‘พี่ทอย กรชนก’ จากเด็กเอกดนตรี กอบกู้ธุรกิจครอบครัว สู่ผู้ผลิตตุ๊กตามูมินลิขสิทธิ์แท้เจ้าเดียวในไทย
เชื่อว่าน้องๆ หลายคนคงจะเคยเห็น ‘ตุ๊กตามูมิน’ วางขายตามห้างสรรพสินค้ากันใช่มั้ยคะ แต่จะมีใครรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการผลิตแท้จริงแล้ว คือ ‘พี่ทอย - กรชนก ตรีวิทยานุรักษ์’ เจ้าของแบรนด์ Codec Creation ที่เข้ามากอบกู้ธุรกิจของครอบครัวตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปี 3 ด้วยการซื้อลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ที่หลายคนชื่นชอบมาผลิตเป็นตุ๊กตา ในวันนี้ คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาบอกเล่า ช่วงชีวิตในวัยเรียน รวมถึงจุดพลิกฝันที่ทำให้พี่ทอยยอมทิ้งทุนเรียนต่อดนตรีที่อเมริกา เพื่อมาสานต่อธุรกิจต่อจากครอบครัว
วัยเด็กของพี่ทอย เน้นเล่น (ดนตรี) ไม่เน้นเรียน
พี่ทอยเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจรับผลิตตุ๊กตามาโดยตลอด ซึ่งคุณแม่ก็มักจะพาลงไปคลุกคลี และดูขั้นตอนการทำงานของบริษัทอยู่เสมอ เพราะหวังอยากให้ลูกสาวมาสานต่อธุรกิจ แต่พี่ทอยไม่เคยมีความคิดที่อยากจะทำธุรกิจต่อจากครอบครัวเลย เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ
ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ม.3 พี่ทอยเรียนอยู่ที่ โรงเรียนเซนต์ฟรัง ซีสซาเวียร์ คอนแวนต์ (St. Francis Xavier Convent) ประมาณ ม.ต้น ได้มีโอกาสเรียนดนตรี ซึ่งเครื่องดนตรีที่เลือกเล่น คือ ไวโอลิน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พี่ทอยเล่นดนตรีอย่างเดียว แทบจะไม่เรียนหนังสือเลยด้วยซ้ำ จนได้ค้นพบว่า เส้นทางการเป็นนักดนตรี นี่แหละที่จะเลือกไปต่อ ซึ่งตอน ม.3 พี่ทอยเริ่มรู้สึกว่าเป็นแค่เด็กที่เล่นไวโอลินในโรงเรียนเฉยๆ มันไม่พอ อยากเก่งและมีทักษะด้านดนตรีมากกว่านี้ ตอน ม.ปลาย จึงตัดสินใจเลือกเรียนเกี่ยวกับสายดนตรีโดยเฉพาะ เพื่อสานต่อความตั้งใจของตัวเอง
หลงรักการเล่นไวโอลิน จนเลือกเรียนต่อด้านนี้โดยเฉพาะ
สำหรับ ม.ปลาย พี่ทอยเลือกเรียนที่ Pre College (Young Artist Music Program: YAMP) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นหลักสูตรเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีพื้นฐานความรู้ด้านทฤษฎีดนตรีและการปฏิบัติดนตรี เพื่อการศึกษาต่อในสาขาวิชาดนตรีในระดับอุดมศึกษา และการประกอบอาชีพดนตรีในอนาคต และแน่นอนว่าเมื่อต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยพี่ทอยก็ยังเลือกเรียนต่อสายดนตรีเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติม คือ เลือกสอบเข้าที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตก ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งการสอบเข้าจะใช้คะแนนการสอบปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ โดยสาขานี้จะได้เรียนดนตรีคลาสสิกทั้งหมด และแบ่งเอกไปตามเครื่องเอก นั่นหมายความว่า สอบเครื่องดนตรีชิ้นไหนเข้ามาก็จะได้เรียนเครื่องนั้นต่อไปในคณะนั่นเอง
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงไม่เรียนต่อที่เดิม เพราะที่ดุริยางคศิลป์ของมหิดลส่วนใหญ่จะเน้นเรียนด้านดนตรีอย่างเดียว ซึ่งต่างจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ของจุฬาฯ ที่จะมีความหลากหลายมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น การเต้น การรำ หรือการออกแบบทัศนศิลป์ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้พี่ทอยเลือกเรียนที่จุฬาฯ เพราะว่าอยากมีเพื่อนในสายงานอื่นๆ ที่กว้างขวางกว่านี้ ไม่ใช่แค่นักดนตรีอย่างเดียว เนื่องจากช่วง ม.6 เริ่มรู้ตัวแล้วว่า เส้นทางนักดนตรีอาจไม่ตอบโจทย์กับการทำงานในอนาคต แต่ยังไม่อยากทิ้งความฝันวัยเด็กของตัวเองไป จึงเลือกเรียนต่อในด้านนี้อยู่
พี่ทอยเรียนรู้และคลุกคลีอยู่กับเสียงดนตรีมาตลอด 7 ปีเต็ม บางคนอาจจะมองว่า เรียนดนตรีดูน่าสนุก และมีความสุข ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ได้สนุกแบบที่ใครหลายคนคิด เพราะนักดนตรีทุกคนมีตารางการซ้อมที่โหดมาก เด็กที่เรียนสายอื่นๆ อาจจะมีช่วงเวลานั่งเรียน หรืออ่านหนังสือกันวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่เด็กสายดนตรีต้องซ้อมกันวันละ 8-10 ชั่วโมง เรียกได้ว่า เวลาในแต่ละวันส่วนใหญ่หมดไปกับการซ้อม เพราะถ้าหากไม่ซ้อมเลยก็จะไม่สามารถเป็นนักดนตรีมืออาชีพได้ ที่สำคัญการเรียนดนตรีมักจะได้เรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ ดังนั้น การแข่งขันก็จะค่อนข้างสูงมาก เพราะถ้าฝีมือของเราไม่เก่งมากพอก็อาจจะไม่ได้เรียนกับอาจารย์ที่มีความสามารถมากที่สุดนั่นเอง
คุณแม่ป่วยจึงต้องเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว
แม้ว่าในวัยเด็กจะมีโอกาสได้ติดตามคุณแม่ไปทำงาน รวมถึงเห็นการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจมาโดยตลอด แต่พี่ทอยก็ไม่มีความคิดที่อยากจะทำธุรกิจต่อจากที่บ้านเลย จนเมื่อได้เรียนดนตรี ตอนช่วงปี 3 ความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไป พี่ทอยยังคงชอบดนตรีเหมือนเดิม แต่อาชีพนักดนตรีนั้นไม่อาจสร้างรายได้มากพอเหมือนที่แม่หาเลี้ยงตัวเองได้ และยิ่งเป็นนักดนตรีคลาสสิก โอกาสในการทำงานก็ยิ่งน้อยกว่านักดนตรีแนวเพลงอื่นๆ มาก
พี่ทอยมองว่า การเป็นนักดนตรีมืออาชีพคนอื่นอาจจะทำได้ เนื่องจากวงการดนตรีก็เริ่มเติบโตขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่สำหรับพี่ทอยคงเป็นไม่ได้เพราะมีเงื่อนไขและภาระในชีวิตเยอะมาก จึงไม่สามารถหาเงินจากการเป็นแค่นักดนตรีแล้วหล่อเลี้ยงคนในครอบครัว หรือว่าพนักงานทุกคนได้แน่นอน ประกอบกับเป็นช่วงที่คุณแม่มีอาการป่วยที่เกิดจากการทำงานหนักมาตลอดหลายปี จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรสักอย่าง พี่ทอยตัดสินใจยอมทิ้งทุนเรียนต่อด้านดนตรีที่อเมริกา และเริ่มเข้ามาดูแลธุรกิจตุ๊กตาต่อจากครอบครัว ซึ่งตอนนั้นอายุประมาณ 20 ปี เท่านั้นเอง
ที่มาของธุรกิจผลิตตุ๊กตา
เดิมทีธุรกิจของครอบครัว เริ่มจากขายการ์ดดินปั้นที่ได้กำไรเพียงชิ้นละ 2-3 บาท แต่ว่าใช้เวลาทำนานมากซึ่งไม่คุ้มค่ากับแรงที่เสียไป จึงเปลี่ยนมาขายตุ๊กตาที่รับมาจากสำเพ็งนำมาผูกโบว์ ติดปีกนางฟ้าให้น่ารัก แล้วไปเสนอขายที่ LOFT ซึ่งขายได้กำไรดีมาก แต่ทำไปได้สักพักก็ต้องหยุดเพราะมีคนเลียนแบบ คุณแม่จึงตัดสินใจว่าจะผลิตตุ๊กตาด้วยตัวเอง โดยพยายามหาโรงงานผลิตตุ๊กตาในไทย จนได้มาเจอกับพาร์ตเนอร์ชาวเกาหลีที่ทำงานด้วยกันมาจนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาก็เริ่มทำแบรนด์ ‘LUSCINIA’ โดยจ้างดีไซเนอร์คนไทยมาออกแบบตุ๊กตา และผลิตเอง เป็นตุ๊กตาหมี หมู หมา หรือตุ๊กตาตามเทศกาลต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าขายดีมาก นอกจากจะผลิตตุ๊กตาขายเองแล้วก็ยังทำ OEM (Origianl Equipment Manufacturer) เป็นการรับผลิตสินค้าให้กับบริษัทอื่นๆ ที่จะนำไปขายในแบรนด์ของตัวเองด้วย แต่แบรนด์ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอยู่ดี
พี่ทอยเคยถามคุณแม่ว่า ทำไมไม่ลองผลิตตุ๊กตาลิขสิทธิ์ดูบ้าง เพราะคุณภาพงานแต่ละชิ้นของบริษัทก็ไม่แพ้ที่ไหนเลย ซึ่งคุณแม่ก็ให้คำตอบว่า เคยมีเจ้าของลิขสิทธิ์ติดต่อมา แต่เลือกไม่ทำ เพราะขั้นตอนการทำงานค่อนข้างเยอะและซับซ้อน กว่าทุกอย่างจะลงตัวมันใช้เวลานานมาก แต่เมื่อพี่ทอยเข้ามาสานต่อธุรกิจก็ได้พลิกโฉมธุรกิจบรรดาตุ๊กตาสัตว์ธรรมดาให้กลายเป็นธุรกิจตุ๊กตาคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์แท้จากทั่วโลก ซึ่งคาแรกเตอร์แรกที่ซื้อลิขสิทธิ์มานั่นก็คือ ‘มูมิน’
เนื่องจากพี่ทอยมีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อย จึงมักจะเห็นคนส่วนใหญ่ใช้ของที่เป็นคาแรกเตอร์มูมินกัน ซึ่งพี่ทอยรู้สึกว่าคาแรกเตอร์นี้น่ารัก และน่าสนใจมากๆ จึงเริ่มศึกษาข้อมูล และประวัติของมูมินมากขึ้น พอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชอบ และคิดว่าคนไทยก็น่าจะชอบเหมือนกัน จึงตัดสินใจหาข้อมูลว่าใครดูแลลิขสิทธิ์มูมินในประเทศไทย และทำการติดต่อไป
ขั้นตอนการซื้อลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์มาทำตุ๊กตา
คาแรกเตอร์แต่ละตัวจะมีทีมตัวแทนที่ดูแลลิขสิทธิ์ในแต่ละประเทศ ประเทศละ 1 บริษัท โดยเขาจะมีหน้าที่ให้สิทธิ์การผลิตสินค้าต่างๆ แก่บริษัท เมื่อมีคาแรกเตอร์ในใจแล้วว่าอยากผลิตสินค้าอะไรก็เริ่มทำการติดต่อเจ้าของลิขสิทธิ์ไป ยื่นข้อมูลโปรไฟล์บริษัทว่า เราคือใคร ทำสินค้าอะไร มีแหล่งการขายที่ไหน เคยทำอะไรมาบ้าง เพื่อให้เขาพิจารณาว่าเราเหมาะสมจะทำงานของเขาหรือเปล่า นอกจากนี้ ต้องทำ Sale forecast ซึ่งเป็นการคาดคะเนยอดขายสินค้าว่าแต่ละเดือนจะทำยอดขายได้เท่าไหร่ และจะให้เจ้าของลิขสิทธิ์กี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อทางบริษัทเห็นว่าเราเหมาะสม และจ่ายค่าลิขสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการออกแบบและส่งตรวจ ซึ่งพี่ทอยเล่าว่า เป็นขั้นตอนที่ปวดหัวสุดๆ เพราะต้องออกแบบงาน 2D และ 3D ให้ทีมดีไซเนอร์ของเขาดูว่า ชิ้นงานจะออกมาเป็นแบบไหน รูปร่างหน้าตาคาแรกเตอร์เป็นยังไง ทำกี่สี กี่ขนาด หลังจากนั้นก็เริ่มขึ้นตัวอย่างส่งให้ทีมต่างประเทศตรวจ ต้องทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน เมื่อผ่านแล้วก็นำมาผลิตเป็นสินค้าวางขาย ซึ่งกว่าคาแรกเตอร์แต่ละตัวจะถูกผลิตออกมาเป็นสินค้าให้เราได้เลือกซื้อกัน ต้องถูกแก้มาแล้วมากกว่า 20 ครั้ง
นอกเหนือจากตัวสินค้าแล้ว กราฟิก หรือวิดีโอต่างๆ ที่ใช้ในการโปรโมตสินค้าก็ต้องถูกส่งให้ทางทีมดูแลลิขสิทธิ์ตรวจสอบด้วยเช่นกัน แต่จะไม่เข้มงวดเท่าตัวสินค้า เพราะทางทีมงานให้ความยืดหยุ่นในการทำงานกับส่วนนี้พอสมควร
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกคาแรกเตอร์แต่ละตัว พี่ทอยเลือกทุกอย่างจากความชอบของตัวเองทั้งหมด เพราะโดยปกติแล้วพี่ทอยเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องราว และเก็บสะสมสิ่งของที่เป็นคาแรกเตอร์ต่างๆ อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ตัวที่เลือกจะค่อนข้างเฉพาะกลุ่มมาก เป็นตัวที่คนไม่ค่อยรู้จัก แต่พี่ทอยรู้สึกว่า ทุกคาแรกเตอร์มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ถ้าได้เอามาเล่าให้ทุกคนฟัง เชื่อว่าทุกคนน่าจะชอบมันเหมือนกับที่พี่ทอยชอบแน่นอน
เบื้องหน้าน่ารักนุ่มนิ่ม แต่เบื้องหลังกลับมีแต่อุปสรรค
ถึงแม้เบื้องหน้าของการขายตุ๊กตาจะดูน่ารักนุ่มนิ่ม แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย หลังจากที่เปิดขายตุ๊กตามูมินอย่างเป็นทางการ ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก ยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว พี่ทอยจึงต่อยอดด้วยการเปิด ‘คาเฟ่มูมิน’ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากญี่ปุ่น แต่การทำคาเฟ่ต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูงมาก ทั้งค่าสร้างร้าน ค่าจ้างเชฟ ค่าเช่าที่ ฯลฯ ซึ่งตอนนั้นครอบครัวยังบริหารร้านอาหารไม่เป็น ทำให้งบประมาณค่อนข้างบานปลาย ขาดทุนไปมากกว่า 20 ล้านบาท ทนยื้อคาเฟ่มาได้ประมาณ 5 ปี ก็ต้องหยุดทำไป ซึ่งนับว่าเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับครอบครัวพี่ทอย
สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งเป็นช่วงที่พี่ทอยเข้ามารับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของบ้านแบบเต็มตัว เพราะว่าเรียนจบพอดี พี่ทอยเล่าว่า ชีวิตช่วงนั้นแย่มาก เหมือนทุกอย่างตกลงไปอยู่ในจุดต่ำสุด ห้างสรรพสินค้าที่นำตุ๊กตาไปฝากขายถูกสั่งปิดทุกที่ ซึ่งเป็นแหล่งการขายทางเดียวที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท เนื่องจากที่ผ่านมาคุณแม่ไม่เคยขายออนไลน์เลย ฝากขายหน้าร้านในห้างมาตลอด พอห้างถูกสั่งปิดรายได้หลักที่เคยได้รับมาตลอดก็กลายเป็นศูนย์ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ยังคงเยอะมากเหมือนเดิม ตอนนั้นพี่ทอยต้องใช้เงินเก็บทุกกองที่มีอยู่จ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน เพื่อให้บริษัทอยู่รอดต่อไป
ช่วงนั้นคนรอบตัวบอกกับพี่ทอยเสมอว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่จำเป็น ไม่มีใครต้องการสินค้าที่กินไม่ได้ เพราะ ณ เวลานั้นปากท้องคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่พี่ทอยมองว่า ทุกคนมีวันพิเศษเป็นของตัวเอง ยังไงของขวัญก็ยังสำคัญ แค่ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาของเรา พี่ทอยเชื่อเสมอว่า การที่เราเป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง สุดท้ายแล้วเราก็จะไม่มีทางตาย จึงยอมกัดฟันสู้ และหาหนทางให้ธุรกิจตุ๊กตายังคงไปต่อได้ แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ก็ตาม
ปั้นแบรนด์ Codec Creation สู่ตลาดออนไลน์
จากเดิมที่ไม่เคยมีการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์มาก่อน แต่เมื่ออยู่ในจุดที่ต้องไปต่อให้ได้ พี่ทอยก็เริ่มปั้นแบรนด์ Codec Creation ให้เป็นที่รู้จักผ่านตลาดออนไลน์มากขึ้น ด้วยการเปิดช่องทางการสั่งซื้อตามแพลตฟอร์มต่างๆ ไลฟ์ขายของ ส่งสินค้าให้อินฟลูเอนเซอร์รีวิว จัดโปรโมชั่นมีของแถมพิเศษ ประกอบกับเริ่มเปิดใจให้กับการทำวิดีโอลง TikTok บอกเล่าเรื่องราวของคาแรกเตอร์ต่างๆ แชร์ปัญหาการทำธุรกิจ รวมถึงเล่าเบื้องหลังการผลิตตุ๊กตา จนในที่สุดก็สามารถเปิดการมองเห็นให้กับแบรนด์ ลูกค้าเริ่มรู้จัก และเปิดใจให้กับสินค้ามากขึ้น เพราะเขาได้รับรู้ถึงมูลค่าสินค้าว่ากว่าจะได้ตุ๊กตา 1 ตัว ต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายมาสู่ตลาดออนไลน์ในครั้งนี้ ทำให้ยอดขายดีขึ้นจากเดิม และยังได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่น First Jobber ไปจนถึงอายุ 40 ปี รวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติ
นอกเหนือจาก Codec Creation แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่พี่ทอยดูแลด้วยเช่น ได้แก่ Luscinia, Present Tale, Cody Factory และ Be Mine Bear ซึ่งแต่ละแบรนด์จะขายคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่เลือกแบรนด์ Codec Creation มาเป็นตัวหลักในการทำการตลาด เพราะชื่อนี้เปรียบเสมือนพื้นที่ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้เต็มที่ และสามารถถ่ายทอดตัวตนของพี่ทอยออกมาได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันพี่ทอยมีคาแรกเตอร์ที่อยู่ในความดูแลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Moomin, Mr.Men & Little Miss, LINE FRIENDS, Powerpuff Girls, Miffy, Looney Tunes, We Bare Bears, Jujutsu Kaisen, B.Duck, Spongebob และ Be Mine Bear (บริษัทออกแบบเอง) ซึ่งในเร็วๆ นี้ก็เตรียมคลอด Shin-chan, The Flintstones และผลงานที่ทำร่วมกับศิลปินคนไทยเพิ่มอีกด้วย
ทั้งนี้ แบรนด์ Codec Creation ไม่ได้มีแค่ตุ๊กตาอย่างเดียว พี่ทอยยังนำคาแรกเตอร์ต่างๆ มาทำสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบอื่นๆ อีกด้วย เช่น พวงกุญแจ, เสื้อผ้า, Griptok ติดโทรศัพท์, ผ้าห่ม และรองเท้าสลิปเปอร์ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการและการใช้งานของลูกค้ามากขึ้น โดยปัจจุบันจะเน้นการขายออนไลน์เป็นหลัก แต่ยังคงมีการฝากขายหน้าร้านอยู่ตามห้างฯ อยู่บ้าง เช่น The Mall, Central, Siam Paragon, Emporium เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อได้ง่าย และสามารถสัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
แนวคิดที่ทำให้ธุรกิจเติบโต และเป็นที่รู้จักมากขึ้น
แม้ว่าพี่ทอยจะเรียนจบด้านดนตรี และไม่มีความรู้ด้านการบริหารธุรกิจเลยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ได้จากการเรียนดนตรีและถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจก็คือ การอดทนทำสิ่งเดิมซ้ำๆ ทุกวัน แบบไม่หยุดหย่อน เปลี่ยนจากการซ้อมไวโอลินทุกวัน วันละหลายชั่วโมง มาเป็นการโปรโมตสินค้าทุกวัน เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะล้มเลิก หรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแล้ว แต่พี่ทอยเชื่อว่า การที่เรายืนอยู่ที่เดิม พูดสิ่งเดิม และพูดนานมากพอจะมีคนหันมาฟังเราในที่สุด
ทั้งยังต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม มีเทรนด์อะไรใหม่ๆ ให้ทำก็ต้องลอง หรือสิ่งไหนที่ทำแล้วไม่ดี ไม่โอเคก็แค่เปลี่ยนไปทำสิ่งใหม่จนกว่าจะเจอแนวทางที่ใช่ จากที่เมื่อก่อนพี่ทอยไม่เคยคิดจะเล่น TikTok เลย แต่เมื่อได้เปิดใจและลองลงมือทำก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักขึ้นมา
ตลอดจนต้องยอมรับความผิดหวังของตัวเองให้ได้ เพราะการทำธุรกิจไม่ใช่ว่าเริ่มทำแล้วจะสมหวังหรือประสบความสำเร็จในทันที เมื่อก่อนพี่ทอยไม่เคยก้าวผ่านความผิดพลาดของตัวเองได้เลย แต่สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ว่า คนเราทุกคนผิดพลาดกันได้ ถ้าวันนี้ยังทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เรายังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ นี่คือ 3 หัวใจสำคัญที่เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจให้เติบโตของแบรนด์ Codec Creation
นอกจากนี้ พี่ทอยยังลงเรียนคอร์สออนไลน์สั้นๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานอีกด้วย ซึ่งการลงเรียนคอร์สออนไลน์ช่วยทำให้เห็นแนวทางในการทำธุรกิจก็จริง แต่พี่ทอยเชื่อว่า สุดท้ายแล้วการลงมือทำจริงจะทำให้มองเห็นภาพชัดเจนกว่าว่าธุรกิจของเราควรไปในทิศทางไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด เพราะบางครั้งเนื้อหาความรู้ที่เรียนมาอาจไม่ได้เอามาประยุกต์ใช้ทั้งหมด
สิ่งที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน
พี่ทอยเลือกที่จะไม่บอกหรือเตือนอะไรตัวเองในวัยนั้น เพราะถ้าบอกไปคงจะเตรียมตัวมาก่อน อยากให้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า ถ้าที่เจอปัญหาแบบนี้เข้ามาจะรับมือกับความผิดหวังหรือแก้ปัญหาเหล่านั้นยังไง พี่ทอยมองว่า ทุกปัญหา ทุกความผิดหวังที่ได้พบเจอ หรือทุกการตัดสินใจที่เลือกทำ มันหล่อหลอมให้พี่ทอยกลายเป็นตัวเองในทุกวันนี้ แต่มีหนึ่งเรื่องที่พี่ทอยแอบเสียดายอยู่เล็กน้อย นั่นก็คือ ช่วง ม.ปลาย ที่เริ่มเรียนดนตรีจริงจัง ช่วงนั้นได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนน้อยมาก หลังเลิกเรียนทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับไปฝึกซ้อมอยู่คนเดียว จึงไม่ค่อยมีโมเมนต์สนุกๆ ให้ได้ไปเที่ยว นั่งกินหมูกระทะ หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ สักเท่าไหร่ และคิดว่าถ้ามีก็คงเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ได้
ฝากถึงน้องๆ วัยเรียน ชาว Dek-D.com
สำหรับน้องๆ วัยเรียนที่กำลังอยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง ถ้ามีสิ่งไหนที่เรารู้สึกสนใจ ให้ลองลงมือทำก่อน อย่ารีบตัดสินว่าตัวเองจะทำไม่ได้ หรือมันไม่เหมาะสมกับตัวเอง ลองทำซ้ำๆ หลายรอบ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ว่า เราชอบหรือไม่ชอบสิ่งนี้ สุดท้ายแล้วถ้าชอบก็จะได้ต่อยอดและพัฒนาตัวเองต่อไปให้เก่งขึ้น แต่ถ้าไม่ชอบก็ค่อยเปลี่ยนไปทำสิ่งใหม่เท่านั้นเอง สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักอดทน เพราะว่าไม่มีอะไรได้มาภายในวันเดียว ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยความพยายาม และอย่าลืมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้เราพัฒนาไปเป็นคนที่เก่งและรอบรู้มากกว่าเดิม
จากการที่ได้พูดคุยกับพี่ทอย ทำให้เห็นว่า ในโลกปัจจุบันที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทักษะการปรับตัวถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะทักษะนี้จะช่วยให้เราพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และยังสามารถนำพาชีวิตของเราไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น เราควรเปิดใจที่จะเรียนรู้และศึกษาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะหากเราปิดรับหรือยึดติดกับวิธีการเดิมๆ เพียงอย่างเดียว สุดท้ายเราก็จะไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าแน่อน
ทีมงานต้องขอขอบคุณ พี่ทอย กรชนก ตรีวิทยานุรักษ์ เจ้าของบริษัท Codec Creation ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ
1 ความคิดเห็น