"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

. . . . . . . . .

หลาย ๆ คนคงรู้จัก “ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ในบทบาทนักธุรกิจและนักการเมืองชาวไทย อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้เคยได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนชาวไทยอย่างล้นหลามในการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2566 มาแล้ว

วันนี้พี่ ๆ SparkD จะขอพาทุกคนไปเห็นอีกมุมมองของ คุณทิม พิธา และภาคการเมืองต่อ “การค้นหาตัวเอง” ของน้อง ๆ วัยรุ่นวัยเรียนในสภาพสังคมไทยปัจจุบันกัน

. . . . . . . . .

SparkD: นิยาม “การค้นหาตัวเอง” ตามมุมมองของคุณพิธา

คุณพิธา: “การค้นหาตัวตน” คือ การที่เราสามารถที่จะอยู่ในสถานการณ์ที่มีความหลากหลายและปรับตัวตามสถานการณ์และบริบทต่าง ๆ ตรงนั้นได้

หากเราไม่สามารถอยู่กับความหลากหลายนั้นได้  หลาย ๆ เรื่องที่เราค้นพบก็จะไม่ได้เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วข้างในเรามีคุณค่าอย่างไร เราเชื่อในอะไร ถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้เราจะปรับตัวยังไง หลาย ๆ ครั้งที่เรามักจะคิดว่าเราเป็นคนนิสัยแบบนี้ ไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง เราเกิดมาเป็นแบบนี้เพราะสถานการณ์มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และบางทีเราก็จะเกิดการตั้งคำถามกับตัวเองโดยที่ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องหาคำตอบแล้ว  

“Self-discovery - Self-improvement - Self-reflection”

ถ้าเราตั้งคำถามที่ถูกต้องแล้วพยายามหาคำตอบ มันจะนำไปสู่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเกิดการค้นพบตัวตน (Self-discovery) ขึ้นมาได้ และเมื่อเราค้นพบตัวตนแล้ว ก็จะเกิดการพัฒนาตัวเอง (Self-improvement) ตามมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องมีสองสิ่งมาบรรจบกันนั่นก็คือ ปัจจัยภายนอกและการตั้งคำถามกับตัวเอง (Self-reflection) ที่จะใช้ถามในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นหลาย ๆ คนก็จะสามารถรู้จักตัวเองมากขึ้นได้ ไม่ว่าจะผ่านการเดินทาง การอ่านหนังสือ การฟังเพลง 

และผมรู้สึกว่านอกจากการเปลี่ยนความหลากหลายในบริบทหลาย ๆ เรื่องที่เราได้ทบทวนตัวเองแล้ว การเขียนไดอารี่ในแต่ละวันเองก็จะสามารถเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยให้เรากลับมามีสมาธิและสติเหมือนกัน แล้วบางทีเราจะรู้สึกแปลกใจกับตัวเราเองหลังจากเขียนไดอารี่ในแต่ละวันก็ได้

SparkD: ย้อนไปในวัยเด็ก คุณพิธาค้นหาตัวเองอย่างไร

คุณพิธา: ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกตั้งคำถามกับอะไรหลาย ๆ อย่าง เพราะ “การเดินทาง” ผมมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลายครั้ง มีทั้งความสุขและความทุกข์  เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนสถานที่เรียนหนังสือ การเดินทางที่มีความยากลำบากทำให้เกิดการเรียนรู้กับตัวเอง 

ช่วงอายุประมาณ 12 - 13 ปี ผมย้ายจากกรุงเทพฯ ไปประเทศนิวซีแลนด์ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถัดมาช่วงอายุประมาณ 15 - 16 ปี ผมมีอาการลมชักในช่วงนั้นและได้กลับมาเรียนที่ธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รู้จักตัวเองมากพอสมควรหลังจากอยู่เมืองนอกมานาน พอกลับมาอยู่ที่ท่าพระจันทร์ก็ได้รับแรงบันดาลใจและได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิต มันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ผมได้เริ่มเข้าสู่การเมือง มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ มีการชนะเลือกตั้ง มีการถูกบล็อกโดยรัฐสภาจนไม่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 

นี่คงจะเป็น 7 - 8 เรื่องที่ผมเลือกมาเล่าเร็ว ๆ ภายในไม่กี่นาที เพราะว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตที่เราได้ใช้เวลาและทำความเข้าใจกับมันมาแล้ว นอกจากนี้ผมยังมีอีกหนึ่งวิธีในการค้นหาตัวเองก็คือ การเขียนอะไรสักอย่าง เช่น การเขียนหนังสือจะช่วยทำให้เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ทำให้เราสามารถที่จะเดินหน้าชีวิตต่อไปได้ 

ฉะนั้นวิธีการค้นหาตัวเองของผมคือ เรียนรู้ อยู่กับมัน ทำความเข้าใจกับมัน กลับมานั่งทบทวนตัวเอง

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

SparkD: หากย้อนเวลากลับไปตอนมัธยมช่วงวัยเท่ากับน้อง ๆ รุ่นใหม่ ตอนนั้นคุณพิธากำลังทำอะไรอยู่

คุณพิธา: ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่เมืองไทย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนก่อนที่จะย้ายไปอยู่เมืองแฮมิลตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ช่วงนั้นผมเติบโตมากับชีวิตที่มีจุดเปลี่ยนมากพอสมควร เพราะผมชอบดนตรีและกีฬา ช่วงนั้นได้เรียนรู้หลาย ๆ เรื่อง ได้ฟังเพลงหลาย ๆ รูปแบบ อย่างเช่นเนอร์วานา (Nirvana) กับเมทัลลิกา (Metallica) ที่ในช่วงนั้นดังมาก จึงทำให้ผมสนใจวัฒนธรรมต่างประเทศและสนใจภาษาอังกฤษมากกว่าตอนที่อยู่เมืองไทย ผมเลยอยากที่จะไปเรียนต่างประเทศเพื่อจะได้ไปเรียนรู้ ฝึกภาษา และได้ฝึกการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เป็นคนนิวซีแลนด์ (Homestay Family) นี่จึงเป็นการย้ายจากกรุงเทพฯ ที่มีคุณพ่อคุณแม่ พี่เลี้ยงดูแล ไปอยู่เมืองเล็ก ๆ ประชากร  5,000 กว่าคน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนแกะที่นั่นด้วยซ้ำ ผมอาศัยอยู่กับครอบครัวนักไตรกีฬาที่มีวินัยมาก ในเรื่องอาหารการกินและการเข้านอน ส่วนใหญ่อาหารที่กินจะเป็นโปรตีนหรืออาหารมังสวิรัติ

การมาที่นี่ทำให้ได้เรียนรู้ตัวเองในการใช้ชีวิต รู้วิธีว่าใช้เงิน การบริหารเงิน เพราะว่าเราต้องมีเงินเป็นของเราเอง และเราก็ต้องใช้อย่างเต็มที่ รวมถึงการเข้าสู่วิธีการเรียนแบบใหม่ที่ไม่เหมือนตอนที่อยู่ที่บ้านเรา เป็นคนไทยคนแรก ๆ ที่มีอายุ 12-13 แล้วมาเรียนที่นิวซีแลนด์ ตอนนั้นพูดภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยได้จึงต้องปรับตัวมากพอสมควร ในช่วงประมาณ 3 เดือนแรกคิดถึงบ้านมาก 

ต้องปรับตัวเองในเรื่องการกิน เพราะปกติเราจะกินเมื่อไหร่ก็ได้เพราะเรามีคุณพ่อคุณแม่ทำให้ แต่อยู่ที่นี่เขามีวินัยสูงเพราะฉะนั้นถ้าเราไม่กินเขาก็เก็บทันที ตอนกลางคืนต้องเดินออกมาเปิดน้ำก๊อกกินประทังหิว หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนเป็นคนที่ไม่เลือกกินอีกต่อไป เป็นบทในการเรียนรู้ของเรา จนกระทั่งการใช้ชีวิตแบบโตจากเด็กเป็นวัยรุ่น ช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น ทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เพื่อน ๆ ที่นั่นก็เปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ไม่ได้กลับเมืองไทยสักเท่าไหร่ พอกลับมาอีกทีหนึ่งก็เข้า ปี1 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวมาอยู่ในสังคมใหม่อีกรอบ นับว่าเป็นการค้นหาตัวเองในรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน

SparkD: อะไรคือสิ่งจุดประกายให้คุณพิธาได้เจอสิ่งที่ชอบ 

"ผมเป็นคนชอบลองผิดลองถูก"

คุณพิธา: ตอนวัยมัธยมอยากจะลองอะไรหลาย ๆ รูปแบบ โชคดีที่การเรียนแบบนิวซีแลนด์ไม่ได้ให้เรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้บังคับว่าต้องเป็นสายวิทย์หรือว่าสายศิลป์ ที่นิวซีแลนด์มีเรียนทั้งฟิสิกส์ ดนตรี วิชาทางเฟอร์นิเจอร์ เพราะที่นั่นมีป่าเยอะ การเรียนการสอนจึงต้องสอดคล้องกับบริบทที่นั่น ผมได้เล่นกีฬาหลายรูปแบบ เล่นดนตรีหลายชนิด ก็คือลองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอสิ่งที่ตัวเองชอบ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขเพราะว่าได้เจออะไรหลาย ๆ รูปแบบ และเราก็จะได้รู้ว่าอะไรเราทำได้ อะไรเราทำไม่ได้ อะไรที่เราเก่ง อะไรที่เราไม่เก่ง 

แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะตอนที่ผมกำลังเรียนหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรีอยู่ดี ๆ ก็ดันมาเป็นโรคลมชักก่อน พอเป็นโรคลมชักก็เลยว่ายน้ำไม่ได้ ขับรถไม่ได้ไปช่วงหนึ่ง ผมต้องกินยาที่ทำให้ง่วงตลอดเวลา มันก็ทำให้เรารู้สึกอยู่ช่วงหนึ่งว่า เราเคยรู้สึกพอใจกับชีวิตตรงที่เราทำอะไรเราก็ทำได้หมด เรียนหนังสือก็ทำได้ เล่นดนตรีก็ทำได้ เล่นกีฬาก็ทำได้ดี แต่พอถึงจุดหนึ่งชีวิตก็สอนเราว่า อย่าเพิ่งไว้ใจต่อชีวิตที่เป็นอยู่ สักวันมันก็เจอกับสิ่งที่เราไม่เคยคาดฝันได้ด้วยเช่นกัน 

อยู่ดี ๆ ก็มีอาการ Epileptic Seizure หรืออาการชักขึ้นมา กีฬาที่เคยเล่นก็ห้ามเล่น อย่างรักบี้ที่ชอบก็เล่นไม่ได้แล้ว เวลาเรียนหนังสือตอนที่เรากินยาเข้าไปก็ทำให้เราง่วงตลอดเวลา ทำให้เราทำได้ไม่เต็มที่หรือใช้สมองได้ไม่เต็มที่ เราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันในวันที่เราอาจจะทำได้ไม่ได้เต็มที่ อาจจะไม่ได้พอใจกับผลลัพธ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่สอนผมตั้งแต่เด็ก ๆ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 17 - 18 ปี ให้รู้ว่าชีวิตมีวันที่เราประสบความสำเร็จและก็มีวันที่รู้สึกทุกข์ใจด้วยเช่นเดียวกัน มีวันที่เราจะต้องมานั่งอยู่ข้าง ๆ สนามดูเพื่อนแข่งและเราไปแข่งกับเขาไม่ได้ เพราะว่าเราห้ามเล่นกีฬา 

นี่เป็นสิ่งที่สอนให้เรารู้จักความผิดหวังตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาพอเจออะไรที่อาจจะไม่ได้ดั่งใจทุกอย่างก็เลยรู้สึกว่าสามารถบริหารความคาดหวังตัวเองได้จากประสบการณ์ตอนมัธยมพอสมควร  

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

SparkD: ในตอนนั้น เจออุปสรรคอะไรบ้างในการค้นหาตัวเอง

คุณพิธา: ตอนนั้นผมเจออาการลมชักที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยแต่ว่าเราก็ต้องทานยา การทานยาก็มีผลทำให้เราไม่สามารถทำอะไรอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ เรียนหนังสือก็แย่ลง ดนตรีก็เล่นได้น้อยลง กีฬาก็เล่นไม่ค่อยได้ เรียนพละก็ต้องนั่งดูเพื่อนเรียน แต่ในขณะเดียวกันมันก็สอนให้เรารู้จักกับความผิดหวัง ผมใช้เวลาประมาณ 1 - 2 เทอมในการเริ่มปรับตัวกับยาประจำตัวที่กำลังต้องกิน หลังจากนั้นอาการก็ค่อย ๆ เริ่มกลับมาดีขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้กลับมาดีขึ้น 100% ตามศักยภาพเดิมของเรา แต่ว่าก็ทำได้ 80 - 90% แล้ว ผมรู้สึกว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ เรา Move on และ Fight on ไปได้

จนถึงทุกวันนี้อายุ 40 กว่าปีแล้วก็ยังมีอาการเดิมที่ติดมา เราก็ใช้ชีวิตกับปัญหาที่ติดมากับเราต่อไป เพราะเราเข้าใจว่าในเมื่อเราเกิดมาพร้อมกับศักยภาพแล้วก็ย่อมมีปัญหาเกิดมาด้วยเป็นธรรมดา ถ้าเรามัวไปโฟกัสว่าทำไมชีวิตเราถึงไม่ค่อยดี ทำไมชีวิตเราถึงได้แย่ขนาดนี้ มันก็จะทำให้เราลืมที่จะมีชีวิตชีวากับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่โดยรวม ๆ แล้วตอนมัธยมก็มีความสุขมาก เป็นช่วงชีวิตที่ได้ทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยากทำ หลาย ๆ อย่างกลายมาเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตในปัจจุบัน พื้นฐานในการเล่นกีฬา พื้นฐานในการเล่นดนตรี พื้นฐานในการเข้าสังคม แต่ว่าในตอนหลังจะมีสิ่งที่เพิ่มมุมมองชีวิตเข้ามา ช่วงมหาวิทยาลัยก็จะเป็นช่วงที่ผมได้โตขึ้นมาอีก 

SparkD: เมื่อเจออุปสรรคเหล่านั้น เคยท้อไหม แล้วเวลาท้อให้กำลังใจตัวยังไง อะไรเป็นที่พึ่ง

คุณพิธา:  ตอนสมัยมัธยมสิ่งที่ผมไม่ค่อยได้ทำคือการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยหรือตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมรู้สึกว่าการขอความช่วยเหลือจากใครสักคนนั้นไม่ได้เป็นความอ่อนแอเลย สามารถที่จะบอกได้เสมอว่าตัวเองกำลังมีปัญหา อยากจะขอความช่วยเหลือ หรือสามารถที่จะขอความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อน คนที่เป็นผู้ใหญ่หรือคนที่เป็นเด็กกว่า 

การขอความช่วยเหลือไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เราดูอ่อนแอหรือดูด้อยค่าลง แต่ตอนสมัยมัธยมปลายเวลาที่เรามีปัญหาหรือคิดอะไรไม่ออก เรามักจะเก็บไว้เพราะไม่อยากเล่าให้เพื่อนฟังหรือขอให้เขาช่วยเหลือเพราะรู้สึกเกรงใจและอาจทำให้เราดูอ่อนแอ เรียนหนังสือไม่ทันต้องให้เพื่อนมาสอนซ้ำก็จะรู้สึกว่าทำไมเราช้ากว่าคนอื่น  พอโตขึ้นมาเราเริ่มที่จะเรียนรู้แล้วก็ปรับความเข้าใจใหม่ว่าในการขอความช่วยเหลือคนอื่น บางทีเขาก็อาจจะอยากช่วยเหลือเราเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราแค่ปิดกั้นไม่ให้เขาได้ช่วยเหลือต่างหาก

ถ้าให้ย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก ม.ปลายช่วงอายุ 15 - 18 ปี ถ้าผมมีอะไรที่ทำไม่ทัน ทำไม่ได้ หรือมีปัญหาอะไรก็อยากจะสื่อสารกับคนรอบข้างให้มากกว่านี้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมไม่ค่อยเปิดความคิดกับใครสักเท่าไหร่ จนกระทั่งได้เข้ามหาวิทยาลัย จึงเริ่มเข้าใจว่า “การสื่อสารกับคนรอบข้างเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราในการที่เราจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม”

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

SparkD: มหาวิทยาลัยเป็นจุดเปลี่ยนของคุณพิธา มันเปลี่ยนไปอย่างไร

คุณพิธา: สิ่งแรกคือการพลิกกลับมาอยู่ในสังคมไทยอีกรอบหนึ่ง มันเหมือนกับว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ได้รู้จักมาก่อน พอกลับมาจากนิวซีแลนด์ก็เลือกที่จะไปเรียน ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพราะไม่ได้อยากเข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่รู้จักอยู่แล้ว อยากรู้อยากเห็นอะไรใหม่ ๆ มากขึ้น การเลือกมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้บ้านก็ไม่มีอะไรใหม่ จึงตั้งใจว่าจะไปเรียนที่ท่าพระจันทร์ 

ผมรู้สึกเปิดโลกอีกครั้งจากคนที่เคยอยู่ในสังคมไทยไปอยู่สังคมฝรั่งแบบสุดโต่ง ผมย้อมผมสีเขียว ถักเดทร็อก เริ่มมีรอยสัก พอได้กลับมาอยู่ธรรมศาสตร์ก็ได้เรียนรู้ความเป็นไทยอีกรอบหนึ่ง และก็เข้าใจบริบท ประวัติศาสตร์ของสังคม เริ่มสนใจการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ตอน 6 ตุลาคม และ 14 ตุลาคม บทบาทของนิสิตนักศึกษาในสมัยก่อน เริ่มมีการพูดคุยในมหาวิทยาลัยมากขึ้น และเริ่มเรียนรู้นอกห้องเรียนมากขึ้น 

ผมกลับไปต่างประเทศอีกครั้งประมาณปี 3 ไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา เป็นช่วงที่เริ่มกล้าเดินทางด้วยตัวเองด้วยการแบกกระเป๋าเป้ไปคนเดียว ไปในหลาย ๆ ที่ที่ไม่เคยไป ทำให้ได้ตั้งคำถามใหม่ ๆ เจอทั้งสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาและปรารถนา ไปอยู่ที่เมืองเท็กซัส ขึ้นไปถึงชิคาโก ไล่ลงมาจนกระทั่งถึงนิวออร์ลีนส์ที่อยู่ทางใต้และก็กลับเข้าเท็กซัสอีกที เพราะฉะนั้นครึ่งหนึ่งของอเมริกาคือ การนั่งรถไฟแอ็มแทร็ก (Amtrak) 

ในตอนกลางวันเดินเที่ยว ตกกลางคืนก็นั่งรถไฟ เพื่อที่จะประหยัดค่าโรงแรมเพราะว่าตอนนั้นเงินไม่ได้เยอะมาก และค่าตั๋วก็เป็นสำหรับนักเรียนนานาชาติได้ราคาพิเศษ วันละ 10 เหรียญ ทำให้ประหยัดเงินได้เยอะ มีกระเป๋าเป้ใบเดียวและก็ลุยคนเดียวในทุก ๆ ที่ เจอทั้งคนหลอก เจอทั้งคนขโมยของ เจอหิมะตกหนักจนทำให้รถไฟตกรางอยู่กับที่ 40 ชั่วโมง ได้อ่านหนังสือ คุยกับคนรอบข้าง และได้เห็นหลาย ๆ พื้นที่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เคยอยู่ในช่วงที่รู้สึกกลัวสุด ๆ ตอนที่ของหาย เจอคนมาข่มขู่ขอเงิน และได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หาที่พักไม่ได้ต้องเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางอากาศหนาว  อยู่ในจุดที่ทำให้จิตใจเราต้องเข้มแข็งและกลับมามีสติ  

ตอนมหาวิทยาลัยก็ได้ตั้งคำถามหลาย ๆ เรื่องกับปรัชญา การเมือง และได้เห็นอะไรในหลากหลายพื้นที่เพราะว่าที่ที่เราอยู่มีคนมากมายหลากหลาย อย่างในธรรมศาสตร์ก็มีคนมาจากหลาย ๆ จังหวัด พอไปอเมริการู้สึกยิ่งมีความหลากหลายมากกว่านิวซีแลนด์ตรงที่ว่า มีคนมาจากหลายทวีป ทุกผิวสี ทุกเชื้อชาติ ทุกความคิด ทำให้เรายิ่งตั้งคำถามมากขึ้น และเรียนรู้กับชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย

SparkD: จากที่คุณพิธาได้ย้ายจากการเรียนที่กรุงเทพคริสเตียนในไทย ไปเรียน High School ที่นิวซีแลนด์ เห็นอะไรที่แตกต่างบ้างระหว่างการศึกษาของไทยและนิวซีแลนด์ 

คุณพิธา: จริง ๆ โรงเรียนทั้งสองที่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน เห็นได้ชัดเจนเลยคือ ตอนสมัยเรียนมัธยมที่ไทย ห้องเรียนหนึ่งจะมีนักเรียนอยู่ประมาณ 60 คน แต่ที่นิวซีแลนด์จะเหลือนักเรียนอยู่แค่ประมาณ 15 คน ครูก็จะมีเวลาในการสอนและสอนนักเรียนได้ทั่วถึงมากขึ้นกว่าที่ไทย

อันที่สองคือตอนอยู่เมืองไทย หากเรามีคำถามแล้วยกมือเราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนแปลก หรือเวลาอาจารย์ถามแล้วเราตอบเป็นคนแรก ๆ เพื่อนก็จะไม่ค่อยชอบ แต่ว่าในทางกลับกันที่ต่างประเทศ เราไม่มีส่วนร่วมไม่ได้ เราไม่สามารถที่จะนั่งเงียบ ๆ ได้ ต้องมีความคิดความอ่านอยู่ตลอดเวลา 

ตอนที่เรียนนิวซีแลนด์ วิชาที่เกี่ยวข้องกับการท่องจำ วิชาที่ไม่ต้องใช้การพูดการนำเสนอ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เรามักจะทำได้ดีมาก จนคนต่างชาติมาขอร้องเราให้ช่วยเพราะเราทำได้ดีกว่า ในขณะเดียวกันวิชาที่เกี่ยวกับสังคม ศิลปะ ที่ต้องมีการเขียน มีการพูดเยอะ หรือมีการอภิปรายแลกเปลี่ยน เราก็จะรู้สึกไม่คุ้นชิน เราเลยต้องเริ่มต้นใหม่

ตอนกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยก็รู้สึกว่าเกรดในธรรมศาสตร์เราก็ทำได้ดี 4.00 หมด แต่ในขณะเดียวกันผมรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำนอกห้องเรียน คือสิ่งที่ผมได้นำมาใช้ประโยชน์ตอนอายุ 43 ปี อย่างผมเรียนเกี่ยวกับการเงิน Finance เดี๋ยวนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้วเพราะสามารถใช้ ChatGPT หรือใช้ Excel แต่สำหรับมิตรภาพกับเพื่อน หรือการใช้ชีวิต ได้เรียนรู้และเข้าใจมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง ของคนแต่ละคน ความแตกต่างแต่ละวัฒนธรรม ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเรามา มิตรภาพที่เรายังสามารถพูดคุยได้เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า จนถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าเกรดตัวเองเท่าไหร่ เพราะเกรดไม่ได้สำคัญเท่าการเรียนนอกห้องเรียน 

สามารถที่จะสรุปได้ว่า การเรียนกับการศึกษาไม่เหมือนกัน  การเรียนอาจจะสามารถได้จากการศึกษาหรือนอกจากการศึกษาก็ได้ “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วิธีคิดอย่างเป็นระบบ และสามารถที่จะสื่อสารได้”

ผมอยากลองถามน้อง ๆ ให้ช่วยกันคิด
“เครื่องบิน Boeing 747  สามารถใส่ลูกเทนนิสได้กี่ลูก ?”

จากคำถามนี้ เราต้องแยกมันออกมา วิธีคิดก็คือ เครื่องบินมีปริมาตรอยู่ที่เท่าไหร่ เราต้องอนุมานได้ว่าลำตัวยาวเท่าไหร่ ปีกมีขนาดเท่าไหร่ ความสูงเท่าไหร่ แล้วก็ต้องรู้ว่าเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าไหร่ และก็เอามาหารกัน ต้องค่อย ๆ แยกมันและทำทีละขั้นตอนตามลำดับความสำคัญ ถึงคำตอบอาจจะไม่ได้แม่น แต่เราก็รู้หลักคิดแล้ว ว่าต้องทำยังไง ซึ่งเราก็สามารถที่จะทำงานและคิดร่วมกับคนอื่น ๆ แบบเป็นทีมได้เช่นกัน

การคิดอย่างเป็นระบบจะซอยปัญหาใหญ่ ๆ ให้เป็นข้อเล็ก ๆ จนสามารถแก้ปัญหาได้ หรือสามารถที่กระจายงานให้คนที่เชี่ยวชาญแต่ละเรื่องให้ช่วยเราคิดได้ก็จะหาคำตอบได้ง่ายขึ้น นี่เป็นทักษะที่จบมหาวิทยาลัยแล้วต้องมี ไม่ว่าเรียนอะไรก็แล้วแต่ แน่นอนเราต่างมีวิธีจำกันคนละแบบ แต่ในการคิดว่าอะไรจะต้องทำก่อนทำหลัง เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ และเทคนิคในการบริหาร ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้กำกับหนังหรือนักการเมืองก็ต้องมีเหมือนกัน ไส้ในที่ใส่เข้าไปในแต่ละช่องคือสิ่งที่แตกต่างกันแค่นั้น

วัตถุดิบแบบเดียวกัน แต่ว่าปรุงคนละแบบ สามารถทำให้เรามองในมุมมองคนละแบบ

อีกอย่างหนึ่งคือที่ไทยกับเมืองนอกใช้หนังสือเรียนเล่มเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าวัตถุดิบแบบเดียวกัน แต่ว่าปรุงคนละแบบ สามารถทำให้เรามองในมุมมองคนละแบบ แต่ไม่ได้มีอะไรถูกอะไรผิด พ่อครัวบางคนก็อยากให้เราจำสูตรได้แม่น ๆ บางคนก็จะสอนวิธีคิดมากกว่า เพราะสูตรสามารถหาได้ในหนังสือและอินเทอร์เน็ต จะมีความต่างกันไป

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

SparkD: คิดว่าในปัจจุบัน รูปแบบการค้นหาตัวเองของคนรุ่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง และอะไรคือปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการค้นหาตัวตนของตัวน้อง ๆ

คุณพิธา: ยุคนี้มีเทคโนโลยีที่ทั้งเปิดกว้างและเร็วกว่าสมัยก่อนหลายเท่า สมัยนี้เราแค่เข้า ChatGPT ก็หาข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นทางด้านดนตรีหรือหนังบน Spotify หรือ Netflix ก็มีให้ครบ แต่การที่ทุกอย่างมันเร็วไปหมดก็เกิดปัญหาเรื่องสมาธิได้เหมือนกัน เราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นาน ๆ เหมือนเก่า ซึ่งปัญหานี้ก็เกิดขึ้นกับผม โดยผมก็คิดว่าตัวเองยังเป็นคนรุ่นนี้อยู่นะ

อย่างเช่น การจดจ่อกับหนังดี ๆ สักเรื่องหนึ่งให้จบมันยากมากในสมัยนี้สำหรับผม เพราะถ้าถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันน่าเบื่อเราก็จะข้ามมันเพื่อไปดูเรื่องถัดไปเลย เพราะเรามีตัวเลือกให้เยอะ อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ กลับกัน ในแต่ก่อน การฟังเพลงผ่านเทปคาสเซ็ทเราต้องไล่ฟังตั้งแต่เพลงแรกไปจนจบโดยที่ไม่สามารถ Skip ได้ด้วยซ้ำไป 

มันอาจจะทำให้เราเรียนรู้ได้น้อยกว่าแต่ทำให้เราจดจ่อมีสมาธิกับมันได้มากกว่าเมื่อเทียบกับสมัยนี้ ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นไวไปหมด ทุกอย่างมาเร็วก็จริง แต่มันก็จะผ่านไปไวเช่นกัน สุดท้ายมันขึ้นอยู่ระหว่างตัวเราและจิตใจ กับสิ่งที่มีและสิ่งที่อนุญาตให้มี เราจะใช้สิ่งต่าง ๆ ที่หมุนอยู่รอบตัวเราให้มีประโยชน์มากที่สุดได้อย่างไร ล้วนแล้วแต่ต้องปรับกันไปในแต่ละบุคคล

เหมือนเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของเด็กรุ่นใหม่ ในยุคที่ Attention Span สั้นลง

*Attention Span คือระยะเวลาที่เราสามารถใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่ง ๆ หนึ่งได้

SparkD: คิดเห็นอย่างไรกับอนาคตของสังคมไทยที่เด็กรุ่นนี้จะก้าวเข้ามามีบทบาทในการกำหนดอนาคต

คุณพิธา: ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจบริบทของเด็กรุ่นนี้ก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเด็กมัธยม เค้าก็น่าจะผ่านรัฐประหารมาสองครั้ง อยู่กับรัฐบาลที่เป็นทหาร และไม่ได้อยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเติบโตสักเท่าไหร่ ใน 10 ปี ที่ผ่านมาประเทศไทยเติบโตเป็นลำดับสองจากท้าย (รองบ๊วย) ในอาเซียน ทั้ง ๆ ที่ขนาดประเทศใหญ่เป็นอันดับสอง 

เด็กยุคนี้อยู่ในช่วงที่ ทุกอย่างมันอึมครึม ไม่มีความแน่นอน เจอปัญหาโควิดและ PM 2.5 ไปอีก ก็ไม่แปลกที่เด็กรุ่นนี้จะมีความคิด “อยากย้ายประเทศ” การที่เด็กจะกลับมามีความหวังได้ก็จะต้องตั้งคำถามไปที่ผู้ใหญ่ด้วยว่าต้องทำอย่างไรให้เด็กรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ทำให้ครูมีหน้าที่สอน ไม่ใช่ ประเมินผล ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยในการ Undo กับสิ่งที่ทำไว้ในช่วง 10 ปีกับเด็ก ๆ

SparkD: คิดอย่างไรกับสถานการณ์การค้นหาตัวตนของเยาวชนไทยในปัจจุบัน

คุณพิธา: ความคาดหวังเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับคนรุ่นนี้ที่มีการเปรียบเทียบกันเยอะ โดยเฉพาะผ่านทางโซเชียลมีเดีย การที่เอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดคนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ Unhealthy ทั้งกับตัวเราเองและคนใกล้ชิดมากที่สุด แต่ก็เข้าใจได้ว่าบริบทสังคมนั้นถูกบังคับให้เป็นอย่างนั้น การเผชิญกับความกดดันที่เกี่ยวกับการเรียนหรือการประสบความสำเร็จมีผลกระทบอย่างมากในด้านสุขภาพจิตของเด็กรุ่นใหม่

สำหรับผมที่เป็นพ่อคนก็รู้สึกว่าลูกซึ่งอยู่ ป.3 ก็ได้รับแรงกดดันมหาศาลจากโรงเรียน หรือแม้กระทั่งจากการที่รถติดในกรุงเทพ ผู้ปกครองต้องไม่เอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดลูกหรือไม่นำลูกไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะเด็กทุกคนเติบโตด้วยเวลาของเขาเอง เมื่อเวลาของเขามาถึง เขาก็จะสามารถทำได้เอง 

ถ้าเขาจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรผมเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับเขาเลย เพราะผมต้องการให้เขาได้เติบโตตามฉบับของเขาเอง มันสำคัญมากที่จะไม่เอาสิ่งที่เคยเป็นความล้มเหลวของเรา ไปใส่ในตัวลูกแล้วหวังว่าเขาจะทำมันให้ดีกว่า นี่คือความ Toxic ที่ผ่านมารุ่นต่อรุ่น นับว่าโชคดีที่ผมสามารถตัดมันทิ้งได้ และไม่พยายามส่งต่ออะไรที่ไม่ดีซึ่งเราเคยได้รับมาต่อลูกสาวเรา การไม่ส่งต่อความกดดันนั้นเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เด็กรุ่นใหม่หาตัวเองให้เจอและผลักดันเขาไปสู่เวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองได้ในอนาคต 

เด็กทุกคนล้วนผลิบานตามเวลา และตามตัวตนของพวกเขา

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

SparkD: สิ่งใดที่การศึกษาไทยยังมอบให้เด็กไม่ได้ในการค้นหาตัวเอง

คุณพิธา: คิดว่าคือการอนุญาตให้มีความหลากหลายในห้องเรียน

"การสอนให้รู้จักตั้งคำถาม และหาคำตอบผ่านการลองผิดลองถูก เพราะความคิดที่ว่าเราได้รับการสอนมาแบบนี้ และคิดว่าเด็กรุ่นต่อไปก็ควรจะได้รับการสอนแบบเดียวกับเรานั้น เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง"

ทุกครั้งที่ผมไปเป็นวิทยากรรับเชิญที่ไหน ผมจะไม่ได้เป็นคนสอน แต่จะเป็นคนถามมากกว่า ผมชอบที่จะตั้งคำถามและให้ผู้ฟังคิดตาม แต่มันไม่ใช่แค่ว่าเราถามไปเฉย ๆ มันต้องมีวิธีที่ทำให้มันไม่น่าเบื่อ เพื่อกระตุ้นและสร้างการแข่งขัน ที่จะยกมือและเปิดบทสนทนากันด้วยวิธีต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น “ใครใช้ iPhone” หรือ “ใครบัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลขเจ็ด” คนที่ตรงกับสิ่งที่ว่ามาก็จะถูกถาม แต่ถ้าตอบผิดเราก็ไม่เคยไปว่าเขา เพื่อที่จะทำให้การศึกษาไทยในห้องเรียนมันเป็นพื้นที่ปลอดภัย คือพูดผิดในห้องเรียนไม่เป็นไร ทำให้เขารู้สึกว่า ห้องเรียนเป็นเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นให้นักเรียนมาทดลองอะไรใหม่ ๆ ลองผิดลองถูก เพื่อเรียนรู้ อย่างอิสระและสนุกไปในเวลาเดียวกัน

อาจารย์ควรมีการเตรียมพร้อม ในการเปลี่ยนจากผู้บอกมาเป็นผู้ถามในห้องเรียน อาจารย์ที่ผมรักคืออาจารย์ที่เข้ามาถามผม และอนุญาตให้ได้ลองผิดลองถูก คือผิดก็ไม่ว่า ถูกก็แค่ชม มันจะทำให้ห้องเรียนมีความสุขมากขึ้น นักเรียนรู้สึกเอนจอยไปกับการสอน

SparkD: เราจะพัฒนาในจุดนี้ได้อย่างไรทั้งในฝั่งของตัวเด็กเอง ครอบครัว โรงเรียน และภาครัฐ 

คุณพิธา: เราต้องเน้นให้นักเรียนมี Skill ไม่ใช่มีแค่ความรู้ที่สามารถหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ Skill นั้นจะเป็นตัวตั้งต้นให้เราออกหาความรู้ได้อีกมากมาย ส่วนครูเองก็ถูกระบบกลืนกิน ต้องคอยมานั่งวัดผล ส่งข้อมูลต่าง ๆ ให้กระทรวงจนทำให้ไม่สามารถมีเวลามาสนใจการสอนได้อย่างเต็มที่ เรื่องการวัดผลจากสถิติควรถูกลดลง และส่งเสริมให้ครูหันมาเอาใจใส่นักเรียนอย่างแท้จริง

ในเรื่องของหลักสูตรก็ยังคงมีปัญหาอยู่จากการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ทุกหลักสูตรในโรงเรียนควรมีความต่างกันโดยอิงจากว่าสภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอกนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าทุกโรงเรียนต้องมีหลักสูตรเหมือนกันหมด เพราะสุดท้ายระบบจะทำให้โรงเรียนกลายเป็น โรงงานในการผลิตบัณฑิตที่มีความเหมือนกันให้มากที่สุดออกมา ทุกคนจะเหมือนกันหมด และไม่มีความแตกต่างที่สร้างสรรค์หลงเหลืออยู่

การศึกษาไทยควรให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมรอบโรงเรียนว่าเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ตอนผมเรียนอยู่นิวซีแลนด์ซึ่งโรงเรียนนั้นอยู่ใกล้ป่า ก็มีวิชาเกี่ยวกับการบริหารจัดการป่า วิชาช่างไม้หรือว่าถ้า โรงเรียนไหนอยู่ติดทะเลก็มีโฟกัสไปที่การเรียนประมงและการอนุรักษ์ชายฝั่ง

รัฐควรมุ่งเน้นในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเพื่อให้คนกลุ่มน้อยได้เข้ามามีบทบาทในการออกแบบหลักสูตรการศึกษา นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับรัฐสวัสดิการที่สามารถช่วยเหลือ นักเรียนและครอบครัวในการแก้ไขปัญหาที่พวกเขาเผชิญ จะเป็นการสร้างพื้นที่ ที่เปิดกว้างและมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ยิ่งขึ้น

การเมืองที่โอบรับความหลากหลาย ทำให้คนแตกต่างกันมากขึ้นและเท่าเทียมกันมากขึ้น

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

SparkD:  ถ้าการเมืองดี จะส่งผลต่อการหาตัวตนของเด็กรุ่นนี้อย่างไรบ้าง

คุณพิธา: มีสิทธิที่จะเลือกได้มากขึ้น ผ่านนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค้นหาตัวเองตั้งแต่เรื่องเบสิกที่สุด อย่างเช่นการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ อยู่ในเมือง อากาศที่ตัวเองหายใจ เพศสภาพของตัวเอง วิชาที่อยากจะเรียน เวลาที่อยากจะเอาไปค้นหาตัวเองนอกจากการเกณฑ์ทหารซึ่งบางคนก็อาจจะค้นหาตัวเองจากการเรียน รด. เหมือนไอติม (พริษฐ์ วัชรสินธุ) เป็นต้น แต่ว่าบางคนก็อยากจะเอาเวลาไปใช้ทำอย่างอื่น 

ปัญหาก็คือว่าทำยังไงให้ตัวเองมีทางเลือกให้มากขึ้น นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้คนมีทางเลือก ไม่ได้ต้องการให้มีเสรีภาพ เพราะยังติดอยู่กับภาพว่าถ้าเหมือนกัน Homogeneous เหมือนกันปกครองง่าย อย่ามีความคิดที่มันแตกต่างหลากหลายเพราะมันยุ่ง เอาอะไรให้มันเหมือนกันให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

คราวนี้ถ้าเกิดการเมืองที่โอบรับความหลากหลายตั้งแต่เรื่องของเพศสภาพ เรื่องของอาชีพ เรื่องของโอกาสใหม่ ๆ เรื่องของกระบวนการการเรียน เรื่องของหลักสูตร มันสามารถที่จะทำให้คนเราแตกต่างกันมากขึ้นและเท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วมันฟังดูย้อนแย้ง เป็น Paradox การที่จะทำให้คนแตกต่างกันมากขึ้นแต่ยังเท่าเทียมมากขึ้นเพราะเขามีสิทธิเสรีภาพในการเลือก คือความเท่าเทียมมันอยู่ที่ว่าคุณมีทางเลือก คุณมีโอกาสที่จะเลือก ไม่ว่าจะอยู่พื้นที่ไหน รหัสไปรษณีย์ไหน มาจากครอบครัวไหน เพศสภาพเป็นยังไง สามารถที่จะเลือกโดยที่ไม่มีไรมาปิดบังว่าอยู่รหัสไปรษณีย์ที่ห่างไกลจากความเจริญก็ไม่สามารถที่จะมีโอกาสได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองเป็น 

ตอนนี้ทำอย่างไรให้ประเทศมี Abundance of Choices หรือตัวเลือกที่มากพอที่จะให้คนได้ลองหลาย ๆ รูปแบบในสิ่งที่ตัวเองเป็น เพื่อที่จะให้เกิดความเท่าเทียมมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการเมืองในประเทศไทยคิดว่าทำออกมาให้มันเหมือน ๆ กันให้หมดแล้วความเหลื่อมล้ำจะหายไป คราวนี้มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มันกลับหัวกลับหางกันไปใหญ่

SparkD: อยากฝากบอกอะไรสำหรับคนรุ่นใหม่หรือใครที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่

คุณพิธา: อยากจะบอกคนรุ่นใหม่ รวมถึงคนรุ่นผมด้วยว่า

"ใครที่ยังหาตัวเองไม่เจออย่าโทษตัวเอง เพราะเวลาของแต่ละคนนั้นต่างกัน"

อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ยังเข้าใจว่าบางทีเนี่ยเวลาของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน บางคนอายุ 7-8 ปี ก็รู้แล้วว่าตัวเองจะเป็นนักกีฬาอย่างนี้จะเป็นนักเปียโนอย่างนั้นเพราะว่าเขาเกิดมาอย่างงั้น แต่ใน 99 คน ผมว่าจำนวนนั้นน่าจะมีอยู่แค่ 1% ที่เกิดมาก็รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นไทเกอร์ วูดส์ เกิดมาก็รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นภราดร ศรีชาพันธุ์ แปลว่ามันก็มีคนอีกหลายจำนวนมากที่ทั้งชีวิตก็อาจจะไม่รู้ตัวเองต้องการอะไรหรือว่าแพชชันของตัวเองเป็นอะไรก็มี 

ตราบใดก็ตามที่เรายังอยู่กับปัจจุบัน แล้วใช้ชีวิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักตัวเองแล้ว มีแพชชันกับตัวเองแล้ว ก็ยินดีด้วย แต่ในขณะเดียวกันใครที่ยังหาตัวเองไม่เจอก็อย่าไปโบ้ยตีหรือไปเฆี่ยนตัวเองจนมันหมดความสุขในชีวิต เราต้องสามารถที่เข้าใจแล้วก็อ่อนโยนกับตัวเอง 

เสียงเวลาที่คุณคุยกับเพื่อนรักของคุณ กับเสียงที่คุณต้องคุยกับตัวเองมันต้องเหมือนกัน
แล้วชีวิตมันจะเบาลง

โอกาสที่จะหาตัวเองเจอมันจะง่ายขึ้น เมื่อสะสม Small Victories ไปเรื่อย ๆ แข่งกับตัวเองเมื่อวานไปเรื่อย ๆ เมื่อวานทำได้เท่านี้ วันนี้เราพยายามทำต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยจังหวะของตัวเอง ด้วย Pace หรือจังหวะของตัวเอง แล้วพอถึงเวลานั้น มันจะประสบความสำเร็จด้วยตัวของมันเอง คราวนี้มันวัดกันที่ใครที่จะมีความอึด ใครที่จะมีแรงในการที่จะอดทนไปจนถึงตอนนั้นมากกว่า 

ถ้าเกิดเราสามารถที่จะเปลี่ยนมุมมองในชีวิตว่า วันนี้ทำได้ดีกว่าเมื่อวานก็มีความสุขแล้ว มันอาจจะดีกว่าคนที่เป็นอันดับหนึ่งในทุกเรื่องและเจอชีวิตของตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นบางทีถ้าเราไปอิจฉาอะไรหรืออยากได้อะไร พอถึงเวลาแล้วมันได้ คุณอาจจะรู้สึกว่าไม่อยากได้มันเลย ก็เป็นไปได้เหมือนกัน นี้คงเป็นคำแนะนำจากคนที่เคยผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ อยู่มาพอสมควร แต่น้อง ๆ ควรไปปรับให้เข้ากับตัวเองกันหน่อย เพราะว่าช่วงชีวิตคนเรามันต่างกัน

SparkD:  อยากบอกอะไรกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการสนับสนุนให้น้อง ๆ เด็ก ๆ ได้ค้นหาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

คุณพิธา: ก็ยังต้องกลับไปเรื่อง Diversity (ความหลากหลาย) กับ Equality (ความเท่าเทียม) ว่าต้องให้เกิดขึ้นในประเทศ เรื่อง Diversity ของประเทศเราเป็นสิ่งที่เป็นจุดแข็ง ไม่ได้เป็นจุดอ่อนของประเทศ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชาติพันธุ์ เรื่องของเพศสภาพ ก็ควรที่จะให้มีความหลากหลาย 

สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อมีความหลากหลายมันอาจจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่ว่าวิธีในการที่จะบริหารความขัดแย้งนั้นต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเราเป็นสังคมแบบไหน

ในขณะที่รัฐบาลอาจจะมุ่งอยู่กับแค่เรื่องของเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เศรษฐกิจดีแค่กับคนกลุ่มนึงมันก็จะมีประโยชน์อะไร ควรที่จะต้องทำให้การเจริญเติบโตนี้กลายเป็นโอกาสที่ทุกคนเข้าถึง คนรุ่นใหม่อาจจะสนใจในการเปลี่ยนสินค้าการเกษตรให้กลายเป็นคราฟต์เบียร์ ต้องการที่จะใส่ความคิดใหม่ ๆ เข้าไปในสินค้า แต่ถ้ากฎหมายมันบังคับไว้ว่าต้องมีทุนจดทะเบียนเท่านี้ หรือต้องเป็นคนรวยเท่านั้นถึงจะทำได้ คนรุ่นใหม่เขาก็หมดโอกาส 

มีอีกหลายคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมพวกนี้แล้วส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเอาความคิดสร้างสรรค์ไปใส่ในสินค้าการเกษตร พอเจอบล็อกอย่างนี้ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ พอเขาถูกกีดกันด้วยเพศสภาพเขาก็ไม่สามารถทำอะไรตามสิ่งที่เขาต้องการได้ มันก็เป็นสิ่งที่ต้องรีบปลดล็อกเป็นอย่างน้อยที่สุด 

แล้วก็เป็นสิ่งที่พวกเรา (พรรคก้าวไกล) นำเสนอหลาย ๆ ครั้ง เรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร สมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า 3 อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่าอาจจะเป็น 3 อัน ใน 300 นโยบาย เป็นแค่ 1% ที่พรรคก้าวไกลนำเสนอ แต่มันจะสามารถที่จะปลดล็อกอะไรหลาย ๆ อย่างในเรื่องของอาชีพใหม่ ๆ ในเรื่องของความมั่นใจในการเป็นตัวของตัวเอง ในเรื่องการที่ไม่ต้องเสียเวลาไปเกณฑ์ทหาร แล้วเอางบประมาณมาสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้สามารถมีความเท่าเทียมกันได้ รวมถึงมีความเท่าเทียมในการเข้าสู่อำนาจโดยที่ไม่ต้องเอาทหารมาคอยบอกว่ารัฐบาลต่อไปหน้าตาควรที่จะเป็นยังไง แต่ว่ายึดโยงกับการเลือกตั้งของประชาชนจริง ๆ

"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย
"ทิม พิธา" กับมุมมองด้านการเมืองต่อ "การค้นหาตัวเอง" ของวัยรุ่นในสังคมไทย

. . . . . . . . .

พี่ ๆ SparkD หวังว่าน้อง ๆ ทุกคนจะได้มุมมองการค้นหาตัวเอง และเข้าใจถึงสิ่งที่ควรพัฒนาต่อไปในประเทศไทยผ่านประสบการณ์ตรงของคุณพิธา โดยอย่าลืมนำไปปรับใช้ในรูปแบบของตนเองกันด้วยนะ และจะขอยกคำพูดที่ชอบที่สุดจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้มาย้ำเตือนทุกคนที่ยังค้นหาตัวเองอยู่ คือ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิตก็ตาม “ทุกคนย่อมผลิบานในเวลาของตัวเอง” เราอาจยังไปไม่ถึงในจุดที่หวัง ณ เวลานี้ แต่เชื่อเถอะว่า ทุกคนมี Timing เป็นของตัวเอง และมันจะพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางของเราในวันและเวลาที่เหมาะสมในที่สุด 

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่นะ :)

. . . . . . . . .

 พี่เอิร์ธ พี่ตะวัน พี่มาร์ก พี่ดิว SparkD เขียน/สัมภาษณ์
พี่อิ๋ว SparkD กราฟิกดีไซน์
พี่ฟิวส์  พี่แอล SparkD บรรณาธิการ

22Podcast
22Podcast - Columnist 22Podcast by Dek-D. Time to grow, Time to glow.

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น