเมนต์ที่สนุกๆ ในชีวิตมากกว่านี้

ในวันที่ตัดสินใจเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักธุรกิจ ณ ช่วงเวลานั้น พี่อูนก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า สิ่งที่เลือกไปมันจะส่งผลอย่างไรกับตัวเองในอนาคต แต่ในเมื่อเลือกแล้วก็จะทำทุกอย่างในแต่ละวันให้ดีที่สุด ล้มเหลวสักกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นมาเพื่อที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ  

สิ่งสำคัญ คือ พยายามมองปัญหาเป็นเรื่องของการพัฒนา ตราบใดที่เจอปัญหาเราก็จะรู้ว่าอะไรสามารถพัฒนาต่อได้บ้าง การกลัวที่จะเห็นความผิดพลาดทำให้ไม่เกิดการพัฒนา และย่ำอยู่กับที่ แต่ถ้าเราเห็นข้อผิดพลาด เรียนรู้และนำมาแก้ไขก็จะทำให้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

ฝากถึงน้องๆ วัยเรียน ชาว Dek-D.com  

สำหรับน้องๆ วัยเรียนที่กำลังประสบกับปัญหาต่างๆ และต้องการผ่านปัญหาเหล่านั้นไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การเรียน การทำงาน การใช้ชีวิต อยากให้ทุกคนลองมองปัญหาเหล่านั้นเป็นเหมือน ‘ด่านของเกม’ แล้วตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าปลายทางนั้นเราอยากให้เป็นอย่างไร เพราะถ้าไม่ตั้งเป้าหมายเลย มันจะไม่สนุก และไม่มีแรงจูงใจที่อยากจะทำให้สำเร็จ  

อีกหนึ่งสิ่งที่อยากให้โฟกัส คือ เครดิตของตัวเองตอนที่เรียน ว่าเราเป็นคนแบบไหน รับมือกับปัญหาได้อย่างไร มีความตั้งใจมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าโลกของการเรียนมันคือโลกจำลองของการทำงานจริง หลายคนโฟกัสแค่ที่เกรด แต่ปัจจุบันนี้มีหลายๆ องค์กรที่แทบจะไม่ดูเกรดเลย แต่ดูประสบการณ์และความเป็นตัวตนของเราที่ผ่านมาในช่วงที่เรียน ตัวตนของเราในเวอร์ชั่นที่เรียนจบมันถูกส่งต่อมาจากตอนเรียน เพราะฉะนั้นอยากให้น้องๆ ทุกคน ทำทุกๆ วันให้มีคุณค่า กอบโกย เก็บเกี่ยวทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา เพื่ออนาคตที่ดีของตัวเราเอง

พี่อูน - ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์ เจ้าของแบรนด์ Diamond Grains
พี่อูน - ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์ เจ้าของแบรนด์ Diamond Grains

จากที่ได้พูดคุยกับพี่อูน ทำให้เห็นว่า ความสำเร็จในชีวิตมักมาจากการ “เชื่อมโยงจุด” ต่างๆ เข้าด้วยกัน จุดในที่นี้หมายถึง ประสบการณ์ การลองผิดลองถูก ความล้มเหลว จากอดีตที่ผ่านมา แล้วสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มีคุณค่าได้สำเร็จในอนาคต  ถ้าเรามีจุดที่มากพอ โอกาสที่มันจะเชื่อมโยงกันได้ในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้น  เพราะฉะนั้นอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ยิ่งเราเรียนรู้ให้เยอะก็ยิ่งทำให้มีจุดเยอะที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นทางเลือก และโอกาสที่มากมายให้กับชีวิต

 ทางทีมงานต้องขอขอบคุณ พี่อูน - ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Diamond Grains ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ 

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
boojirawatd Member 9 ส.ค. 66 21:04 น. 2

บทความดีมากครับ เป็นข้อมูลที่ดีมากในการใช้ตัดสินใจ และ วางแผนในอนาคต สำหรับคนทั่วไปมากๆครับ เป็นกำลังใจให้ทำต่อไป ขอบคุณครับ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด