"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

. . . . . . . . .

สวัสดีค่าชาว SparkD ทุกคน เชื่อว่าทุกคนย่อมมีช่วงวัยเรียนหรือวัยรั้วมหาลัยที่แตกต่างกันออกไปใช่มั้ย ?

วันนี้เราอยากพาทุกคนมารู้จักกับชาวเมียนมาคนนี้

“เหมย” เด็กสาวที่มีทัศนคติ “เป็นเพื่อนสนิท กับทุกเหตุการณ์ชีวิต” ผ่านการเดินทางอันหลากหลาย ท่ามกลางความโกลาหลของสังคมที่ต้องจากมา

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

พี่เนตร : แนะนำตัวสั้น ๆ ให้เพื่อน ๆ รู้จักกันนิดนึง

เหมย: สวัสดีค่ะ ชื่อเหมยค่ะ ชื่อจริง Nann Yee Yee Win (นาน ยียี วิน) ตอนนี้เรียนบริหารธุรกิจ ปี 1 ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เหมยมีคุณพ่อเป็นคนจีน คุณแม่เป็นคนไทยค่ะ แต่ครอบครัวย้ายมาอยู่เมียนมาก็เลยได้สัญชาติเมียนมา เพื่อนจะมองว่าเราเป็นคนเก็บตัวแต่ก็มีความ Alert นิดนึง คำที่นิยามตัวหนูได้ เหมยใช้คำว่า แตกต่างแต่ลงตัวค่ะ เพราะจะว่าหนูเป็นคนจีนก็ไม่ใช่ คนเมียนมาก็ไม่เชิง จะว่าคนไทยก็ไม่ใช่อีก แต่ก็พูดภาษาไทยได้นะคะ เหมือนมีหลายเชื้อชาติรวมอยู่ในตัวหนู

พี่เนตร: ฝึกเรียนภาษาไทยยังไง

เหมย: หนูฝึกผ่านการดูละครเอาค่ะ ก็อยู่ในแวดวงของญาติฝั่งแม่ที่เป็นคนไทยด้วย แต่ตอนนั้นได้แค่พูดเฉย ๆ ค่ะ ยังอ่าน เขียนไม่ได้ แต่เหมยก็มาเรียนอ่าน เขียน ช่วงกำลังจะจบมัธยมก่อนเข้ามหาลัยค่ะ แม่มีครูที่รู้จัก เลยได้เรียนไทยตั้งแต่ตอนนั้นและเป็นคนชอบอ่านนิยายด้วย เว็บ Dek-D ก็เป็นหนึ่งในเว็บที่เข้าไปอ่านนิยายค่ะ

พี่เนตร: น้องเหมยใช้ชีวิตที่ไทยยังไง ครอบครัวมาด้วยไหม 

เหมย: อาจจะต้องปูก่อนว่าที่นู้นเหมยจะอยู่กับครอบครัวมาตลอด ตอนแรกพ่อกับแม่ก็ยังไม่ยอมให้ไปเรียนต่างประเทศค่ะ เขาเป็นห่วง หนูก็ไปเที่ยว ให้ทางบ้านเขาชินกับการไม่มีหนู และไว้ใจว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้นะ พอถึงเวลาแม่ก็มาสำรวจสถานที่เราก็ให้ข้อมูลจริง ๆ ให้แม่เห็นว่าเราอยู่แบบไหน เราจะจบเมื่อไหร่ ใช้เวลากี่ปี เรามาเรียนที่นี่มันดียังไง มีเหตุผลรองรับ เขาก็เลยวางใจว่าเราจะอยู่ได้ค่ะ

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

พี่เนตร: ตอนที่เรียนที่เมียนมาเป็นยังไงบ้าง

เหมย: ที่เมียนมาจะมีความคิดแบบเรียนคือเรียนค่ะ หรือบางคนก็ต้องเรียนเพื่อพ่อแม่ให้เขาภูมิใจ เรียนให้ได้ใบปริญญามา หนูอยู่ที่เมียนวดี แถวชายแดนแม่สอดเขาจะไม่เน้นการเรียนเท่าไหร่ จะเน้นทำธุรกิจ ที่นู้นสามารถทำธุรกิจได้ง่ายมาก พ่อก็สนับสนุนให้ทำธุรกิจค่ะ แต่แม่ก็ขอให้ได้ใบปริญญาเถอะ แล้วถ้าอยากทำธุรกิจค่อยออกมาทำก็ได้ เด็กที่นู้นจะติวตั้งแต่เกรด 9 แล้วค่ะ (ม.5 ของไทย) เพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย 

ประเทศเมียนมาจะใช้ข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศ เช่น ถ้าใครจะเรียนหมอก็ต้องได้คะแนน 90 เต็มร้อยทั้ง 6 ตัว ที่นู้นเขาไม่นิยมเรียนเอกชนเพราะบริษัทไม่ค่อยยอมรับคนที่จบเอกชน คนก็เลยสู้กันสุดไปเรียนรัฐบาลแต่เรียนจบออกมาก็ไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่เพราะคนแย่งกันเยอะ บริษัทเขาก็เลยขอคุณสมบัติที่มีประสบการณ์ 2 ปีค่ะ ส่วนเพื่อนหนูหลายคนก็แยกย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนต่างประเทศก็สนิทกันมากค่ะ เพราะบ้านใกล้กัน เจอกันบ่อย ทุกคนที่นู้นจะสนิทกันอยู่ไม่กี่คนค่ะเวลาไปค็อบ (ม็อบ) ก็จะไปด้วยกันตลอด

เหตุการณ์ทางบ้านเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น บังคับให้ต้องหาทางไปต่อกับอนาคตของตัวเองด้วยตัวเอง น้องเหมยก็เป็นหนึ่งในนั้น การเดินทางของเหมยได้เริ่มจากจุดที่พอทนไหว ไปจนถึงจุดที่มองว่า อยู่ต่อไปก็ไม่มีอนาคตแล้ว 

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

การตัดสินใจย้ายมาเรียนต่อที่ไทย ความท้าทาย และเพื่อนใหม่

พี่เนตร: อะไรคือจุดตัดสินใจที่บอกตัวเองว่า ฉันต้องไปที่ไทยเดี๋ยวนี้

เหมย: หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เมียนมา หนูกับเพื่อนก็ตัดสินใจกันว่าไม่ไปแล้ว และพวกเราก็หยุดเรียนไปค่ะ ตอนแรกที่เศรษฐกิจยังไม่แย่ขนาดนี้ พวกหนูวางแผนกันไว้ว่าจะไปเรียนแคนาดา ออสเตรเลีย หรืออเมริกากันค่ะ  แต่สุดท้าย ค่าเงินมันเฟ้อแล้วกระโดดไปมาก อย่างตอนแรก 1 ดอลล่า ประมาณ 1,200 kyat (จ๊าด) ตอนนี้ประมาณ เกือบๆ 4,000 kyat มันขึ้นไปหลายเท่ามาก ทุกคนก็เลยมีแผนสองกันว่า ถ้าไม่ใช่ประเทศที่เราอยากไป เราสามารถหาประเทศใกล้บ้านที่ค่าครองชีพไม่สูงมาก และเราจะไม่ culture shock ขนาดนั้นค่ะ 

พี่เนตร: จากเรื่องรัฐประหารที่เมียนมา ทำไมถึงต้องย้ายมาเรียนที่ไทยในฐานะเด็กซิ่ว

เหมย: ตอนแรกยังชิว ๆ กันอยู่ค่ะ หนูอยู่แถวชายแดนมันก็จะมีเหตุการณ์ที่ไม่สงบอยู่บ้าง พอหยุดไปหลายปี มันก็กลับมาเป็นอีกเรื่อย ๆ หนูเลยไม่ตื่นตระหนกมาก เพราะความชิน แต่เหตุการณ์มันค่อนข้างเข้มงวดขึ้นแบบออกจากบ้านตอนกลางคืนไม่ได้แล้ว เพราะอาจจะโดนทำร้าย ไม่ได้ใช้ไฟฟ้า 24 ชั่วโมงประมาณครึ่งปี ต้องไปซื้อโซลาร์เซลมาใช้ และก็มีเรื่องความรุนแรงถึงแก่ชีวิตที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าทำธุรกิจก็จะล้มเหลวอยู่ดี สังคมมันวุ่นวายตลอดเวลา ไม่มีทางที่ทำธุรกิจแล้วจะรอดได้ คนก็ไม่ออกจากบ้านและรัดเข็มขัดเรื่องการเงินมาก ๆ  เลยคิดว่าเราจะอยู่ในเหตุการณ์นี้ดีไหม แล้วจะทำธุรกิจจริงหรือเปล่า ถ้าทำจะรอดไหม แต่สุดท้ายก็คิดว่าถ้าทำยังไงก็ไม่รอดค่ะ

พี่เนตร: การมาใช้ชีวิตที่นี่เป็นเรื่องยากไหม 

เหมย: ไม่ได้ยากขนาดนั้นค่ะ เพราะก่อนมาก็รีเสริชมาบ้าง คุณลุง ๆ  ป้า ๆ ที่นี่เขาใจดีกับหนูมาก มีแต่วัยรุ่นที่อยู่กันเอง ไม่ค่อยมายุ่งกัน ตอนหนูมาแรก ๆ หนูจะเป็นคนเก็บตัวนิดนึง ไม่ค่อยยุ่งกับใคร เพราะหนูยังพูดไทยไม่ค่อยคล่องด้วยมั้งคะ เลยไม่มีใครคุยกับหนูเลย แล้วลาดกระบังมันกว้าง หนูสามารถเดินไปไหนได้คนเดียว ก็เลยคิดว่าตอบโจทย์แล้ว เราเลือกไม่ผิดหรอก และที่นี่ก็จะมี KMITL community myanmar student ที่เป็นกลุ่มให้คำปรึกษาสำหรับนักเรียนเมียนมาในไทย มีพี่คนนึงคอยตอบตลอดเวลา เราก็อุ่นใจขึ้นค่ะ

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

พี่เนตร: เล่าเรื่องการเป็น Ambassador ของ KBS หน่อย

เหมย: ตอนแรกหนูไม่ได้อยากเข้ากิจกรรมขนาดนั้น แต่มีรุ่นพี่ชาวเมียนมาบอกว่าอย่าอยู่แต่ในจุด ๆ นี้เลย ตอนที่เราอยากมาที่นี่ก็เพราะประสบการณ์ไม่ใช่หรอ เราก็ตัดสินใจลองดู เราไปคัดคทากรด้วย ไปงาน MC คือไปทุกงานจนรุ่นพี่จำหน้าได้ (หัวเราะ) การประกวด Ambassador นั่นมันมีความคิดนึงเข้ามาคือ เราในฐานะเด็กต่างชาติเราก็อยากให้เด็กใหม่ ๆ ที่เข้ามาได้ภูมิใจว่าเขามีเด็กเมียนมาที่ทำอะไรแบบนี้ ได้เป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตปกติได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มาตรฐานการเป็นอยู่ของเด็กเมียมาร์ที่นี่จะดูปกติ แต่บางครั้งพวกเขาไม่สามารถพูดไทยได้ พวกเขาไม่เข้าใจอะไรต่าง ๆ อย่างในห้องเรียนเวลาใครเล่นมุกอะไร เพื่อน ๆ คนไทยก็จะขำกัน เราก็มีเข้าใจเราก็ขำไปด้วย แต่พวกเขาก็จะมองมาหาเราแล้วถามว่า “เขาพูดอะไรกันหรอ”  “ช่วยแปลหน่อยสิ” เราก็จะมีความคิดว่าทำไมกันนะ คนเมียนมาเขาเหมือนรู้สึกแปลกแยก เรามีความรู้สึกเข้าใจว่า เออจริงวะ เราสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พวกเขาได้นะ หรือถ้ามีน้อง ๆ เข้ามาใหม่เราก็จะเป็นรุ่นพี่ที่คอยบอกว่า เออน้องเข้ามาได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนสนับสนุน เพราะตอนนี้เด็กเมียนมาที่อยู่นี่ พอเขาฟังไทยไม่ออก เขาก็ไม่ได้ถูกเรียกให้เข้าร่วมกิจกรรมเท่าไหร่ เราเลยตัดสินใจมาคัดดีกว่า ถึงจะได้ไม่ได้ เราก็ได้ลองค่ะ

พี่เนตร: ทำไมสนใจเรียนบริหารธุรกิจ และสนใจเรียนที่ลาดกระบัง

เหมย: ตอนแรกเลยหนูมองไปที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชียงใหม่ ขอนแก่น แล้วก็ที่ลาดกระบังค่ะ แต่ตอนแรกหนูไม่รู้ว่าที่ลาดกระบังมีบริหารธุรกิจ คิดว่าเขาดังเรื่องเทคโนโลยี จริง ๆ เชียงใหม่ก็ชอบ ตอนแรกกะจะไปกับเพื่อนค่ะ แต่ว่าเพื่อนเทก่อน แล้วก็หาข้อมูลของคนเมียนมาที่เชียงใหม่ยากด้วยค่ะ เชียงใหม่เขาไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษถ้าเราไปใช้ชีวิตจริง ๆ มันจะยากมาก แล้วก็เรื่องเทคโนโลยีที่ลาดกระบังจะดังมากที่เมียนมาค่ะ หนูเลือกเรียนธุรกิจเพราะว่าชอบการทำธุรกิจอยู่แล้วตั้งแต่เด็กค่ะ แต่เรายังไม่ได้เข้าใจกลยุทธ์ เรากลัวว่าทำไปแล้วจะพลาด และแม่ก็เปิดร้านอาหารที่เมียนมา ทำให้เราสนใจธุรกิจตั้งแต่เด็กด้วยค่ะ 

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

พี่เนตร: น้องเหมยช่วยแชร์หน่อยว่า การปรับตัวกับสังคมใหม่ กับการเรียนและเพื่อนใหม่ ที่ไทย น้องเหมยทำยังไง

เหมย: ปรับตัวเยอะอยู่ค่ะ เพราะไม่ได้เป็นคนชอบคุยกับใครเท่าไหร่ หมายถึงเป็นคนที่ชอบฟังมากกว่าแต่พอมาเรียนที่ใหม่เราต้องเปลี่ยนทัศนคติ ถ้าเราจะไปคนเดียวเราต้องเลือกว่าเราจะปรับอะไร ตอนแรกเลือกที่จะอยู่คนเดียวนิดนึงแต่อยู่ไปก็คิดว่าต้องมีเพื่อนบ้าง ก็เลยมีเพื่อนต่างชาติมากกว่า เหมือนคนไทยบางกลุ่มเขามาจากที่เดียวกันแล้วเขาก็อยู่กันเป็นกลุ่ม ตอนแรกหนูไม่ได้พูดไทยกับเขา เวลาเจอกันก็ทักทายเฉย ๆ ไม่ใช่เขาไม่ต้อนรับนะคะ แต่ไม่ได้คุยกันรู้เรื่องขนาดนั้น 

พี่เนตร: แล้วน้องเหมยมองว่าเรื่องสังคมการเรียนที่เมียนมาฝกับที่ไทยอะไรที่มันต่างกันบ้าง

เหมย: น่าจะเป็นเรื่องการสอบเข้าค่ะ คือขั้นตอนที่ไทยมันเยอะมาก โอกาสเข้าเรียนเยอะมากจริงๆ ที่เมียนมาจะเป็นสอบข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศอะค่ะ ถ้าไม่ผ่านคือจบเลย ต้องรอสอบใหม่ปีหน้า ช่วงวันที่ 1 ของเดือนมิถุนายน ที่ผลสอบออกมาทุกคนก็จะไปดู บางคนได้ 5D จาก 6D (D คือได้คะแนน 91-100) บางคนก็จะมองว่าทำไมได้ 5D คือครอบครัวเขาเข้มงวดมาก ถ้าคิดว่าลูกทำไม่ได้บางคนก็จะฉีกข้อสอบทิ้งเลยแล้วไปติวใหม่กับติวเตอร์สองต่อสอง 1 ปี แต่บางคนก็เอาคะแนนไปเข้าสาขาที่สามารถเข้าได้ แต่ด้วยความที่เมียนมามันมีโอกาสเลือกน้อย ถึงแม้ว่าจะจบมา ถ้าทำงานจริง ๆ รายได้ก็น้อย เขาเลยเข้มงวดตั้งแต่การทำคะแนนให้สูงเพื่อเข้าเรียนสาขาที่จบมาแล้วได้งานดี ๆ ค่ะ 

แม้ว่าการตามหาความฝันจะดูไม่ง่ายจากสังคมที่น้องเหมยจากมา แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่ควรยอมให้ตัวเองไม่มีฝัน เหมยจึงต้องรับมือกับความท้าทายที่ต้องเผชิญจะมีอะไรบ้างนะ ?

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

พี่เนตร: การค้นหาตัวเองของเด็กที่เมียนมา เค้าทำยังไงกันบ้าง 

เหมย: จริง ๆ มันไม่สามารถค้นหาได้ขนาดนั้น  ที่นู้นไม่ได้มี education media มากมายเอาจริงที่นู้นเราต้องเอาตัวรอดเป็นหลัก

เลือกไม่ได้หรอกความฝันอะ ที่นู้นคือถ้ายูเลือกความฝัน ยูก็ทำอะไรไม่ได้

เราต้องคิดว่าทำยังไงถึงจะอิ่มท้อง หรือบางคนก็เรียนไปก่อนแล้วถ้ามีพลัง support จากครอบครัวก็ทำตามความฝันได้ แต่ยังดีส่วนมากที่บ้านเขาจะมีธุรกิจเล็ก ๆ กัน อย่างร้านอาหาร ธุรกิจโรงสี หรือว่าพวกนำเข้า ส่งออกอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่จบไปก็ไปทำงานต่อกับที่บ้านค่ะ

พี่เนตร: เราอยากให้ประเทศเมียนมาเป็นยังไง

เหมย:จริง ๆ หนูมองว่าประเทศหนูสามารถเติบโตได้อีกหลายด้าน อย่างการท่องเที่ยวก็มีคนต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวตลอด เรื่องเศรษฐกิจก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น ทุกอย่างมันกำลังไปได้ดีเพราะว่าหลักสูตรการศึกษากำลังเปลี่ยน เขาไม่อยากให้เด็กเครียด กดดันขนาดนั้น คือเขาอยากให้เด็ก ๆ ทุกคนมีทางเลือกในการทำตามความฝันมากกว่านี้

พี่เนตร: ถ้าตอนนี้สามารถทำความฝันได้สำเร็จแล้ว คิดว่าตัวเองจะเป็นยังไงและจะทำอะไรต่อ 

เหมย: ถ้าเป็นที่คิดไว้อยากทำเป็นร้านอาหารที่ผสมกับบาร์แล้วก็มี community ให้เด็กด้วยค่ะ เพราะการที่ครอบครัวนึงไปทานอาหาร เขาก็อาจจะมีความกังวลและเป็นห่วง เราเลยอยากทำเป็นโซนของเด็กที่พ่อแม่ไว้ใจได้ว่าลูก ๆ ของเขาจะปลอดภัย และวัยรุ่นก็สามารถขึ้นไป Rooftop bar ข้างบนได้ เป็น 3 in 1 ค่ะ

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

พี่เนตร: ความท้าทายที่เราอยากแชร์ให้เพื่อน ๆ ฟังคืออะไร

เหมย:น่าจะตรงที่เราออกจาก safe zone ของเราได้ ตอนแรกเราจะจำกัดตัวเองว่าเราไม่ชอบเจอคนใหม่ ๆ เรามีความกังวล และแอบกลัว แต่พอมาอยู่ที่นี่ เพื่อนเราบอกว่า ถ้ายูไม่ทำแล้วยูจะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ยังไง มันทำให้เราคิดได้ว่า ก็จริง เราไม่ลองทำเราก็จะไม่รู้เลย ตอนแรกที่มาทำก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงจุด ๆ นี้ จะได้มีโอกาสมาคุยอะไรแบบนี้ (ยิ้ม)

พี่เนตร: อยากบอกอะไรกับครอบครัวหรือเพื่อนที่กำลังตามหาเส้นทางของตัวเองอยู่ไหม 

เหมย: อยากขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ครอบครัวให้การสนับสนุนที่ดีแล้วก็ผลักดันความฝันของเรา จริง ๆ เขาก็มีคำถามบ้างกับความฝันเราแต่เขาก็ไม่ได้ปิดกั้นเราเลย ส่วนเพื่อน ๆ หรือน้อง ๆ ที่กำลังต่อสู้อยู่ ขอให้ได้ค้นหาตัวเองให้ได้ค่ะ แล้วตอนนี้ก็มีทุนหลายประเทศมากเพราะตอนนี้เกิดเหตุการณ์ที่เมียนมา ต่างประเทศเขาก็เลยมีทุนสำหรับเด็กเมียนมาโดยเฉพาะ แต่ก็แน่นอนว่าต้องแย่งกับคนอื่น ๆ ด้วย เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมและมีอุปสรรคต่าง ๆ ที่เราต้องเจอ อย่าไปคิดว่าพอเจออุปสรรคแล้วเราจะพอเราจะกลับประเทศ สุดท้ายแล้วพอเรามาถึงจุดนี้ได้คือเราเก่งมากแล้วจริง ๆ :)

"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง
"เหมย" เด็กสาวเมียนมาที่ต้องลี้ภัยจากบ้านเกิด มาเป็นเฟรชชี่ลาดกระบัง

การเปลี่ยนแปลงย่อมดีเสมอ เมื่อเรามีใจฮึดสู้ ก้าวขาออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง เราอาจได้พบประตูบานใหม่ที่นำพาผู้คน ประสบการณ์ใหม่ ๆ มาให้เราได้เรียนรู้ น้องเหมย เป็นอีกคนที่ทำให้เราเห็นว่าการที่คน ๆ หนึ่งมีทัศนคติ ความฝัน มีเส้นทางที่อยากจะเดินไปข้างหน้า สิ่งเหล่านั้นสามารถเป็นพลังขับเคลื่อนตัวเราจากความโกลหลที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

ขอบคุณน้องเหมยที่ได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์และขอเป็นกำลังในการตามหาความฝันของทุก ๆ คนเลยนะ 

. . . . . . . . .

พี่เนตร SparkD เขียน/สัมภาษณ์
พี่นีนี่ SparkD ถ่ายภาพ
พี่ฟิวส์ พี่ตาน พี่แอล SparkD บรรณาธิการ
ขอขอบคุณสถานที่ สวนป่าเบญจกิติ กรุงเทพมหานคร

22Podcast
22Podcast - Columnist 22Podcast by Dek-D. Time to grow, Time to glow.

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

นิรนาม 12 พ.ย. 66 22:03 น. 1

ผมเป็นนักศึกษาของที่นี่ คงต้องบอกในตอนที่ผมติดภาคอินเตอร์ ผมพบเจอเพื่อนเมียนมาร์ที่เข้ามาเยอะมาก และได้มีโอกาศพูดคุยกับพวกเขา หลายคนเรียนปี 3-4 กำลังจะจบแล้วแต่กลับต้องมานับหนึ่งใหม่ เพื่อนผมคนนึงเรียนเป็นหมออยู่ปีที่ 3 และต้องออกมาเรียนวิศวะร่วมกันกับผม เราได้พูดคุยกันหลายเรื่อง ผมฟังจากพวกเขา ฟังสิ่งที่พวกเขาเล่าให้ผมฟัง ประเทศเขาแยกกันเป็นสองฝั่ง เพื่อนๆที่เคยดีกันแตกกันเองเพราะแนวความคิดทางการเมืองที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่ทะเลาะกับลูก ครูกับนักเรียน บ้านเมืองพวกเขาถูกแยกออกเพียงเพราะการกระทำและแนวคิดของคนที่มีอำนาจมากกว่า ทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงภายใน


พวกเขาเล่าให้ผมฟังถึงความเสี่ยงของการที่วันนึง พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับบ้าน เพราะไม่มีบ้านให้กลับ วันนึงเขาอาจจะตื่นขึ้นมาและได้รับข่าวร้ายของความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในเมืองของเขา ในพื้นที่ของเขา ในบ้านที่เขานอนและใช้ชีวิต ผมไม่สามารถจินตนาการว่ามันจะเป็นยังไง และคงไม่คิดอยากจะรู้ด้วยประสบการณ์ แม้ตอนนี้สถานการจะดีขึ้น แต่ผลกระทบของมัน บังคับให้ชาวเมียนมาหลายคนต้องออกไปหาโอกาศ และความหวังนอกประเทศของพวกเขา และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับเหมือนกับคุณเหมย และผมหวังอย่างยิ่ง ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับเรา กับคนของเรา บ้านของเรา ประเทศของเรา

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด