การเข้าสังคมไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ใครๆ ก็ฝึกได้!
“ทอม” อายุ 14 ปี เป็นเด็กที่ได้ยอมรับจากทุกคนว่าเป็นอัจฉริยะด้านเลข เวลาพักครูอนุญาตให้ทอมไปเรียนเลขเสริมจากติวเตอร์นอกโรงเรียน ไม่ว่าจะส่งทอมไปแข่งรายการไหนเขาชนะหมดไม่เคยแพ้ ทอมมองเพื่อนที่วิ่งเล่น คิดแว็บ ๆ ว่าอยากไปเล่นบ้างจัง แต่ผู้ใหญ่ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนไม่อนุญาตให้ทอมได้เล่นกับคนอื่น เพราะว่า “เสียเวลา” เนื่องจากทอมต้องเดินสายแข่งทั้งในและต่างประเทศ เวลาที่ต้องแข่งรายการยากเขามักจะอาละวาดตอนทำโจทย์ไม่ได้ทั้งที่บ้านและโรงเรียน หน้าบูด วีน เหวี่ยงตลอด แต่ผู้ใหญ่รอบตัวตามใจเพราะอยากให้ทอมทุ่มเทกับการแข่งขัน จนเขาคิดว่าตัวเองใหญ่สุด ที่โรงเรียนทอมได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องทำงานกลุ่ม มีคนจัดการเคลียร์ผลการเรียนให้ ตอนนี้เขาอยู่ชั้นม.2 ปกติแทบไม่ได้เข้าเรียน แต่ช่วงนี้ไม่มีรายการแข่ง ทอมเลยเข้าเรียนคาบเลข ครูบอกให้นักเรียนจับกลุ่มทำโครงงาน คนอื่นที่มีเพื่อนสนิทก็จับกันเอง เหลือแต่ทอมที่ไม่มีใครเอาเข้ากลุ่ม เขาโกรธไม่พอใจว่าทำไมเขาเก่งเลขมากแต่ไม่มีใครสนใจ สุดท้ายครูหากลุ่มให้อยู่ ตอนที่ต้องช่วยกันคิดโครงงาน คนในกลุ่มเสนอความเห็นที่ทอมคิดว่าโง่สุด ๆ จนเผลอพูดและแสดงท่าทางหงุดหงิด “มันง่ายมากเลยนะ ทำไมคิดไม่ได้” “ทำตามแบบที่เราบอกจะได้คะแนนดี” คนในกลุ่มมองหน้ากันและปฏิเสธไม่ทำตามที่เขาเสนอ ทอมโมโห ยกเก้าอี้จะทุ่มใส่เพื่อน คนอื่นต้องรีบเข้ามาห้าม
ชีวิตในวัยเด็กมีหลายเรื่องที่ต้องฝึกและทำ นอกจากเรื่องการเรียนที่เด็กหลายคนถูกคาดหวังให้มีผลการเรียนที่ดี เพื่อให้สอบเข้าและได้เรียนในสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ ยังต้องฝึกเรื่องความรับผิดชอบ การดูแลตัวเอง และอีกหลายสิ่งอย่างเพื่อให้เราเอาชีวิตรอด อยู่ได้ตามมาตรฐานสังคม สิ่งหนึ่งในปัจจุบันที่เรามักลืมเรื่องนี้ไป ทั้งที่มีความสำคัญมาก คือ ทักษะการเข้าสังคมและการมีเพื่อน เด็กและผู้ใหญ่บางคนมองว่าการมีเพื่อนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยหากเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ เพราะคิดว่า “การเรียนเก่ง” เป็นใบเบิกทางให้มีอนาคตที่สวยหรู แต่ลืมนึกไปว่าการจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ต้องมีทักษะอื่นด้วย เพราะต่อให้เรียนดีแค่ไหน แต่ไม่รู้จักใคร ไม่มีคอนเน็คชั่น จะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยหรือเข้าทำงานก็อาจจะเป็นเรื่องยาก
เมื่อมองย้อนกลับมามองในสเกลเล็ก “การมีเพื่อน” เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กให้เติบโตได้สมวัย เช่น กล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก การใช้ภาษา การอดทนรอคอย การแบ่งปัน การเจรจาต่อรอง การทำใจยอมรับกับความผิดหวัง การแก้ปัญหา ทักษะพวกนี้ไม่มีในข้อสอบและหนังสือวิชาการ เด็กต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านประสบการณ์จริง การเห็นตัวอย่าง และการได้รับการฝึกสอนจากผู้ใหญ่
“การมีเพื่อน” เป็นหนึ่งในพัฒนาการอีกด้านที่ไม่จำเป็นต้องเท่ากับอายุจริงเสมอไป เช่น เด็กวัยรุ่นตอนต้นอย่าง “ทอม” ที่เก่งเลขมาก เป็นตัวแข่งตัวตึง แต่ไม่ได้รับการฝึกเรื่องการเข้าสังคม เพราะใช้เวลาไปกับการติวและทำโจทย์ เด็กอาจมีพัฒนาการด้านการมีเพื่อนเท่ากับเด็กอนุบาลก็ได้ เป็นลักษณะเอาแต่ใจ จะเล่นหรือทำกิจกรรมกับคนอื่นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น เวลาทำงานกลุ่มเกิดดราม่าเพราะเพื่อนมีความเห็นต่าง ทำให้เด็กอาละวาด คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คนเราต่อให้เก่งแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีเพื่อน ก็ยากที่จะใช้ชีวิตได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น มีการศึกษาหลายงานวิจัยได้ผลออกมาว่าเด็กที่ไม่มีเพื่อน เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์ และเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีแนวโน้มจะมีปัญหาในชีวิตมากกว่าคนที่มีเพื่อน คนที่มีส่วนในการช่วยเหลือเด็กให้มีสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อน คือ คนรอบข้างทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
พัฒนาการด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน
(อ้างอิงจากทฤษฎีของ Robert Selman)
Robert Selman ศึกษาข้อมูลจากหลายงานวิจัย สรุปเป็นทฤษฎี “พัฒนาการด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน” (Developmental trends in children's friendships) แบ่งออกเป็น 5 ขั้น
1. LEVEL 0 ความสัมพันธ์กับเพื่อนแบบชั่วคราว “ฉันต้องได้อย่างที่ฉันต้องการ”
(Friendship—Momentary Playmates: "I Want It My Way")
ช่วงอายุ 3-6 ปี
เด็กวัยนี้จะมองเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนว่า “เพื่อน คือ คนที่เล่นด้วยกันเป็นครั้งๆ ไป สนุกจากการเล่นด้วยกัน” เด็กจะเล่นกับเด็กคนอื่นที่อยู่ใกล้กัน มีความสนใจของเล่นอย่างเดียวกัน เด็กวัยนี้สมองยังไม่พัฒนาถึงระดับที่จะคิดแทนคนอื่นได้ (Take Perspective) ทำให้เด็กคิดว่าคนอื่นต้องคิดเหมือนตัวเค้า ดังนั้นถ้าเล่นกับเพื่อนแล้วเพื่อนมีความเห็นต่าง หรือเล่นไม่เหมือนกัน เด็กจะรู้สึกไม่ดีกับเพื่อน โกรธเพื่อน คิดว่า “ไม่เป็นเพื่อนกับคนนี้แล้ว!! เพราะเค้าไม่ทำตามที่ฉันต้องการ” อย่างไรก็ตามเด็กจะมีความคิดแบบนี้แค่ช่วงเวลานั้นๆ พอเวลาผ่านไป เด็กสามารถกลับมาเล่นกับเพื่อนคนเดิมได้อีก มีเงื่อนไขว่าเพื่อนต้องเล่นเหมือนกับที่เด็กต้องการ ผู้ใหญ่ไม่ต้องแปลกใจ หากวันนี้เด็กบอกจะไม่คบกันเพื่อนคนนี้แล้ว แต่พรุ่งนี้กลับมาเห็นเล่นด้วยกันอีก
2. LEVEL 1 ความสัมพันธ์แบบเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว “เธอมีอะไรให้ฉันบ้าง”
(Friendship—One-Way Assistance: "What's In It For Me?")
ช่วงอายุ 5-9 ปี
เด็กเข้าใจว่าการเป็นเพื่อนนั้น มีอย่างอื่นเป็นส่วนประกอบนอกเหนือจากการเล่นด้วยกัน เด็กจะมองว่า “เพื่อน คือ คนที่ทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเด็ก” เช่น แบ่งขนมให้ ให้ยืมดินสอ แต่เด็กยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการเป็นเพื่อน เด็กต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ เด็กวัยนี้จะต้องการเพื่อนอย่างมากในเชิงปริมาณ ยิ่งมีจำนวนเพื่อนมากยิ่งดี ใช้ความเป็นเพื่อนแลกเปลี่ยนสิ่งที่เด็กต้องการ (Bargaining chip) เช่น หากเด็กคนอื่นมาขอยืมของ เด็กจะบอกว่า “เราให้เธอยืมก็ได้นะ แต่เธอต้องเป็นเพื่อนของเรา”
3. LEVEL 2 ความสัมพันธ์แบบเป็นทั้งฝ่ายให้และฝ่ายรับ “ฉันจะทำตามกติกา”
( Friendship-Two-Way, Fair Weather Cooperation: "By the Rules")
ช่วงอายุ 7-12 ปี
เด็กเริ่มจะเข้าใจมุมมองของคนอื่น (Take Perspective) เด็กรู้ว่าตัวเด็กเองและคนอื่นต่างแยกออกจากกัน แต่ละคนมีความคิดความชอบและนิสัยที่ไม่เหมือนกัน เพียงแต่เด็กยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด เด็กสามารถมีน้ำใจแบ่งปันได้ บางครั้งก็คิดได้ว่า “ถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับที่เพื่อนกำลังมาขอความช่วยเหลือ ฉันจะรู้สึกยังไงและอยากให้คนอื่นช่วยฉันอย่างไร” แต่บางครั้งการที่เด็กแสดงความมีน้ำใจ เด็กไม่ได้คิดได้เชิงนามธรรมว่า การเสียสละเป็นสิ่งที่ดี ไม่หวังผลตอบแทน แต่เด็กคิดว่าต้องทำเพราะอยากให้เพื่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กต่อไป เด็กเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับ เมื่อเด็กเป็นผู้ให้ เด็กคาดหวังว่าต่อไปเพื่อนก็ต้องทำให้เด็กเหมือนกัน เด็กจะให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องความยุติธรรม (ในมุมมองของเด็ก ซึ่งอาจเหมือนหรือไม่เหมือนกับที่ผู้ใหญ่มองก็ได้) ทำให้เด็กชอบเปรียบเทียบ และมีกฎกติกาสำหรับความเป็นเพื่อน เช่น “ครั้งนี้ฉันให้เค้ายืมของเล่น ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าเค้าก็ต้องให้ฉันยืมของเล่นเหมือนกัน” หากเพื่อนไม่ทำตามที่เด็กคาดหวังไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เด็กจะไม่พอใจ เวลาที่เด็กมองตัวเองดีหรือไม่ดี เด็กมักจะเทียบกับกลุ่มเพื่อน มีการจับกลุ่ม แบ่งแยกเป็นกลุ่มฉันกลุ่มคนอื่น (Secret Clubs) แต่ละกลุ่มจะมีกติกาและธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละกลุ่ม ถ้าใครทำตัวแตกต่างผิดแปลกออกไป จะโดนขับออกจากกลุ่มทางตรงหรือทางอ้อมได้
4. LEVEL 3 ความสัมพันธ์แบบผูกพันและแบ่งปัน
(Friendship-Intimate, Mutually Shared Relationships: "Caring and Sharing") ช่วงอายุ 8-15 ปี
เด็กมีความสัมพันธ์กับเพื่อนที่แน่นแฟ้นมากขึ้น อยากช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พูดคุยเล่าระบาย หรือปรึกษาปัญหากัน ประนีประนอม ปรับตัวยอมเพื่อนได้ เวลาที่ช่วยเหลือเพื่อน รู้สึกว่าอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้ช่วยแล้วเก็บกลับไปคิดว่า “ฉันช่วยเค้า ดังนั้นเค้าต้องช่วยฉันกลับบ้าง” เด็กจะคิดว่า “เพื่อนสนิท” ควรทำอะไรด้วยกัน (มักเป็นในเด็กผู้หญิง) บางครั้งถ้าเพื่อนสนิทของเด็กไปคุยหรือมีท่าทีสนิทสนมกับคนอื่น เด็กจะน้อยใจ ไม่พอใจได้ เด็กจะบอกว่า “ถูกแย่งเพื่อน” ทั้งที่จริงเพื่อนสนิทก็ยังทำดีกับเด็กเหมือนเดิม
5. LEVEL 4 ความสัมพันธ์แบบมิตรภาพที่แท้จริง
(Friendship—Mature Friendship: "Friends Through Thick and Thin")
ช่วงอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
เด็กมีความผูกพันกับเพื่อนอย่างมาก ยอมรับข้อดีข้อเสียของกันและกัน อยากช่วยเหลือเพื่อน ต้องการให้เพื่อนมีความสุข ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทน ถ้าเพื่อนทำสิ่งที่เด็กไม่ชอบ เด็กจะสามารถให้อภัยได้ เมื่อเพื่อนต้องห่างออกไปมีสัมพันธภาพกับคนอื่น ใช้เวลากับเด็กลดลง เด็กจะเข้าใจได้ว่า แม้ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันเหมือนเดิม แต่มิตรภาพก็ยังคงอยู่เสมอ
How To ฝึกให้เด็กมีเพื่อน
คนมักเข้าใจผิดว่าทักษะการเข้าสังคมและการมีเพื่อนเป็นสิ่งที่เกิดจาก Common Sense เราทำได้เองโดยอัตโนมัติ เพราะสมัยเราเรายังหาเพื่อนได้โดยไม่ได้ต้องไปกวดวิชาหรือฝึกคลาสที่ไหน แต่จากงานวิจัยพบว่าหากเด็กได้รับการฝึกจากคนรอบตัวเรื่องทักษะการเข้าสังคม จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เด็กมีเพื่อนและอยู่ร่วมกับเพื่อนได้ดีมากขึ้น ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องช่วยส่งเสริมกระตุ้นพัฒนาการเรื่องนี้ให้เด็ก การที่จะมีเพื่อนได้เด็กต้องมีทักษะอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation Skills), การเห็นอกเห็นใจ (Empathy), คุยให้สนุกถูกจังหวะ, รับฟังคนอื่น (Active Listener), การขอโทษและแก้ไข (Apologize/Make Amends), การให้อภัย (Forgiveness)
1. ผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นตัวอย่างที่ดี (good role modeling)
การเลี้ยงดูเป็นต้นแบบที่สำคัญในการที่เด็กจะมองโลกแบบไหนและนำสิ่งที่เรียนรู้จากในครอบครัวออกไปทำกับคนอื่น เช่น การใช้ความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) หากพ่อทำโทษเด็กรุนแรง ด่าทอ ด้อยค่า ทุกครั้งที่เด็กทำผิด เด็กจะเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาเวลาที่เราไม่พอใจคนอื่น เด็กเลยใช้มือตบหน้าเพื่อนและด่าหยาบคาย เพราะไม่พอใจที่เพื่อนเข้ามาแซงคิวซื้อข้าว แทนที่จะคุยกันดี ๆ ก่อน จนเพื่อนคนอื่นเห็นแล้วกลัว กลายเป็นว่าเด็กไม่มีคนเล่นด้วย แต่ถ้าพ่อใช้วิธีคุยกับเด็กด้วยเหตุผล พูดกันดี ๆ บอกความรู้สึกของพ่อ สิ่งที่เด็กทำผิด และวิธีแก้ไข เด็กจะเอาไปปรับใช้ แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ทำให้เพื่อนคนอื่นอยากมาเล่นด้วย
2. สอนให้เด็กจับอารมณ์ตัวเองและจัดการได้อย่างเหมาะสม (Self-Awareness/Emotional Control)
การเกิดอารมณ์ลบเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครที่จะรู้สึกดี มีความสุขได้ตลอด หรือกลบเกลื่อนความรู้สึก แสดงอาการเหมือนวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์อย่างไร้ทุกข์ เราต้องยอมรับและทำความเข้าใจอารมณ์ลบของตัวเอง เช่น โกรธ เสียใจ น้อยใจ แค้น อิจฉา ไม่ใช่เรื่องผิดบาปที่เราจะรู้สึกแบบนั้น สำคัญที่ว่าเราจัดการกับอารมณ์นั้นอย่างไรมากกว่า เช่น แทนที่จะโกรธใครแล้วไปอาละวาด โพสต์ด่าประจานลงโซเชียลมีเดีย เปลี่ยนเป็นพาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้น คุมลมหายใจ (Breathing Exercise) วาดรูประบายจนเย็นลง แล้วค่อยกลับไปคุยกันด้วยเหตุผล
3. สอนเรื่องความเห็นอกเห็นใจและทำความเข้าใจคนอื่น (Empathy/Mind Reading)
ช่วงก่อนอายุ 6 ปี สมองของเด็กยังไม่สามารถมองในมุมมองคนอื่นได้ (Take Other Perspective) เด็กมองแต่แง่มุมตัวเอง ผู้ใหญ่ต้องบอกเล่าว่าถ้าผู้ใหญ่เจอแบบนั้นมีโอกาสที่จะคิดและรู้สึกอย่างไร เช่น เด็กหยิบดินสอเพื่อนโดยไม่บอกก่อน เพื่อนน่าจะไม่พอใจ โกรธ ไม่อยากคบกับคนที่มาหยิบของโดยไม่มาขอ เพื่อให้เด็กคิดมองได้ในหลายแง่มุม ฝึกให้เด็กลองสมมุติตัวเองกรณีเป็นคนนั้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ว่า “ถ้า…” หากเด็กรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการที่ถูกกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ก่อนทำอะไรเด็กจะยั้งคิดมากขึ้น
4. สอนเด็กรับมือกับความกังวล
เด็กแต่ละคนมีพื้นอารมณ์ที่ต่างกัน บางคนขี้กังวลมาก (Anxious Child) กลัวสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรใน Scenario ต่าง ๆ ไม่มั่นใจในตัวเอง เวลาที่ต้องเข้าสังคมกับเพื่อนเป็นช่วงเวลาที่ความกังวลพุ่งสูง เพราะเด็กไม่รู้ว่าพฤติกรรมของเด็กที่แสดงออกไป เช่น ขอยืมยางลบเพื่อน ผลตอบรับจะเป็นอย่างไร “ถ้าเพื่อนด่าล่ะ…” “ถ้าเพื่อนให้ยืมแต่มีข้อแม้ที่เด็กไม่อยากทำ…” ฯลฯ ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องสร้างความผูกพันที่มั่นคง (Secure Attachment Relationships) ให้เด็กอุ่นใจว่าไม่ว่าภายนอกบ้านเด็กจะเจอกับเรื่องแย่แค่ไหน อย่างน้อยคนที่บ้านจะคอยให้กำลังใจ ปลอบ และช่วยแก้ปัญหา นอกจากนี้ผู้ใหญ่สามารถช่วยเด็กเตรียมวิธีการรับมือแก้ปัญหาล่วงหน้า เช่น การเล่นบทบาทสมมุติ (Role Play) ซ้อมซ้ำ ๆ จนมั่นใจขึ้น
5. สอนวิธีการพูดคุย (Conversation Skills)
เด็กบางคนคุยเก่ง แต่บางคนไม่รู้จะคุยอะไร คุยไม่เป็น เวลาอยู่ในสถานการณ์จริงมันกลัวมากจนนึกคำพูดไม่ออก ในช่วงแรกผู้ใหญ่ต้องช่วยเตรียมเซ็ทคำถามและคำตอบไปเลย ให้ท่องซ้อม สอนให้เด็กหัดสังเกตว่าในสถานการณ์แบบเดียวกันคนอื่นตอบและแสดงออกอย่างไร เพื่อที่จะมีต้นแบบในหัวว่าต้องแบบนี้ เนียน ๆ ลอกตามไปก่อน จนทักษะการคุยดีขึ้นค่อนพัฒนาบทสนทนาและวิธีการคุยที่เป็นตัวเอง นอกจากจะฝึกการเป็นผู้พูดที่ดี ต้องฝึกทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย (Active Listener) เช่น สบตาคนพูด, พยักหน้า ตั้งใจฟัง, ไม่ทำอย่างอื่นไประหว่างการพูดคุย
6. มีสถานการณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะสังคม (Social Skills)
เช่น ผู้ใหญ่นัดเพื่อนและลูกของเพื่อนมาเจอเด็กในสถานที่ที่สามารถเล่นกันได้ ช่วงแรกที่เด็กยังทำตัวไม่ถูก ให้ผู้ใหญ่ยืนใกล้ ๆ จะได้เข้าไปให้คำแนะนำได้ทันที (Immediate Feedback) เล่นเกมที่เล่นด้วยกันเน้นเรื่องการแบ่งปัน ความมีน้ำใจมากกว่าการแข่งขันเอาผู้ชนะ หากเป็นที่โรงเรียนในช่วงพักกลางวัน ให้ครูช่วยดูแลให้ เช่น จัดบัดดี้ที่เข้าสังคมเก่งให้กับเด็กที่ขี้อาย
7. สอนเรื่องความยืดหยุ่นประนีประนอมและต่อรอง (Compromise/Negotiation)
การเป็นเพื่อนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกัน เราเห็นต่างได้ เพียงแต่ต้องมีการคุย ถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ เด็กไม่จำเป็นต้องยอมเพื่อนไปเสียทั้งหมด หรือได้ทุกอย่าง 100% ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างสอนเรื่องการต่อรองให้ทั้งสองฝ่ายได้ผลลัพธ์ที่พอยอมกันได้
8. สอนเรื่องการขอโทษและการแก้ไขไม่ให้ทำผิดซ้ำ (Sorry/Make Amends)
ทุกคนทำเรื่องผิดพลาดกันได้ บางครั้งสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่คนอื่นไม่พอใจ/เดือดร้อน เด็กต้องเรียนรู้วิธีการขอโทษที่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเราสำนึกผิดแล้วจริง ๆ คุยกันว่าปัญหาคืออะไร ที่สำคัญต้องเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดซ้ำ
9. สอนเรื่องการให้อภัยและเข้าใจคนอื่น (Forgiveness)
เวลามีคนทำให้เด็กโกรธ เสียใจ ในช่วงที่อารมณ์ยังสด คุกรุ่น ไม่ควรไปเร่งเด็กต้องยกโทษให้อภัยอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น รอจนอารมณ์สงบ แล้วคุยกับเด็กว่าไม่พอใจอะไร รู้สึกอย่างไร อยากให้อีกฝ่ายทำแบบไหน ถ้าเขาขอโทษมาเด็กมีสิทธิที่จะเลือกว่าพร้อมจะให้อภัยมั้ย
10. หากเด็กมีปัญหาการเข้าสังคมมากให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เด็กบางคนมีข้อจำกัดในการเข้าสังคมเนื่องจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติเนื่องจากป่วย เช่น โรคออทิสติกสเปกตรัม (Autistic Spectrum Disorder-ASD) ที่มีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม การสื่อสาร และไม่ยืดหยุ่น, โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder-ADHD) คึก เล่นแรง เอาแต่ใจ เด็กไม่ได้แกล้งทำ หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์เด็กและวัยุร่น ทักษะการเข้าสังคมจะดีขึ้นได้
“การมีเพื่อน” สำหรับบางคนเป็นเรื่องง่าย ทำได้โดยไม่ต้องคิด แต่อีกหลายคนการเข้าสังคมเป็นสิ่งที่ยาก ทำให้เครียด จนรู้สึกแย่กับตัวเอง บางครั้งเด็กไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ คิดว่าไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนก็ได้ ทั้งที่การมีเพื่อนเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้เรารู้สึกดีที่ได้เป็นหนึ่งของสังคมที่อยู่ มีคนให้ความช่วยเหลือ อุ่นใจ หากผู้ใหญ่ให้ความสนใจและใส่ใจช่วยเด็กฝึกทักษะการเข้าสังคม เด็กสามารถที่จะพัฒนาได้ ดังนั้นอย่างลืมให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้กันนะคะ!
ข้อมูลจากhttps://parentingscience.com/kids-make-friends/https://childmind.org/article/kids-who-need-a-little-help-to-make-friends/https://www.health.harvard.edu/blog/helping-children-make-friends-what-parents-can-dohttps://kids-first.com.au/the-5-stages-of-childrens-friendships/
1 ความคิดเห็น
I also lost about $85,000 to an IQ option broker and 2 fake binary option website as well but I am sharing my experience here so as to enlighten and educate everyone that is losing money or has lost money to a scam including binary options, dating scams,Recover all your lost money to Bitcoin and other Crypto currency, mortgage/real estate scams and fake ICOs.However , I have been able to recover all the money I lost to the scammers with the help of a recovery professional and I am pleased to inform you that there is hope for everyone that has lost money to scam. Contact them via mail EarthHackers@proton.me Telegram..EarthHackers whatsapp...+16625189219 They will help you recover your funds.