เจาะชีวิต! Mackcha เจ้าของคาแรกเตอร์ Chalotte ที่ขายงานได้หลักล้าน ตั้งแต่อายุ 23 ปี

พาไปรู้จัก! Mackcha  ศิลปินสาว ที่ขายคาแรกเตอร์  Chalotte ได้หลักล้าน  ตั้งแต่อายุ 23 ปี

เชื่อว่าน้องๆ หลายคนที่สนใจและติดตามวงการศิลปะต้องรู้จักศิลปินหน้าใหม่ที่น่าจับตามองอย่าง ‘พี่แม็กกี้-ชรารัตติ์ สาระอาภรณ์’ หรือ ‘Mackcha (แม็กชา)’ เจ้าของคาแรกเตอร์ ‘ชาล็อต (Chalotte)’ ที่ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาค้นหาตัวเอง ก่อนจะก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ในวันนี้ คอลัมน์ The Success : การเรียนรู้สู่ความสำเร็จ ของ Dek-D จะมาเล่าเรื่องราวช่วงวัยเรียน รวมถึงจุดเริ่มต้นในการเป็นศิลปินว่ากว่าจะเป็นที่รู้จัก และมีนิทรรศการเดี่ยวเป็นของตัวเองอย่างทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง  

เจาะชีวิต! Mackcha เจ้าของคาแรกเตอร์ Chalotte ที่ขายงานได้หลักล้าน ตั้งแต่อายุ 23 ปี
เจาะชีวิต! Mackcha เจ้าของคาแรกเตอร์ Chalotte ที่ขายงานได้หลักล้าน ตั้งแต่อายุ 23 ปี

เป้าหมายชีวิตที่ถูกลิขิตจากคนรอบตัว

ย้อนกลับไปช่วงประถม พี่แม็กกี้เรียนอยู่ที่ โรงเรียนสมโภชกรุงอนุสรณ์ 200 ปี ชีวิตวัยประถมของพี่แม็กกี้เป็นเด็กคนหนึ่งที่เรียนเก่ง ได้เกรด 4 ตลอด และยังเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันทักษะต่างๆ อยู่เป็นประจำ รวมไปถึงทักษะด้านศิลปะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่นจึงทำให้พี่แม็กกี้คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ในตอนนั้นยังไม่ได้มีความฝันว่าอยากจะโตมาเป็นศิลปิน รู้แค่ว่าตัวเองสามารถวาดภาพได้ดีเท่านั้น ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนดีมาตลอด พี่แม็กกี้จึงมักจะถูกคาดหวังจากครอบครัว ให้เข้าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ดีมาโดยตลอด

ช่วงมัธยมจึงมาสอบเข้าที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในระหว่างนั้นเองก็เริ่มมีความสนใจในงานศิลปะมากขึ้น จนคนรอบตัวแนะนำให้ไปเรียนด้านสถาปัตยกรรม เพราะเป็นสายงานที่ได้ใช้ทักษะการวาดภาพ และเป็นงานที่มีความมั่นคง ในตอนนั้นใครบอกว่าตัวเองเหมาะจะเป็นอะไร พี่แม็กกี้ก็เลือกที่จะเชื่อคนเหล่านั้น และหยิบเอาความคิดของพวกเขามาเป็นเป้าหมายในชีวิต  

เมื่อขึ้น ม.ปลาย จึงตัดสินใจเรียนสายศิลป์-คำนวณ (English Program)  เหตุผลที่ไม่เลือกเรียนสายวิทย์-คณิต เนื่องจากไม่อยากให้ตัวเองเรียนหนักเกินไป และการสอบเข้าสถาปัตยกรรมศาสตร์ในรอบแอดมิชชั่นก็รับนักเรียนแผนการเรียนอื่น เพียงแค่ต้องสอบฟิสิกส์ ของ 9 วิชาสามัญเท่านั้น พี่แม็กกี้จึงเลือกเรียนศิลป์-คำนวณแทน และไปเรียนพิเศษวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติมอีกที  

ตลอดระยะเวลา 3 ปี ของชีวิต ม.ปลาย  พี่แม็กกี้มุ่งมั่นตั้งใจไปกับการเรียนเตรียมสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และไม่ได้ลองทำสิ่งอื่นๆ เลย เพราะคิดว่าสิ่งนี้คือทางของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายก็สามารถสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตามที่ตั้งใจไว้

ลาออกจากมหา’ลัย เพื่อมาค้นหาตัวเอง

เนื่องจากช่วงที่ติวสอบเข้าสถาปัตย์ พี่แม็กกี้ไม่ได้หาข้อมูลอย่างละเอียดว่า คณะนี้ต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง เมื่อถึงเวลาเข้าไปเรียนจริงๆ กลับพบว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองคิดไว้ เพราะคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ไม่ได้เรียนเพื่อวาดรูปตึกอาคารอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องเรียนเกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้างต่างๆ ที่มีความสอดคล้องกับหลักวิศวกรรมอีกด้วย และในแต่ละสาขาก็มีหลักการออกแบบที่ต่างกันออกไป  

แม้ว่าในปีแรกที่เรียนจะทำผลงานออกมาได้ดี เพราะยังเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานคล้ายกับตอนที่ติวสอบอยู่ แต่พอเข้าสู่ช่วงปี 2 เนื้อหาและหลักการต่างๆ นั้นมีความลึกมากกว่าเดิม ก็เริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เส้นทางที่ตัวเองต้องการ และคงฝืนเรียนต่อไปไม่ไหว พี่แม็กกี้จึงตั้งคำถามเพื่อทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้ง และพบว่ากำลังเดินบนเส้นทางที่ไม่ได้เลือกเอง แค่ต้องการให้ครอบครัวภูมิใจเท่านั้น จึงโทรคุยกับคุณแม่เล่าถึงปัญหาและความรู้สึกที่ต้องเผชิญ ซึ่งคุณแม่ได้บอกกับพี่แม็กกี้ว่า ให้เลือกเส้นทางที่ตัวเองมีความสุข เพราะแม่จะมีความสุขด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นการปลดล็อกความกังวลทั้งหมดในใจของพี่แม็กกี้ หลังจากนั้นไม่นานจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อกลับมาค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำอย่างแท้จริง

พี่แม็กกี้ได้ลองทำหลายอย่างที่คิดว่าตัวเองน่าจะชอบ ไม่ว่าจะไปเป็นพนักงานร้านรองเท้า ผู้ช่วยช่างทำผม แต่ทำไปได้ไม่นานก็รู้สึกว่าไม่มีเวลาทำสิ่งในที่อยากทำ อย่างการวาดรูป และทำช่อง YouTube ที่ทำเป็นงานอดิเรกตั้งแต่สมัยเรียนสถาปัตยกรรม ตัดสินใจกลับนครสวรรค์เพื่อไปฝึกวาดภาพเอง จนรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่อยากจะพัฒนาต่อยอด จึงไปเรียนติวสอบเพื่อเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เลือกที่จะไม่เรียนต่อ เนื่องจากการเรียนศิลปะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้ครอบครัวไม่สามารถส่งเรียนได้แล้ว ประกอบกับได้เจอกับเป้าหมายใหม่ในชีวิต นั่นก็คือ “การเป็นศิลปิน”

เส้นทางการเป็นศิลปินของ Mackcha

สำหรับเส้นทางการเป็นศิลปินนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากซีรีส์เกาหลี เรื่อง ‘Her Private Life’ เมื่อได้เห็นการทำงานของอาชีพศิลปินผ่านตัวละคร พี่แม็กกี้ก็รู้สึกว่า นี่คือชีวิตที่ตัวเองต้องการ หลังจากนั้นจึงเริ่มพาตัวเองเข้าสู่วงการศิลปะมากขึ้น ฝึกวาดภาพ ทั้งในไอแพด และเฟรมผ้าใบ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง  โดยนำทักษะต่างๆ ที่ได้จากการติวสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ มาปรับใช้กับผลงานตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Drawing การใช้แสงและเงา การมองภาพ 3 มิติ ฯลฯ รวมไปถึงหากอยากรู้หรืออยากพัฒนาด้านใดเพิ่มเติมก็จะเปิดคลิปดูใน YouTube และเรียนรู้ด้วยตัวเอง  

ด้วยความที่ไม่ได้เรียนจบด้านศิลปะมาโดยตรง ทำให้ไม่ค่อยมั่นใจในผลงานของตัวเองว่า งานที่สร้างสรรค์ออกมานั้นดีพอแล้วหรือยัง พี่แม็กกี้ในวัย 22 ปี จึงตัดสินใจส่งภาพวาดสีอะคริลิกบนแคนวาสเข้าประกวด ในโครงการ White Canvas Thailand  ขององค์กรวัฒนธรรมตะวันออกจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2563 ที่ถูกจัดโดยแกลเลอรี Palette Artspace ซึ่งการส่งภาพประกวดครั้งแรกนั้นพี่แม็กกี้ได้รับ “รางวัลชนะเลิศ” รวมทั้งภาพนั้นยังถูกนำไปวางขาย ทำให้ตอนนั้นได้รับรายได้มาในหลักหมื่นอีกด้วย นั่นจึงเป็นเป็นเหมือนใบเบิกทางสู่วงการศิลปะ และทำให้มีความมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากขึ้น ทั้งยังเชื่อว่า ตัวเองจะสามารถทำอาชีพศิลปิน เพื่อหาเลี้ยงตัวเองต่อไปได้

หลังจากที่ชนะการประกวดวาดภาพมาก็เริ่มมีคนเข้ามาติดต่อขอซื้อผลงานเรื่อยๆ ทั้งงานรูปภาพบนแคนวาส ไปจนถึงผลงาน NFT (Non-Fungible Token) สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ไม่สามารถทำซ้ำหรือคัดลอกได้ ซึ่งการขายผลงานใน NFT ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนรู้จักพี่แม็กกี้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ในปี 2565 ยังมีการปล่อยโปรเจกต์พรีออเดอร์ภาพปริ้นต์แบบจำกัดเวลา ที่มีชื่อคอลเลคชั่นว่า ‘I FLOWER YOU’ ราคาประมาณชิ้นละ 2,000 บาท เปิดขายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง ซึ่งสามารถขายผลงานได้มากกว่า 500 ชิ้น ทำให้พี่แม็กกี้รับรายได้หลักล้าน ตั้งแต่อายุ 23 ปี ซึ่งผลงานโดดเด่นจนทำให้คนจำนามปากกา ‘Mackcha’ ได้ นั่นก็คือ คาแรกเตอร์ ‘ชาล็อต (Chalotte)’ นั่นเอง  

จุดกำเนิดเด็กหญิงชาล็อต

ชาล็อต (Chalotte) เด็กหญิงผมขาวหยิกสั้น นัยต์ตาสีฟ้าหม่น ผู้มาจากท้องทะเล ถูกวาดมาด้วยความบังเอิญ เพียงเพราะพี่แม็กกี้เห็นศิลปินคนอื่นๆ ในโซเชียลมีเดีย ตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปวาดของตัวเอง จึงอยากมีรูปที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นลายเส้นของตัวเอง ที่พอคนเห็นแล้วจะต้องนึกถึง Mackcha แต่เมื่อเริ่มวาดชาล็อตเวอร์ชั่นแรกออกมากลับรู้สึกว่า ชอบคาแรกเตอร์นี้มาก เพราะเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่อยากจะเล่าได้ดี จึงลองวาดซ้ำ ปรับเปลี่ยนท่าทาง รูปร่าง และพัฒนาผลงานไปเรื่อยๆ  

คนส่วนใหญ่อาจจะชินกับการที่พี่แม็กกี้ยิ้มแย้ม ร่าเริง ชาล็อตจึงเป็นตัวแทนของพี่แม็กกี้ในอีกจักรวาลหนึ่ง เป็นเด็กที่หน้านิ่ง ไม่ยิ้มแย้ม ไม่มีความสดใส เพราะความสดใสถูกแสดงออกผ่านตัวศิลปินแล้ว ดังนั้น สิ่งที่หลงเหลือในชาล็อต คือ ความเคร่งขรึม ความเศร้า และที่เลือกให้ชาล็อตนั้นมาจากทะเลก็เพราะว่า โลกใต้ทะเลมีความซับซ้อน ลึกลับ เป็นสิ่งที่มนุษย์เองไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด เหมือนที่บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองในหลายๆ มุม จึงรู้สึกว่า ความหลากหลายและลึกลับของทะเลสามารถบอกตัวตนของพี่แม็กกี้ได้ดี

นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก ในวัย 24 ปี

ในระยะเวลาเพียง 2 ปี หลังจากที่ก้าวเข้าสู่วงการศิลปะ ในฐานะศิลปินแบบเต็มตัว ผู้คนก็เริ่มรู้จัก และให้ความสนใจกับผลงานของ Mackcha มากขึ้น จนในที่สุดก็มีนิทรรศการเดี่ยวเป็นของตัวเองครั้งแรก ด้วยวัยเพียง 24 ปี นับว่าเป็นภาพฝันที่พี่แม็กกี้วาดไว้ตั้งแต่ตัดสินใจเป็นศิลปิน โดยนิทรรศการนี้มีชื่อว่า “Deep in Mind Sea” ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ RCB Galleria 4 ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมภาพวาด และชิ้นงานอื่นๆ ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาไว้ในงาน และถึงแม้จะเป็นงานที่เปิดให้เข้าชมฟรี แต่พี่แม็กกี้ก็มีการขายชิ้นงานที่นำไปจัดแสดงในนิทรรศการ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่ผลิตขึ้นมา เช่น ตุ๊กตา สติ๊กเกอร์ เสื้อ ฯลฯ ด้วย ซึ่งหากคิดเป็นมูลค่าคร่าวๆ พี่แม็กกี้สามารถหารายได้ถึงหลักล้านบาทเลยทีเดียว

แม้ว่าจะตัดสินใจลาออกจากคณะสถาปัตยกรรมมากลางครัน แต่ความรู้พื้นฐานที่เคยเรียนมาพี่แม็กกี้ไม่ปล่อยไปให้สูญเปล่า การจัดนิทรรศการในครั้งนี้จึงได้นำความรู้ที่เคยเรียนด้านสถาปัตยกรรมมาปรับใช้กับการทำงานด้วย เช่น การออกแบบพื้นที่จัดแสดงในแต่ละห้องให้มีการใช้อารมณ์และความรู้สึกต่างกันออกไป สมมติว่าโซนนี้ต้องการให้ผู้ชมรู้สึกเศร้าก็ต้องออกแบบโครงสร้างภายในพื้นที่นั้นให้มี Mood and Tone ที่สามารถสร้างความรู้สึกนั้นให้ผู้ชมได้ ซึ่งทีมงานส่วนใหญ่คือเพื่อนๆ ที่เรียนสถาปัตยกรรมมา ดังนั้น เขาจึงสามารถออกแบบภายในนิทรรศการได้ ส่วนพี่แม็กกี้เองมีความรู้พื้นฐานด้านสถาปัตยกรรม จึงสามารถนำความรู้นั้นมาปรับใช้กับการออกแบบนิทรรศการ และสื่อสารกับเพื่อนให้เข้าใจได้

สร้างงานศิลปะที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น

โดยส่วนตัวแล้วพี่แม็กกี้เป็นคนที่ชื่นชอบ ‘วาฬ’ มาก เพราะวาฬเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อโลก แค่เขากระโดดน้ำ 1 ครั้ง ก็สามารถสร้างออกซิเจนให้กับโลกใบนี้ได้ นั่นจึงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตของพี่แม็กกี้ คือ อยากให้ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นเหมือนกับวาฬ อย่างชาล็อตที่เป็นตัวแทนจากท้องทะเล ถูกสร้างขึ้นมาเพราะอยากให้เขาเป็นคนนำทางพาให้ทุกคนรู้สึกรักทะเล และสัมผัสได้ว่าทะเลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากขึ้น  

เชื่อว่าน้องๆ ที่เคยไปเยี่ยมชมนิทรรศการเดี่ยวของพี่แม็กกี้เมื่อต้นปี 2566 ทุกคนคงสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ และมวลความรู้สึกที่ศิลปินต้องการจะสื่อสารผ่านผลงานต่างๆ กันไปแล้ว ส่วนใครที่ในปีนี้พลาดไปก็ไม่ต้องเศร้ากันไป เพราะพี่แม็กกี้แอบกระซิบมาว่า ในต้นปี 2567 จะมีงานนิทรรศการที่เป็นภาคต่อจาก Deep in Mind Sea อย่างแน่นอน ยังไงก็รอติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

ภาพที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการศิลปะไทย

พี่แม็กกี้อยากให้วงการศิลปะ เติบโตไปได้ไกลเหมือนกับวงการเพลง และต้องการบุคลากรที่มีความถนัดเฉพาะด้านเพิ่มขึ้น อย่างในวงการเพลงมี Sound engineer, ผู้กำกับ MV ฯลฯ ที่เรียนจบมาเฉพาะด้าน มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับด้านนั้นๆ อย่างแท้จริง ซึ่งง่ายต่อการทำงานจริง ดังนั้น วงการศิลปะก็ต้องการคนที่เก่งเฉพาะด้านนั้นๆ ไม่ต่างกัน เช่น คนปั้นงาน 3D, คนควบคุมแกเลอรี่, คนที่เข้าใจเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการ ฯลฯ เพื่อให้การทำงานราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

ดังนั้น หากมีการศึกษาที่รองรับเฉพาะด้าน คนที่เรียนจบออกมาเป็นคนที่พร้อมทำงานในด้านนั้นๆ เช่น ต่างประเทศจะมีสาขาเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการเป็นภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑ์  เขาจะรู้วิธีจัดเก็บรูปภาพ วิธีการจัดการงาน วิธีการรักษาภาพ  ถ้าในประเทศไทยสามารถไปถึงจุดนั้นได้ อุตสาหกรรมศิลปะของไทยจะเติบโต และไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

บางคนมองว่าวงการศิลปะในไทย เติบโตยาก ประกอบกับไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร แต่พี่แม็กกี้กลับมองว่า ปัจจุบันนี้วงการศิลปะในไทยค่อนข้างเติบโตจากเมื่อก่อน เนื่องจากคนไทยให้ความสนใจในงานศิลปะมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดประตูให้คนรู้จักงานศิลปะ และเมื่อประตูถูกเปิดแล้วมันไม่สามารถปิดได้ เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มชื่นชมกับความสวยงาม เราจะติดอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอด และเป็นเรื่องยากที่จะหยุดทำสิ่งนั้น แม้ว่าในอนาคตมันอาจจะซบเซาลงไป แต่พี่แม็กกี้เชื่อว่า ด้วยจิตใจของคนที่เสพงานศิลปะไปแล้วยังไงเขาก็จะอยากเสพมันต่อไปแน่นอน

สิ่งที่อยากจะย้อนกลับไปบอกตัวเองในวัยเรียน

พี่แม็กกี้รู้สึกว่า ต่อให้จะย้อนกลับไปบอกตัวเองในอดีตได้จริง ยังไงก็คงไม่มีผลอยู่ดี เพราะว่าตัวเองในอดีตกับในปัจจุบันนั้นคิดไม่เหมือนกัน พี่แม็กกี้ในอดีตเลือกที่จะเชื่อแบบนั้น เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างที่ส่งผลให้ต้องเลือกทำแบบนั้น ต่อให้มีความคิดเห็นอื่นๆ เข้ามา สุดท้ายตัวเองก็คงตัดสินใจแบบเดิมอยู่ดี ดังนั้น จึงเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเอง และบอกให้ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างมีความสุขที่สุดก็พอ

ฝากถึงน้องๆ วัยเรียน ชาว Dek-D.com

สำหรับน้องๆ ที่ยังสับสนว่าจะเรียนคณะอะไรดี หรือเรียนจบมาจะทำงานด้านไหน พี่แม็กกี้เชื่อว่า ไม่มีหลักการด้านไหนที่จะทำให้เราแน่ใจได้เลยว่า ควรจะเรียนหรือทำงานอะไรดี เพราะมนุษย์เราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงความชอบ และความต้องการได้ตลอด บางทีตอนนั้นเราอยากเรียนด้านนี้เพราะความชอบ แต่เมื่อเรียนจบมาได้ลองทำงานจริงก็อาจจะไม่ได้ชอบมันแล้วก็ได้ สุดท้ายแล้วการที่เราเรียนจบอะไรมามันไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่า เราจะต้องอาชีพนั้นเสมอไป  

ส่วนน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง พยายามลิสต์ออกมาว่า ตัวเองชอบทำอะไรบ้าง เช่น ชอบดูการ์ตูน ชอบวาดภาพ ไม่ว่าจะเป็น ความชอบเล็กๆ น้อยๆ ก็พยายามเขียนออกมาให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นให้ถามตัวเอง และหาคำตอบให้ได้ว่า เราอยากทำสิ่งไหนมากที่สุด หลังจากได้คำตอบก็ลงมือทำ แต่ในระหว่างที่ทำก็อย่ากดดันตัวเองว่ามันจะต้องประสบความสำเร็จ ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

 พี่แม็กกี้-ชรารัตติ์ สาระอาภรณ์ เจ้าของคาแรกเตอร์  Chalotte
 พี่แม็กกี้-ชรารัตติ์ สาระอาภรณ์ เจ้าของคาแรกเตอร์  Chalotte

เรื่องราวของพี่แม็กกี้ทำให้เห็นว่า กว่าจะค้นหาตัวตน และเส้นทางในชีวิตที่ใช่สำหรับตัวเองเจอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งปัจจัยหลายอย่างรอบตัวอาจทำให้ต้องตัดสินใจเลือกเดินผิดทาง แต่ท้ายที่สุดแล้วหากเจอเป้าหมายที่ชัดเจนก็ควรทำอย่างเต็มที่ และเชื่อมั่นในตัวเองว่าจะสามารถพาตัวเองให้ไปอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จได้

 

ทีมงานต้องขอขอบคุณ พี่แม็กกี้ ชรารัตติ์ สาระอาภารณ์ ศิลปินเจ้าของคาแรกเตอร์ ชาล็อต (Chalotte) ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับทาง Dek-D.com รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ
 
ขอบคุณรูปภาพจาก : Facebook Mackcha
พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด